![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
"ตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้เกือบเจ็ดสิบปีแล้ว ยังต้องดิ้นรนทุรนทุรายไม่รู้จักจบสิ้น เพราะอะไร"
"เพราะความต้องการ ความอยาก หรือทยานอยาก จึงต้องเต้นดิ้นรนไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อไรจะสงบ"
เช่นชีวิตของชาต้องทำงานบ้าน งานสังคม และเขียนต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ จังหวะชีวิตมันเต้นถี่ทุกวัน ไม่มีวันจบ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
วันนี้ชามาเขียนต้นฉบับอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ซึ่งวัดนี้แบ่งเป็น 2 ซีกด้วยถนน ซีกหนึ่งมีการพัฒนาประชาชนสร้างเสริมให้คนได้รู้เข้าใจธรรมะและอิสระ ฟากหนึ่งเป็นบริเวณแคบประกอบด้วยเมรุ ศาลาคู่เมรุ และหอฉันหรือโรงครัว ทั้งสองฝ่ายเต้นไปตามจังหวะของตนเอง เหมือนหัวใจของแต่ละคนที่เต้นไปตามจังหวะของมัน พระองค์นี้ได้รับหน้าที่พิเศษ ดูแลอาคารสถานที่ อีกฝั่งหนึ่งของวัด จังหวะอาจไม่เหมือนกัน แต่ผลที่ได้รับอาจเหมือนกัน
การเต้นตามลีลาชีวิตที่ต้องเขียนต้นฉบับ เรื่องสั้น พอมีคนทราบ หลายคนถามด้วยความสนใจ อยากรู้เรื่องสั้นแบบไหน เขียนทำไม ได้อะไร เขียนส่งไปที่ไหน ซึ่งจังหวะชีวิตของเขามันเต้นเร็วกว่าของเดิมมาก บางครั้งถึงถูกตะคอกว่า เรื่องสั้นเป็นอย่างไร ต้องอธิบายกันยืดยาว
ชีวิตที่เต้นในจังหวะนี้ ณ สนามเล็ก ๆใกล้เมรุมาศ บนม้าหินขัด ซึ่งเป็นสถานที่สงบมาก จะไม่มีผู้คนพลุกพล่านรบกวน เขียนจบแล้วมีเวลาอยู่เยอะก่อนจะค่ำ
ชีวิตที่เต้นผิดปกติ เห็นสภาพของใบไม้ในช่วงย่างเข้าสู่ฤดูร้อนตอนต้น หรือฤดูใบไม้ผลิฤดูในต่างประเทศ คือมกราคม เป็นต้นไป
ใบมันร่วงลอยละลิ่วลงสู่พื้น บางใบถูกกระแสลมพัดลอยไปไกลจึงจะตกลง ใบไม้แต่ละใบมีการเต้นของจังหวะที่ต่างกัน ขึ้นกับสภาพแวดล้อมของมัน
ใบหนึ่งเมื่อหลุดจากขั้ว จะพลิ้วลอยหลายรอบลงสู่พื้น บางใบหลุดจากขั้วติดต้นล่องลอยดุจนกถลาลมร่อนไปสู่เป้าหมายที่ไม่ได้เจตนาของมัน มันหล่นมิได้จบสิ้น มันทับถมกับบนพื้นหินเกร็ดที่ใช้แทนทราย
เมื่อมองยอดไม้ปรากฏว่ามียอดอ่อนเล็ก ยอดอ่อนที่ใบเพหลาด ยอดอ่อนที่เกือบแก่ ใบรุ่นกลาง ๆ ใบเริ่มแก่ ใบแก่ใบเหี่ยวและใบที่ร่วงลงสู่พื้น
นี่คือกฎธรรมชาติที่มีมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ คืออนิจจัง คือความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงและไม่ใช่ตัวตนของต้นไม้เอง มันเป็นส่วนที่เกิดปรุงแต่งมาจากธรรมชาติ คือเมล็ด จากเมล็ดงอกเป็นใบ ต้นกิ่งก้านดอกผล และร่วงลงสู่ดินเช่นเดิม ธรรมชาติมันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ เช่น เดียวกับ กลางวันกลางคืน ฤดูในรอบปี ระบบต่าง ๆ และในจิตใจของมนุษย์ คือ ความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความดี ความเมตตา การเสียสละ ฯ
