![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...หน้าถ้ำมาลัย ของเย็นวันหนึ่งหลังจากที่นักเรียนขี่รถจักรยานเป็นแถวผ่านไปแล้ว วันนั้นเป็นวันสอบวัดผลปลายปีวันสุดท้าย...
หน้าถ้ำมาลัย ของเย็นวันหนึ่งหลังจากที่นักเรียนขี่รถจักรยานเป็นแถวผ่านไปแล้ว วันนั้นเป็นวันสอบวัดผลปลายปีวันสุดท้าย เปรมกับสาวหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน เธอชื่ออาภรณ์ แต่คนละห้องเรียนได้นัดกันไปเที่ยวถ้ำมาลัย เขาได้เดินออกจากถ้ำเป็นคู่หลังสุดในกลุ่มที่มาด้วยกัน เมื่อออกมาสู่ทุ่งนา เธอข้ามสะพานไปที่รถจักรยานของเธอที่จอดไว้ใต้ต้นไม้ เธอจึงได้ขี่จักรยานข้ามสะพานตามหลังเพื่อน ๆ ไป ส่วนเปรมเดินตามหลังออกมาตามลำพัง เพราะเปรมไม่มีรถจักรยาน อาภรณ์ขี่จักรยานผ่านคันนาไปตามแนวทางสำหรับคนเดินไปชมถ้ำมาลัย ซึ่งเป็นถ้ำพบใหม่ปีกว่า ภายในมีทัศนียภาพที่สวยงามมาก ความลึก ความซับซ้อนของถ้ำ และหินย้อยที่สวยงาม บาดตาตรึงใจ เธอข้ามทางรถไฟโดยมิได้เหลียวดูหลังแต่ละกะบิ้งนา ดินเริ่มแตกระแหงเพราะอากาศร้อน ในภาคใต้ของประเทศไทยในเดือนมีนาคมนี้ ชาวนากำลังเกี่ยวข้าว มันเป็นฤดูร้อน ประชาชนส่วนมากมีอาชีพทำนาปลูกข้าว ประชาชนยังนิยมปลูกข้าวมากกว่าพันธ์ไม้ชนิดอื่น ๆ เพราะถ้ามีข้าวอยู่บนบ้านแล้ว ย่อมไม่ขาดแคลนถึงอดอยากปากแห้ง ข้าวเป็นอาหารหลักของคนในชนบท ในปักษ์ใต้
บางกะบิ้งมีการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เมื่อเปรมเดินผ่านมาถึง กะบิ้งที่เก็บเกี่ยวแล้ว ทันใดนั้นเปรมก็เหลือบมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง ในชุดนักเรียนนั่งอยู่ในในป่าซังข้าวใกล้คันนาประมาณ 3 วา เปรมสันนิษฐานว่าเก็บเกี่ยวเสร็จมาแล้วประมาณ 1 -- 2 วัน ยังหอมซังข้าว ป่าซังล้มไม่หมด เพราะผู้เก็บเกี่ยวไม่สามารถเหยียบซังได้หมด บางครั้งก็เก็บในลักษณะยืนต้นอยู่ คือไม่ได้ข่มให้ซังล้มแล้วเก็บเกี่ยวข้าว การข่มข้าวนั้นใช้ไม้ไผ่ ยาวประมาณ 3 -- 5 วา นำไปเทียบทับกับต้นข้าวระยะประมาณ กลางต้นแล้วใช้แรงคนดันให้ต้นข้าวล้มลงไปประมาณ 45 องศา มิให้ล้มราบติดดิน ล้มให้รวงข้าวห้อยไม่ถึงดิน ซึ่งสามารถใช้มือที่ถือแกะเก็บเกี่ยวข้าวจับคอรวงข้าวและตัดเก็บได้ ถ้าคอรวงข้าวอยู่ในระดับเดียวกันหลายรวงก็สามารถรวบและตัดเก็บได้ในครั้งเดียว ทำให้การเก็บเกี่ยวเร็วขึ้น
เปรมถอยหลังมาที่ตรงกับหญิงสาวนั่งอยู่ ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็น เพราะต้นซังข้าวบังอยู่ ก็จำได้ว่าเป็นใคร จึงเรียกชื่อเธอ
"ธิดาครับ"
".............."
