![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...ตอนเย็นของวันเสาร์ หลังจากที่เสรีได้นำปิ่นโตไปส่งคืนให้ทางบ้านผู้ใจบุญ ซึ่งจัดปิ่นโตนำอาหารถวายพระทุกวันแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเย็น เมื่อกลับมาถึงวัด...
ตอนเย็นของวันเสาร์ หลังจากที่เสรีได้นำปิ่นโตไปส่งคืนให้ทางบ้านผู้ใจบุญ ซึ่งจัดปิ่นโตนำอาหารถวายพระทุกวันแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเย็น เมื่อกลับมาถึงวัดทุกครั้งเราจะพักผ่อน จนถึง 18 นาฬิกา คือเครื่องไฟฟ้าของเทศบาลติดเครื่องมีไฟฟ้าตามสว่างแนวถนน แม้จะยังไม่ค่ำก็ตาม เพื่อช่วยให้ถนนสว่าง ให้ความปลอดภัยแก่ผู้สัญจรและรถทุกชนิดและป้องกันอาชญากรเสรีได้ผ่านการฝึกกระโดดสูงจากครูพละมาตอนบ่ายวันนี้ ซึ่งทางโรงเรียนที่เสรีเรียนนั้น เป็นโรงเรียนของเอกชนซึ่งได้รับรองวิทยาฐานะเทียบเท่าโรงเรียนของรัฐบาล ใช้ลานวัดเป็นสนามกีฬาส่วนหนึ่งด้วย ครูยังมิได้เก็บอุปกรณ์การฝึก ซึ่งมีเจตนาตั้งไว้ให้นักเรียนใกล้ ได้ฝึกหลังเลิกเรียนหรือวันปิด ถ้ามีเวลาว่างหรือมีโอกาส
เสรีกับเพื่อน ๆ ก็ได้ฝึกกระโดดกันอย่างสนุกสนาน ทันทีที่ไฟฟ้าติดสว่างตามเสาแนวถนน แสดงว่า 18 นาฬิกา เด็กวัดจากเขตกลางทุกคน ภายใต้การปกครองและรับผิดชอบของพระครูอุทัยธรรมนาถ จะต้องไปอาบน้ำ และรีบกลับไปพร้อมกันบนศาลาโรงฉัน 2 ชั้น เพื่อสวดมนต์เย็นประจำวัน ณ ชั้นสอง ชั้นล่างเป็นที่อ่านหนังสือ
ทันทีที่แสงไฟฟ้าแนวถนนสว่างขึ้น โดยอัตโนมัติ เด็กวัดกุฏิกลางทุกคนต่างเลิกกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งหมด ต่างกุลีกุจอมุ่งไปอาบน้ำคลอง พร้อมด้วยสบู่ แปรงสีฟัน ผมสระหัว ผ้าเข็ดตัว ผ้าผลัดซึ่งได้เตรียมไว้แล้ว เสรีก็เช่นกันก่อนจะผละไปอาบน้ำ ขอกระโดดสูงอีกสักครั้งก่อนแล้วจึงไปอาบน้ำ
เสรีเร่งความเร็วเต็มที่ กระโดดข้ามเส้นผ่านไปเพียงเท้าเดียว อีกเท้าหนึ่งติดราวไม้ไผ่คานสำหรับบอกระยะความสูงไปด้วย ทำให้การลงพื้นต้องเปลี่ยนทิศทาง ทำให้ข้อเท้าพลิกเคล็ด ลุกขึ้นจะเดินมันเจ็บเต็มทนปานชีวิตจะปลิดปลด ศีรษะมึนงง ปวดจุก แน่นในอก ตาลาย เวียนศีรษะ จึงนั่งหลับตาประมาณ 2 -- 3 นาที อาการมึนงงและตาลายก็หายไป
ขณะนั้นมีเด็กวัดกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณกุฏิที่พักได้ผ่านมาเพื่อไปอาบน้ำคลอง เห็นเสรีอยู่ใกล้กับอุปกรณ์กระโดดสูง จึงแวะเข้ามาถาม เขารู้ว่าเสรีปวดข้อเท้าจึงช่วยกันประคองมือทั้งสองข้างให้ลุกขึ้นพาเดินไปคลอง เดินด้วยเท้าเดียวอีกเท้าวางลงพื้นไม่ได้เพราะมันปวด ถึงคลองเพื่อน ๆ ช่วยกันเปลี่ยนผ้าให้ พาลงน้ำช่วยถูตัวถูสบู่สาดน้ำล้างจนสะอาดแล้ว เปลี่ยนผ้าให้และช่วยกันนำมาที่โรงฉันเข้าร่วมพิธีสวดมนต์เย็น
