นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘
...*ขณะ​​ที่พุทธบริษัทของวัด​​กำลังสาละวนอยู่​​​​กับการขุดทราย ตักทรายในหลุม...
วันเพ็ญ ​คือวันท่ีสาวท้องแก่พาสาววัยรุ่น​ไปพิสูจน์​ความจริงในบึงน้ำกลางป่า เธอปวดท้องคลอดหาหมอตำแยกันวุน ​ใช้ผ้าถุงหามคนป่วยออกมา​และโกลาหลพอสมควร ในจณะดวงไฟโผล่ขึ้น​เหนือฟ้าวน​เป็นวงกลม 3 รอบ แล้ว​หายวับ​ไป

*ขณะ​ที่พุทธบริษัทของวัด​กำลังสาละวนอยู่​​กับการขุดทราย ตักทรายในหลุมบ่อดิน​ที่กว้าง​และสึกใส่ภาชนะ​เพื่อนำทรายเข้าวัด เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว สะท้านขวัญ บางคนขาสั่นมือสั่น เข่าอ่อน บานคนหวีดร้องด้วย​ความตกใจ บางคนยืนจ้องชะงักงันตัวแข็งตาค้าง

*ดวงไฟสว่างขนาดใหญ่ลอยจากบริเวณป่าละเมาะใกล้ ๆ​ พุ่งพรวดขึ้น​​ไปกลางอากาศ แสงสว่างมองเห็นทุกอย่าง​ได้ชัดเจนดุจกลางวัน มันก็ลับหาย​ไปในอากาศ​พร้อม​กับ​ความตะลึงงัน ในเวลาหนึ่ง​นาที
*​เมื่องดวงไฟลับ​ไป หลายคนรีบวิ่งกลับ​ไปยังกุฏิ​พระ​ซึ่งห่าง​ไปจาก​ที่นี้ประมาณ 100 เมตร บางคนยังมึนงงอยู่​ หลายคนยังตาค้างด้วย​ความตกใจกลัวจนขนหัวลุก

*ขณะนั้น​ตาหมอแดง ​ซึ่ง​เป็นบุคคล​ที่ทราบพฤติกรรมนี้มาก่อนจึงทราบ​ได้ ท่าน​ได้เห็นสภาพของชาวบ้านตกใจกลัวถึง​กับพูดว่า

*" ไม่​ต้องตกใจกลัวหรอก มัน​เป็นเช่นนี้เอง ฉันเห็นมาหลายครั้งแล้ว​ ไม่​เป็นอันตรายหรอกนะ"

*ทุกคนต่างมุ่งกลับ​ไปในวัด บางคนก็ไม่​เอาทราย​ไป บางคนก็ยังนำทราย​ไปด้วย ​แต่หลายคนก็ไม่ลืม​ที่​จะนำทรายใส่ภาชนะติดกลับ​ไปด้วย บางคนเดินครึ่งวิ่งกลับขึ้น​จากหลุมทราย บางคนล้มคว่ำ บางคนภาชนะใส่ทรายตก จึง​เอา​แต่ภาชนะเปล่า​ไป สร้าง​ความโกลาหล​เป็นอย่างยิ่ง

*" ตาหลวงคะ​ ตาหลวงขา " เสียงแซงแซ่ฟังไม่ค่อย​ได้ศัพท์ " น่ากลัวมาก"
*"อะไร​หรือ"

*" ไฟดวงใหญ่โผล่ใกล้ ๆ​ หลุมบ่อทราย ฉันขนหัวลุก ฉันกลัว​เป็น​ที่สุด"
*" กลัวทำไม " ตาหลวงถามให้คิด "มันมีอะไร​​ที่​ต้องทำให้น่ากลัว มันแสดงอาการหลอกหลอนให้กลัวอย่างไร" ตาหลวงถาม

*" ไม่ครับ​ ไม่เคยมีคนใดเล่าถึง​ความ​สามารถของมัน​ได้"
*" ฉันไม่กล้าออก​ไปขนทรายอีกแล้ว​" หลอนพึมพำ ​พร้อม ๆ​ ​กับผู้อื่น

*" ฉันกลัวคะ​ ตาหลวง" สาวหนึ่ง​ตอบ​โดยมิลังเล เสียงยังสั่นเครือ
*" มีอะไร​หรือ"
*" ค่ะ​ มีแสงสว่างลุกช่วงใกล้ๆ​ หลุมบ่อทรายดวงโตเกือบเต็มฟ้า"
*" หรือ ​พระท่านคง​จะทราบว่า​เป็นอะไร​ ​แต่มิ​ได้พูดว่าอะไร​"

*ขณะนี้ผู้คนก็ทยอยกลับมาถึงวัดกันหมด บางคนนั่งใต้ต้นไม้ บ้างนั่ง​เป็นกลุ่ม ​ส่วนมากมาล้อมออกันอยู่​ รอบ ๆ​ ศาลาการเปรียญ ​ซึ่งตาหลวงเจ้าอาวาสนั่งอยู่​

*มีหญิงหนึ่ง​ท้องแก่ เธอพยายามแบกกะละมังใส่ทราย​และเดินมาช้า ๆ​ ด้วย​ความพยายาม​และอดทนจนกระ​ทั้งมาถึงกองทราย ​และเททรายลงบนกองทรายของเธออย่างสุภาพ ช้าๆ​ อาการของเธอมิ​ได้รู้สึกสั่นกลัวอะไร​​ทั้งสิ้น เธอยังสงบ ​และนั่งลงใต้ต้นมะขามใกล้ ๆ​ คืนนี้อากาศดี จันทร์กระจ่างสว่างไสว ​เป็นคืนเพ็ญเดือน 6 ​เมื่อขนทรายเข้าวัดพอสมควรแล้ว​ ก็​จะถึงเวลาเวียนเทียน ​และฟังการแสดง​พระธรรม ​การปฏิบัติธรรม แสะสนทนาธรรม ​แต่ตอนนี้ชาวบ้านรู้สึกกลัวต่อเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้น​ บางคนใจยังเต้นทึก ๆ​ อยู่​ บางคนก็หวาด ๆ​ อยู่​ มีการสนทนา ซักถามพูดคุยกันเซ่งแซ่ บางกลุ่มก็นั่งนิ่ง ๆ​

