![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...(ใช้นามแฝง ช. ช่อทับทิมในระยะแรก) รอมเลี้ยวรถเข้าไปจอดริมทางเท้าก่อนจะถึงซอยข้างหน้าราว ๒๐ เมตร ค่อยๆคลี่กระดาษแผนที่ร้านอาหารที่เพื่อนส่งจดหมายเชิญพร้อมแนบแผนท่ีร้านอาหารไปให้...
(ใช้นามแฝง ช. ช่อทับทิมในระยะแรก)รอมเลี้ยวรถเข้าไปจอดริมทางเท้าก่อนจะถึงซอยข้างหน้าราว ๒๐ เมตร ค่อยๆคลี่กระดาษแผนที่ร้านอาหารที่เพื่อนส่งจดหมายนัดไปให้ ดูเพื่อความแน่ใจว่าจะเลี้ยวเข้าซอยที่ถูกต้อง
"รอม...เพื่อนๆจะเลี้ยงสังสรรค์กัน มาเจอกันหน่อยนะ ห่างหายกันไปเกือบ ๒๐ ปี คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว"
ด้านล่างของกระดาษเป็นวันเวลานัดหมาย และแผนที่ร้านอาหารเล็กๆเข้าซอยจากถนนใหญ่ไปประมาณ ๕๐๐ เมตร
รอมอ่านจดหมายนัดสังสรรค์อยู่หลายเที่ยว ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไม่ดีหรือไม่ เวลาที่ผ่านมารอมไม่เคยเจอเพื่อนร่วมชั้นเรียน (ชายล้วน) สมัยเด็กๆที่เรียนกันมาตั้ง แต่ชั้นประถมปีที่ ๑ จนกระทั่งถึงมัธยมปีท่ี ๓ สมัยนั้น ไม่มีเหตุผลว่าทำไม อาจเป็นเพราะว่ารอมเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง มีงานในตำแหน่งเล็กๆของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มีรถยนต์คันเล็กๆเช่นกัน และห้องพักเล็กๆในคอนโดมิเนียมใกล้ที่ทำงาน คงไม่เหมือนเพื่อนอีกหลายคนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานและชื่อเสียงโด่งดัง ลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ ทั้งบางคนก็ร่ำรวยจนล้นฟ้า รอมคงรู้สึกไม่มีปมด้อย อาจคล้ายเพื่อนอีกหลายคนที่ห่างหายไป ความคิดเช่นนี้ทำให้งานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่เพื่อน มีคนไปร่วมงานอยู่น้อยนิดทุกปี อย่างมากก็ ๔๕ คนทั้งๆที่ห้องเรียนมีเพื่อนร่วมรุ่นเกือบ ๕๐ คน
รอมรู้ว่าไม่ควรคิดเช่นนั้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเหล่าเพื่อนที่ร่วมเดินทางผ่านวันเวลาในวัยเยาว์มาด้วยกัน ซึ่งรอมไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าวันเวลาที่ได้ผ่านมานั้น รอมมีความสุขเหลือเกิน
รอมขับรถเลี้ยวเข้าซอยมาอย่างช้าๆ พยายามมองด้านซ้ายมือที่ร้านอาหารตั้งอยู่ ร้านเล็กๆที่ออกแบบลักษณะคันทรี่ เป็นเรือน ไม้ชั้นเดียวกรุผนังจากไม้สนสีธรรมชาติ และหลังคาปีกไม้สวย ด้านหน้าเปิดไฟราวสีส้มอ่อนละมุนดูอบอุ่น
รอมนั่งใจระทึกอยู่ในรถชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกประหม่ามันเคอะเขินราวคนแปลกหน้า เมื่อมองเข้าไปภายในร้าน ผ่านกระจกใสด้านหน้าทำให้มองเห็นโต๊ะที่มีกลุ่มผู้ชายกำลังสนุกสนาน อยู่ห้องด้านข้างที่น่าจะเป็น ห้องพิเศษ, เฉพาะที่มาเป็นกลุ่มใหญ่เท่านั้น