ชีวิตของมนุษย์เช่นเดียวกับกับต้นไม้ ถ้าต้นไม้ 1 ต้นเท่ากับหมู่บ้าน หรือตำบล เช่นจังหวัด หรือประเทศ ระบบต่าง ๆ ก็เหมือนกัน คือมีการเกิด การเจริญ เติบโต มีการเสี่ยงภัย กระทบกระเทือน บาดเจ็บเสียหาย ทรุดโทรม และจากไป เช่นเดียวกันทั้งพืชและสัตว์
ชีวิตเหมือนใบไม้ เริ่มเกิดก็เหมือนใบไม้เริ่มแตกผลิยอดอ่อน ยอดแก่ ก็ เหมือนเด็กที่โตขึ้น ถ้าลมพัดแรงทำให้ยอดไม้ขาดสะบั้น เหมือนเด็กที่ประสบอุบัติเหตุ หรือโรคร้าย เสียชีวิต ใบอยู่จนแก่ ก็เช่นมนุษย์วัยแก่เฒ่า ใบ้ไม้ร่วงหล่นตามกาลเวลา ดุจมนุษย์ล่วงลับไปตามกาล เช่นเดียวกัน
ชามองใบไม้จนรู้สึกซาบซึ้ง สัจธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกนี้ แม้ในอากาศ ในน้ำ บนผิวโลก บนต้นไม้ มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นอนิจจัง มันไม่สามารถเติมเต็มให้อยู่คงได้ เพราะอนัตตา คือไม่ใช่ของเรา และมันเป็นทุกข์เมื่อผจญกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอนาคตกาล ซึ่ง เกี่ยวกับมนุษย์เรา
ชาได้ใช้สถานที่อันสงบได้เขียนเรื่องสั้น อันโครงเรื่องได้มาจากมุมเฉียง มุมสะท้อน ของชีวิต เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นทราบถึงเจตนา ความรู้สึกของเรากับสิ่งนี้ คือธรรมชาติ ได้ซึมซับวิธีแห่งแนวคิดของพระพุทธองค์และความพอเพียง ที่สร้างสรรค์ชีวิตสังคมให้บริบูรณ์ พูนสุข และเป็นอมตะในแนวคิดที่สัมผัสความพอเพียงได้อย่างลึกซึ้ง
พระผู้ดูแลสถานที่นี้มิได้อยู่ เพราะท่านรับกิจนิมนต์ไปงานศพของญาติในบ้านใกล้ ๆ นั้นเอง
ชาซึ่งมองใบไม้ยิ่งทับถม ยิ่งมาก ลมพัดมาใบก็กระดอนกระเด็นไปตามแรงของกระแสลม กระแสลมคืออุปสรรคชนิดที่ทำให้สรรพสิ่งเปลี่ยนไปตามแนวโน้มของมัน เช่นเดียวกับพายุ แห่งกรรมที่พัดกระหน่ำใจให้หวั่นไหวไปตามกระแสกิเลศที่มากระทบทำให้คนอยู่รอดก็มี แต่ที่ทำให้คนปั่นป่วนหลงใหลไปตามอำนาจแห่งกิเลศและผลกรรมนั้นก็มีมาก
ชามีความสุขกับการได้เห็นสัจธรรมอย่างซาบซึ้งและประทับใจ เพราะใจคิด มิใช่เห็นเพียงแต่ผิวเผิน คิดว่ามันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สุขคติแห่งใหม่ บนพิภพนี้ ภาระยังมิสิ้นสุด จึงเก็บดับกระดาษใส่กระเป๋า ยืนขึ้นมองไปรอบ ๆ แม้แต่ใบไม้ทั่วบริเวณ ฤดูใบไม้ผลัดใบ เพียงไม่กี่นาทีก็มีใบไม้ร่วงลงดินเยอะ มนุษย์ก็ร่วงเยอะเช่นกัน จากภัยธรรมชาติ เช่น ซึนามิ แผ่นดินไหว น้ำหลาก พายุหมุน ลูกเห็บ อุบัติเหตุต่าง ๆ โรคระบาด ความหิว ความแห้งแล้ง ความหนาว ฯลฯ
ชามองแล้วคำนวณถึงทิศทางของกระแสลม กระแสบุญจะเกิดขึ้นในวันนี้ เพราะชาตั้งใจจะตอบแทนบุญคุณของสถานที่ที่ซึ่งให้ชาได้ใช้ความสงบและกระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะของชีวิตชั่วระยะ หนึ่งแล้วเปลี่ยนไป ไม่คงที่
จึงไปหยิบไม้กวาดมาแบ่งพื้นที่เป็น 5 ส่วน บนถนน 3 ส่วน หน้าอาคาร 1 ส่วน และบนพื้นปูนห้าอาคารอีกหลัง 1 ส่วน