สวดมนต์เสร็จ เพื่อน ๆ ก็นำลงไปชั้นล่าง ให้เสรีนั่งบนโต๊ะอ่านหนังสือ จนถึงเวลา 20.00น. ท่านพระครูอุทัยฯ ได้อนุญาตให้กลับไปพักที่กุฏิของตน จะนอนหรือเรียนต่อเป็นสิทธิของนักเรียน ท่านพระครูอุทัยฯ จะเดินมาตรวจดูความเรียบร้อยเป็นระยะ
ท่านพระครูทราบจึงเรียกรถสามล้อให้นำเสรีไปหาหมอที่โรงพยาบาล โดยท่านพระครูอุทัยให้เพื่อนไปด้วยคนหนึ่งพร้อมได้มอบเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาลให้ไปด้วยด้วย เจ้าหน้าที่พยาบาลนำเสรีนั่งบนรถเข็นนั่งนำเข้าห้องตรวจ นายแพทย์ได้ตรวจและให้ยาทานแก้ปวดแล้วให้กลับวัด
คืนนี้เสรีสามารถเขย่งเบาๆ เพื่อเดินกลับไปกุฏิซึ่งมีระยะเพียง 15 เมตรกว่า เพื่อนเห็นแล้วต่างนึกสงสารหรือทุเรศก็ไม่แน่ใจนัก เขาจึงช่วยกันพยุงให้เสรีถึงกุฏิและช่วยกันหามขึ้นบนกุฏิวางเสรีลงบนเตียงนอน " ขอบใจเพื่อน ๆ และขอบคุณรุ่นพี่ ๆ มาก ทีได้ช่วยเหลือ"ได้มีการพูดคุยหยอกล้อเฮฮากันพอสมควรแล้วต่างคนต่างกลับไปที่กุฏิของตน
ปกติเสรีจะนอนหลับในเวลานี้สมอ ตื่นทำการบ้าน อ่านหนังสือตอนใกล้รุ่ง คืนนี้ก็นอนก่อน หลังจากที่เพื่อนไปหมดแล้ว
" พา... พรุ่งนี้ช่วยยกปิ่นโตแทนเราด้วยนะ คงจะไปไม่ไหว"
" ได้เพื่อน สบายมาก ไปละ ราตรีสวัสดิ์"
" ขอบใจมาก"
เสรีเอนกายลงบนหมอน เท้ายังเจ็บ เขาพยายามจะข่มตาหลับ เขาพยายามสักเท่าไรก็ไม่สามารถหลับได้ น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเท้าอยู่นิ่งกับที่ เพียงชั่วครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดก็ทุเลาไปบ้าง จนสามารถหลับได้
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นาฬิกาบอกเวลาเท่าไรนั้นไม่สามารถบอกได้ เพราะไม่มีนาฬิกาอยู่ในกุฏิ ระหว่างชั่วโมงไม่มีการตีสัญญาณบอกเวลาของยามเทศบาลหลังวัด และของหน่วยดับเพลิงซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดไม่ไกลนัก
เมื่อถึงเวลาตำรวจดับเพลิง และเจ้าพนักงานเทศบาลแผนก รปภ.จะตีระฆังบอกเวลาและเปลี่ยนเวรยาม ซึ่งทำด้วยโลหะกระด้งล้อรถยนต์ นำมาแขวนไว้กับเสาไฟฟ้าบ้าง เสาศาลาบ้าง ตีบอกสัญญาณ บอกเวลาให้แก่ชุมชนใกล้เคียง บางแห่งเป็นที่เปล่าเปลี่ยว สามารถป้องกันพวกขโมยได้ บ้างเหมือนกัน
ตื่นขึ้นมาความเจ็บมันรุนแรงขึ้น หลังเท้าบวมนูนขึ้นมา สุดทรมาน เสรีนั่งกระสับกระส่าย กระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง 24 นาฬิกา จากนั้นเสรีนอนไม่หลับ เท้าเจ็บ สุดปวดนัก