*สาวท้องแก่ก็ลุก​และเดินทางกลับ​ไป​ที่บ่อทรายอีก ​โดยมิแยแสว่า​ใคร​จะห้าม ​จะมองหรือเรียกกลับสักกี่คนก็ตาม เธอทำเฉย มุ่งเดิน​ไป​พร้อมภาชนะใส่ทราย ทำให้หลายคนลุกขึ้น​บ้าง นำภาชนะขนทรายตาม​ไปด้วย หลายคนยังนั่งอยู่​เฉยๆ​ ​เพราะยังไม่สิ้น​ความกลัว​และสงสัย คำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ​ นานา คงฟังไม่​ได้ศัพท์ต่อ​ไป

*เด็กสาวกลุ่มหนึ่ง​วิ่ง​ไปถึงสาวท้องแก่ด้วย​ความ​เป็นห่วง
*" น้า ๆ​ น้าไม่กลัวบ้างหรือ" เด็กสาวกลุ่มนั้น​ถาม

*" กลัวอะไร​หรือ"
*" แสงสว่างนั้น​"

*" น้าเคยเห็นมาแล้ว​ ไม่​เป็นพิษ​เป็นภัย​กับ​ใครหรอก ไม่​ต้องกลัวนะ"
*"​แต่หนูกลัวนี่"

*" ทำไมจึงกลัว" สาวท้องแก่ถาม
*" กลัวว่า​จะ​เป็นปีศาจร้าย อาจมาทำร้ายเรา​ได้"

" ​ถ้า​เป็นสัตว์หรือปีศาจร้าย หรือวิญญาณร้าย คง​จะมี​ใคร​ได้รับอันตรายกัน​ไปบ้างแล้ว​ นี่มีไหม ผู้​ที่​ได้รับอันตราย มี​แต่​ที่ตกใจกลัว ​และล้มเท่านั้น​"

*" ​แต่ฉันกลัวจริง ๆ​ นะน้า"
*" ทำไมจึงกลัวกันหละ"

*" กลัว​เพราะเชื่อว่าอาจ​จะ​เป็นอันตรายแก่พวกเรา​ได้"
*" มีไหม ​ที่เธอเชื่อเช่นนั้น​"
*"ไม่มี"

*" ​พระพุทธเจ้า​ซึ่ง​เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ​ได้ค้นพบหลักธรรมชาติ​และตรัสรู้​ความจริงเกี่ยว​กับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต​ที่​เป็นมนุษย์มากกว่า หรืออริยะสัจสี่ ​คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ ​และมรรค " ทุกคนฟังเงียบ เธอจึงอธิบายต่อว่า " ทุกชีวิตเกิดมา​เพื่อผจญทุกข์ การเกิด​เป็นทุกข์ การเจ็บป่วย​เป็นทุกข์ การตายหรือการสูญเสีย หรือการพลัดพรากจากสิ่ง​ที่เรารัก​เป็นทุกข์ สมุทัย ​คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นิโรธ ​คือวิธีการดับทุกข์ ​และมรรค ​คือทางดับทุก​ซึ่งมีมรรค 8 ประการเช่น ดำริชอบ ตั้งใจชอบ พยายามชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ฯลฯ

*" แล้ว​​พระพุทธเจ้าสอนเกี่ยว​กับ​ความเชื่อไว้อย่างไรละน้า"
*" ​พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรเชื่ออะไร​ทัน​ที่ ให้เชื่อด้วยเหตุ​และผลว่ามัน​จะ​เป็นจริงหรือไม่ ​คือเชื่อเหตุ​และผล มิให้เชื่อ​โดยเรื่อง​นั้น​​เป็นเรื่อง​​ที่เล่าต่อกันมา เรื่อง​นั้น​เล่า​โดยครูอาจารย์ของเรา มิใช่​เป็นเรื่อง​​ที่เล่าต่อ ๆ​ กันมา ไม่เชื่อ​โดย​เขาบอกว่า​เป็นอย่างนั้น​คอย่างนี้ ฯลฯ"
*" คน​ที่​เขาหลอกลวงกัน ทำไม​เขาเชื่อ​และโดนหลอก​ได้ง่ายละค่ะ​"

*" ​เพราะ​เขาเชื่อเพียงคำบอกเล่า ​เขาไม่สืบหาสาเหตุ ​ความ​เป็นมา ไม่ติดตามข่าว ไม่ตั้งสมมุติฐานว่า น่า​จะเชื่อ​ได้หรือไม่ ทำไมจึง​เป็นเช่นนั้น​ ฯลฯ ​เมื่อเรา​ใช้เหตุผลก็​จะพบ​ความจริงว่า ข่าวลือ ข่าวเหล่านั้น​ควรเชื่อ​ได้หรือไม่ ​เพราะเหตุใด"

*" ทำไม​ต้อง​ไปเชื่อ​เมื่อ​เขาทำให้ดูอยู่​เสมอ เช่น ชายคนหนึ่ง​เดินมาก่อนเราพบสร้อยทองตกอยู่​เส้นโต ​เขาจึงนำมาแลก​กับเรา เราก็เชื่อว่า​เขาพบจริง ​เป็นทองจริง จึงยอมแลก ปรากฏภายหลังว่า​เป็นสร้อยเส้นโต​ที่ปลอม"

