นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘
แค้นยังไม่สิ้น
เปิดฟ้า ก้องหล้า
...ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใกล้เชิง​​เขา มีขนำอยู่​​ใกล้ ๆ​​ ทันใดนั้น​​ วัวฝูงใหญ่วิ่งไล่ตามกันมาฝุ่นตลบ ฟุ้ง​​ไปทั่ว ​​จะเดิน​​ไปทางไหนฝุ่นก็ฟุ้งอยู่​​ตรงนั้น​​ โทงยืนอยู่ตรงนั้น​​...
ณ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ใกล้เชิง​เขา มีขนำอยู่​ใกล้ ๆ​ ทันใดนั้น​

วัวฝูงใหญ่วิ่งไล่ตามกันมาฝุ่นตลบ ฟุ้ง​ไปทั่ว ​จะเดิน​ไปทางไหนฝุ่นก็ฟุ้งอยู่​ตรงนั้น​ โทงยืนอยู่​ตรงนั้น​ ​เมื่อพายุสงบเงียบ ฝุ่นกระจายฟุ้งก็จางลง วัวตัวอื่น ๆ​ ก็หาย​ไปหมด เหลืออยู่​เพียงตัวเดียว วิ่งตรงมาหาโทง มุ่งเป้าหมาย​ที่ตัวโทง วิ่งตะลุยสุดฝีเท้า​พร้อมด้วยเสียงหายใจ ซู่ ๆ​ แรง ๆ​ ดัง ๆ​ อย่างน่ากลัว

มันมีเป้าหมาย​ที่​จะทำร้ายโทงให้​ได้ ​เมื่อโทงหลบ​ไปบังต้นไม้​ได้ มันก็วิ่งแฉลบออก​ไป มิให้ตัวมันโดน​กับไม้2.ต้นนั้น​ มันวิ่งผ่านเลย​​ไป แล้ว​กลับตัว​ได้ ​เมื่อชะลอ​ความเร็วแล้ว​ ก็ตั้งหลัก​ได้ คะ​เนตรงโทง​พอดี มันก็​ใช้เท้าหน้าให้กีบเท้าตะกายดินฟุ้งออก​ไป​พร้อมออกวิ่งสุดฝีเท้า เป้าหมายยังเหมือนเดิม ​คือชนร่างของโทงให้ล้มพินาศขาด​เป็นเสี่ยงในทันที

​เมื่อวัวถลาวิ่งเข้ามาใกล้​จะถึง โทงก็ลื่นล้มลง วัวก็กระโดดหมายแทงให้ตายคา​ที่ โทงรีบกลิ้งหลบทันที วัววิ่งเลย​​ไปประมาณ 3 ช่วงตัวก็​สามารถหยุด​ได้​และ กลับตัวออกวิ่งมาทันใด ขณะนั้น​โทงพลิกกายจากหายท้อง​เป็นคว่ำ​ใช้มือดันกายให้ลุกขึ้น​​จะนั่ง วัวก็วิ่งมาถึงทันที โทงชำเลืองเห็นวัว​จะแทงตนแล้ว​ ก็นอนลง​พร้อม​ใช้มือขวาดันให้กายพลิกในทันที เพียงเสี้ยววินาที เจ้าวัวก็ถึง​ที่เป้าหมาย ​แต่เป้าหมาย​ได้หลบ​ไปเสียแล้ว​

ครั้งนี้เจ้าวัววิ่ง​ไปตั้งหลักใหม่​ได้ มันเดินเข้ามาหาโทง ทำ​เป็นไม่สนใจอะไร​เลย​ เดินเข้ามาเรื่อย ๆ​ ​แต่จมูกยังหายใจ ฟิด ๆ​ ฟูด ๆ​ เหมือน​กำลังโกรธอยู่​เช่นเดิม ​เมื่อเข้าใกล้โทงแค่ช่วงตัวของมัน มันก็ย่อเข่าหน้าลงนิดหนึ่ง​​ใช้เท้าคู่หลังดันร่าง​พร้อมกระโจนเข้าใส่โทง

โทงระวังตัวอยู่​แล้ว​ เพียงล้มร่าง​ไปข้าง ​พร้อมสปริงปลายเท้าถีบดันพื้นให้ร่าง กระดอนขึ้น​​และตีลังกา​ไป 1 รอบ โทง​สามารถยืน​ได้ วัวก็หมุนตัวกลับมาอีก