ก่อนนอนเพื่อนนำน้ำมาวางไว้ให้หนึ่งกาเต็ม เสรีลุกขึ้นไปหยิบน้ำมารินน้ำลงบนหลังเท้าเพื่อจะบรรเทาความปวดแทนน้ำแข็ง รดราดน้ำลงหลังเท้าไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้น้ำลงไประหว่างไม้ปูพื้นซึ่งห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร ด้วยพื้นของกุฏิสูงจากพื้นดินประมาณ 50 เซนติเมตร อาการปวดค่อยทุเลาลง เหลือน้ำไว้นิดหนึ่งสำหรับบ้วนปาก เสรีพยายามหลับ นอนไปก็นึกไปโดยกำหนดเอาที่เจ็บบอกว่า "ปวดหนอ" พร้อมหายใจเข้าและออก จนกระทั้งหลับไป ประมาณ 20 นาที กำหนดหายใจด้วยคำว่า "ปวดหนอ" ต่อไปอีก สักครู่ใหญ่ ๆ ก็หลับอีกเพียงไม่นาน เขาทำเช่นนี้เรื่อย
บริเวณตาตุ่มมันปวดบวมขึ้น กินยาแก้ปวดระงับไม่อยู่ กระทั้งเวลาผ่านไปไม่นานนัก ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ลมแรง มีพายุฟ้าคะนอง ฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นเวลานาน จะเวลาเท่าไรนั้นเสรีไม่สามารถบอกได้ เพราะไม่ได้ยินเสียงสัญญาณระฆังใด
อากาศหนาว เท้ายังเจ็บสุดทรมานจะนั่งที่เดียวไม่ได้ ทนปวดไม่ไหวจึงต้องเปลี่ยนกริยาบทตลอดเวลา
เวลาอย่างนี้เสรีคิดถึงแม่ อยากให้แม่ได้มาอยู่ด้วย แม่จะได้ช่วยดูแลพัดวีบีบนวดให้หายเจ็บ แม่จะได้ปลอบใจ เสรีจะได้กอดแม่ให้อบอุ่น แต่อนิจจา ยามเช่นนี้ต้องห่างไกลแม่
หญิงคนรักก็ไม่มี เพราะทางโรงเรียนไม่นิยมหรือส่งเสริมให้นักเรียนรักกันฉันคนรักในวัยเรียน
ถ้ามีปัญหาเรื่องชู้สาว นักเรียนจะถูกลงโทษ สำหรับชั้นเรียนผู้หญิงจะอยู่แต่ผู้หญิงห้องหนึ่ง ผู้ชายก็ห้องหนึ่งไม่ปะปนกัน ถ้าครูจับได้ว่ามีการส่งจดหมายรักกันจะถูกตักเตือนหรือลงโทษ
ไม่มีการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าประกวดนางงาม นางสาวไทย หรือแสดงภาพยนตร์ เป็นต้น
การเรียนในสมัยนั้นจึงตลอดรอดฝั่งออกทำงานแล้วจึงจะแต่งงานกันตามประเพณี รักษาวัฒนธรรมไทยให้ดำรงอยู่จนถึงลูกหลานในปัจจุบัน
จะนั่งจะนอนท่าใดมันก็ยังเจ็บปวด ฝนก็ตกหนัก พายุก็จัด ฟ้าคะนอง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็ตกใจเสียงของมันสุดตัวที่เสียงดังก้องกัมปนาท
เสรีคิดทบทวนต่าง ๆ นานา คิดถึงพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ให้ช่วยดลบันดาลให้หายปวด ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้หายปวด บ่นภาวนาเท่าไรก็ไม่หายปวดคลายเจ็บลงไปได้ ความเจ็บปวดยังเท่าเดิม หรืออาจเพิ่มทวีขึ้น