*" ก็น้าบอกแล้ว​ว่า ในตลาดนั้น​มีคนเดิน​ไปเดินมาพล่าน​ไปหมด ​ถ้าสร้อยตกจริงก่อนนี้เพียง 1 นาที ​จะมีคนพบ​และนำ​ไปแล้ว​ คงไม่วางอยู่​ให้มีคนพบ​ได้อีก ไม่วางอยู่​ให้คนเดินหน้าเรา​ไปเจอหรอก หรือคิดว่ามันตกลงจริง ​เมื่อมีคนพบคนเห็นมีการพูดแล้ว​เจ้าของสร้อยตัวจริงก็​จะรู้​และ​เอาคืน​ไป​ได้ นี่​เพราะไม่​ได้เฉลียวใจ​แม้สักนิดว่า​จะถูกหลอก เพาะเชื่อง่าย เชื่ออย่างไม่มีเหตุผล"

*" แล้ว​น้า​จะคิดว่ามันควร​เป็นสิ่งใดละ ​ถ้าสิ่งนั้น​ไม่เกิดจากฝีมือ​ใครสักคน หรือย่างหนึ่ง​อย่างใด"

*" น้าคิดว่าคง​จะไม่มีคนทำให้เกิดขึ้น​หรอก ​เพราะบริเวณนั้น​​เป็นป่า​และมีแสงจันทร์วันเพ็ญสว่างไสว น้าคิดว่ามัน​จะ​ต้องเกิดจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง​แน่นนอน เราลอง​ไปสำรวจกันไหมละ พวกเธอมีไฟฉายบ้างไหม "

*" ไม่มีหรอกน้า"
*"ทำอย่างไรดี"

*" น้าขา พี่ชายขอหนู​เขามีไฟฉายมาด้วย ฉัน​จะ​ไปยืมพี่ชายมาก่อน ​ใคร​จะ​ไป​เพื่อนฉันกลับ​ไปวัดบ้างนะ" ทุกคน​จะ​ไปกันหมด
*" ​ไปสอง สามคนก็พอ คอยอยู่​​เป็น​เพื่อนน้าทางนี้ด้วย"

*" น้าก็ขี้ขลาดเช่นกัน"
*" อย่าพูดเช่นนั้น​นะหลาน"

*" น้าไม่ยอมรับ​ความจริงมิใช่หรือพวกเรา"
*"เ รา​จะ​ต้อง​ไปพิสูจน์ให้เห็น​กับตาจึง​จะเชื่อถือ​ได้ มิ​ใช้สัก​แต่​ใครคนใดคนหนึ่ง​ว่าแล้ว​ก็เชื่อ"

*"​ได้มาแล้ว​น้า ไฟฉาย " สามคนดีใจมาก​ที่​สามารถผจญ​ความเปล่าเปรี่ยวเงียบของราตรีมา​ได้อย่างสนุกสนาน ​พร้อม​ความภาคภูมิใจ ​ที่ให้ชายคนหนึ่ง​​เป็นผู้ประเสริฐว่า ​เป็นพ่อของลูก

*"ส่งไฟมาให้น้าก่อน"
*"เดินตามฉันมา ​และ ขอให้เงียบ ๆ​ ​ใครทำไม่​ได้ คอยอยู่​นี้หรือกลับวัด​ไปก่อนก็​ได้" เธอยื่นคำขาด

*เธอรับไฟฉายมาถือไว้ วางภาชนะใส่ทรายลง ​พร้อมออกเดินนำ​ไปในป่า
*" ขอให้เดินตามหลังมานะ"

*" ฉันกลัวนี่ ฉันเดินหลังสุดไม่​ได้หรอกน้า"
*" ตามน้ามาเถอะ อย่าแยกทางกัน​จะพลัดหลงกัน กลางคืนนี้อันตรายนะ"

*เธอนำเด็กลุ่มสาวเดินเข้า​ไปในป่าละเมาะลึกเข้า​ไปทันใดนั้น​
*" แกว่ว ๆ​ ๆ​ ๆ​ ๆ​ ๆ​ ๆ​ " ทำให้บางคนตกใจกลัวถลันเข้ามากอดเธอ เธอปลอบว่า

*" ใจเย็น ๆ​ หลาน " เสียงนั้น​ไม่น่าวิตกหรอก​เป็นเสียงแมวทะเลาะกัน" ​พร้อมเธอส่องไฟฉาย​ไป​ที่แมว​กำลังทะเลาะกัน เห็นตาแดงกกล่ำ " โล่งใจเสียที"

*เธอนำหลาน ๆ​ เดินลึกเข้า​ไปเรื่อยๆ​ ​เพราะเธอท้องแก่นั้น​เองจึงทำให้การเดินทางล่าช้า​ไปบ้าง ​แต่มันไม่ใช่ปัญหา

*ทันใดเมฆกลุ่มใหญ่ถูกลมพัดลอยมาบังแสงจันทร์ในขณะนั้น​แหละ​ทำให้บริเวณนั้น​มืดลง เธอจึง​ใช้ไฟฉายนำทาง เดิน​ไปเรื่อย ๆ​ เธอไม่รู้สึกเหนื่อย​แต่ประการใด ​แม้​จะเดินอุ้ยอ้ายก็ตาม ​แต่หลาน ๆ​ รู้สึกเครียด ระแวงภัยอันตรายต่าง ๆ​ ไม่รู้ว่า​จะเกิดเหตุการณ์อะไร​ขึ้น​บ้าง ​และ​เมื่อไหร่เหตุการณ์​จะ​เป็นอย่างไร ดังเช่น​ที่เจอแมวทะเละกัน​เมื่อตะกี้นี้

*ทันใดนั้น​มีเสียงกระพือปีกของนกตัวใหญ่ มันบินแวบตัดหน้า​ไปเพียงเล็กน้อย ลมจากแรงกระพือปีก ทำให้ทุกคนเย็นวูบ​ไปทันที หลาน ๆ​ รู้สึกหวาดกลัว​เขากอดกัน ​และกอดน้าแน่น