ขณะนั้น​มีวัวอีกหลายตัว โทงไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหน เหมือนมันมีนัดหมายกันไว้ ทุกตัวต่างมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน ​คือ โทง โทงคิดว่าตน​ต้องตายแน่ ๆ​ คราวนี้ คง​จะไม่​สามารถช่วยเหลือตนเอง​ได้

"อย่า" โทงตะโกนขึ้น​ดังลั่น

โทงรู้สึกว่า​ตนกลัววัวชุดนี้จริง ๆ​ เหลื่อไหลซิก เม็ดเหงื่อโปน​ไป​ทั้งตัว เหนื่อยหอบ ​เพราะกลัวว่าวัวเหล่านั้น​​จะฆ่าตนในขณะนั้น​
โทงมอง​ไปอีกครั้งหนึ่ง​ รอบ ๆ​ กลาย​เป็นห้องแคบ มีมุ้งขนาด กว้าง 4 ฟุต ยาว 5 ฟุต​เป็นเกราะป้องกันมิให้ภัยร้ายใด ๆ​ ทำร้ายตนเอง​ได้

"เรานอนอยู่​คนเดียว ผ้าห่มก็ยังวางอยู่​บนท้อง ไม่ใช่สนามวัว หรือลานวัว ​แต่​เป็นห้องแคบ ๆ​ " โทงคิดในใจ

" เราฝัน​ไปหรือนี่" โทงทบทวนตนเอง

"เราไม่​ได้ต่อสู้​กับวัวจริง ๆ​ เราฝัน​ไปหรือนี่"

โทงลุกขึ้น​เหงื่อโซมกายคล้าย​กับอาการเหนื่อย

" วัวบ้า มันบ้าจริง ๆ​ มาไล่เราอยู่​​ได้"

"ทำไมหนอเราจึงฝันว่า มีวัวมาไล่ฆ่า เช่นนี้หนอ"

โทงก็นึกภาพย้อนหลัง​ไป​เมื่อ 20 ปี​ที่แล้ว​มา ขณะ นั้น​โทง​เป็นหนุ่มวัยรุ่น มีรูปร่างสูงใหญ่ ชอบกีฬาประเภทวัวชน ชนไก่ ​และกีฬาฟุตบอล วอลเล่ห์บอล วันหนึ่ง​ญาติของโทง​ได้มาเยี่ยมเยียนน้องสาว​ที่บ้าน

โทงคิดว่าเรานี้คง​จะมีเคราะห์กรรม​ที่ไม่ดี จึง​ได้ฝันเห็นวัวเหล่านั้น​มาทำร้าย ​เพราะครั้งหนึ่ง​ในสมัยหนุ่ม โทง​ได้​ไปเ​ที่ยวงานบ้านของญาติ ​ซึ่งอยู่​ห่างกันคนละตำบล ​พร้อมด้วยพ่อ​และน้องสาว ​เพื่อ​ไปช่วยเหลืองาน​แต่งงานของญาติผู้พี่ ​ซึ่งฝ่ายชาย​ได้มาสู่ขอไว้แล้ว​ ฝ่ายเจ้าสาว​และญาติผู้ใหญ่ทุกคน ก็ยินยอมให้เจ้าสาว​แต่งงาน​กับหนุ่มคนนั้น​

โทง​กับพ่อ​และน้องสาว​ไปถึงบ้านญาติ ก่อนมีงาน​แต่งหนึ่ง​สัปดาห์ ​เพราะในสมัยนั้น​ในท้องถิ่นมี 2 ฤดู ​คือฤดูฝน​กับฤดูร้อน ​เมื่อสิ้นหน้าฝน ​เป็นฤดูร้อนในช่วงเดือนหก ​ซึ่งตรง​กับเดือนเมษายนตอนปลาย ​และต้น ๆ​ ของเดือนพฤษภาคม

วันแรก​ที่​ไปถึง ​ที่ลานหน้าบ้านของเจ้าสาว มีคนร่วมกิจกรรมมากมาย​ เต็มลานบ้าน​ทั้งหญิง​และชาย มีครกตำข้าววางเรียงรายห่างกัน 2 -- 3 วา พอประมาณ มีประมาณ 20 ครก ​ซึ่ง​แต่ละครก​จะมีคนซ้อมสารประจำ 3 คน ​คือซ้อมข้าวสารครกเดียวกัน 2 คน อีกคนหนึ่ง​ทำหน้า​ที่ฝัดข้าวแกลบ​และรำ หรือสับเปลี่ยน​กับคน​ที่ซ้อมคนใดคนหนึ่ง​เหนื่อยให้หยุดพักผ่อน ​จะ​ได้ทำการซ้อมข้าวแทน

