![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...*ขณะที่พุทธบริษัทของวัดกำลังสาละวนอยู่กับการขุดทราย ตักทรายในหลุม...
วันเพ็ญ คือวันท่ีสาวท้องแก่พาสาววัยรุ่นไปพิสูจน์ความจริงในบึงน้ำกลางป่า เธอปวดท้องคลอดหาหมอตำแยกันวุน ใช้ผ้าถุงหามคนป่วยออกมาและโกลาหลพอสมควร ในจณะดวงไฟโผล่ขึ้นเหนือฟ้าวนเป็นวงกลม 3 รอบ แล้วหายวับไป*ขณะที่พุทธบริษัทของวัดกำลังสาละวนอยู่กับการขุดทราย ตักทรายในหลุมบ่อดินที่กว้างและสึกใส่ภาชนะเพื่อนำทรายเข้าวัด เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว สะท้านขวัญ บางคนขาสั่นมือสั่น เข่าอ่อน บานคนหวีดร้องด้วยความตกใจ บางคนยืนจ้องชะงักงันตัวแข็งตาค้าง
*ดวงไฟสว่างขนาดใหญ่ลอยจากบริเวณป่าละเมาะใกล้ ๆ พุ่งพรวดขึ้นไปกลางอากาศ แสงสว่างมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนดุจกลางวัน มันก็ลับหายไปในอากาศพร้อมกับความตะลึงงัน ในเวลาหนึ่งนาที
*เมื่องดวงไฟลับไป หลายคนรีบวิ่งกลับไปยังกุฏิพระซึ่งห่างไปจากที่นี้ประมาณ 100 เมตร บางคนยังมึนงงอยู่ หลายคนยังตาค้างด้วยความตกใจกลัวจนขนหัวลุก
*ขณะนั้นตาหมอแดง ซึ่งเป็นบุคคลที่ทราบพฤติกรรมนี้มาก่อนจึงทราบได้ ท่านได้เห็นสภาพของชาวบ้านตกใจกลัวถึงกับพูดว่า
*" ไม่ต้องตกใจกลัวหรอก มันเป็นเช่นนี้เอง ฉันเห็นมาหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นอันตรายหรอกนะ"
*ทุกคนต่างมุ่งกลับไปในวัด บางคนก็ไม่เอาทรายไป บางคนก็ยังนำทรายไปด้วย แต่หลายคนก็ไม่ลืมที่จะนำทรายใส่ภาชนะติดกลับไปด้วย บางคนเดินครึ่งวิ่งกลับขึ้นจากหลุมทราย บางคนล้มคว่ำ บางคนภาชนะใส่ทรายตก จึงเอาแต่ภาชนะเปล่าไป สร้างความโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง
*" ตาหลวงคะ ตาหลวงขา " เสียงแซงแซ่ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ " น่ากลัวมาก"
*"อะไรหรือ"
*" ไฟดวงใหญ่โผล่ใกล้ ๆ หลุมบ่อทราย ฉันขนหัวลุก ฉันกลัวเป็นที่สุด"
*" กลัวทำไม " ตาหลวงถามให้คิด "มันมีอะไรที่ต้องทำให้น่ากลัว มันแสดงอาการหลอกหลอนให้กลัวอย่างไร" ตาหลวงถาม
*" ไม่ครับ ไม่เคยมีคนใดเล่าถึงความสามารถของมันได้"
*" ฉันไม่กล้าออกไปขนทรายอีกแล้ว" หลอนพึมพำ พร้อม ๆ กับผู้อื่น
*" ฉันกลัวคะ ตาหลวง" สาวหนึ่งตอบโดยมิลังเล เสียงยังสั่นเครือ
*" มีอะไรหรือ"