รอมเพ่งมองดูราวจะให้ทะลุผ่านม่านสีทองของแสงจากเปลวเทียนตามโต๊ะภายในร้าน อยากเห็นหน้าตาของเพื่อนว่ามีใครบ้าง แต่รอมก็ไม่สมารถทำได้
เสียงเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่กำลังแย่งกันพูดราวกับเสียงผึ้ง เสียงนั้นรอดผ่านออกมาข้างนอกห้องพิเศษนั้น แต่เมื่อรอมเปิดประตูเข้าไป นั่นแหละเสียงทั้งหมดจึงเงียบลงอย่างพร้อมเพรียง
รอมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้อง หันมองหน้าคนโน้นทีคนนี้ที พยาบาลนึกให้ออกว่าเป็นใครกันบ้าง...ก็ทำไม่ได้ หากเป็นเพราะแสงไฟจากเปลวเทียนพรางตาไว้ กับเวลาที่ผ่านเลยทำให้หน้าตาของแต่ละคนแปรเปลี่ยนไป
"ใครวะหน้าคุ้นๆ" เสียงที่โพล่งออกมาแสดงให้รู้ว่าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
"ขอโทษครับ ผมคงเข้าห้องผิด" รอมเก้อเขินตอบกลับไปเบาๆ กำลังจะหันหลังกลับ ถ้าไม่ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งตะโกนอย่างจดจำได้ดี
"ไอ้รอม ปรีชา, นี่หว่า" คนพูดยืนเด่นยิ้มเริงร่าอยู่ปลายโต๊ะด้านโน้น รอมยิ้มตอบกลับไปรู้สึกอุ่นใจขึ้นโขทีเดียว
"ผมชื่อรอมครับ แต่ปรีชา เนี่ยชื่อพ่อผมนะครับ"
เท่านั้นเสียงเฮ ก็ดังจนห้องพิเศษแทบแตะระเบิกออกเป็นเสี่ยงๆ เวลา...ทำให้รูปร่างหน้าตาของแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไป อาจไม่ใช่ทั้งหมดยังคงเค้าโครงของวัยละอ่อนหลงเหลือให้จดจำ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือความเป็น เพื่อน ที่ซึมซับอยู่ทุกอณูของจิตวิญญาณของแต่ละคน
รอมลงนั่งข้างๆหนุ่มใหญ่หนวดโค้งเรียวงาม เป็นใครรอมยังนึกไม่ออก
"เป็นไงบ้างรอม" คนพูดยิ้มระบัดระบายอบอุ่น เค้าหน้าคุ้นเคย แต่เลือนรางเต็มที รอมเพียงยิ้มตอบจางๆ
"จำเราไม่ได้เหรอรอม"
รอมพยายามเพ่งพิเคราะห์ทบทวนความหลังอันยาวนาน
"ยื่นมือซ้ายมาหน่อยซิรอม" คนพูดทอดเสียงหนัก แน่นมั่นคง
รอมยื่นมือออกให้ดู พลิกมือกลับไปมาอย่างสงสัยว่าทำไม...เพื่อนจับมือพลิกหงายขึ้นดูฝ่ามือ
"จะดูลายมือเหรอ" รอมอดไม่ได้ที่จะถาม
"ไม่ยักเห็นรอยแผลหลงเหลืออยู่เลย" ดูเหมือนเพื่อนหนวดโค้งจะคลางแคลงใจ
เพียงแค่คำพูดประโยคเดียว รอมก็รำลึกย้อนกลับไปจนเห็นภาพอดีตนั้นชัดเจน
"ออด" รอมเรียกชื่อเสียงดัง "จำไม่ได้จริงๆ...เปลี่ยนไปมาก"
นายออดคนเดิมหายไปไหน มีแต่หนุ่มใหญ่คมเข้มดูสุขุมอยู่ตรงหน้าแทน ออดเป็นเพื่อนที่เกเรและเฮี้ยวสุดๆของห้อง วันนั้นรอมจำได้ว่ากำลังจะเรียนวิชาวาดเขียน รอมหยิบดินสอดำเหลาจนแหลมคม ไม่รู้อ๊อดมาจากไหนแย่งดินสอไปจากมือ รอมโกรธจัดกระชากกลับทันทีทั้งๆที่รู้ว่าอาจโดนชกเข้าให้ก็ได้...ก็เกือบไปจริงๆอ๊อดเงื้อมมือขึ้นสูงเตรียมพร้อมขณะที่รอมยกมือขึ้นปกป้อง จังหวะนั้นเอง ออดก็ดึงดินสอในมือรอมไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับแทงเข้าให้ที่กลางอุ้มมือ จนดินสอดำไส้หักติดบนฝ่ามือ เลือดสดๆรินไหลตามร่องมือหยดลงพื้นเป็นดวงเล็กๆมากมาย
แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี...ร่องรอยของไส้ดินสอที่ฝังอยู่บนฝ่ามือก็ยังคงเห็นได้ให้ระลึกถึง จนกระทั่งวันนี้...วันที่รอมลืมเรื่องเหล่านั้นไปจนหมดแล้ว ลืมแม้กระทั่งว่าไส้ดินสอนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ
"เราเสียใจนะรอม" คนพูดรู้สึกถึงความผิดในครั้งนั้น
"ไม่มีโอกาส ได้กล่าวขอโทษ วันนี้...จะสายเกินไปหรือเปล่า"
รอมหัวเราะขำ "ลืมไปแล้วจริงๆ หรือออด"
"จะเอาอะไรกับวัยเด็กที่มีแต่ซุกซนและสนุกสนาน เราลืมไปแล้วจริงๆ" รอมย้ำชัดถ้อยชัดคำอย่างน้อยอ๊อดคงรู้สึกสบายใจขึ้น
เสียงเพื่อนทยอยกันเข้ามาในห้องจัดเลี้ยง มีคำทักทายหยอกล้อกันทำให้บรรยากาศสนุกสนานเป็นกันเองมากขึ้น เพื่อนบางคนนานๆครั้งยังเจอะเจอกันบ้าง บางคนก็ยังคงคบหากันอยู่และบางคนก็ห่างหายไม่เจอกันเลยเป็นเวลา ๒๐ ปีกว่า และรอมก็อยู่ในประเภทหลังนี้ด้วย
รอมนั่งมองเพื่อนๆไล่ไปทีละคน จากมุมโต๊ะด้านโน้นหลายคนเปลี่ยนแปลงไปจนเกือบจำไม่ได้ บางคนยังคงเค้าหน้าเดิมไว้แต่ที่เปลี่ยนไปเห็นจะเป็นรูปร่างที่อ้วนขึ้น ทั้งๆที่หุ่นเคยกำยำสำสัน เป็นแชมป์วิ่งแข่ง ๓ ปีซ้อนสมัยเยาว์วัย และบางคนผมที่เคยดกดำก็กลับขาวเป็นปุยราวกับสีของขนแกะ บางคนผมเริ่มเหลือน้อยเต็มที ทั้งๆที่เคยดกดำสลวยสวยราวกับผมผู้หญิง บางคนยังผอมเหมือนสมัยเด็กๆแต่ความสูงจะลดระดับลงกว่าแต่ก่อน...ไม่รู้ทำไม เพื่อนคนที่จำรอมได้เป็นคนแรกยังคุยเก่งและสนุกสนานเฮฮาไม่แปรเปลี่ยน ยังพบรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจเสมอมา
ความหลังที่ผ่านมาถูกนำมาเล่าใหม่ให้ได้ระลึกถึงอีกครั้งหนึ่ง บางเรื่องรอมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น และบางเรื่องรอมก็ลืมเลือนไปเสียแล้ว แต่บางเรื่องรอมยังจดจำได้และยิ้มขำทุกครั้งที่หวนระลึกไปถึงช่วงเวลาก่อนเก่านั้น
เพื่อนคนที่อ้วนที่สุดบ่นให้รอมฟังเรื่องลูกๆที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เที่ยวเตร่และไม่รักการเรียน ลูกมันว่าเพราะเพื่อน แต่มันไม่เคยโทษตัวเองเลย จะกว่ากล่าวตักเตือนก็ไม่อยากรับรู้ทั้งสิ้น
รอมรู้สึกว่าสังคมสมัยใหม่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนบางเรื่องรอมก็รับไม่ได้ อาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยอยากได้ยิน และได้ฟัง ถ้าหากมีใครสักคนออกมาตักเตือน...ออกมารั้ง เพราะสิ่งที่เราอยากฟังอยากได้ยิน มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราเพลิดเพลินกับความฝันจอมปลอม และกับสิ่งที่คาดหวังไว้อย่างสวยหรูเท่านั้นเอง