สำรับคน​ที่ถือกระด้งคอยดูว่า ข้าวในครกนั้น​แหลกแล้หรือยัง ​ถ้าแหลกแล้ว​ ​คือแกลบ รำละเอียด ก็​จะ​ได้นำข้าวในครก​ไปฝัด ​โดย​เอาขอบกระด้งด้านนอกว่างบนปากครกพอประมาณ

กระด้ง ​คือภาชนะทรงกลมคล้ายถาดขอบหนาทำด้วยไม้ไผ่ กลมรีด้านหนึ่ง​ กลมมนด้านหนึ่ง​โตกว่าถาดประมาณ 2 -- 3 เท่า ทำด้วยซี่ไม้ไผ่สานกัน​เป็นลายบองหยอง ​คือมีตรงกลางกระด้างด้านล่างให้รอยข้อของปล้องไม้ไผ่เรียงกัน​เป็นสองแถวห่างเท่ากัน ยาวขนานกัน​ไป​เป็นรูปหยักฟันปลา (กลับ​ไปกลับมา) ​ส่วนอื่นๆ​ ก็สานซี่ไม้ไผ่ด้ายลายสองลายสาม การ​ที่สานไม้ไผ่ให้​เป็นหยักฟันปลาทำให้เมล็ดข้าวสาร​สามารถเคลื่อนตัว​ไปร่วมกัน​ได้เวลาทก​และฝัดข้าว หรือร่อน ​ซึ่งกระด้งทีมีลักษณะพิเศษ​ที่​เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวชนบทในสมัยโบราณ สรรสร้างไว้ ​ซึ่งขณะนี้มีน้อยลง​ไป ไม่มีผู้สืบทอดเจตนารมณ์อันนี้ ​กำลัง​จะหมด​ไป เยาวชนรุ่นหลังอาจ​จะไม่รู้จักกระด้งต่อ​ไปก็​ได้

​เมื่อวางขอบกระด้งด้านหนึ่ง​บนปากครกตำข้าวแล้ว​ ​ใช้มือข้างทีไม่ถนัดจับขอบกระด้งไว้ ​และ​ใช้มือ​ที่มี​ความถนัดตักข้าว​ที่ซ้อมแล้ว​ขึ้น​จากครกใส่กระด้งจนหมดหลุม จึงนำ​ไปฝัด ให้รำ​และแกลบออก​ไป เหลือ​แต่ข้าวสารสีขาว​เอาไว้หุง​เป็นอาหารประจำวัน

วิธีการฝัดนั้น​​ส่วนมากผู้ฝัดข้าว​เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็มีบ้างเหมือนกัน ​แต่น้อยมาก ​จะเห็นว่าผู้หญิงมี​ความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายทำงาน​ที่​ต้อง​ใช้​กำลังมากกว่า

ผู้ฝัดนั้น​​จะเลือกทิศทางหันหน้า​ไปทางทิศ​ที่ลมพัด​ไป ​คือยืนหันหลังโต้ลม ​เมื่อฝัดแล้ว​ลม​จะ​ได้พัด​เอาฝุ่น แกลบ รำ​ไปตามกระแสลม ไม่​ต้องให้ผงคายของมันถูกตัวของผู้ฝัด ​ซึ่งผงแกลบหรือรำนี้มี​ความระคายต่อผิวหนังมาก ​แต่​เพื่อการดำรงชีพอยู่​​ได้ก็​ต้องจำยอมคลุกอยู่​​กับผงคายเหล่านั้น​

หาทิศทางลม​ได้แล้ว​ ก็ยืนต่างขาให้เท่า​กับสองข้างไหล่​ทั้งสองข้าง หรือกว้างกว่า​เพื่อ​ความสะดวก​ในการทรงตัว ปลายเท้าหันเฉียงออกพอประมาณครึ่งทิศหรือเฉียงทิศ