*" ค่ะ มีแสงสว่างลุกช่วงใกล้ๆ หลุมบ่อทรายดวงโตเกือบเต็มฟ้า"
*" หรือ พระท่านคงจะทราบว่าเป็นอะไร แต่มิได้พูดว่าอะไร"
*ขณะนี้ผู้คนก็ทยอยกลับมาถึงวัดกันหมด บางคนนั่งใต้ต้นไม้ บ้างนั่งเป็นกลุ่ม ส่วนมากมาล้อมออกันอยู่ รอบ ๆ ศาลาการเปรียญ ซึ่งตาหลวงเจ้าอาวาสนั่งอยู่
*มีหญิงหนึ่งท้องแก่ เธอพยายามแบกกะละมังใส่ทรายและเดินมาช้า ๆ ด้วยความพยายามและอดทนจนกระทั้งมาถึงกองทราย และเททรายลงบนกองทรายของเธออย่างสุภาพ ช้าๆ อาการของเธอมิได้รู้สึกสั่นกลัวอะไรทั้งสิ้น เธอยังสงบ และนั่งลงใต้ต้นมะขามใกล้ ๆ คืนนี้อากาศดี จันทร์กระจ่างสว่างไสว เป็นคืนเพ็ญเดือน 6 เมื่อขนทรายเข้าวัดพอสมควรแล้ว ก็จะถึงเวลาเวียนเทียน และฟังการแสดงพระธรรม การปฏิบัติธรรม แสะสนทนาธรรม แต่ตอนนี้ชาวบ้านรู้สึกกลัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคนใจยังเต้นทึก ๆ อยู่ บางคนก็หวาด ๆ อยู่ มีการสนทนา ซักถามพูดคุยกันเซ่งแซ่ บางกลุ่มก็นั่งนิ่ง ๆ
*สาวท้องแก่ก็ลุกและเดินทางกลับไปที่บ่อทรายอีก โดยมิแยแสว่าใครจะห้าม จะมองหรือเรียกกลับสักกี่คนก็ตาม เธอทำเฉย มุ่งเดินไปพร้อมภาชนะใส่ทราย ทำให้หลายคนลุกขึ้นบ้าง นำภาชนะขนทรายตามไปด้วย หลายคนยังนั่งอยู่เฉยๆ เพราะยังไม่สิ้นความกลัวและสงสัย คำวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา คงฟังไม่ได้ศัพท์ต่อไป
*เด็กสาวกลุ่มหนึ่งวิ่งไปถึงสาวท้องแก่ด้วยความเป็นห่วง
*" น้า ๆ น้าไม่กลัวบ้างหรือ" เด็กสาวกลุ่มนั้นถาม
*" กลัวอะไรหรือ"
*" แสงสว่างนั้น"
*" น้าเคยเห็นมาแล้ว ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใครหรอก ไม่ต้องกลัวนะ"
*"แต่หนูกลัวนี่"
*" ทำไมจึงกลัว" สาวท้องแก่ถาม
*" กลัวว่าจะเป็นปีศาจร้าย อาจมาทำร้ายเราได้"
" ถ้าเป็นสัตว์หรือปีศาจร้าย หรือวิญญาณร้าย คงจะมีใครได้รับอันตรายกันไปบ้างแล้ว นี่มีไหม ผู้ที่ได้รับอันตราย มีแต่ที่ตกใจกลัว และล้มเท่านั้น"
*" แต่ฉันกลัวจริง ๆ นะน้า"
*" ทำไมจึงกลัวกันหละ"
*" กลัวเพราะเชื่อว่าอาจจะเป็นอันตรายแก่พวกเราได้"
*" มีไหม ที่เธอเชื่อเช่นนั้น"
*"ไม่มี"
*" พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ได้ค้นพบหลักธรรมชาติและตรัสรู้ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์มากกว่า หรืออริยะสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค " ทุกคนฟังเงียบ เธอจึงอธิบายต่อว่า " ทุกชีวิตเกิดมาเพื่อผจญทุกข์ การเกิดเป็นทุกข์ การเจ็บป่วยเป็นทุกข์ การตายหรือการสูญเสีย หรือการพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเป็นทุกข์ สมุทัย คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นิโรธ คือวิธีการดับทุกข์ และมรรค คือทางดับทุกซึ่งมีมรรค 8 ประการเช่น ดำริชอบ ตั้งใจชอบ พยายามชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ ฯลฯ
*" แล้วพระพุทธเจ้าสอนเกี่ยวกับความเชื่อไว้อย่างไรละน้า"
*" พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรเชื่ออะไรทันที่ ให้เชื่อด้วยเหตุและผลว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ คือเชื่อเหตุและผล มิให้เชื่อโดยเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เล่าต่อกันมา เรื่องนั้นเล่าโดยครูอาจารย์ของเรา มิใช่เป็นเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมา ไม่เชื่อโดยเขาบอกว่าเป็นอย่างนั้นคอย่างนี้ ฯลฯ"
*" คนที่เขาหลอกลวงกัน ทำไมเขาเชื่อและโดนหลอกได้ง่ายละค่ะ"
*" เพราะเขาเชื่อเพียงคำบอกเล่า เขาไม่สืบหาสาเหตุ ความเป็นมา ไม่ติดตามข่าว ไม่ตั้งสมมุติฐานว่า น่าจะเชื่อได้หรือไม่ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ฯลฯ เมื่อเราใช้เหตุผลก็จะพบความจริงว่า ข่าวลือ ข่าวเหล่านั้นควรเชื่อได้หรือไม่ เพราะเหตุใด"
*" ทำไมต้องไปเชื่อเมื่อเขาทำให้ดูอยู่เสมอ เช่น ชายคนหนึ่งเดินมาก่อนเราพบสร้อยทองตกอยู่เส้นโต เขาจึงนำมาแลกกับเรา เราก็เชื่อว่าเขาพบจริง เป็นทองจริง จึงยอมแลก ปรากฏภายหลังว่าเป็นสร้อยเส้นโตที่ปลอม"
*" ก็น้าบอกแล้วว่า ในตลาดนั้นมีคนเดินไปเดินมาพล่านไปหมด ถ้าสร้อยตกจริงก่อนนี้เพียง 1 นาที จะมีคนพบและนำไปแล้ว คงไม่วางอยู่ให้มีคนพบได้อีก ไม่วางอยู่ให้คนเดินหน้าเราไปเจอหรอก หรือคิดว่ามันตกลงจริง เมื่อมีคนพบคนเห็นมีการพูดแล้วเจ้าของสร้อยตัวจริงก็จะรู้และเอาคืนไปได้ นี่เพราะไม่ได้เฉลียวใจแม้สักนิดว่าจะถูกหลอก เพาะเชื่อง่าย เชื่ออย่างไม่มีเหตุผล"
*" แล้วน้าจะคิดว่ามันควรเป็นสิ่งใดละ ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดจากฝีมือใครสักคน หรือย่างหนึ่งอย่างใด"