ไม่มีเสียงขานตอบแต่เห็นเธอนั่งก้มหน้าเช็ดน้ำตาอยู่ เปรมจึงแวะลงไปหาเธอ ขอร้องให้เธอยืนเธอก็ไม่ยืน เธอได้แต่ร้องอย่างเดียว เปรมจึงนั่งลง เธออยู่ในการอาการร้องไห้ตาแดงแฉะ เธอสะอึกสะอื้น น้ำตาหยดไหลปิ้มว่าปานจะขาดใจ
"ธิดา เธอทำอะไรอยู่"
"ธิดาทำไมมาอยู่ที่นี้คนเดียว"
"ธิดา ใครทำให้เธอร้องไห้ และเธอร้องไห้ทำไม" เปรมป้อนคำถามจนธิดาเกือบจะรับฟังไม่ทัน ธิดายังก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น และเปรมได้ยินเสียงของเธอดังขึ้นกว่าเดิม
เปรมนั่งยอง ๆ อยู่ก็ขยับเข้าใกล้เธอ พร้อมเอามือไปจับมือขวาของเธอ
"ใครทำอะไรเธอหรือธิดา" เปรมถามอีก
"ออกไป ออกไป คนใจดำ คนโหดร้าย อย่าจับมือฉันนะ" พร้อม ๆ กันเธอก็สะบัดมือหลุดจากการจับของเปรม โดยมิได้มองหน้าเปรม
" ธิดา โกรธพี่ทำไม โกรธพี่เรื่องอะไร"
"คนใจร้าย อย่าพูดมาก ไปให้พ้นหน้า" ธิดาไล่
"พี่ใจร้ายอย่างไรหรือเธอ" เปรมซักด้วยความสงสัย
"คนตระบัตรสัตย์ คบไม่ได้" ธิดาเน้นถึงความชั่วร้ายของเปรม
"แล้วทำไมต้องมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ด้วยละ"
"ก็คุณไปชอบผู้หญิงอื่นนี่ คุณไม่รักฉัน เหมือนที่คุณเขียนบอกวันก่อนนั้น ทุก ๆ วัน คุณหยอกล้อ เอาอก เอาใจฉันสารพัด ทำไมจึงทำกับฉันอย่างนี้" ธิดาตัดพ้อเชิงตำหนิ
"ก็พี่ไม่ใช่แฟนน้องนี้"
"ทำไมน้องพูดอย่างนี้"
"เพื่อน ๆ เขาพูดกัน เขาบอกกันว่าธิดาเป็นแฟนกับมาตรโน้น"
"ไม่จริง ที่ฉันต้องพูดคุยอยู่กับเขาเพราะเขาเป็นเพื่อนของคุณ"
"ถ้าอย่างนั้น พี่ผิดเอง พี่เข้าใจผิดแล้วจะทำอย่างไรดี พี่ต้องขอโทษด้วย"
เปรมพยายามดึงมือของธิดาให้ยืนขึ้น แต่ธิดาเธอไม่ยืน เปรมจึงใช้มือข้างซ้ายโอบไหลของธิดาแล้วใช้มือขวาจับแขนขวาของธิดาพยายามดึงให้เธอยืนขึ้น
"ปล่อยฉันนะ" ธิดาถอยพร้อมสะบัดร่างอย่างแรง และพยายามดึงร่างให้หลุดออกจากการจับเกาะของเปรมในทันที เมื่อถอยออกมา ห่างจากเปรมแล้ว ธิดาก็นั่งลงพร้อมซับน้ำตา เช่นเดิม ธิดานึกย้อนไปในอดีตขณะกำลังเดินอยู่ในห้องเรียน
ธิดาเป็นสาวสวยโปร่งบาง ผมลอยคอเป็นลอน ดวงตากลมโต ใบหน้ารูปไข่ แก้มเป็นพวง รูปทรงสมส่วน แต่จะน้อยไปหน่อย เธอเป็นนักเรียนมาจากต่างจังหวัด ได้มาเช่าบ้านพักอยู่กับเพื่อนหญิงอีก 3 คน
วันแรกที่เปิดเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สี่ เป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากจนได้รับรองวิทยาฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล วันนั้นขณะที่เปรมกำลังหยอกล้ออยู่กับเพื่อน ๆ ซึ่งเรียนผ่านระดับมัธยมศึกษามาด้วยกัน เปรมลื่นล้มถลาไปชนทับร่างของธิดา ๆ ล้มไปติดหน้าต่าง เปรมนั้นอยู่ในอ้อมกอดของธิดาโดยมิได้ตั้งใจ
เปรมลุกจากตักธิดาได้เพราะเพื่อน ๆ ช่วยกันดึงเปรมออกไป แล้วปล่อยให้เปรมถลาไปเกือบชนฝาห้อง แต่เปรมใช้มือยันไว้ได้ ทำให้ไหล่และส้นมือข้างขวาปวดเล็กน้อย
เปรมตั้งหลักได้หมุนตัวกลับพร้อมเตะเพื่อนอย่างแรง แต่เพื่อน ๆ ได้ถอยหลบฉากออกไปทำให้เปรมหมุนติ้วไปตามแรงเหวี่ยงเท้าของตนเอง ร่างของเปรมกระทบกับขอบหน้าต่างอย่างแรง ดังสนั่นหวั่นไหว เปรมหน้าแดงด้วยอาการจุกเจ็บอย่างแรงจนปากเบี้ยว คิ้วขมวดเข้าหากัน พร้อมกับนั่งลง ใช้มือจับชายโครงแสดงอาการปวดดิ้นอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นเปรมสงบเสงี่ยมที่สุดด้วยความรู้สึกอับอายเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่สุด เพราะตนทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนเสียใจ และตนเองก็เสียใจด้วย ได้รับความเดือดร้อนด้วยเช่นกัน