​ใช้มือจับขอบกระด้ง​ทั้งสองข้าง แล้ว​ก้มตัวลงเล็กน้อย บางคนก็ยืนตรงให้มือเหยียดลงตรง​ทั้งสองข้าง ​ใช้แรงข้อมือ​ทั้งสองข้าง​ที่กำขอบกระด้ง กระดกให้​ส่วนขอบด้านหน้ามนรี(ตรงข้าม​กับคน) ยกขึ้น​ประมาณ 1 คืบหรือกว่า ​ส่วนขอบของกระด้งด้านกลมมนใกล้คนก็ห้อยต่ำลงมา
แรงกระตุกทำให้ข้าวสาร แกลบ​และรำกระดอนสูงขึ้น​นั้น​​ไปกลางอากาศสูงประมาณ 1 -- 2 คืบ แล้ว​ตกลงมา ก็​ใช้พื้น​ที่ในขอบกระด้งรับไว้ ในขณะ​ที่แกลบรำ​และข้าวลอยสูงขึ้น​​และตกลงมากระทบกระด้ง ทำให้ลม​ที่พัดผ่านมา​ได้นำ​เอาแกลบ รำลอย​ไปด้วยอีกแรงหนึ่ง​

จากแรงกระพือของกระด้ง​ที่ทำให้ข้าวสาร แกลบรำกระดอนสูงขึ้น​นั้น​ ทำให้แกลบ รำ พุ่งตัว​ไปตามแรงกระพืออีก​ส่วนหนึ่ง​ด้วย สำหรับเมล็ดข้าว​ซึ่งมีน้ำหนักก็ไม่หลุดลอย​ไปตามแรงเหวี่ยง ของการกระพือ​และแรงลม​ได้

​เมื่อฝัดสะอาดแล้ว​ ​ถ้ามีกาก ​คือ เมล็ดข้าว​ที่​เป็นเปลือกเหลืออยู่​ เปลือกของมันยังไม่แตกออก มีอยู่​บ้างบางเม็ดเท่านั้น​ ​ที่มีขนาดเล็กกว่า ผู้ฝัดก็​จะทำการร่อนต่อ

การร่อนนั้น​ กระทำ​เพื่อให้กากข้าวรวมตัวกัน​เป็นกระจุก ตรงกลางกระด้ง ใน​ส่วนกลางของพื้น​ที่มีข้าว​ทั้งหมดในกระด้ง ​เมื่อกากรวมตัว​เป็นกระจุกแล้ว​ วางกระด้งลง​กับปากครก​และ​ใช้หน้าขาหรือเข่า ยันไว้ หรือวางบนปากครก​ทั้งกระด้ง ​ใช้มือสองข้างให้​ส่วนล่าง(นิ้วก้อย) รวบกากรวมกัน​และไหลเลื่อนเข้า​ไปอยู่​ในอุ้งมือ จึงยกมือ​พร้อมกัน​ทั้งสองข้างให้อุ้งมืออยู่​ในท่าปกติ ​ที่มีข้าวกากอยู่​นำ​ไปวางกากลงในภาชนะทีเตรียมไว้ หรือใส่ในครก ​ถ้า​ใช้ปากครก​กับหน้าขาวางกระด้ง

วิธีร่อน ผู้ร่อน​จะยืนต่างขาออกกว้างกว่าฝัดข้าว ก้มตัวลงประมาณ 45 องศา ​ใช้มือ​ทั้งสองห้อยต่ำจับขอบกระด้งยกขึ้น​ ​ใช้แรงเหวี่ยงจากแขน​ทั้งสองข้างให้กระด้งเหวี่ยง​เป็นวงกลมทำให้เมล็ดข้าวไหลเวียนรอบกระด้ง อาศัยการยกกระด้งข้างขวา​และซ้ายสลับกันบ้าง ทำให้กากข้าวหมุน​เป็นวงกลมเข้ารวมตัวกัน จากวงกว้างจนวงแคบเข้ามาเท่า​กับล้อมไว้เรียบร้อย​แล้ว​ จึงกอบ​ไปใส่​ที่ ถือว่ากาก​เป็น​ส่วนเกินในกิจกรรมนี้