เริ่มกวาดลากจากในสุด เพื่อกวาดล้อมเป็นกองไว้ จะได้สะดวกในการขนถ่ายไปทิ้งให้มันกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ไม่มีสรรพสิ่ง หรือสสารหรือมวลสารใดหายไปจากโลกนี้ แต่มันจะเปลี่ยนรูปสถานะของมวลสารเท่านั้น เช่น จากน้ำเป็นไอน้ำ เป็นเมฆ เป็นน้ำ ตกลงเป็นน้ำที่เรียกว่าฝน เป็นไอ เรียกว่าเป็น วัฏจักร ไปเรื่อย ๆ มิมีวันสิ้นสุด
การกวาดของชา ใช้ไม้กวาดก้านทางมะพร้าว ซึ่งมีความอ่อนเป็นสปริงน่ากวาดกว่า ชากวาดใบไม้บนหินไปเหมือนกวาดบนพื้นดินมันช้า กวาดได้น้อยหินเล็กก็เคลื่อนไปตามแรงไม้กวาดด้วย ทำให้หินเปลี่ยนสถานะเป็นพื้นเรียบ กลบรอยเท้า รอยรถที่ผ่านไปมาได้สมบูรณ์
กวาดแบบใช้ไม้กวาดกดใบไม้ไปข้างหน้า ทำให้มีแรงต้านมากมีฝุ่นตามขึ้นไปด้วย แต่ก็หาวิธีการไม่ได้ จะแก้ไขอย่างไรดีจึงจะสามารถกวาดใบไม้ได้ดี ชาสรุปว่าตนเองยังกวาดใบไม้ไม่เป็น
ขณะที่ที่กวาดอยู่นั้น ชาคิดหาวิธีการที่จะกวาดให้สะอาดไม่มีฝุ่นกระจายขึ้นมา คิดว่าใบไม้อยู่ตรงใดจะกวาดรวบเข้ามาอย่างไร ให้เร็วและได้มาก ชาคิดว่าใบไม้คือส่วนที่เป็นวัชของพื้นที่วัด ในบริเวณนี้มิได้เป็นวัชของพิภพ พิภพต้องการมันไว้ประดับเป็นอนุสรณ์ไว้เตือนใจ และแปลสภาพสู่พิภพอีก
ใจของชาก็เช่นกัน มีเศษเสี้ยวของสิ่งที่ไม่ต้องการของพื้นที่ เช่นเดียวกับใบไม้ คือ ความอยาก ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัว ความวิตกกังวน และกามราคะที่หยั่งเร้น คอยหยอกล้อจับไล่อยู่ในใจมิขาดเว้น ขับไล่หรือกวาดสักเท่าไร ไม่ยอมหมด มันตกหล่นลงมามาเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับใบไม้ เพราะเรามีช่องทางเข้าในกายให้สิ่งเหล่านั้นเล็ดลอดเข้ามาได้ เช่น หู ตา จมูก กาย ใจ ที่ให้เศษเลี้ยวของวัชร่วงหล่นลงบนพื้นผิวของหัวใจ และปัดกวาดกันไม่หวาดไม่ไหว
กามกิเลศตัณหามันก็เดินไปตามจังหวะของมัน บางครั้งหัวใจของเราก็พลอยเต้นตามไปด้วย เต้นจนลืมตัว พอมีสติคิดได้ก็ยับยั้งหรือกวาดกันพัลวัน อยู่เรื่อย ๆ มันไม่หมด เช่นใบไม้ที่หล่นลงมาเรื่อย ๆ
จนใบไม้ไม่มีวันเหนื่อยจากการตกหล่นลงสู่พื้น เช่นเดียวกับอกุศลที่ล่นลงราดดวงใจของเรา วิธีเดียวที่จะชนะมันได้ คือกวาด กวาด กวาด กวาดไม่มีที่สิ้นสุด
กำลังกวาดมาได้หนึ่งในเขตพื้นที่กำหนดหมาย พระผู้เป็นเจ้าของสถานที่ซึ่งให้การควบคุมดูแลธรรมชาติในวัดส่วนนี้ ท่านบริหารให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ท่านเป็นพระธรรมชาติวิทยากลับมาถึง ท่านได้ทักทายอย่างเป็นกันเอง ท่านได้เปลี่ยนจีวรออกสวมเฉพาะซับเหงื่อ ใช้ผ้าสบงคาดเอวอย่างกระชับมั่นคงตามแนวทางของพระสายธุดงค์ หรือพระป่า ท่านตรงไปหยิบไม้กวาด แล้วเริ่มกวาด เพื่อช่วยเหลือชา
ชาสังเกตเห็นว่า ท่านกวาดเร็ว ปลายไม้กวาดถึงพื้นเพียงแป๊บเดียวแล้วก็กระดกขึ้นส่วนปลายขึ้นสูงทำให้ใบไม้กระเด็นว่อนด้วยแรงจากข้อมืออันทรงพลัง แฝงด้วยอำนาจจิตที่เข้มแข็งและชำนาญในการกวาดใบไม้ในลานหินเล็ก เช่นนี้ ยากที่จะหาใครเปรียบได้ยาก ใบไม้กระเด็นฝุ่นไม่ฟุ้ง ชาก็ทำตามท่านบ้าง
การเริ่มต้นเหมือนท่านก็ยากมากเช่นกันแต่ไม่เกินความสามารถของชาได้เพียงไม่นานนักชาก็สามารถกวาดตามแบบอย่างของพระท่านได้