เพื่อเป็นการขออภัยต่อความผิดพลาด เปรมก็พยายามบริการช่วยเหลือธิดากับพวกให้ได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง เท่าที่เปรมจะทำได้
"เอ้ย เปรม ออกไป รับใช้มันทำไม หรือแอบรักมันอยู่" เพื่อนบางคนเย้า
"เปล่าหรอกนะ เพราะทำให้เธอต้องเสียใจ อับอาย เจ็บปวด เราจึงต้องกระทำเป็นการขออภัยและให้เธอยกโทษให้"
มาตรอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของเปรม ก็ได้พยายามช่วยเหลือและบริการให้ธิดาเสมอ เช่น การวาดรูปให้ ระบายสีให้ ช่วยยกสิ่งของให้ด้วยความเต็มใจ
หลังจากนั้นทุกกคนต่างก็เป็นมิตรกับธิดาและเพื่อน ๆ ต่างพูดจากหยอกล้อกันอย่างสนุกนานและสนิทสนมอย่างเป็นกันเอง
ในความใกล้ชิดของมาตร เปรม ธิดา และเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนเดียวกันก็สนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างพี่น้องกัน เว้นแต่มาตรคนเดียวเท่านั้น ที่ทุกคนสังเกตและคิดว่า มาตรชอบพอรักใคร่กับธิดา แต่มาตรชอบพอกับเพื่อนของธิดาอีกคนหนึ่ง ซึ่งอยู่เป็นภาคภูมิสวยสง่า อาภรณ์ละเมียดละมัย ใจเย็น ฉลาด คมคายทุกคำพูด จึงเป็นที่เกรงขามของเพื่อนทุกคน
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว บางคนก็ไปนั่งคุยกันใต้ต้นไม้ บางกลุ่มไปอ่านหนังสือหนังสือในห้องสมุด บางกลุ่มไปตีปิงปองในบริเวณวัด ซึ่งทางโรงเรียนตั้งโต๊ะไว้บริการหลังเลิกเรียนในศาลาของวัดเป็นประจำ
หลายคนกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส เปรมเองก็มีงานค้างของอาจารย์สังคมศึกษา เมื่อทำงานเสร็จก็หันหลังไปคุยกับธิดาและเพื่อน ๆ ซึ่งทำงานเสร็จแล้ว
พูดไปพูดมา ก็พูดถึงวิชาภาษาไทย ซึ่งอาจารย์ได้นำตัวอย่างการเขียนกลอนของท่านเอง มาอ่าน พร้อมอธิบายวิธีเขียน จำนวนคำ จำนวนวรรค ชื่อวรรค วิธีการสัมผัสของคำคล้องจองทั้งสัมผัสนอก สัมผัสใน สัมผัสระหว่างบท และการเขียนชิงสัมผัส
"คำสัมผัสคืออะไร ทำไมต้องมีคำสัมผัสด้วย"
"คำสัมผัส คือคำที่เชื่อมคำให้คล้องจองกัน ด้วยเสียงที่คล้าย ๆ กัน เช่น บ้าน หวาน กาล ยาน พราน ขวาน ห่าน มาร ท่าน เช่น หมู่บ้าน พรานป่า หาขวาน"
"มันเชื่อมกันอย่างไรคะ"
"ถ้าคำแยกกันอยู่ เราไม่สามารถจำได้ มันสะเปะสะปะ ถ้าเราหาคำมาให้คล้องจองกัน ดุจห่วงเหล็ก ที่วางอยู่เป็นอิสระ ถ้าเราหยิบห่วงใดห่วงหนึ่งมันก็ติดขึ้นมาอันเดียว แต่ถ้าเราเอาคล้องให้วงกลมมันติดกัน ถ้ายกอันใดอันหนึ่ง มันก็จะติดขึ้นมาทั้งหมด มิใช่หรือ"
"ถ้าเราทำให้คล้องจองกันด้วยเสียง สระ หรือเสียงพยัญชนะ หรือเสียงตัวสะกด จะทำให้คำนั้น สัมพันธ์กัน หรือสัมผัสกัน จำได้ง่าย น่าอ่าน ฟังแล้วสนุก เช่น หมู่บ้าน พรานป่า หาขวาน รานกิ่ง หิ่งห้อย ลอยล่อง มองเห็น เย็นตา ฟ้าใส ใจสุข ทุกครั้ง นั่งมอง สองคน ฯ พวกเราเห็นไหมว่า คำคล้องจองนี้ทำให้สนุก จำได้ง่าย น่าอ่าน ฯ"
"จ้า เข้าใจแล้ว แก้วตาพี่ ที่เก่งเรียน เพียรขยัน หมั่นศึกษา หาความรู้ ครูชื่นชม สมดังเพียร อ่านเขียนคล่อง ต้องยกยอ พอชื่นใจ"
"พอแล้วธิดา ไม่ต้องมากอย่างนี้หรอก"
"ชิงสัมผัสเป็นอย่างไร" เพื่อนของธิดาถาม