ฝัดแล้ว​ร่อนแล้ว​ ​ถ้ามีกากเพียงเล็กน้อยแล้ว​ ​ซึ่งไม่​สามารถ​จะร่อนให้มันรวมกระจุก​ได้อีก​แต่ก็ยังอยู่​ใน​ส่วนกลางกระด้งบ้าง ​ส่วนอื่น ๆ​ บ้าง ยังไม่เข้ากลุ่ม ผู้ฝัดก็วางกระด้งลงแล้ว​​ใช้นิ้วชี้​กับหัวแม่มือหยิบกาก​ที่มองเห็น​ซึ่งลอยอยู่​​ส่วนบนออก จนมองไม่เห็นแล้ว​ จึง​ใช้นิ้วชี้หรือนิ้ว​ที่ถนัดแยกเมล็ดข้าวแล้ว​​ใช้แรงเขี่ยอย่างแรงให้เมล็ดข้าวกระจายออก​จะ​ได้เห็นเมล็ดข้าว​ที่เหลืออยู่​ ​ถ้าไม่มีเมล็ดกากข้าวอยู่​ก็เขี่ยในพื้น​ที่ถัด​ไปให้เมล็ดข้าวแตกกระจายต่อ​ไป พบเมล็ดกากข้าวก็หยิบออกเสีย ทำอย่างนี้​ไปเรื่อย ๆ​ จนหมดบริเวณพื้น​ที่ในกระด้ง แล้ว​จึงฝัดอีกครั้งหนึ่ง​เผื่อมีเศษอะไร​เล็ก ๆ​ น้อย ๆ​ เหลืออยู่​ แน่ใจว่าสะอาดแล้ว​ จึงนำข้าวสาร​ไปใส่ภาชนะ​ที่เตรียมไว้
หวนกลับมาดูครก ครกนั้น​ทำด้วยไม้​ทั้งดุ้น ขนาดเท่าต้นตาลยาวหรือสูงประมาณ 2 ฟุต ​โดยการตัดซุงออกให้​ได้ขนาด จึงบอกเปลือก​แต่งด้านนอกให้เรียบเสมอกัน​โดยรอบ วางทรงขึ้น​แล้ว​จึงกำหนดขอบปาก ให้ห่างจากวงนอกประมาณ 2 นิ้ว แล้ว​ขีดเส้นด้วยตอกตะปู​ที่จุดศูนย์กลางแล้ว​​เอาเชือกผูกดินสอหรือปากกาในระยะทาง​ที่พอเหมาะ​กับ​ความ​ต้องการแล้ว​ จึงดึงปลายปากกาหรือดินสอ​ที่ผูกติด​กับเชือกจากแกนของไม้ให้มีเส้นรอยดินสอ​เป็นวงกลม​โดยรอบ​จะมี​ความห่างเท่ากันจากจุดศูนย์กลาง จึงเจาะตามแนวรอบด้านในให้ลึกประมาณ 1 นิ้วให้​เป็นขอบกันข้าวสารกระเด็นหกเวลาตำ จากนั้น​ จึงเจาะให้ลาดเข้าหาจุดสูญกลาง​ที่มี​ความลึกประมาณ 2 นิ้ว แล้ว​เจาะให้ลึก 4 -- 6 นิ้ว ตาม​ความเหมาะสม จาก​ที่ลาดก็เจาะตรง​ไป​ที่ก้นแคบเข้า​ไปเล็กน้อยเส้นผ่าศูนย์กลางเหลือประมาณ 3 - 4 นิ้ว

การตำ หรือทิ่ม มีการนำข้าวเปลือกมาใส่จากก้นครกให้สูงมาเกือบถึง​ที่ลาดลง​ไปจากปากครก สากตำข้าวนี้ทิ่ม ลง​ไปบนเมล็ดข้าว เกิดการกระแทกทำให้เปลือกข้าวซ้ำ​และแตกออก ​ส่วน​ที่แตกก็​จะกระทบกันบ้าง กระทบ​กับสากบ้าง ทำให้แตก​เป็นฝอยเล็กละเอียดยิ่ง​ไปอีก ​เมื่อซ้อม​ได้พอประมาณ กะว่า​จะมีเมล็ดแตกเกือบเท่า ๆ​ ​กับข้าวเปลือกในครกแล้ว​ ก็นำมาฝัด​เพื่อให้แกลบ​ได้ออก​ไป นำ​ไปตำอีก ​เมื่อ​ได้ข้าวสารมากกว่าข้าวเปลือกประมาณ เศษ 3 ​ส่วน 1จึงนำ​ไปฝัด​และเก็บไว้​เพื่อซ้อมให้ขาว​และนำ​ไปหุง​ได้ (ก่อนตำควรทำ​ความสะอาดครกเสียก่อน)

การซ้อมข้าวสาร ​คือการนำข้าวกล้อง​ที่ตำหรือทิ่มไว้แล้ว​มาซ้อมให้ขาวสะอาด ฝัดเสร็จเลือกกากออกนำ​ไปกรอกใส่หมอ ล้างน้ำ รินออก น้ำนี้มีวิตามินมากนำ​ไปรดต้นไม้ดีนัก ​โดยเฉพาะกล้วยไม้ทุกชนิด ตั้งไฟจนเดือดดูเมล็ดข้าวสารว่าสุกหรือยัง ​ถ้าสุกแล้ว​จึงเช็ดน้ำให้แห้ง นำนึ่งบนไฟให้น้ำเสด็จ หรืออุ่น ​เมื่อสุกแล้ว​นำ​ไปรับประทาน​ได้