ชาถึงบางอ้อ ชารำพันกับตนเองว่า
"เราเพิ่งจะกวาดใบไม้เป็นวันนี้เอง และหลังจากที่ได้ศึกษาจากพระคุณท่าน ด้วยการศึกษาทางตรงจากท่าน สาธุ สาธุ สาธุ"
ชากวาดไปเรื่อย ๆ ทรายก็เรียบมิได้กระดอนไปไกล เช่นเมื่อตอนเริ่มกวาด หรือกวาดตามลำพังคนเดียว เป็นการสะกิดใบไม้นั้นเอง ถ้าไม่กวาด ไม่ปฏิบัติปัญญาก็ไม่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ จะทำให้เกิดความรู้ ความสามารถและจะมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางที่สร้างสรรค์ คือ ดีขึ้น เก่งขึ้น ละเอียดยิ่งขึ้น ชำนาญยิ่งขึ้น หรือคล่องตัวยิ่งขึ้น
ชาสรุปว่า การปฏิบัติทำให้ได้เห็นสิ่งที่เป็นจริงตามธรรมชาติและได้รู้ ได้เข้าใจ ได้ความชำนาญ ดังเช่น นักบอลที่ที่เก่งจะชอบลูกบอลตั้งแต่เล็ก ๆ อยู่กับลูกบอลและมีประสบการณ์มาก
คนที่ชอบร้องเพลงแต่เล็ก ๆ ก็จะประสบผลสำเร็จในชีวิต
เอดิสัน นักวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ ไฟฟ้าของอังกฤษ ท่านชอบคิดมาตั้งแต่เด็ก ๆ ท่านจึงประสบความสำเร็จในการคิดประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าให้แสงสว่าง เครื่องขยายเสียง เครื่องถ่ายภาพยนตร์ เครื่องรีดผ้า และเครื่องใช้เกี่ยวกับไฟฟ้าร้อยกว่าชิ้น เพราะท่านเริ่มแต่เล็ก ๆ จึงสร้างสมประสบการณ์และมีความรู้ล้ำหน้าในทุกอย่าง ที่มีประสบการณ์ในการทำงานนั้น ๆ
ในพุทธศาสนา มีผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้โดยการ มองดอกบัวอย่างเดียว ลูบผ้าขาวอย่างเดียว ฯลฯ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์ทรงได้พบเทวทูต คือการเกิด อาการแก่ อาการเจ็บ และการตาย จึงนำไปสู่การค้นพบหลักธรรมของเหตุและผลของธรรมชาติ และชีวิต เพราะสิ่งนั้นมี จึงเกิดมีสิ่งนี้ขึ้น
เพียงพระท่านได้กวาดไม่เกินห้านาที มีรถจักรยานยนต์เข้ามาธุระกับพระท่านพร้อมด้วยลูกสามคน เพียงไม่ถึง 5 นาที มีรถสองประตูเข้ามาธุระกับท่านพร้อมด้วยสมาชิก และอีก 10 นาทีก็มีรถเก๋งจากต่างจังหวัดมาอีก พร้อมเครื่องบริขาร
"งานเสร็จ คือกวาดใบไม้หมด แต่กวาดในใจนั้นยังไม่หมดจากกิเลศต่าง ๆ คงจะเช่นเดียวกับบริเวณศาลาพระเมรุนั้นที่มีใบไม้หล่นทับถมทุกเสี้ยววินาที ตลอดวัน ตลอดคืน ในระยะผลัดใบของมัน แม้ระยะธรรมดาก็มีการทยอยพลัดใบทิ้งไปเรื่อย ๆ ตามสภาพอายุ เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ล้มหายตายจากไปทุกวันไม่มีวันสิ้นสุด เราจะต้องกวาดใจทุกวันเช่นกัน"
"ถ้าไม่มีต้นไม้ พื้นที่บริเวณวัดก็ไม่เปื้อนด้วยใบไม้"
"ไม่มีกิเลศ ก็ไม่มีหัวใจที่เศร้าหมอง"
"เราจะปิดกั้นหัวใจได้ด้วยความจริง สัจธรรม และคำอธิษฐานเพื่อการปฏิบัติกวาดสิ่งเป็นวัชเหล่านั้นออกไป เราต้องช่วยกันปัดกวาดสถานที่และปัดกวาดหัวใจของเราให้สะอาด และจะนำความสันติสุขมาให้"
เมื่อวันที่ : 12 พ.ค. 2558, 06.49 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...