*" น้าคิดว่าคงจะไม่มีคนทำให้เกิดขึ้นหรอก เพราะบริเวณนั้นเป็นป่าและมีแสงจันทร์วันเพ็ญสว่างไสว น้าคิดว่ามันจะต้องเกิดจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งแน่นนอน เราลองไปสำรวจกันไหมละ พวกเธอมีไฟฉายบ้างไหม "
*" ไม่มีหรอกน้า"
*"ทำอย่างไรดี"
*" น้าขา พี่ชายขอหนูเขามีไฟฉายมาด้วย ฉันจะไปยืมพี่ชายมาก่อน ใครจะไปเพื่อนฉันกลับไปวัดบ้างนะ" ทุกคนจะไปกันหมด
*" ไปสอง สามคนก็พอ คอยอยู่เป็นเพื่อนน้าทางนี้ด้วย"
*" น้าก็ขี้ขลาดเช่นกัน"
*" อย่าพูดเช่นนั้นนะหลาน"
*" น้าไม่ยอมรับความจริงมิใช่หรือพวกเรา"
*"เ ราจะต้องไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาจึงจะเชื่อถือได้ มิใช้สักแต่ใครคนใดคนหนึ่งว่าแล้วก็เชื่อ"
*"ได้มาแล้วน้า ไฟฉาย " สามคนดีใจมากที่สามารถผจญความเปล่าเปรี่ยวเงียบของราตรีมาได้อย่างสนุกสนาน พร้อมความภาคภูมิใจ ที่ให้ชายคนหนึ่งเป็นผู้ประเสริฐว่า เป็นพ่อของลูก
*"ส่งไฟมาให้น้าก่อน"
*"เดินตามฉันมา และ ขอให้เงียบ ๆ ใครทำไม่ได้ คอยอยู่นี้หรือกลับวัดไปก่อนก็ได้" เธอยื่นคำขาด
*เธอรับไฟฉายมาถือไว้ วางภาชนะใส่ทรายลง พร้อมออกเดินนำไปในป่า
*" ขอให้เดินตามหลังมานะ"
*" ฉันกลัวนี่ ฉันเดินหลังสุดไม่ได้หรอกน้า"
*" ตามน้ามาเถอะ อย่าแยกทางกันจะพลัดหลงกัน กลางคืนนี้อันตรายนะ"
*เธอนำเด็กลุ่มสาวเดินเข้าไปในป่าละเมาะลึกเข้าไปทันใดนั้น
*" แกว่ว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ " ทำให้บางคนตกใจกลัวถลันเข้ามากอดเธอ เธอปลอบว่า
*" ใจเย็น ๆ หลาน " เสียงนั้นไม่น่าวิตกหรอกเป็นเสียงแมวทะเลาะกัน" พร้อมเธอส่องไฟฉายไปที่แมวกำลังทะเลาะกัน เห็นตาแดงกกล่ำ " โล่งใจเสียที"
*เธอนำหลาน ๆ เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เพราะเธอท้องแก่นั้นเองจึงทำให้การเดินทางล่าช้าไปบ้าง แต่มันไม่ใช่ปัญหา
*ทันใดเมฆกลุ่มใหญ่ถูกลมพัดลอยมาบังแสงจันทร์ในขณะนั้นแหละทำให้บริเวณนั้นมืดลง เธอจึงใช้ไฟฉายนำทาง เดินไปเรื่อย ๆ เธอไม่รู้สึกเหนื่อยแต่ประการใด แม้จะเดินอุ้ยอ้ายก็ตาม แต่หลาน ๆ รู้สึกเครียด ระแวงภัยอันตรายต่าง ๆ ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง และเมื่อไหร่เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ดังเช่นที่เจอแมวทะเละกันเมื่อตะกี้นี้
*ทันใดนั้นมีเสียงกระพือปีกของนกตัวใหญ่ มันบินแวบตัดหน้าไปเพียงเล็กน้อย ลมจากแรงกระพือปีก ทำให้ทุกคนเย็นวูบไปทันที หลาน ๆ รู้สึกหวาดกลัวเขากอดกัน และกอดน้าแน่น
*" ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะหลาน เป็นนกกลางคืนตัวใหญ่ มันหากินอยู่ในบริเวณนี้ ยามกลางคืน มันหลบนอนอยู่ในบริเวณสุมทุมพุ่มไม้ที่ปลอดภัย เมื่อเราเดินผ่านมันก็ตกใจกลัวและบินหนีไป"
*ทันใดนั้น ข้างหน้าไม่ไกลนัก มีแสงสว่างโผล่ขึ้นมาทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวและเห็นได้ด้วยตาสัมผัส ทุกคนยืนรวมเป็นกลุ่ม กอดกันและจ้องไปยังแสงสว่างนั้น ต่างคนต่างคิดและกลัว แสงสว่างคอยมากขึ้น จ้าขึ้น ขยายดวงโตขึ้น กว้างขึ้นเหมือนกับแสงจันทร์สาดส่อง จนกระทั้งแสงนั้นโผล่ขึ้นมาจากสระน้ำจนเสมอดินและลอยสูงขึ้น ๆ ดวงกลมโตมาก ๆ ลอยขึ้นไปเสมอยอดไม้และลอยสูงขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
*ขณะนั้นพุทธบริษัทและพระภิกษุในวัด ต่างจ้องมองตาพุ่งตรงไปยังแสงสว่างนั้น จนกระทั้งลอยสูงขึ้นเหนือฟ้ายามราตรี เช่นนี้ ทุกคนต่างคิดถึงสาวท้องแก่และเด็กสาว กลุ่มที่อยู่ด้วยกัน ว่าคงจะเห็นภาพเหล่านี้แล้วจะมีความรู้สึกอย่างไร จะมีการตกใจถึงกับนิ่งสลบกันบ้างหรือไม่ ทุกคนต่างภาวนาให้คุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองให้เธอและกลุ่มเด็กสาวปลอดภัยกลับมาทุกคน
*เมื่อดวงไฟสว่างลอยสูงขึ้น และหายวับไปในบรรยากาศ ทุกคนตกใจสั่นขวัญหาย มันหายไปได้อย่างไร จะมีอาเพศอะไรบ้างกับผู้ที่พบเห็นบ้างหรือไม่ มีบางคนสงสัย
*" น้า มันหายไปแล้ว มันหายไปไหนน้า "เด็กสาวเร่งถามด้วยความสงสัย
*"น้าก็ไม่รู้คะ"
*" เราจะกลับกันหรือยัง ฉันพอแล้ว ฉันกลัวจนขนหัวลุก" สาวหนึ่งเสนอความเห็นทันที
*" ยังหรอก เรายังไม่ถึงเป้าหมายปลายทางของเรา เราต้องไปให้ถึงที่สระนำ้ที่จะพิสูจน์ ดูให้เห็นซิว่ามันเป็นอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดขึ้นที่ไหน ห่างไกลเท่าไร เราอยากรู้ไหม"
*" อยากรู้คะ ฉันยังไม่กลับ ใครจะกลับก็กลับไปเถอะ"
*" ไม่ ฉันก็ยังไม่กลับ" หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน
ยามราตรียังมืดอยู่เพราะเมฆมาปิดบังดวงจันทร์ในยามเต็มดวงของเพ็ญเดือนหก ที่เรียกว่าวิสาขะนี้ เธอก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายปลายทางที่จะนำเด็กสาว ๆ ไปพิสูจน์ความจริงให้ปรากฏไม่เชื่ออย่างงมงายและเชื่ออย่างมีเหตุผล " เดินต่อไป"