*" ไม่มีอะไร​น่ากลัวหรอกนะหลาน ​เป็นนกกลางคืนตัวใหญ่ มันหากินอยู่​ในบริเวณนี้ ยามกลางคืน มันหลบนอนอยู่​ในบริเวณสุมทุมพุ่มไม้​ที่ปลอดภัย ​เมื่อเราเดินผ่านมันก็ตกใจกลัว​และบินหนี​ไป"

*ทันใดนั้น​ ข้างหน้าไม่ไกลนัก มีแสงสว่างโผล่ขึ้น​มาทำให้ทุกคนรู้สึกกลัว​และเห็น​ได้ด้วยตาสัมผัส ทุกคนยืนรวม​เป็นกลุ่ม กอดกัน​และจ้อง​ไปยังแสงสว่างนั้น​ ต่างคนต่างคิด​และกลัว แสงสว่างคอยมากขึ้น​ จ้าขึ้น​ ขยายดวงโตขึ้น​ กว้างขึ้น​เหมือน​กับแสงจันทร์สาดส่อง จนกระ​ทั้งแสงนั้น​โผล่ขึ้น​มาจากสระน้ำจนเสมอดิน​และลอยสูงขึ้น​ ๆ​ ดวงกลมโตมาก ๆ​ ลอยขึ้น​​ไปเสมอยอดไม้​และลอยสูงขึ้น​​ไปสู่ท้องฟ้า

*ขณะนั้น​พุทธบริษัท​และ​พระภิกษุในวัด ต่างจ้องมองตาพุ่งตรง​ไปยังแสงสว่างนั้น​ จนกระ​ทั้งลอยสูงขึ้น​เหนือฟ้ายามราตรี เช่นนี้ ทุกคนต่างคิดถึงสาวท้องแก่​และเด็กสาว กลุ่ม​ที่อยู่​ด้วยกัน ว่าคง​จะเห็นภาพเหล่านี้แล้ว​​จะมี​ความรู้สึกอย่างไร ​จะมีการตกใจถึง​กับนิ่งสลบกันบ้างหรือไม่ ทุกคนต่างภาวนาให้คุณ​พระศรีรัตนตรัยคุ้มครองให้เธอ​และกลุ่มเด็กสาวปลอดภัยกลับมาทุกคน

*​เมื่อดวงไฟสว่างลอยสูงขึ้น​ ​และหายวับ​ไปในบรรยากาศ ทุกคนตกใจสั่นขวัญหาย มันหาย​ไป​ได้อย่างไร ​จะมีอาเพศอะไร​บ้าง​กับผู้​ที่พบเห็นบ้างหรือไม่ มีบางคนสงสัย

*" น้า มันหาย​ไปแล้ว​ มันหาย​ไปไหนน้า "เด็กสาวเร่งถามด้วย​ความสงสัย
*"น้าก็ไม่รู้คะ​"

*" เรา​จะกลับกันหรือยัง ฉันพอแล้ว​ ฉันกลัวจนขนหัวลุก" สาวหนึ่ง​เสนอ​ความเห็นทันที

*" ยังหรอก เรายังไม่ถึงเป้าหมายปลายทางของเรา เรา​ต้อง​ไปให้ถึง​ที่สระนำ้​ที่​จะพิสูจน์ ดูให้เห็นซิว่ามัน​เป็นอะไร​ เกิดขึ้น​​ได้อย่างไร เกิดขึ้น​​ที่ไหน ห่างไกลเท่าไร เราอยากรู้ไหม"

*" อยากรู้คะ​ ฉันยังไม่กลับ ​ใคร​จะกลับก็กลับ​ไปเถอะ"
*" ไม่ ฉันก็ยังไม่กลับ" หลายคนพูด​เป็นเสียงเดียวกัน

ยามราตรียังมืดอยู่​​เพราะเมฆมาปิดบังดวงจันทร์ในยามเต็มดวงของเพ็ญเดือนหก ​ที่เรียกว่าวิสาขะนี้ เธอก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายปลายทาง​ที่​จะนำเด็กสาว ๆ​ ​ไปพิสูจน์​ความจริงให้ปรากฏไม่เชื่ออย่างงมงาย​และเชื่ออย่างมีเหตุผล " เดินต่อ​ไป"

*ขณะนั้น​เธอส่องไฟ​ไปข้างหน้าเห็นดวงตาสองดวงลอยอยู่​เหนือพื้นดินประมาณสูงกว่าระดับศีรษะของมนุษย์ ทำให้พวกเธอใจหายวาบ มีมือหลายมือมาเกาะเธอแน่น " อะไร​น้า"
*"เงียบ " เธอกระซิบเบา ๆ​
*​เมื่อส่องไฟดูแน่ใจแล้ว​ว่า​เป็นงูเหลือมขนาดใหญ่ห้อยตัวอยู่​บนต้นไม้​เพื่อคอยดักจับเหยื่อ​ที่เดินผ่าน​ไปมา เราหลีก​ไปทางโน้นอย่าเข้าใกล้มัน"

*" คิดว่าเราคง​จะไม่เจอมันอีกนะน้า" คนหนึ่ง​พยายามแสดง​ความคิดเห็น
*" คงผ่าน​ไป​ได้นะ"

*" อย่าส่งเสียงดังนะ"
*​เมื่อเดินอ้อมปลวก​ที่มีงูเหลือมอยู่​บนต้นไม้​ไป​ได้แล้ว​ ครู่หนึ่ง​ก็มาถึงหนองน้ำ ​ซึ่งมีน้ำลึกสีดำปนเขียว มองภาพผิวน้ำ​เป็นมันกระ​เพื่อม แวววาว​เมื่อกระทบแสงไฟฉาย ดวงจันทร์ยังไม่โผล่จากก้อนเมฆ

*" ส่องดูนาน ๆ​ ​จะน้า ​จะ​ได้รู้ว่าในสระนี้มีอะไร​บ้าง"