ทุกคนต่างก็ตอบคำถามตามที่ตนเข้าใจ แล้ว 3 คน เว้นแต่ เปรมยังไม่ได้ตอบ
"ชิงสัมผัส คือ คำที่มีเสียงอักษร เสียงสระ เสียงเดียวกับคำสัมผัสในตำแหน่งที่แบบฉันทลักษณ์กำหนดให้สัมผัส ถ้ามีคำที่เสียงเดียวกับคำที่ส่งสัมผัส ก่อนจะถึงตำแหน่งที่ฉันทลักษณ์กำหนด ถือว่าเป็นการชิงสัมผัสเสียก่อน ไม่นิยมใช้ในการเขียนคำประพันธ์
"มันชิงอย่างไร ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย" เพื่อนของธิดาอีกคนถาม "ชิงสัมผัส หมายถึง คำสัมผัสที่ไปสัมผัสก่อนถึงตำแหน่งที่ฉันทลักษณ์กำหนดตำแหน่งให้สัมผัสได้ เช่น คำสัมผัสที่ไปสัมผัสของคำท้ายคำวรรคที่ 3 (วรรค รอง) ซึ่งส่งมาจากคำสุดท้ายของวรรคที่ 2 (วรรค รับ) ไปสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3 แต่มีคำเสียงสัมผัสเสียงเดียวกันไปปรากฏอยู่หน้าตำแหน่งที่เขากำหนดให้สัมผัส คำนั้นเรียกว่า การชิงสัมผัส ในวงการนักเขียนไม่นิยมสัมผัสแบบนี้ จึงถือว่าเป็นคำชิงสัมผัส คือมีคำสัมผัสซับซ้อนขึ้นมาก่อนถึงตำแหน่งของมัน เช่น
เธองามเด่น เพ็ญจันทร์ บุหลันล่อง ...วรรค สดับ
เจ้าเนื้อทอง นางสวรรค์ ชั้นดึงสี ...วรรค รับ
เธอโสภี เกินหญิง มิ่งนารี ...วรรค รอง
เจ้าคนดี เด่นสว่าง กลางใจชน" .....วรรค ส่ง
ในสี่วรรคนี้ วรรคที่หนึ่ง กับวรรคที่ 2 มีสัมผันนอก คือคำ ล่อง กับ ทอง
ส่วนวรรคที่ สอง วรรคที่ สาม และวรรคที่ สี่ มีสัมผัสนอกชุดที่สอง คือ สี รี และ ดี ซึ่งเป็นตามปกติทั่วไป แต่ ในวรรคที่ สาม มีคำว่า "โสภี" อยู่ส่วนหน้า ซึ่ง "...ภี" นี้ มาสัมผัสก่อนจะถึงคำว่า "รี" คือ คำ "..ภี" มาแย่ง หรือ ชิงสัมผัสเสียก่อน ตัดหน้า คำว่า "รี" จึงเรียกว่า "..ภี" เป็นคำแย่งสัมผัสหรือชิงสัมผัส ซึ่งในการประพันธ์นั้นไม่นิยมคำสัมผัสประเภทนี้
คำว่า โสภี ..ภี คือ คำที่เรียกว่า ชิงผัมผัส คำชิงสัมผัสมีได้พอ ๆ กันเกือบทุกวรรค"
"หมายความว่าอะไร"
"ตามธรรมดา คำ สี ต้องสัมผัสกับ คำนารี และ คำว่าดี แต่พอคำสี จะมาถึง คำนารี มีคำโสภีมารออยู่ก่อนแล้ว สี จึงต้องสัมผัสหรือคล้องจองกับคำ โสภีก่อน โดยมิได้มีกำหนดไว้ในหลักเกณฑ์การสัมผัส จึงเรียก คำ โสภี นี้ว่า ชิงสัมผัส คือแย่งของผู้อื่น คือคำนารี"
" บทประพันธ์บทหนึ่งมีกี่วรรค แต่ละวรรคมีชื่ออย่างไรบ้าง"
"บทประพันธ์บทหนึ่งมี 4 วรรค แต่ละวรรคมีจำนวนคำ ตามชนิดของบทประพันธ์ เช่น กลอนสุภาพ มี 7 - 8 - 9 คำ มีวรรคแรก ชื่อ วรรค สดับ วรรคที่สองชื่อ วรรครับ วรรคที่สามชื่อ วรรครอง วรรคที่สี่ชื่อ วรรคส่ง" ธิดาตอบ
"ขอดูตัวอย่างหน่อย"
ชี
"เดินเป็นแถว ขาวโพลน โล้นทุกผู้"
"ส่วนนี้ วรรคแรก เรียกว่า วรรค สดับ นะครับ" ธิดาบอก
"แสวงรู้ พระธรรม กรรมฐาน"
"ที่กล่าวมานี้เป็นวรรคที่ 2 เรียกว่า วรรค รับ"ธิดากล่าว
"บวชเป็นหมู่ สร้างใจ ใฝ่นิพพาน"
"ส่วนนี้ เป็นวรรคที่ 3 เรียกว่า วรรค รอง"ธิดาอธิบาย
"ทั้งชาวบ้าน ราชการ ละงานมา"
"ส่วนสุดท้าย วรรคที่ 4 เรียกว่า วรรค ส่ง"ธิดาบอก
"รวมทั้งสี่วรรคเป็นหนึ่งบทดังนี้"
"เดินเป็นแถว ขาวโพลน โล้นทุกผู้"
"แสวงรู้ พระธรรม กรรมฐาน"
"บวชเป็นหมู่ สร้างใจ ใฝ่นิพพาน"
"ทั้งชาวบ้าน ราชการ ละงานมา"
คำที่ขีดเส้นใต้ คือคำสัมผัสตามตำแหน่งของแบบแผนการสัมผัสของกลอนสุภาพ
"สำหรับกาพย์ยานี 11 จะมีสี่วรรคในหนึ่งบท วรรคที่ 1 และวรรคที่ 3 ซึ่งอยู่ข้างหน้า มีจำนวนวรรคละ 5 คำ ส่วนวรรคที่ 2 และวรรค ที่ 4 ซึ่งอยู่หลัง มีจำนวนวรรคละ 6 คำ มีการสัมผัสก็คล้าย ๆ กัน"