การซ้อมข้าวสารนั้น​​จะ​ต้องมีสาก​ใช้ในการตำ ทิ่มหรือซ้อม มีขนาดพอเหมาะ ยาวประมาณ 1 วา ทำตรงกลางให้ขอดเล็ก​สามารถจับ​ได้รอบวงนิ้วมือ สองจับรอบ ​เพื่อ​ความสะดวก​ในการยกสากทำข้าวให้แตก​เป็นข้าวสาร

วันนั้น​สนุกมาก มี​ทั้งผู้หญิง​และผู้ชาย ​ทั้งหนุ่ม​และสาว มี​ทั้งโสด ​และหม้าย ​ได้มาร่วมกันช่วยกัน เจ้าของบ้าน​และญาติบาง​ส่วนก็จัดหุงอาหาร ทำแกง ทำของหวาน ​เมื่อถึงมื้อก็ทานกันอย่างสนุกสนาน มีการซ้อมข้าวสารอยู่​สองวัน ​เมื่อ​ได้ข้าวสาร​เป็น​ที่เพียงพอแล้ว​ จึงเปลี่ยน​เป็นการหาไม้ฟืนจากในป่า โค่นไม้​ที่ตายนึ่ง มีการขึ้น​มะพร้าว ขนมะพร้าว ปอกมะพร้าวอย่างสนุก ​แต่ไม่มีการขูดมะพร้าว​เพราะยังไม่ถึงวันงาน ​ถ้าขูดไว้เกินวันก็​จะบูด​และเปรี้ยว
ก่อน​จะถึงวันงาน 1 วัน ​ซึ่ง​จะมีการชำแหละ​วัว ทางเจ้าภาพ​ได้หาผู้​ที่ชำแหละ​ไว้แล้ว​ ​แต่ผู้ชำแหละ​ป่วยกะทันหัน เจ้าภาพ​จะ​ต้องหาผู้ชำแหละ​แทน ​จะขอร้องก็แล้ว​ ​จะจ้างก็แล้ว​ ​จะไหว้วานก็แล้ว​ ไม่มีคนทำสิ่งเหล่านี้

โทงจึงอาสาชำแหละ​วัวให้ญาติของ​เขาในวันนี้ ประการแรกโทง​จะ​ต้องฆ่าวัวก่อน อันนี้​คือปัญหาใหญ่ในครั้งนี้ ​เมื่อตัดสินใจแล้ว​ โทงจึง​ต้อง​ไปจูงวัวออกจากฝูง ​เมื่อโทง​กับญาติ​ไปไล่จับวัว มันก็พยายามหลีกห่าง​และวิ่งหนีพัลวันไม่ยอมให้จับ ​แต่โทง​และญาติหลายคนกว่า จึงช่วยกันไล่ต้อนมัน​ไปจนมุม เข้าใน​ที่อับ​ระหว่างคอก​กับบ้าน ​และ​เขา​ใช้เชือกหัว (เชือกเส้นโต) ผูกคอมัน มันร้อง​และดิ้น​เพื่อ​จะหนี จึง​ต้อง​ใช้เชือกพัน​กับต้นไม้ คนจึง​สามารถชนะวัว​ได้ ​เมื่อมันดิ้นไม่หลุด ก็​ต้องจำใจเดินตาม​ไปสู่ตะแลงแกง

วัวตัวนี้ มันคงรู้อะไร​ตามสัญชาตญาณของมันว่า​จะมีอะไร​เกิดขึ้น​ มันยืนตาละห้อย น้ำตาไหลซึม​และย้อยตลอดเวลา จนตาแฉะ มันยืนไม่เคี้ยวเอื้อง มีคนนำหญ้า​และน้ำมาให้มัน มันก็ไม่กินไม่ดื่ม ​แต่​ความจำ​เป็นของงานมันกำหนดดวงชะตาของเจ้าวัวตัวนี้ไว้แล้ว​ ​เพราะเจ้าภาพ​ได้ซื้อวัวตัวนี้จาก​เพื่อนไว้สำหรับงานนี้​โดยเฉพาะ

โทงอดสงสารมันไม่​ได้ ​แต่​ถ้าไม่ฆ่ามันก็ไม่มีอะไร​แกงต้อนรับแขก​และญาติฝ่ายเจ้าบ่าว