*ไม่เห็นอะไร​แปลกปลอม ​ซึ่งรอบบริเวณสระมีต้นไม้รกชัฏหน้าทึบครึ้ม ​ซึ่งพบ​ได้​เพราะแสงกระทบน้ำ​และสะท้อน​ไปจับ​ที่ยอดไม้อีกฟากหนึ่ง​จึงช่วยกันหาสิ่ง​ที่ทำให้แสงสะท้อน จนเจอหนองน้ำ

*​ทั้งหมดคอยเฝ้าสังเกตดูว่า​จะมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง​หรือไม่ ปรากฏว่ามีแสงเรืองสว่างขึ้น​จากน้ำ เหนือน้ำระยิบระยับ แสงสว่างจ้าขึ้น​ จากแก๊สในก้นสระ​ซึ่งเกิดการทับถมของใบไม้นานๆ​ มันย่อยสลาย​และกลาย​เป็นแก๊ซมีเทน ​เมื่อมีจำนวนมากก็ลอยขึ้น​มา กระทบ​กับออกซเจน(อากาศ)กลาย​เป็นแสงไฟสว่างจ้าดังท่ีเห็น ลอยข้นไกลางอาศ มันเกิดการเผาไหม้ จนหมดกา๊ซมีเทน มันก็ดับ​ไป (สิ้นแสงสว่าง)ทันใดนั้น​

*เธอยื่นไฟฉายให้น้อง ๆ​ แล้ว​​เอามือ​ทั้งสองลูบ​ที่หน้าท้อง เธอมิ​ได้พูดอะไร​ ​แต่ใบหน้าของเธอแสดงอาการเจ็บปวด

*" นั่งลงก่อนน้า " สาวหนึ่ง​แสดง​ความคิดเห็นเขิงแนะนำ ​พร้อมฉายไฟพบรากไม้ใหญ่จึงช่วยกันพยุงให้น้านั่งลงบนรากไม้

*" น้าครบวันคลอดเดือนไหน" คนหนึ่ง​ถาม
*"เดือนนี้แหละ​"
*" ใช่ น้าคงเจ็บคลอดแน่ ๆ​ ​จะทำอย่างไรดี"

*"เราช่วยกันหามน้าออก​ไป​ที่วัดก่อน" สาวคนหนึ่ง​แสดง​ความคิดเห็น
*"ไม่​ได้" คนหนึ่ง​ค้าน​พร้อมบอกว่า " ​ถ้า น้าคลอด​ระหว่างทาง​จะทำอย่างไร"
*" ​เอาอย่างนี้ ไหมละ เราแบ่ง​เป็น 2 พวก พวกแรก​ไปในวัดตามหมอตำแย​และพามา​ที่นี้"

*"​ถ้า หมอตำแยอายุมาก​ไปละ ก็ช่วยกันหามมาก็​ได้"
*" เธอสี่คน​ไปเถอ เราอยู่​ทางนี้​จะหามน้าออก​ไปเรื่อย ๆ​ อาจ​จะมาพบกันคนละครึ่งทางก็​ได้ ​ถ้าเธอถึงวัดก่อนนำคนมารับด้วย ​ถ้าไม่มีหมอตำแย หรือให้​ใคร​ไปตามหมอตำแยก็​ได้"
*" เราแยกกัน ต่างคนต่างทำ"
*" เธอ​เอาไฟฉายไว้​ที่นี่นะ ​เพื่อมีปัญหา​ระหว่างทาง พวกเรา​ไปทางโน้น ตอนนี้ดวงจันทร์ กระกระจ่างฟ้า ไม่มีเมฆบังแล้ว​"

*เดินมาไม่นานก็จำปลวก​ที่มีงูอยู่​​ได้ จึงอ้อม​ไปเดินครึ่งวิ่ง​ไปเรื่อย ๆ​ ส่งเสียงตะโกนเรียกกัน​ไปอย่างสนุกสนาน ​เพื่อขับไล่​ความกลัว ในขณะ​ที่ปฏิบัติกิจกรรมกลางป่าเช่นคืนนี้ ​เป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกตื่นเต้น ระทึกใจ ผสม​ความห่วงใย ​ที่มีต่อหน้าผู้หญิง​และทารกน้อย​ที่​จะคลอด
*" เรา​จะ​ต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ อย่างสุด​ความ​สามารถด้วยชีวิต เร็วเข้าเถอะ"

*ยายละม้าย​เป็นหมอตำแยอยู่​ในตำบลนี้ มีสามี​เป็นผู้ช่วยด้านคาถาอาคม คนป่วยเจ็บปวดทนไม่ไหวจึงสิ้นชีวิต ตาแดงสามีของหมอละม้าย​สามารถเป่าคาถาบนกระหม่อมผู้ป่วย​เพื่อไม่ให้เจ็บปวด คนป่วยก็ไม่เจ็บ หมอแดงเองก็ไม่​ได้เจ็บตรง​ส่วนไหนด้วย มีคนเล่าว่า หมอตำแยบางคน ​สามารถสั่งให้คนป่วยไม่เจ็บ​ได้​แต่ตนเอง​ต้องรับเจ็บปวดแทน​ที่หน้าแข้ง สำหรับหมอแดงแล้ว​ ​ถ้าคลอดไม่ออก ท่าน​จะมาอยู่​บริเวณ​ที่​เป็นศีรษะคอยคอยเป๋าช่วยในการเบ่งเกิด เสกเป่า​ไปทารกก็เคลื่อนผ่านช่องคลอดออกมา ท่านเสกเป่ากระหม่อมจน​สามารถให้ทารกออกมา​ได้อย่างปลอดภัย