เพื่อนคนที่มีธุรกิจพันล้านบ่นเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ของผู้คนสมัยนี้ และพนักงานที่ขี้เกียจ แต่ต้องการค่าแรงงานสูงๆ รวมทั้งอิทธิพลมืดที่ต้องรู้จักลู่ตามลมเพื่อความอยู่รอดของบริษัทและพนักงานร่วมพันคน
"ไม่ไหวว่ะรอม เส้นสายเยอะเหลือเกิน ที่กรมมีแต่ลูกท่านหลานเธอ แตะต้องไม่ได้เลย...เดี๋ยวเป็นเรื่อง" เพื่อนที่ทำงานรับราชการ การเปรยอย่างท้อ แท้
"เขาประมูลงาน ไม่ว่าวงการไหนมีแต่คอรัปชั่นทั้งน้าน". เพื่อนผู้รับเหมาก่อสร้างพึมพำมาจากด้านหลัง
แล้วรอมล่ะ ใครคนหนึ่งหันมาถามรอม
ก็มีทั้งส่วนดีและส่วนเสียคลุกเคล้ากันไปนั่นแหละ รอมนึกถึงเพื่อนร่วมงาน บางเวลาก็รู้สึกท้อแท้กับความเห็นแก่ตัว ประจบสอพลอ และใส่ร้ายป้ายสีกัน และกันให้เห็นอยู่บ่อยๆ รอมเข้าใจว่าทุกคนมาจากสภาพแวดล้อม...การศึกษา...และการปลูกฝังค่านิยมและความคิดที่แตกต่างกันมาก บางเวลา...ต้องทำใจและปล่อยให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวไปตามสภาพที่เป็นจริง บางเวลา...ต้องเปิดใจยอมรับให้ได้ว่า มนุษย์ยุคนี้มีแต่การแก่งแย่งชิงดีกัน และบางเวลา...รอมก็ต้องต่อสู้และแสดงความก้าวร้าวให้หวาดหวั่นกันบ้าง ให้เห็นว่ารอมหมดความอดทนแล้วจริงๆ
"โชคดีจัง ไม่เหมือนเรามีแต่เพื่อนร่วมงานเลวๆ" เพื่อนที่ทำงานธนาคารบ่นอุบ
"ทำไมล่ะ" เสียงเพื่อนที่อยู่มุมโต๊ะตะโกนถาม
"สารพัดพิษเลย คงไม่ต้องแปลกนะ" คนตอบทำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ
"เราว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนนี่แหละ เยี่ยมสุดๆแล้ว" เพื่อนอีกคนยาหอมให้ชื่นใจ
รอมรู้สึกเห็นด้วยกับเพื่อน เพราะความรู้สึกที่สะอาดบริสุทธิ์ในวัยเยาว์นั้น ไม่สามารถพานพบได้อีกเมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงาน เพราะเพื่อนที่ทำงานยิ่งอยู่นานวันยิ่งเขี้ยวลากดิน ลากกันจนพื้นห้องเป็นรอยถลอกร่องลึก ทั้งยังดื้อรั้นจนละม้ายคล้ายไดโนเสาร์เต่าล้านปีที่ยังไม่ได้พัฒนาสมอง คนดีๆถ้าไม่ปรับตัวให้ทันคู่ต่อสู้ก็คงต้องลาออกไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเสีย
ทุกวันนี้...เราจึงอาศัยอยู่ในโลกที่แยกห่างออกจากกัน เราแทบไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยและทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะมัวแต่คอยจ้องหาข้อผิดพลาดของแต่ละคน เอาไว้ทับถมให้อีกฝ่ายต้องจมดินไป คนดีที่มีอยู่น้อยนิดก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวให้เป็นเสมือนจิ้งจก เปลี่ยนสีไปตามสภาพแวดล้อม ไม่เช่นนั้นจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไรกัน คนที่เข้มแข็งและปรับเปลี่ยนสภาพเก่งที่สุด จึงจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย...แต่ไม่เป็นสุขนัก