ญาติของโทง​ได้ผูกวัวเข้า​กับหลัก​ระหว่างคอก​กับบ้าน โทงก็นำหวานขนาดย่อม​แขวงหลังไว้เดิน​ไปหาเจ้าวัวด้านหน้า วัวก็มองด้วยสายตา​ที่วิงวอน​และ ขอร้องน้ำตาหยดไหล ทำตาปริบ ๆ​ ดิ้น​จะหนี​แต่ก็ไม่​สามารถดิ้นให้หลุด​ได้

โทงอดสงสารเอ็นดูมันไม่​ได้ ​แต่จำใจ​เมื่อรับปากเจ้าภาพแล้ว​ ​และ​จะ​ต้องรับหน้า​ที่เพชฌฆาตครั้งนี้ด้วย​ความจำใจ ​ซึ่งโทงเองก็เคยเห็น​เขาทำเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว​ ชนบทเราทำอย่างนี้ โทงยังรีๆ​รอๆ​ ลังเลอยู่​ครู่หนึ่ง​ ไม่อยาก​จะฝืนใจตนเอง ​แต่ญาติก็เร้าให้โทง​ได้ลงมืออยู่​ตลอดเวลา ทุกคนก็เชียร์ เชียร์ให้โทงทำชั่ว โทงก็จำยอม

โทงเดินเข้าใกล้วัว ​และอธิษฐานในใจว่า วัว​ที่รัก วันนี้ชีพของท่านมาแค่นี้แล้ว​ ไม่มีอัน​จะยืดต่อ​ไป​ได้อีกแล้ว​ ​ซึ่งสวรรค์ลิขิตไว้ เราขออภัยด้วย ​และจงยกโทษให้แก่เราด้วย โปรดอโหสิกรรมให้แก่เรา เราขอขอบใจท่านล่วงหน้า

วัวคง​จะทราบเจตนาของโทง ยืนนิ่งสงบไม่ดิ้นอีกต่อ​ไป น้ำตาไหลพรากผ่านแก้ม​ทั้งสองข้างหยดลงดิน หยดแล้ว​หยดอีก
"วันนี้คง​เป็นวันอวสานของเราแล้ว​จริง ๆ​" วัวรำพึง " ช่างมันเถอะ ขอให้มัน​เป็น​ไปตามเวรตามกรรม​ที่สร้างมา ​แต่เรา​จะไม่ให้อภัยแก่เจ้า ผู้​ที่ฆ่าเรา ในฐานะ​ที่เราไม่มี​ความผิด" วัวบ่นพึมพำในใจตนเอง

โทงจึงเดินเข้า​ไปลูบศีรษะของมันเบา ๆ​ ใจของโทงเต้นตึก ตึก น้ำตา​กำลังคลั่งออกมาจากตาของโทง​ทั้งคู่ มันเอ่อท้นออกมา ​แต่โทง​ต้องแข็งใจ ​จะ​ต้องเข้มแข็งไว้ ​จะ​ต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ

"เราขออภัยท่านด้วย บุญของท่านแค่นี้" โทงรำพึง

"เร็วปานฟ้าฟาด โทงก็ยกขวานขึ้น​เหนือศีรษะอย่างเร็ว เปลี่ยนขวานจากคม​เป็นสันขวานทุบลงตรงกลางแสกหน้าของมัน ​ซึ่งต่ำกว่าโคน​เขาสองข้างลงมา 2 -- 3 นิ้ว ​ซึ่งบางครั้งก็มีขวัญของมันอยู่​ ​เป็นขนสีขาว ๆ​ ผู้คนจึงเรียกตำแหน่งนี้ว่า หน้าโพ"

ครั้งแรก ครั้งเดียววัวก็คุกเข่าลง เงียบสงบ ครู่หนึ่ง​ มันส่งเสียงร้องดังลั่น ​พร้อมยกหัวขึ้น​มา​พร้อมเสียงดัง อ้อ ๆ​ๆ​ๆ​ ขึ้น​สุดเสียงดังของมัน ​พร้อม​กับล้มลงนอนปลายเท้ากระตุกอย่างแรงหลาย ๆ​ ครั้ง ช้า ๆ​ ลง ​และนิ่งสงบ​ไป ขณะ​ที่จมูกของมันมีสวิงผูกเชือกติดอยู่​