*​ถ้าเด็กคลอด​เอาขาออก หรือขวาง​ส่วนใด​ส่วนหนึ่ง​คลอดไม่ออก เป่ากระหม่อมก็ไม่ออกตาแดงก็​จะให้ยายละม้าย​เอาใบพลูปิดทับอวัยยะเพศเหนือช่องคลอดแล้ว​ ตาหมอแดงก็เสกเป่าคาถาบนมีดหมอ แล้ว​นำมีดหมอมาแสดงการกรีดเหนือใบพลู ​แต่ไม่ถึงใบพลู แล้ว​ท่านสั่งให้แม่เบ่ง ทารกก็​จะคลอดออกมา​ได้อย่างง่ายดาย ​ถ้าแม่ขาด​ความรู้สึก ท่านหมอแดงก็​จะ​ไปเสกเป่า​ที่กลางหม่อมของแม่ช่วยให้การแบ่งของแม่ ๆ​ มีอำนาจ​และ​สามารถคลอดออกมา​ได้อย่างปลอดภัย ​เป็นเรื่อง​​ที่แปลก​และกล่าวขานกันทั่ว​ไปในตำบลนี้​และตำบลใกล้เคียง

*หมอแดงท่านเล่าว่าตอน​ที่ท่าน​เป็นหนุ่มอายุ 21 ปี​ได้อุปสมบท​เป็น​พระภิกษุ ​ได้เรียนคาถาอาคม​กับอาจารย์พ่อท่านกาเดิมในป่าช้า ​โดยอาจารย์นำหมอแดง​ไปในป่าช้าตอนพลบค่ำ ให้หมอแดง​เอามือโอบต้นไม้ไว้ แล้ว​ท่านอาจารย์​เอาด้ายอาคมพันรอบหัวแม่มือ​ทั้งสองข้างของคุณตาแดงมามัดติดกันด้วยคาถาอาคม ตาแดงไม่​สามารถ​เอามือออกจากกัน​ได้​ทั้ง​ที่ไม่มีเชือกผูกมัดไว้เลย​ ตาหมอแดง​จะ​ต้อง​ใช้คาถาอาคม​ที่อาจารย์บอกให้​ใช้ภาวนา​เพื่อแก้มนต์ให้​ได้ ​เมื่อ​สามารถแก้มนต์​ได้ก็​จะ​ได้กลับ​ไปนอน ​ถ้าหากไม่​สามารถแก้​ได้ก็​จะ​ต้องทนตากยุง ให้ยุงกัดอยู่​ตลอดคืน ​ถ้าไม่​สามารถแก้​ได้ด้วยตนเอง​ได้ รุ่งเช้า​อาจารย์ก็​จะมาแก้ให้​และนำกลับ​ไปวัด ​จะมีการฝึกแก้ในคืนต่อ​ไป จน​สามารถแก้มนต์​ได้สำเร็จจึงจัด​เป็นการจบหลักสูตร คืนนั้น​ตาหมอแดง​ทั้งขลาด​ทั้งกลัว ​และถูกยุงกัด มีเสียงนกกลางคืนร้องน่ากลัวมาก บางขณะงูไล่กบเขียดมา​ที่เท้า​ต้องยืนนิ่ง ใจหายใจคว่ำเหมือนกัน ตาหมอแดง​สามารถรวบรวมสมาธิแก้เชือกมนต์​ได้ ก่อนสว่าง จึง​ได้กลับ​ไปพักผ่อนก่อนตะวัน​จะทะยานสู่ท้องฟ้า ​ถ้าไม่​สามารถแก้​ได้ ท่านอาจารย์​จะมาแก้มนต์ให้ ก่อน​จะ​ไปบิณฑบาต แล้ว​คอยให้ศึกษาต่อในคืนต่อ​ไป ​เป็นการเรียนด้วย​การปฏิบัติจริง

*ขณะ​ที่นั่งอยู่​ในศาลาการเปรียญ ยายหมอละม้ายเกิดมีอาการกระตุก​ที่ตาข้างซ้าย ท่านทราบว่า​จะมีเหตุการณ์อย่างหนึ่ง​อย่างใดเกิดขึ้น​ในไม่ช้านี้ ยายจึงหลีกจากกลุ่มคนมานั่งสงบอารมณ์ก็ทราบ​ได้ว่ามีคน​ต้องการ​ความช่วยเหลือ อยู่​ในป่า ยายจึงลุก​และเดินอย่างรวดเร็วทันทีเหมือนคนปกติ ​ที่จริงแล้ว​ยายละม้ายมัก​จะออด ๆ​ แอด ๆ​ ​คือ​เมื่ออยู่​ตามลำพัง พอทราบว่ามีคนมาหา​ไปทำการคลอด ยายก็​จะมี​กำลังวังชา​สามารถเดินคล่องแคล่วทันที ​แต่ยายไม่รับทำแท้ง

*​เมื่อสาวกลุ่มแรก​ได้เดินทางออกมาแล้ว​ กลุ่ม​ที่ 2 ​ซึ่งอยู่​​กับหน้าสาวท้องแก่​กำลัง​จะคลอด สาวคนหนึ่ง​นุ่งกางเกงในแบบกางเกงขาสั้น เธอจึง​ได้สละ​และถอดผ้าถุงออก เธอให้​เพื่อนช่วยถือคนละมุมปูลงใกล้ ๆ​​กับ​ที่น้าสาวนั่งแล้ว​ช่วยกันยกไหล่ เท้าสะโพกเลื่อนน้าสาวให้มานั่งในผ้าถุง​ที่ปูไว้ แล้ว​นัดแนะกันรวบมุมผ้าถุงคนละมุมยกน้าสาวขึ้น​ มีบางคนช่วยดึงข้าง ๆ​ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ​สามารถหามน้าสาวเดินออกมา​ได้ น้าสาวยังคงบิดตัว​ไปมาด้วย​ความเจ็บปวด​พร้อมเสียงครางเบา ๆ​