เวลาค่อยๆคืบคลานไปได้ครึ่งคืน แต่เพื่อนๆดูจะสนุกสนานกันจนติดลมเสียแล้ว เพราะตั้งแต่ทักทายกันเรื่องของสุขภาพความเป็นอยู่ ไล่เรื่อยไปจนถึงการงาน ครอบคัว ความรัก ความสมหวัง ผิดหวัง และสิ่งสำคัญคือการรื้อฟื้นความหลังและมิตรภาพที่ยืนยาวนาน ในวัยที่ควรจดจำมาเล่าใหม่อีกครั้งหนึ่งเห็นทีว่า...เวลาทั้งคืนจนรุ่งเช้าก็คงไม่เพียงพอให้รำลึกถึง
รอมรู้สึกสนุกและเพลิดเพลินเกินกว่าที่คาดเดาไว้ เพราะไม่เห็นมีใครสักคนดูถูกดูหมิ่นกันให้ชอกช้ำใจ ไม่โอ้อวดและหยิ่งผยองอย่างที่รอมกลัวหนักหนา เพื่อนๆทุกคนเหมือนกลับไปอยู่ในห้องเรียนอีกครั้งหนึ่ง ความรู้สึกนึกคิดประสาเด็กทำให้โลดสดใสและมีแต่มิตรภาพที่ดี อดเสียดายไม่ได้ถ้ารู้ว่าเวลาเหล่านั้นมีค่ามากมาย รอมคงรักเพื่อนๆได้มากกว่านี้อีกสักร้อยเท่าพันเท่า เพราะเวลา...นั้นผ่านไปแล้วและไม่หวนคืนกลับมาอีก
เสียงประตูห้องเปิดออกอีกครั้งหนึ่ง ผู้มาเยือนเป็นชายร่างเล็กที่มีผู้หญิงคนหนึ่งพยุงเข้ามาด้วย หลายๆคนหันไปมองแลเพ่งพินิจดูว่าเป็นเพื่อนคนไหนที่เพิ่งจะมาถึงเสียดึกดื่นขนาดนี้
"เฮ้...วิทย์"ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ผู้มาเยือนพยายามยิ้มตอบ เหมือนจะให้รู้ว่าดีใจที่สุดแล้วที่ได้พบกันอีก
"ต้องขอโทษด้วยที่มาถึงช้า คุณวิทย์นอนช่วงหัวค่ำกว่าจะตื่นและแต่งตัวออกจากบ้านมาต้องใช้เวลาพอสมควร อ้อ...ดิฉัน อรวี เป็นภรรยาคุณวิทย์ค่ะ" คนพูดประคองสามีลงนั่งเก้าอี้ใกล้ๆประตูทางเข้า
เพื่อนหลายคนเข้ามาทักทาย รอมเห็นวิทย์พยายามพูดอย่างช้าๆระมัดระวังในท่าที มีรอยยิ้มบนดวงตาที่คลอด้วยน้ำใสเอ่อล้น เจียนจะรินไหลให้ได้เห็นกัน
"วิทย์ไม่ค่อยสบายนัก" เพื่อนคนที่นั่งข้างๆกระซิบบอกรอม
ผอมจนเกือบจำไม่ได้จริงๆ รอมยังจดจำวิทย์ได้ดี วิทย์ เพื่อนที่เล่นฟุตบอลเก่งเหลือเกิน นัดไหนถ้าไม่มีวิทย์ลงเล่น นัดนั้นเกมส์จะจืดชืดเป็นที่สุด วิทย์เป็นนักกีฬาที่แข็งแรง แม้โครงสร้างของร่างกายจะไม่ใช่คนสูงใหญ่ แต่วิทย์ก็มีช่วงขาที่พละกำลังมากมายวิ่งเข้าปะทะคู่ต่อสู้ในสนาม"
"วิทย์มาร่วมงานเลี้ยงรุ่งหลายครั้งแล้ว ทั้งๆที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยต้องให้ภรรยาเป็นคนพามา แต่ครั้งนี้ดูจะหนักหนากว่าที่ผ่านมา" เพื่อนอีกคนเล่ารายละเอียดให้ฟัง
รอมมองดูดวงหน้าของวิทย์ที่ซีดเซียว แม้แสงของเปลวเทียนจะช่วยบดบังรายละเอียดได้มากแล้วก็ตาม ร่างกายฝ่ายผอมทำให้ดูชราภาพกว่าความเป็นจริงมาก
"วิทย์เป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว เป็นมากกว่าสิบปีรักษาทุกวิธีก็มีแต่ทรงกับทรุด ข้อหัวเข่าก็ไม่ดีเพราะใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันเต็มที โชคดีที่ได้ภรรยาดีอย่างคุณอรวี คอยดูแลเอาใจใส่ไม่ได้ขาดตกบกพร่องสักนิดเดียว เคยถามเธอในความยากลำบาก เธอไม่เคยปริปากขอความช่วยเหลือเธอบอกว่าเธอสามารถทำได้"