ทันใดนั้นเสรีนึกขึ้นได้ว่าได้อ่านหนังสือประวัติท่านขุนพันราชรักษ์ ตลอดจนพิธีการกินเพชรหน้าทั่งและวิธีไสยศาสตร์ต่าง ๆ
นึกถึงวิธีการฝึกสมาธิ โดยการนั่งขัดสมาธิ เท้าซ้ายทับเท้าขวา มือซ้ายทับมือขวานั่งตัวตรง สวมผ้าชุดสีขาว สังเกตการณ์เดินลมหายใจของตนเรียกว่า " ปาณานุสติ"
ด้วยการสังเกตลมหายใจเข้า -- ออก เมื่อลมผ่านจมูกเข้าก็รู้ว่าลมหายใจเข้าเดินจากปลายจมูกผ่านเข้าไปจนถึงกลางท้อง เวลาหายใจออกก็รู้สึกได้ว่ามีลมหายใจออกผ่านจมูก
มีการภาวนาคำว่า " พุทธ " เมื่อหายใจเข้าจนลึกเต็มท้อง คือ เฝ้าสังเกตลมหายใจเดินผ่านจากปลายจมูกจนถึงสะดือ แล้วก็หายใจออก ก็รู้ว่าลมหายใจออกมาจากกลางส่วนลึกของช่องท้องออกมาถึงปลายจมูก " หายใจออกภาวนาคำว่า " โธ " ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
หมายถึงการมีสติครอง คือรู้ตัวว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ทุกกิริยาบท เช่นการเดิน การนั่ง การพูด ฯ การเดินจงกลม ก็ทราบว่ากำลังยกเท้าใด ว่างเท้าใด มีสติคุ้มครองตลอดเวลา หรือเช่นว่า คนจะทำดีหรือทำชั่วก็ทราบดีว่าตนกำลังทำอะไร เพราะอะไร ถูกต้องตามทำนองครองธรรมหรือไม่ ถูกกฎหมายหรือไม่
เสรีอยากจะทดลองตามที่ได้อ่านคำอธิบายในหนังสือประวัติท่านขุนพันธ์ราชรักษ์ฯ แต่ถามตนเองว่า การฝึกสติอย่างนี้ของพระภิกษุเท่านั้น เราเป็นชาวบ้านจะทำได้หรือ ถ้าทำไม่ดีก็มีอันตรายด้วย เช่น สามเณรรูปหนึ่งฝึกวิปัสสนากรรมฐาน นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ถนน ประมาณ 2 วัน วันที่สาม ขณะที่สามเณรนั้นนั่งทำวิปัสสนาอยู่ ก็ลุกขึ้นรำไปรอบ ๆ ต้นไม้ ภายหลังมีคนถามท่าน สามเณรบอกว่ามีผู้หญิงสวยงามดุจนางฟ้า แต่งชุดไทย เดินมาชวนพูดคุยและสุดท้ายชวนรำ สามเณรเห็นดีด้วยก็ลุกขึ้นรำตามที่ผู้หญิงคนนั้นรำ และเดินไปตามถนนเรื่อย ๆ สรุปสุดท้ายสามเณรนั้นกลายเป็นวิกลจริตไป และหายไปจากตำบลนั้น
เสรีอยากจะนั่งทำสมาธิบ้าง แต่ก็ยังกลัว ๆ จะเป็นเหมือนสามเณร คิดลังเลอยู่ คิดไปคิดมา จึงตัดสินใจว่าต้องทดลองดูจะเป็นอะไรก็เป็นกัน ผู้แนะนำก็ไม่มีแต่เราอ่านมาอย่างละเอียดแล้ว ความเจ็บปวดที่ข้อเท้าก็ยังมีอยู่
เสรีนั่งบนเตียงไม่ได้วางเท้าซ้ายทับเท้าขวาบนหน้าตัก ใช้ห้อยเท้าทั้งสองวางบนพื้น ซึ่งทำได้ด้วยความยากลำบาก พนมมือขึ้น อธิษฐานว่า " นิ้วนั้นเปรียบดอกไม้ธูปเทียน สำรวมแรงกายและแรงใจสวดมนต์ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ พร้อมคำสรรเสริญ ด้วยนะโมสามจบ เสรีลืมอธิษฐานใด ๆ นั่งแล้วหายใจเข้าพร้อมสังเกตลมเข้าทางจมูกพร้อมกับคำภาวนา "พุทธ" หายใจออกก็สังเกตลมหายใจผ่านช่องจมูกออกไปพร้อมคำภาวนาว่า "โธ"