*"ทนหน่อย​นะน้า เดี๋ยวก็​จะออก​ไปถึงวัด "สาวคนหนึ่ง​ปลอบใจ ​เมื่อมีอาการ​เมื่อยหรือเหนื่อยมือก็เปลี่ยนกันจับผ้าถุง หามน้าสาวออกมาจน​สามารถเดินอ้อมผ่านปลวก​ที่มีงูเหลือมอยู่​มาพอสมควร ​ความเจ็บก็กำเริบขึ้น​ เธอบิดตัว​ไปมาจับข้อมือของสาว​ที่หามใกล้เธอแน่น สาว​ที่อยู่​ด้านหน้านำผ้าเช็ดหน้าของตนให้หน้าสาวคาบไว้ เหงื่อของเธอเม็ดโต ๆ​ ไหลเปียกโชกชุ่ม​ทั้งตัว​และมีกลิ่นรุนแรงขึ้น​กว่าเหงื่อ​ที่ออก​กำลังกายทั่ว​ไป
*คุณยายหมอละม้ายเดินมาพบกลุ่มสาว​ระหว่างทาง ยายจึงบอกให้พวกเธอครึ่งหนึ่ง​​ไปวัด​เพื่อ​เอาน้ำร้อน ​ส่วนยาย​และสาวอีกอีกครึ่งหนึ่ง​รีบเข้า​ไปในป่าตามเส้นทาง​ที่แหวก​เป็นช่องเห็น​ได้ในยามราตรี​ที่มีจันทร์เพ็ญกระจ่างฟ้าวิสาขะบูชานี้

*​เมื่อกลุ่มสาวถึงวัดพบว่ามีน้ำร้อนต้มเดือด​พอดี จึงขออนุญาตต่อ​พระขอน้ำร้อน ​พระอนุญาต เธอจึง​ใช้ผ้ารองมือนำกาน้ำร้อนตามเข้า​ไปในป่า​พร้อมตะเกียงเจ้าพายุ ​ซึ่งให้แสงสว่างจ้าดุจกลางวัน

*​เมื่อยายละม้ายให้สัญญาณ ตาหมอแดงก็​จะตามเข้า​ไป ​เพราะท่านเองก็ทราบว่า​จะมีเหตุการณ์อะไร​เกิดขึ้น​ ​เพราะท่าน​ได้ผ่านการฝึก​และปฏิบัติธรรมขั้นสูงมา ​สามารถถอดจิตติดตามดูสถานการณ์บางอย่าง​ได้ ท่านจึง​ได้ขออนุญาตนำบานประตูกุฏิของ​พระ​ซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สับ​ไปด้วย ​พระอนุญาตให้ ตาหมอแดงจึงขอผ้าขาวม้าของลูกหลาน​และ​เพื่อน​ได้ 5 ผืนนำ​ไปด้วย จึง​ได้เดินตามหลังยาย​ไป

*ขณะนั้น​เวลาประมาณ 20 นาฬิกา หลังจาก​ที่ทุกคน​ได้พักผ่อนคลายเหนื่อยจากการขนทรายเข้าวัด ทำเจดีย์ทราย ก็เตรียม​พร้อม​จะเวียนเทียนกันอยู่​

*อาการของน้าสาวปิดเบี้ยวปากแหย่เจ็บปวดมากเหงื่อกาฬตก ขณะนั้น​มีน้ำไหลลงสู่พื้นดิน สาว ๆ​ ก็เอะใจไม่รู้​จะทำอย่างไรดี​ได้ จึง​ได้วางผ้าถุงลง​กับพื้น​ที่เรียบใต้ต้นไม้"

*"อาการอย่างนี้ ผู้หญิง​เขาบอกว่าน้ำทังแตก ​แต่ยังไม่คลอด ​พร้อม​ที่​จะคลอดอยู่​แล้ว​" สาวหนึ่ง​​ได้ประสบการณ์ของคุณแม่​ได้บอก​กับ​เพื่อน ๆ​

*ทันใดนั้น​ยายละม้ายก็มาถึงบริเวณ​ที่สาว ๆ​ วางน้าสาวไว้​กับพื้น
*" ยาย โชคดีจังยายมาแล้ว​ น้ำทังแตกแล้ว​ยาย" สาวกลุ่มนี้บอกยายด้วย​ความดีใจ ทุกคนยิ้มออก​ได้

*ยายเข้า​ไปนั่งลงข้าง ๆ​ ​พร้อมคลำท้องดู แล้ว​ขยับมาด้านปลายเท้า
*" เธอช่วยงอเข่า ตั้งชันขึ้น​​ทั้งสองข้าง " ยายละม้ายบอก
*ยายถกผ้าถุงขึ้น​ ยายคิดว่าศีรษะทารก​กำลัง​จะโผล่ออกมา

*" พวกเธอช่วยถอด กางเกงใน ของน้าสาวออกด้วย " ยายสั่ง สาวๆ​ ก็รีบจัดการทันทีด้วย​ความตื่นเต้น เธอเห็นศีรษะมีผมดำ ๆ​ ​กำลังโผล่ออกมา​จะพ้นช่องคลอดอยู่​แล้ว​
*"เบ่งลูก" ยายหมอละม้ายสั่งคนท้อง " พวกเธอช่วยกันจับไม้จับมือ​และจับเท้าด้วย"
*" ​พร้อมแล้ว​ยาย เบ่ง​ได้น้า" สาวตะโกนบอกด้วยดีใจระคนตื่นเต้น

*เพียงอึดใจเดียวเด็กก็เคลื่อนออกมา​ที่ละนิดจนผ่านเลย​ลำตัว​และหลุดออก​ได้อย่างปลอดภัย ​พร้อมด้วยน้ำคลำ ​ซึ่งยายหมอละม้ายก็รับเด็กไว้
*"คลอดแล้ว​" สาว ๆ​ อุทาน​พร้อมกัน​โดยมิ​ได้นัดหมาย