"แล้วลูกๆล่ะ" รอมไถ่ถามด้วยความห่วงใย
"วิทย์ไม่มีลูกอยู่กันสองคนสามีภรรยา ตอนนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรแล้วเคยทำงานเป็นนักกีฬาในสังกัดองค์กรเอกชนแห่งหนึ่ง พอเจ็บก็ต้องลาออกได้เงินช่วยเหลือมาก้อนหนึ่ง ฝากธนาคารกินดอกเบี้ยนิดๆหน่อยๆ ส่วนคุณอรวีทำงานเป็นข้าราชการ พอจะเบิกค่ารักษาพยาบาลได้บ้าง เพื่อนๆก็ช่วยเหลือกันเวลามีเลี้ยงรุ่นก็จะได้เงินก้อนหนึ่ง เก็บไว้สำหรับช่วยเหลือเพื่อนๆที่มีทุกข์ แม้จะน้อยนิดแต่เป็นความภาคภูมิใจของเพื่อนทุกคนที่ได้เกื้อหนุนกันและกัน" เพื่อนคนเดิมบรรยายให้รอมฟัง
"โชคดีของวิทย์ที่ได้คู่ชีวิตที่ดี" รอมให้ความเห็นบ้าง
"เคยได้ถามคุณอรวีเหมือนกัน นี่ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงทิ้งไปมีสามีใหม่หรือไม่ก็ส่งสามีกลับไปอยู่กับญาติๆแล้ว อดทนมาได้ตั้ง ๑๐ ปีตั้งแต่เป็นสาวสวยอยู่เลย คุณอรวีบอกว่า ตอนแต่งงานเข้าโบสถ์และได้สัญญาต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันและกัน จะดูแลช่วยเหลือกันทั้งในยามทุกข์ยามสุข เป็นสัญญาจากความรักและศรัทธา แล้วจะให้ทอดทิ้งไปได้อย่างไรกัน เธอทำไมได้จริงๆ"
รอมรู้สึกตื้นตันใจทั้งเรื่องของเพื่อนและงานเลี้ยงสังสรรค์ในวันนี้ รอมรู้แล้วว่าทำไมวิทย์ถึงมาร่วมงานไม่เคยขาด ความอบอุ่น...ความรักแผ่กระจายอยู่ทั่วทั้งห้องเล็กๆห้องนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ส่งให้คนมาร่วมงานพร้อมที่จะคอยดูแลห่วงใยกันและกัน...โดยไม่รู้สึก แบ่งเขาแบ่งเรา
รอมเดินเข้าไปทักทายกับวิทย์ จับมือเขาไว้แน่นอยากจะส่งกำลังใจทั้งหมดที่มีให้กับเขาเพื่อต่อสู่ต่อไป...เพราะไม่มีใครไม่เคยเจ็บ...ไม่มีใครไม่เคยตายจากโลกนี้ไป ทุกคนจะต้องเดินทางผ่านถนสายนี้เหมือนๆกัน เพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้นเอง และจะเก็บเกี่ยวความงดงามได้มากน้อยไม่เท่ากัน ในชีวิตสั้นๆที่เป็นเพียงแค่ทางผ่านของกาลเวลา
ดาวยังพราวสวยและเต็มฟากฟ้ายามดึกสงัด เมื่อรอมก้าวเท้าออกมาจากงานเลี้ยง รู้สึกเป็นสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่นึกไม่ฝันว่าการได้มาพบและเจอะเจอเพื่อนเก่า จะทำให้ความทุกข์มลายหายไปสิ้น หลงเหลือเป็นกำลังใจที่จะเริ่มต้นเดินทางกันอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น จนกว่า...จะถึงจุดหมายปลายทาง
รอมสัญญาว่าจะกลับมาพบเพื่อนๆอีก ในวันนัดครั้งต่อไป จะไม่ให้ขาดหายไปไหนแม้จะมีธุระสำคัญก็ตาม
ค่ำคืนนี้...คงไม่สายไป ถ้ารอมจะบอกเพื่อนเก่าว่า เพื่อนทุกคน,...เป็นความงดงามและความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลยในชั่วชีวิตนี้
เมื่อวันที่ : 03 ก.ค. 2558, 19.53 น.
ยินดีต้อนรับค่ะ เขียนได้น่าอ่านมาก ยังมีที่เขียนผิดอยู่บ้างค่ะ