*ขณะนั้นเธอส่องไฟไปข้างหน้าเห็นดวงตาสองดวงลอยอยู่เหนือพื้นดินประมาณสูงกว่าระดับศีรษะของมนุษย์ ทำให้พวกเธอใจหายวาบ มีมือหลายมือมาเกาะเธอแน่น " อะไรน้า"
*"เงียบ " เธอกระซิบเบา ๆ
*เมื่อส่องไฟดูแน่ใจแล้วว่าเป็นงูเหลือมขนาดใหญ่ห้อยตัวอยู่บนต้นไม้เพื่อคอยดักจับเหยื่อที่เดินผ่านไปมา เราหลีกไปทางโน้นอย่าเข้าใกล้มัน"
*" คิดว่าเราคงจะไม่เจอมันอีกนะน้า" คนหนึ่งพยายามแสดงความคิดเห็น
*" คงผ่านไปได้นะ"
*" อย่าส่งเสียงดังนะ"
*เมื่อเดินอ้อมปลวกที่มีงูเหลือมอยู่บนต้นไม้ไปได้แล้ว ครู่หนึ่งก็มาถึงหนองน้ำ ซึ่งมีน้ำลึกสีดำปนเขียว มองภาพผิวน้ำเป็นมันกระเพื่อม แวววาวเมื่อกระทบแสงไฟฉาย ดวงจันทร์ยังไม่โผล่จากก้อนเมฆ
*" ส่องดูนาน ๆ จะน้า จะได้รู้ว่าในสระนี้มีอะไรบ้าง"
*ไม่เห็นอะไรแปลกปลอม ซึ่งรอบบริเวณสระมีต้นไม้รกชัฏหน้าทึบครึ้ม ซึ่งพบได้เพราะแสงกระทบน้ำและสะท้อนไปจับที่ยอดไม้อีกฟากหนึ่งจึงช่วยกันหาสิ่งที่ทำให้แสงสะท้อน จนเจอหนองน้ำ
*ทั้งหมดคอยเฝ้าสังเกตดูว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้างหรือไม่ ปรากฏว่ามีแสงเรืองสว่างขึ้นจากน้ำ เหนือน้ำระยิบระยับ แสงสว่างจ้าขึ้น จากแก๊สในก้นสระซึ่งเกิดการทับถมของใบไม้นานๆ มันย่อยสลายและกลายเป็นแก๊ซมีเทน เมื่อมีจำนวนมากก็ลอยขึ้นมา กระทบกับออกซเจน(อากาศ)กลายเป็นแสงไฟสว่างจ้าดังท่ีเห็น ลอยข้นไกลางอาศ มันเกิดการเผาไหม้ จนหมดกา๊ซมีเทน มันก็ดับไป (สิ้นแสงสว่าง)ทันใดนั้น
*เธอยื่นไฟฉายให้น้อง ๆ แล้วเอามือทั้งสองลูบที่หน้าท้อง เธอมิได้พูดอะไร แต่ใบหน้าของเธอแสดงอาการเจ็บปวด
*" นั่งลงก่อนน้า " สาวหนึ่งแสดงความคิดเห็นเขิงแนะนำ พร้อมฉายไฟพบรากไม้ใหญ่จึงช่วยกันพยุงให้น้านั่งลงบนรากไม้
*" น้าครบวันคลอดเดือนไหน" คนหนึ่งถาม
*"เดือนนี้แหละ"
*" ใช่ น้าคงเจ็บคลอดแน่ ๆ จะทำอย่างไรดี"
*"เราช่วยกันหามน้าออกไปที่วัดก่อน" สาวคนหนึ่งแสดงความคิดเห็น
*"ไม่ได้" คนหนึ่งค้านพร้อมบอกว่า " ถ้า น้าคลอดระหว่างทางจะทำอย่างไร"
*" เอาอย่างนี้ ไหมละ เราแบ่งเป็น 2 พวก พวกแรกไปในวัดตามหมอตำแยและพามาที่นี้"
*"ถ้า หมอตำแยอายุมากไปละ ก็ช่วยกันหามมาก็ได้"
*" เธอสี่คนไปเถอ เราอยู่ทางนี้จะหามน้าออกไปเรื่อย ๆ อาจจะมาพบกันคนละครึ่งทางก็ได้ ถ้าเธอถึงวัดก่อนนำคนมารับด้วย ถ้าไม่มีหมอตำแย หรือให้ใครไปตามหมอตำแยก็ได้"
*" เราแยกกัน ต่างคนต่างทำ"