กาพย์ยานี ก็กำหนดคำไว้ แต่ละวรรคไม่เท่ากัน เช่น วรรคหน้ามี 5 คำ และวรรคหลังมี 6 คำเสมอเหมือนกัน ดังบทประพันธ์ที่ว่า
"ห้าคำเป็นวรรคแรก วรรคสองแจกให้หกคำ
วรรคสามห้าประจำ วรรคสี่นำ หกคำไป
สรุปวรรคอยู่หน้า มีอัตรา ห้าคำไว้
วรรคหลังหกคำไซร้ ยานีไทยเช่นนี้เอง"
เขียนง่ายในแต่ละบทของกาพย์ยานีเป็นอย่างนี้
วรรคที่ 1 มีคำ 5 คำ
วรรค ที่ 2 มีคำ 6 คำ
วรรค ที่ 3 มีคำ 5 คำ
วรรค ที 4 มีตำ 6 คำ
"ถูกต้อง ธิดาจำได้ดีมาก" มาตรตอบพร้อมให้กำลังใจ
"คำสัมผัสมีกี่ชนิด" ธิดาถาม
"3 ชนิด"
"2 ชนิด"
"ถูกทั้งสองคน คือ คำสัมผัสจริงมี 2 ประเภท คือ สัมผัสอักษรและสัมผัสสระ ส่วนสามชนิดนั้น เป็นการสัมผัสในการเขียนบทประพันธ์จริง มี 3 ชนิด เนื่องจากการกำหนดเอาตำแหน่งที่มีการสัมผัส เช่น 1. สัมผัสใน 2. สัมผัสนอก และ 3. สัมผัสระหว่างบท" เปรมอธิบาย
" ตำแหน่งสัมผัสของมันอยู่ตรงไหนบ้างคะ"ธิดาถามอย่างรีบเร่งด้วยความสนใจและสงสัย
"สัมผัสใน เป็นการสัมผัสภายในวรรคแต่ละวรรค ปกติบทประพันธ์ 1 บท มี 4 วรรค ดังได้ตอบมาแล้วในตอนต้น แต่ละวรรคมีจำนวนคำไม่เท่ากันตามประเภทของคำประพันธ์
"ถ้าเป็นกลอนสุภาพมีคำจำนวน 8 คำ จะสัมผัสอย่างไร"
"ปกติกลอนสุภาพถ้าใช้วรรค 8 คำจะแบ่งวรรคภายใน ในการอ่านเป็นจังหวะลีลาที่สวยงาม คือ สามคำ สองคำ และ สามคำ รวมเป็น แปดคำ เช่น
" ร้อยหมื่นแสน เสกสรร ปั้นด้วยรัก " เปรมหยุดถอนใจแล้วยิ้มนิด ๆ " คำที่สาม สัมผัสกับคำที่ สี่ และคำที่ห้า สัมผัสกับคำที่ หก คือ คำสัมผัสแรก แสน และ เสก ส่วนคำ สรร สัมผัสกับ ปั้น สังเกตคำที่มีอักษรหนานะครับ"
กรุณาสังเกตคำสัมผัสจากบทประพันธ์ต่อไปนี้
"ร้อยหมื่นแสน เสกสรร ปั้นด้วยรัก"
"โลกประจักษ์ ในสังคม สมใจฝัน"
"ยังสอดส่อง ทุกก้าว คราวจากกัน"
"สมใจมั่น ฝันของครู คู่โลกา"
"ยังยึดมั่น แบบอย่าง ทางชีวิต"
"ครูลิขิต ศิษย์ก้าว พราวเวหา"
"ศิษย์สมหวัง เคารพ นพบูชา"
"ซับน้ำตา พระคุณครู กู่ก้องใจ"
สัมผัสนอกคือ คำสัมผัสระหว่างวรรคทั้งสี่วรรค ภายในหนึ่งบท คือวรรคที่ หนึ่ง หรือวรรคสดับ หรือ บางคนเรียกวรรคสลับ คำสุดท้ายของวรรคนี้ไปสัมผัสคำที่ 3 หรือคำที่ 5 ของวรรคที่ 2 หรือเรียกว่า วรรครับ คำสุดท้ายของวรรคที่สอง (วรรครับ)ไปสัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ 3 (วรรครอง) และคำสุดท้ายของวรรครองไปสัมผัสกับคำที่ 3 หรือคำที่ 5 ของวรรคสุดท้ายในบท คือวรรคส่ง"
"มีตัวอย่างให้ดูไหมเพื่อน"
"มีจ้า นำมาจากหนังสือ พระอภัยมณีเป็นประดิษฐกรรมอักษรศิลป์ของสุนทรภู่ ครูกวีผู้ยิ่ง เรื่องพระอภัยมณีนี้เป็นวรรณกรรมระดับโลก โดยมียูเนสโก ให้การรับรอง ดังนี้
แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์
- วรรคที่ 1 ววรค เรียกว่า วรรค "สดับ"
อันแสนสุด ลึกล้ำ เหลือกำหนด
- วรรคที่ 2 เรียกว่า วรรค "รับ"
-
ถึงเถาวัลย์ พันเกี่ยว ที่เลี้ยวลด
- วรรคที่ 3 เรียกว่า วรรค "รอง"
ก็ไม่คด เหมือนหนึ่งใน น้ำใจคน
- วรรคที่ 4 เรียกว่า วรรค "ส่ง"
"รวมทั้งสี่วรรคเป็นหนึ่งบทดังนี้"
แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์
อันแสนสุด ลึกล้ำ เหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์ พันเกี่ยว ที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คด เหมือนหนึ่งใน น้ำใจคน