เท้าก็ยังเจ็บอยู่ จึงเปลี่ยนคำภาวนาว่า "พุทโธ" ในการสังเกตคำภาวนา จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า " ปวดหนอ " " ปวดหนอ" ไปเรื่อย ๆ ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก พร้อมได้ส่งกำลังจิตไปที่ข้อเท้า ภาวนาไปเรื่อย จะภาวนานานเท่าไรมิทราบได้ พยายามเอาชนะ ความเจ็บปวดของตนไปเรื่อย ๆ รู้สึกคล้ายกับว่า ตัวเบา คล้ายจะลอยขึ้นไปในอากาศ
เสรีเห็นแสงอรุโณทัย สีแดงสดใสผสมสีเหลืองปรากฏในทิศเบื้องหน้าบริเวณขอบฟ้าและท้องฟ้า มีลำแสงกระจายสว่างไสวไปกระทบเมฆหมอกแผ่รัศมีไปทั่วท้องฟ้าด้านตะวันออกและส่งกระจายมาถึงบริเวณที่เสรียืนอยู่ อย่างน่าแปลกใจยิ่ง ในสามัญสำนึกอุทานว่า "รุ่งแล้ว " "สว่างแล้ว"
พอลืมตาขึ้นเห็นบรรยากาศรอบ ๆ ยังมืดอยู่ ภาระที่ต้องไปยกปิ่นโตยังต้องปฏิบัติอยู่ โดยมิทราบว่า ท่านพระครูอุทัยฯ ท่านได้กำหนดให้เด็กวัดผู้อื่นปฏิบัติงานแทนไว้แล้วอย่างเรียบร้อย มองรอบ ๆ บรรยากาศชวนให้สงสัย จึงลุกจากที่นั่งโดยการยกเท้าที่เจ็บออกแต่ก็รู้สึกแปลกใจมากที่ไม่มีอาการเจ็บ ว่างเท้าลงถึงพื้นก็ไม่รู้สึกเจ็บ ลุกขึ้นยืนก็ไม่เจ็บ ยกเท้าก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใดโยกเท้าก็ไม่ปวด เดินถึงหน้าต่างเปิดหน้าต่างชะโงกออกไปดูไม่มีแสงอรุณอย่างที่เห็น เห็นแต่ความมืดปกคลุมไปทั่ว
เสรีคิดว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นภาพนิมิตที่เกิดจากอาการที่จิตสงบเป็นสมาธิ เสรีพยายามคิดทบทวนสิ่งที่ได้อ่านมาแล้วแน่ใจว่าความเจ็บปวดที่ได้หายไปนั้นเพราะอำนาจของพลังจิตที่ดลบันดาลให้เป็นไป เสรีจึงเชื่อในพลังอำนาจจิตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเชื่อว่าพระอรหันต์ที่สำเร็จธรรมชั้นสูงแล้วย่อมมีอำนาจจิตสูงและมีอภินิหารต่าง ๆ ได้ ดังที่ปรากฏในชาดกและตำนานในพระไตรปิฎก
เพียงครู่ต่อมาได้ยินเสียงสัญญาณระฆังจากหน่วยดับเพลิงดังมา 4 ค รั้ง บอกว่า ตี สี่แล้ว ขณะเดียวกันสัญญาณระฆังของตำรวจก็ยังมาอีก 4 ครั้ง เช่นกัน มันก็ใกล้สว่างแล้ว เสรีลุกขึ้นล้างหน้าแปลงฟันที่ก๊อกน้ำหน้ากุฏิ เมื่อเก็บอุปกรณ์การทำความสะอาดไว้แล้วก็เดินไปกลางทุ่งนาหลังวัด เพื่อชมแสงสว่างของยามรุ่งอรุณพวยพุ่งจากขอบฟ้า ในขณะที่มีเมฆดำบางลอยอยู่เหนือขอบฟ้าสีครามสวยงาม อันประดับด้วยดาวระยิบระยับ