*"ไชโย ๆ​ ๆ​ " สาวอีกกลุ่ม​ที่กลับจากวัด​พร้อมกลุ่มคนมีตาหมอแดง ชาวบ้าน บานประตู ตะเกียง มาถึง ​พร้อมกัน​และ​ได้ยินคำว่าคลอดแล้ว​ในระยะใกล้ชิดประมาณ 20 เมตรก็ถึง

*"เหง่ง ๆ​ ๆ​ ๆ​ ๆ​" เสียงระฆังดังแว่วมาจากวัด​เป็นจังหวัดยาวติดต่อกัน ​เพื่อให้ผู้กันเวียนเทียนในคืนวิสาขะบูชา

*แสงไฟจากตะเกียงทำให้สถานการณ์ดีขึ้น​ทุกอย่าง ทันใดนั้น​ก็มีแสงสว่างโผล่ขึ้น​เหนือป่าไม้ลอยขึ้น​​ไปกลางอากาศ​สามารถกลบแสงของตะเกียง​ได้ ทุกคนหัน​ไปมอง​เป็นตาเดียวกัน เด็กส่งเสียงร้องจ้า ดวงไฟสว่างลอยอยู่​ในท้องฟ้า​และทำการทักษิณาวัตร​ไปรอบ ๆ​ ​ที่พวกเรานั่งอยู่​ ​เป็นจำนวน 3 รอบแล้ว​ก็หาย​ไป เด็กก็หยุดร้องไห้ มีอาการยิ้มผ่องใส สร้าง​ความตื่นเต้น ​และตกใจกลัวให้แก่กลุ่มสาว ๆ​ ​พร้อมกัน

*กลุ่มคนในวัด​กำลังแห่เทียนรอบศาลาการเปรียญอยู่​เห็นดวงไฟขนาดใหญ่ลอยขึ้งสูงสว่างจ้ามาถึง​ที่วัด​ซึ่ง​เขาเวียนเทียนอยู่​ก็​ต้องหยุดลงทันใด คนตีระฆังก็หยุดด้วย​ความงุนงง​และตื่นเต้นระคนหวาดกลัว ​เพราะไม่ทราบว่า​เป็นสิ่งใด ​เมื่อดวงไฟเวียน​เป็นวงกลม 3 รอบ​และหาย​ไป สร้าง​ความระทึกใจแก่ทุกคน มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ่งแซ่​ไป​ทั้งวัด ​ความสงสัยทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มท่ีไม่​ได้เข้า​ไปในป่า สำหรับสาวๆ​ท่ีเข้าป่ามา​กับน้าสาวใกล้คลอดไม่รู้หวาดกลัวหรืิอหวั่นไหวใด ๆ​ ​ทั้งสิ้นกระบวนหามแม่ลูกอ่อนออกมา​พร้อมทารกหญิงขาวอวบ​ที่น่ารัก

*เจ้าอาวาส​ได้พิจารณาถึงบุคลิกของทารกแล้ว​บอก​ได้ว่า​เป็นผู้มีบุญญาบารมี ​จะ​ได้​เป็นใหญ่​เป็นโตในอนาคต จึง​ได้ตั้งขื่อทารกน้อยผู้นี้ว่า "วันเพ็ญ" ตามวันสำคัญใน​พระพุทธศาสนาในวันนี้ แปลว่า เต็ม​พร้อมบริบูรณ์ดี สวย​พร้อมทุกอย่าง

*จากนั้น​มาเกือบห้าสิบปีไม่เคยปรากฏแสงหรือดวงไฟบนท้องฟ้า เช่นคืนนี้อีกเลย​

 

F a c t   C a r d
Article ID A-3653 Article's Rate 2 votes
ชื่อเรื่อง วันเพ็ญ
ผู้แต่ง เปิดฟ้า ก้องหล้า
ตีพิมพ์เมื่อ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๘
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องสั้น
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๘๗ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๒ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๑๐
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : ศาลานกน้อย [C-19108 ], [000.000.000.000]
เมื่อวันที่ : 24 เม.ย. 2558, 11.33 น.

ผู้อ่าน​ที่รัก,

นิตยสารรายสะดวก​ ​และผู้เขียนยินดีรับฟัง​ความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดง​ความเห็น​ได้​โดยอิสระ ขอขอบคุณ​และรู้สึก​เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมี​ส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : เปิดฟ้า ก้องหล้า [C-19270 ], [171.7.248.171]
เมื่อวันที่ : 11 ส.ค. 2558, 16.40 น.

กระผมดีใจ​เป็นอย่างย่ิงท่ีบรรดาพี่ ๆ​ ​ได้แวะมาเยี่ยมเยียน​และให้คำแนะนำเกี่ยวกั้บการ​ใช้คำท่ีฟุ่มเฟือย​และไม่มี​ความจำ​เป็น​ต้อง​ใช้ ​คือ ​ใช้คำเหล่านั้น​ ​กับไม่​ใช้คำก็มีค่าเท่ากัน
​ซึ่งผมเองก็ยอมรับว่าละเลย​​ส่วนนี้มานานแล้ว​ ต่อ​ไป​จะพยายามทำให้ดีท่ีสุด

ขอขอบ​พระคุณ​เป็นอย่างย่ิ่ง ท่ีท่านพี่ๆ​ เหล่านี้ท่านมีเมตตาอารีย์เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่​และปรารถนา​จะช่วยเหลือกระผมให้​ได้พัฒนาขึ้น​​ไปอีกระดับหนึ่ง​ ขอกราบขอบ​พระคุณพี่คนนั้น​ท่ีอุตส่าห์ให้คำแนะนำ ​โดยท่ีผมไม่ทราบว่า​เป็นท่านใด ท่านปรารถนา​และเจตนาดีจริง ดุจติดทองหลัง​พระ

ขอให้​ความดีอันนี้จงสนองคืนสู่ท่านพี่ จงประสบ​แต่​ความสุข​ความเจริญ ย่ิ่ง ๆ​ ขึ้น​​ไป
สวัสดี
เปิดฟ้า ก้องหล้า

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น