คำสัมผัสนอกจากบทประพันธ์ตัวอย่าง ของสุนทรภู่ เรื่องพระอภัยมณี มีสัมผัสนอก 2 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 คำ มนุษย์ กับ คำ สุด
กลุ่มที่ 2 คำ หนด กับ ลด และ คด
"พวกเราถามคำสัมผัสนอก สัมผัสในกันแล้ว คำสัมผัสอักษร คำสัมผัสสระซึ่งเป็นส่วนสำคัญนั้นเข้าใจที่ท่านอาจารย์อธิบายดีแล้วใช่ไหม"
"ยังค่ะ ช่วยบอกหน่อยพวกเราจะได้ทบทวนและเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น"
"มันข้ามขั้นตอน ที่จริง เราควรทราบและรู้จักกับคำสัมผัสประเภทนี้ก่อนที่จะรู้จักสัมผัสนอก สัมผัสใน ไม่เป็นไรพวกเราคงจะเข้าใจได้ ไม่สับสนนะ"
"รับรองจ้า ไม่สับสน"
"สัมผัสอักษร หมายถึงคำที่มีอักษรเสียงเดียวกัน สระเดียวกันจะต่างสระก็ได้ ตัวสะกดเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ ยกตัวอย่างคำที่เราคุ้นเคยกันอยู่ เช่น"
" โรงเรียนราษฎร์ เราร้าย รกรุงรัง" มาตร
"เด็กดำเดิน ดั้นด้น ดลเดียวดาย"
"เด็กคนนั้น เด็กดี เด็กที่รัก"
"แล้วคำสัมผัสสระมันต่างกันคำสัมผัสอักษรอย่างไร" มาตรถาม
"คำสัมผัสอักษรนั้นใช้อักษรล้วน สำหรับคำสัมผัสสระใช้เสียงสระเป็นแก่นในการจับคู่สัมผัส หรือคำที่มีตัวสะกดเสียงเดียวกัน สระเดียวกัน พยัญชนะต้นต่างกัน เสียงคำสัมผัสสระดังนี้"
"ได้พบน้อง มองเห็น เช่นนางฟ้า"
" ผิวผ่องพรรณ โสภา นางฟ้าสวย"
คำน้อง สัมผัสกับคำ มอง และ
คำ ...ภา สัมผัสกับคำ ฟ้า เป็นคำสัมผัสสระ
" หรือ คำ รุ่งเรือง เขียนต่อสัมผัสด้วย กลางเมือง ครบเครื่อง แค้นเคือง ต่อเนื่อง สิ้นเปลือง สีเหลือง "
คำสัมผัสสระอีกแบบหนึ่ง
" ปลา หา หลา หยา หวา ข้า ช้า ฯลฯ"
"คำสัมผัสสระอีกประเภทหนึ่ง มีตัวสะกด เช่น
"จิต คิด สิทธิ์ วิทย์ นิตย์ มิตร ผิด ปลิด ฯลฯ"
"อยากเห็นตัวอย่างที่เป็นบทประพันธ์สำเร็จรูปแล้ว"
"ได้ จ้า ดั่งตัวอย่างต่อไปนี้
"ย่างแผ่วเบา ดุจสำลี ที่ตก พื้น" มาตรกล่าวขึ้นมาลอย ๆ
"ยามที่ ยืน น่าขาม งามดุจเสือ" ธิดาก็กล่าวเสริมทันที
"รวดเร็วปาน งูฉก นรกเจือ" เปรมร่วมสนุกด้วย
"ตะครุบเหยื่อ ดุจฟ้า ผ่าลงดิน" มาตรปิดท้าย
มาตร วรรคสดับ สัมผัสในมี ลี กับ ที่...
ธิดา วรรครับ สัมผัสในมี ขาม กับ งาม
เปรม วรรครอง สัมผัสในมี ฉก กับ นรก
มาตร วรรคส่ง สัมผัสใน มี ฟ้า กับ ผ่า
สัมผัสนอก มี 2 กลุ่ม ๆอะไรบ้าง
เปรม กลุ่มที่ 1 พื้น กับ ยืน
ธิดา กลุ่มที่ 2 เสือ , เจือ และ เหยื่อ
"นอกจากมีสัมผัสกลุ่มใหญ่ คือ สัมผัสอักษร และสัมผัสสระแล้ว มีสัมผัสย่อย ในการเขียน คือ สัมผัสใน สัมผัสนอก ยังมีสัมผัสอะไรอีกไหม"
"ยังมีสัมผัสอีกชนิดหนึ่ง เป็นการสัมผัสเชื่อมระหว่างบทแรก กับบทต่อ ๆ ไป จนจบเรื่อง เหมือนกับสายระโยงการเชื่อมเรื่อพ่วงลากเป็นแถว ให้บทประพันธ์ หนึ่งบท สามารถเชื่อมกับอีกบทหนึ่ง และบทอื่น ๆ ต่อไปอีก เทียบกับเรือหนึ่งลำ ใช้เชือกผูกกับเรืออีกลำหนึ่งและลำต่อไป เช่น เรือพ่วง คำเชื่อมระหว่างบท เปรียบเหมือนเชือกที่ผูกลากเรือเป็นแถวนั้นแหละ"
"สัมผัสระหว่างบท คือเชื่อมคำสุดท้ายของบทที่หนึ่ง กับคำสุดท้ายของวรรคที่สอง ในบทถัดไป ตัวอย่างจาก "ของสองฝั่ง" ของ "นายผี" หรือ อัศนี พลจันทร์
ตลิ่งของสอง สองข้าง ทางน้ำของ
แม้ยืนมอง ดูยัง คอตั้งบ่า
เขาหาบน้ำ ตามขั้น บันไดมา
แต่ตืนท่า ลื่นลู่ ดังถูเตียน
เหงื่อที่กาย ไหลโลม ลงโซมร่าง
แต่ละย่าง ตีนยัน สั่นถึงเศียร