ไม่นานนักแสงทองส่องอำไพก็เริ่มส่องโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้าแผ่กระจายไปทั่ว จนกระทั้งดวงตะวันโผล่ขึ้นมานิด ๆ ความสวยงามก็เพิ่มทวีคุณ ยากจะหาคำบรรยายใด มาเปรียบได้ แสงอรุโณทัยมากระทบพื้นผิวโลกทำให้เห็นกลุ่มหยดน้ำค้างบนยอดหญ้า มีสีสดใสเป็นประกายกระทบขอบฟ้าสวยงามยิ่ง เสรีมองด้วยปิติและปลื้มใจแต่ไม่สามารถบอกความหรือบรรยายถึงความสุขสดชื่นและความมีพลังได้ดังที่ได้เห็นจากนิมิตในขณะนั่งสมาธิได้ ซึ่งมีความสุข กระชุ่มกระชวย กระปรี้กระเปร่า มีความเต็มเปี่ยมในความรู้สึกที่ตัวเบาลอยเบาหวิว และอิ่มที่ไม่สามารถจะบรรยายความสุขนั้นได้
รุ่งเช้าได้เล่าให้ท่านพระครูอุทัยฯ ทราบ ท่านบอกว่า " เป็นพลังของการมีสมาธิ ทำให้ปิติอิ่มเอิบ สมาธิมีพลังอำนาจและบันดาลให้หายเจ็บปวดได้อย่างง่ายดาย " ท่านได้กล่าวต่อไปว่า" ถ้าจิตมีพลังอำนาจอันเกิดจากความสงบของจิต ทำให้จิตมีพลัง ถ้าความถี่ของจิตเท่ากับความถี่ของวิญญาณใดแล้ว ก็สามารถติดต่อ สัมผัสกับวิญญาณเหล่านั้นได้ ตามสภาพกำลังความถี่ของสมาธิ บางท่านสามารถส่งกระแสจิตไปสัมผัสกับสิ่งที่ต้องการและสะท้อนกลับมาให้รับทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ ในขณะนั้นหรือในอนาคต หรือในอดีตได้ ที่เรียกว่า ตาทิพย์หรือหูทิพย์
ถ้ามีความสงบมากหรือความถี่สูงถึงระดับอรหันต์ หรือญาณต่าง ๆ แล้ว ย่อมสามารถแสดงอภินิหารต่าง ๆ ได้ แต่พระสงฆ์เหล่านั้นท่านหมดอาสาวะกิเลศ ไม่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอันเป็นธรรมะฝ่ายฆราวาสเหลืออยู่แล้ว ท่านรู้สภาวะธรรมชาติ ของอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ย่อมรู้ในไตรลักษณ์ต่าง ๆ ได้ ดี คือ ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา
ทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สามารถปฏิบัติ ทดลอง พิสูจน์ได้อย่างมีเหตุมีผล จึงทำให้ฝรั่งบางคนที่ค้นหาความจริงจากหลักศาสนาต่างๆ จากศาสนาหนึ่ง ไปยังอีกศาสนาหนึ่ง ไม่สามารถพบทางแห่งสัจจะธรรมได้ จึงได้เปลี่ยนและทดลองมาเรื่อย ๆ ถึงศาสนาพุทธ และได้พบความจริงที่สามารถทดลองตามหลักเกณฑ์วิทยาศาสตร์ได้ จึงเข้ามาบวชในพุทธศาสนา และสละแม้แต่ทรัพย์สมบัติ หน้าที่การงานทางโลก มาสู่โลกุตรธรรมอย่างภาคภูมิใจ"
เสรีจึงศึกษาพุทธปฏิบัติตั้งแต่นั้นมาด้วยความเชื่อมั่นในความดี ความทุกข์ ความเป็นอนิจจัง และอนัตตา ทำสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลสิ่งนั้น กฎแห่งกรรมเป็นอมตะ ชีวิตจึงคู่กับธรรมะตลอดมา
................
เมื่อวันที่ : 27 พ.ค. 2558, 13.16 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...