"ขอให้วิญญาณของท่าน​ไปสู่สุขคติเถิด"โทง

โทงจึงเชือดคอให้ ญาติ ๆ​ ​เอากะละมังมารับเลือดของมันไว้ ​และปล่อยให้เลือดออกจนหมดร่าง โทงจึง​ไป​เอาน้ำมาขันหนึ่ง​​พร้อมด้วยหมากพลู ธูปเทียน โทงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่จุดธูปเทียนบูชา แล้ว​กล่าวคำอาราธนา​พระรัตนตรัย ไตรสรณะคมน์ ตั้งนะโมสามจบ จึงกรวดน้ำ​เพื่ออุทิศบุญกุศล​ที่ตนมีให้ดวงวิญญาณของวัว​ไป กรวดน้ำเสร็จแล้ว​ สวดแผ่เมตตาให้แก่วิญญาณของ​เขาด้วย

"ทำไม วันนี้ เราจึงเห็นเจ้าวัวตัวนั้น​ มัน​กำลังไล่ทำร้ายเรา" โทงคิด

"หรือเจ้าวัวนั้น​ มันไม่ให้อภัยแก่เรา"

"อย่างไรก็ตาม เราก็เสียใจอย่างยิ่ง ในการทำร้ายชีวิตของท่านในครั้งนั้น​ เราไม่คิดว่าวิญญาณของท่าน ​จะอาฆาตแค้นเราถึงอย่างนี้ ​และเราก็ไม่เชื่อสนิทตอนนั้น​ว่า มีวิญญาณ มีนรก มีสวรรค์" โทง
"​เมื่อมีเหตุการณ์อันนี้ ทำให้อารมณ์ของโทงหวั่นไหว ระแวง​และหวาดกลัว ต่าง ๆ​ นานา ไม่มี​ความสุข ขาด​ความสบายใจ ไม่อยากหลับตาลง ​เพราะหลับตาลงครั้งใด เจ้าวัวตัวนั้น​​จะพาบริวารทำร้ายเราทุกครั้ง บางครั้งวิ่งกันจนเหนื่อยหอบ บางครั้งถูกมันทำร้าย​ได้รับ​ความเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก ตื่นขึ้น​มาหวาดกลัว หวั่นผวา ระแวงว่า​จะมีวัวคอยทำร้ายอยู่​ มัน​เป็น​ความทุกข์ ทรมานเหลือเกิน วัวจ๋า โปรด อภัยให้เราด้วย เรากลัวท่านเหลือเกิน"

"ตอนแรก​ที่เราทำร้ายท่าน เราก็หวาดกลัวเช่นกัน ​แต่จำใจทำ ​เพราะศักดิ์ศรีของ​ความ​เป็นชาย ​ที่รับปากญาติ ๆ​ ไว้แล้ว​ ​ถ้าทำไม่​ได้​จะเสียชื่อเสียง ​แต่ผล​ที่​ได้รับมันไม่คุ้มค่าเลย​ เกียรติศักดิ์ศรี ​ความ​เป็นลูกผู้ชายไม่​สามารถช่วยเหลือเรา​ได้ในขณะนี้ นอกจาก​ความดี หรือบุญเท่านั้น​ ​ที่​จะช่วยเรา​ได้ โอ้ย ๆ​ อย่าคิดฆ่าเราเลย​ ท่านวัวจ๋า กรุณาเถอะ อย่าหลอกหลอนเราเลย​ เจ้าวัว​ที่รัก"

"เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร กรุณาเถอะ ท่านวัว​ที่รัก อย่าคิดหลอกหลอน​และทำร้ายเราอีกต่อ​ไปเลย​ เรา​จะทำบุญอุทิศ​ส่วนบุญ​ส่วนกุศล​ไปให้ท่านให้มาก ๆ​"

...​...​...​...​...​...​...​

 

F a c t   C a r d
Article ID A-3665 Article's Rate 2 votes
ชื่อเรื่อง แค้นยังไม่สิ้น
ผู้แต่ง เปิดฟ้า ก้องหล้า
ตีพิมพ์เมื่อ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องสั้น
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๑๑๔ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๑ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๑๐
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : ศาลานกน้อย [C-19126 ], [000.000.000.000]
เมื่อวันที่ : 10 พ.ค. 2558, 18.04 น.

ผู้อ่าน​ที่รัก,

นิตยสารรายสะดวก​ ​และผู้เขียนยินดีรับฟัง​ความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดง​ความเห็น​ได้​โดยอิสระ ขอขอบคุณ​และรู้สึก​เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมี​ส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...​

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น