อันความทุกข์ มากมาย หลายเล่มเกวียน
ก็วนเวียน อยุ่กับของ สองฝั่ง
คำสัมผัสระหว่างบทที่ 1 กับบทที่ 2
ธิดา "เตียน"
มาตร "เศียร"
"คำเหล่านั้นมีที่มาอย่างไร"
คำว่า "เตียน" เป็นคำสุดท้ายของวรรคที่ 4 ในบทที่ 1
"เศียร" เป็นคำสุดท้ายของวรรคที่ 2 ในบทที่ 2
"เราจะเขียนกลอนสุภาพให้ไพเราะน่าฟัง น่าอ่านเขียนได้อย่างไร"
เราสามารถเขียนให้คำมีความหมายทำให้เห็นภาพชัดเจน และน้ำหนักคำถูกต้องตามตำแหน่งของเสียงที่กำหนดให้ ดังนี้
1. คำสุดท้ายของวรรคสดับ (วรรคที่ 1) เป็นเสียงวรรณยุกต์ เอก โท ตรี จัตวา ยกเว้นเสียงสามัญ
2. คำสุดท้ายของวรรครับ (วรรคที่ 2) เป็นเสียงจัตวา หรือ เอก โท ได้ ยกเว้นเสียงสามัญ
3. คำสุดท้ายของวรรครอง (วรรคที่ 3) เป็นเสียงสามัญ ไม่นิยมเสียงจัตวา และวรรณยุกต์อื่น
4. คำสุดท้ายของวรรคส่ง (วรรคที่ 4) เป็นเสียงสามัญ ไม่นิยมจัตวา และเสียงวรรณยุกต์อื่น
"แล้วเสียงจัตวา นอกจากคำ ป๋า จ๋า ฯ จำนำมาจากไหนอีก มีบ้างไหม"
"มี"
1. คำที่เป็นพยัญชนะอักษรสูงผสมกับสระ ไม่มีวรรณยุกต์ จะมีตัวสะกดหรือไม่ก็ได้ เช่น หา ฝา ผา สาว ขาว สม สวย เขียว ขวด สาม เสริม สด แสน โฉบ โหด หาย หาบ หอย หอม เหิม หงส์ หอก ฯลฯ
2. คำที่เป็นเสียง ห นำ และ เช่น เหมือน หมาย หนู หนอน แหนม หลอน หลอด หวาน หยาม หย่อม ไหม ไหน ไหล หวาย หลาย เหลือ หลวง ฯลฯ
3. คำ อักษรนำ เช่น แสวง สนาม ขนุน สมุน ถนอม สวาย สลาย สยบ ขยาด สมุด แถลง แขยง ฯลฯ
"มีตัวอย่างให้ดูบ้างไหม"
"มีครับ ตัวอย่างจากเรื่อง ครูขา ของเฉลิม ชูสง จากลำนำเพลงรัตติกาล และ ณ แห่งนี้ที่พักใจใครคนหนึ่ง มีตัวอย่างดังนี้ "
คุณครูขา ปวดท้อง หนูร้องไห้ - เสียง เอก โท ตรี
จัตวา ยกเว้น เสียง
สามัญ
หนูไม่ได้ ทานปลา ทั้งอาหาร - เสียงจัตวา ไม่นิยม
เสียงอื่น
แม่กรีดยาง ก่อนรุ่ง มุ่งมีทาน - เสียงสามัญ ยกเว้น
เสียงจัตวาและเสียงอื่น
หมดข้าวสาร แม่หมาย กรีดขายยาง - เสียงสามัญ ยกเว้น
เสียงจัตวา และเสียงอื่น
"เออ ทำให้ตาสว่างขึ้นเยอะ ถ้าวิชาอื่น ๆ เราได้มีเวลานั่งพูดคุยกันอย่างนี้ คงจะทำให้พวกเราแตกฉานและเข้าใจเนื้อหาวิชา และปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ผลการเรียนก็จะดีขึ้น"
ถ้าเราทบทวนคำที่อาจารย์สอนภาษาไทยอธิบายก่อนพักได้แล้ว ยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง เรามาลองเขียนกันดีกว่า เขียนเสร็จแล้วจะได้นำของแต่ละคนมาอ่านได้ฟังกันประดับความรู้ และเสริมความเข้าใจในการเขียนบทประพันธ์ ถึงชั่วโมงเรียนภาษาไทยเราจะได้เสนออาจารย์ผู้สอนด้วย"
"ตกลง ลงมือเขียนได้เลย"
เวลาผ่านไปพอสมควร นักเรียนทุกคนต่างเขียนผลงานของตนจนเสร็จ ธิดาเป็นผู้ตัดสินใจว่าของผู้ใดดีมากหรือมากที่สุด พร้อมกับสมาชิกคนอื่น ๆ จะได้ช่วยกันวิจารณ์ สนับสนุนด้วย
อ่านคนที่ 1 - 4 ธิดาและคณะมีความเห็นตรงกันว่าพอใช้ พอถึงใบของเปรมธิดาขออ่านเอง ธิดาเริ่มอ่านดังนี้
"ใครคนหนึ่ง ตรึงอยู่ใน หทัยฉัน
ใครคนนั้น เด่นดี ไม่มีสอง
ใครคนหนึ่ง คนนั้น ที่ฉันปอง
ใครคือเขา ที่เรียกร้อง อยากครองใจ"
อ่านจบเพื่อน ๆ ในห้องเรียนและพวกเราร่วมกับปรบมือดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้เพื่อน ๆ กล่าวพร้อม ๆ กันโดยมิได้นัดหมายกันมาก่อนว่า "ยอดเยี่ยม" และ "ขอเยนให้คนอ่านด้วยคำว่า ดีที่สุด ดีที่สุด"โดยพร้อม ๆ กันทุกคนและดังด้วย
"ออด ๆ ๆ ๆ !"
เสียงออดสัญญาณเตือนเข้าแถวดังขึ้น นักเรียนทุกคนกระวีกระวาดเก็บดับหนังสือบนโต๊ะและขยะต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง ทุกคนมุ่งไปยังสถานที่รับผิดชอบในการรักษาบริเวณทำความสะอาด ทำเรียบร้อยแล้ว ล้างมือ ล้างหน้า เช็ดหน้า หวีผม แล้วทยอยกันไปเข้าแถวหน้าชั้นเรียนของตน โดยมีอาจารย์ประจำชั้น คอยดูแลให้คำปรึกษา และเตรียมพร้อมที่จะเรียนวิชา ในชั่วโมงต่อไป
ธิดาและเปรมต่างช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน ทั้งสองมิเคยมองสายตาประสานกันเลย ความจริงใจ และความผูกพันสร้างรอยประทับใจลงใจของทั้งสองอย่างหนักแน่น ด้วยความสุภาพ อ่อนโยนของเปรม บางครั้งทำอะไรผิดพลาดไป ธิดาก็อภัยให้เสมอ
บริเวณถ้ำมาลัยใกล้จะค่ำ อาภรณ์ ขี่จักรยานจากใต้ต้นไม้ ใกล้สะพานฝั่งตรงข้ามจนลับโค้งข้ามทางรถไฟไปนานแล้ว
"กลับบ้านเถอะนะธิดา อย่ามานั่งอยู่นี้เลย ที่นี้มันเปลี่ยวและจวนจะค่ำแล้วอันตราย กลับไปบ้านกันเถอะ"เปรมออกความเห็นพร้อมยื่นมือขวาไปจับมือของธิดา
"อย่านะ เธอคนใจร้าย คนหลายใจ"
"ธิดาเธอเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว ฉันจะพูดให้ฟัง"เปรมพยายามแก้ตัวและจับแขนสองข้างด้านหน้า หันหน้าเข้าหากัน ธิดาจึงผลักเปรมอย่างแรง เปรมล้มลงหัวไปกระแทกคันนา แง่หินบาดเป็นแผลข้างกกหูเลือดไหล แต่ธิดามิได้สนใจ
ธิดาเจ็บปวดนัก เจ็บปวดกว่าเปรมหลายเท่านัก เมื่อวันลอยกระทงที่ผ่านมา เปรมได้รู้จักกับนักเรียนต่างห้อง คณะอักษรศาสตร์ด้วยกัน เธอเป็นผู้หญิงที่สวยงาม หน้าตาดี ตระกูลผู้ดี ทำให้เปรมห่างเหินจากธิดา และติดพันกับเธอผู้นั้น จนวันนี้ได้นัดกันมาเที่ยวที่ถ้ำมาลัยนี้ ซึ่งเป็นวันสอบสุดท้ายของปลายภาคปีการศึกษานี้
ขณะนั้นเพื่อนของธิดากลุ่มหนึ่งได้สังเกตเหตุการณ์อยู่ห่าง ไม่ต่ำกว่า 10 คน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เปรมเป็นคนที่ไม่มีคารมในการพูด เปรมพูดตรง ซื่อ ซึ่งยากแก่การแก้ปัญหา ธิดาจึงลุกขึ้นยืนและเดินไปตามคันนาเพื่อไปให้พ้นและต้องการให้เปรมติดตามไปคืนดี เธอวิ่งจากคันนาผ่านสะพานไม้ บาง ๆ จำนวน 2 แผ่นที่ทอดข้ามสะพานมีราวไม้ไผ่ ไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อธิดาวิ่งผ่านสะพานไปเปรมก็วิ่งตามไปห่าง ๆ ด้วยแรงกระแทกจากน้ำหนักตัวของเปรมที่วิ่งทำให้แผ่นสะพานหักหล่นลงในคลอง เปรมจับราวสำหรับจับเดินข้ามสะพานได้ แต่ราวต้านน้ำหนักของเปรมไม่ไหว หักอีก เปรมก็ร่วงลงในน้ำ "ตูม" น้ำกระเด็นกระจายสี่สิบห้าองศาเป็นวงกว้าง ถึงสองฝั่งคลอง เมื่อเสียงเงียบสงบลง
เพื่อน ๆ ของธิดาซึ่งซ่อนอยู่ก็ออกมาจากที่ซ่อน วิ่งกรูกันมาที่สะพาน ปรากฏว่าทุกคนเห็นเลือดแดงฉานกระจายออกจนเต็มคลอง เห็นร่างของเปรมกระตุกเล็กน้อยและสงบนิ่งในที่สุด มีไม้กลมแหลมอันหนึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำจากร่างของเปรม
ขณะนั้นมีตำรวจสองคนกำลังเดินทางมาสังเกตการณ์ เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์รักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วไป กับเพื่อนบ้านอีก 2 คน ณ ถ้ำมาลัยแห่งนี้ ก็ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดและได้วอฯให้ทางเจ้าหน้าที่ไปพิสูจน์พลิกศพ และถามปากคำตามธรรมเนียม ซึ่งเป็นอุบัติเหตุมิใช่เป็นการฆาตกรรมแต่ประการใด ธิดาร้องไห้แทบจะเป็นสายเลือด
เมื่อวันที่ : 28 พ.ค. 2558, 10.56 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...