*" เธอเอาไฟฉายไว้ที่นี่นะ เพื่อมีปัญหาระหว่างทาง พวกเราไปทางโน้น ตอนนี้ดวงจันทร์ กระกระจ่างฟ้า ไม่มีเมฆบังแล้ว"
*เดินมาไม่นานก็จำปลวกที่มีงูอยู่ได้ จึงอ้อมไปเดินครึ่งวิ่งไปเรื่อย ๆ ส่งเสียงตะโกนเรียกกันไปอย่างสนุกสนาน เพื่อขับไล่ความกลัว ในขณะที่ปฏิบัติกิจกรรมกลางป่าเช่นคืนนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกตื่นเต้น ระทึกใจ ผสมความห่วงใย ที่มีต่อหน้าผู้หญิงและทารกน้อยที่จะคลอด
*" เราจะต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ อย่างสุดความสามารถด้วยชีวิต เร็วเข้าเถอะ"
*ยายละม้ายเป็นหมอตำแยอยู่ในตำบลนี้ มีสามีเป็นผู้ช่วยด้านคาถาอาคม คนป่วยเจ็บปวดทนไม่ไหวจึงสิ้นชีวิต ตาแดงสามีของหมอละม้ายสามารถเป่าคาถาบนกระหม่อมผู้ป่วยเพื่อไม่ให้เจ็บปวด คนป่วยก็ไม่เจ็บ หมอแดงเองก็ไม่ได้เจ็บตรงส่วนไหนด้วย มีคนเล่าว่า หมอตำแยบางคน สามารถสั่งให้คนป่วยไม่เจ็บได้แต่ตนเองต้องรับเจ็บปวดแทนที่หน้าแข้ง สำหรับหมอแดงแล้ว ถ้าคลอดไม่ออก ท่านจะมาอยู่บริเวณที่เป็นศีรษะคอยคอยเป๋าช่วยในการเบ่งเกิด เสกเป่าไปทารกก็เคลื่อนผ่านช่องคลอดออกมา ท่านเสกเป่ากระหม่อมจนสามารถให้ทารกออกมาได้อย่างปลอดภัย
*ถ้าเด็กคลอดเอาขาออก หรือขวางส่วนใดส่วนหนึ่งคลอดไม่ออก เป่ากระหม่อมก็ไม่ออกตาแดงก็จะให้ยายละม้ายเอาใบพลูปิดทับอวัยยะเพศเหนือช่องคลอดแล้ว ตาหมอแดงก็เสกเป่าคาถาบนมีดหมอ แล้วนำมีดหมอมาแสดงการกรีดเหนือใบพลู แต่ไม่ถึงใบพลู แล้วท่านสั่งให้แม่เบ่ง ทารกก็จะคลอดออกมาได้อย่างง่ายดาย ถ้าแม่ขาดความรู้สึก ท่านหมอแดงก็จะไปเสกเป่าที่กลางหม่อมของแม่ช่วยให้การแบ่งของแม่ ๆ มีอำนาจและสามารถคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย เป็นเรื่องที่แปลกและกล่าวขานกันทั่วไปในตำบลนี้และตำบลใกล้เคียง
*หมอแดงท่านเล่าว่าตอนที่ท่านเป็นหนุ่มอายุ 21 ปีได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้เรียนคาถาอาคมกับอาจารย์พ่อท่านกาเดิมในป่าช้า โดยอาจารย์นำหมอแดงไปในป่าช้าตอนพลบค่ำ ให้หมอแดงเอามือโอบต้นไม้ไว้ แล้วท่านอาจารย์เอาด้ายอาคมพันรอบหัวแม่มือทั้งสองข้างของคุณตาแดงมามัดติดกันด้วยคาถาอาคม ตาแดงไม่สามารถเอามือออกจากกันได้ทั้งที่ไม่มีเชือกผูกมัดไว้เลย ตาหมอแดงจะต้องใช้คาถาอาคมที่อาจารย์บอกให้ใช้ภาวนาเพื่อแก้มนต์ให้ได้ เมื่อสามารถแก้มนต์ได้ก็จะได้กลับไปนอน ถ้าหากไม่สามารถแก้ได้ก็จะต้องทนตากยุง ให้ยุงกัดอยู่ตลอดคืน ถ้าไม่สามารถแก้ได้ด้วยตนเองได้ รุ่งเช้าอาจารย์ก็จะมาแก้ให้และนำกลับไปวัด จะมีการฝึกแก้ในคืนต่อไป จนสามารถแก้มนต์ได้สำเร็จจึงจัดเป็นการจบหลักสูตร คืนนั้นตาหมอแดงทั้งขลาดทั้งกลัว และถูกยุงกัด มีเสียงนกกลางคืนร้องน่ากลัวมาก บางขณะงูไล่กบเขียดมาที่เท้าต้องยืนนิ่ง ใจหายใจคว่ำเหมือนกัน ตาหมอแดงสามารถรวบรวมสมาธิแก้เชือกมนต์ได้ ก่อนสว่าง จึงได้กลับไปพักผ่อนก่อนตะวันจะทะยานสู่ท้องฟ้า ถ้าไม่สามารถแก้ได้ ท่านอาจารย์จะมาแก้มนต์ให้ ก่อนจะไปบิณฑบาต แล้วคอยให้ศึกษาต่อในคืนต่อไป เป็นการเรียนด้วยการปฏิบัติจริง
*ขณะที่นั่งอยู่ในศาลาการเปรียญ ยายหมอละม้ายเกิดมีอาการกระตุกที่ตาข้างซ้าย ท่านทราบว่าจะมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ยายจึงหลีกจากกลุ่มคนมานั่งสงบอารมณ์ก็ทราบได้ว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือ อยู่ในป่า ยายจึงลุกและเดินอย่างรวดเร็วทันทีเหมือนคนปกติ ที่จริงแล้วยายละม้ายมักจะออด ๆ แอด ๆ คือเมื่ออยู่ตามลำพัง พอทราบว่ามีคนมาหาไปทำการคลอด ยายก็จะมีกำลังวังชาสามารถเดินคล่องแคล่วทันที แต่ยายไม่รับทำแท้ง
*เมื่อสาวกลุ่มแรกได้เดินทางออกมาแล้ว กลุ่มที่ 2 ซึ่งอยู่กับหน้าสาวท้องแก่กำลังจะคลอด สาวคนหนึ่งนุ่งกางเกงในแบบกางเกงขาสั้น เธอจึงได้สละและถอดผ้าถุงออก เธอให้เพื่อนช่วยถือคนละมุมปูลงใกล้ ๆกับที่น้าสาวนั่งแล้วช่วยกันยกไหล่ เท้าสะโพกเลื่อนน้าสาวให้มานั่งในผ้าถุงที่ปูไว้ แล้วนัดแนะกันรวบมุมผ้าถุงคนละมุมยกน้าสาวขึ้น มีบางคนช่วยดึงข้าง ๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือสามารถหามน้าสาวเดินออกมาได้ น้าสาวยังคงบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมเสียงครางเบา ๆ
*"ทนหน่อยนะน้า เดี๋ยวก็จะออกไปถึงวัด "สาวคนหนึ่งปลอบใจ เมื่อมีอาการเมื่อยหรือเหนื่อยมือก็เปลี่ยนกันจับผ้าถุง หามน้าสาวออกมาจนสามารถเดินอ้อมผ่านปลวกที่มีงูเหลือมอยู่มาพอสมควร ความเจ็บก็กำเริบขึ้น เธอบิดตัวไปมาจับข้อมือของสาวที่หามใกล้เธอแน่น สาวที่อยู่ด้านหน้านำผ้าเช็ดหน้าของตนให้หน้าสาวคาบไว้ เหงื่อของเธอเม็ดโต ๆ ไหลเปียกโชกชุ่มทั้งตัวและมีกลิ่นรุนแรงขึ้นกว่าเหงื่อที่ออกกำลังกายทั่วไป
*คุณยายหมอละม้ายเดินมาพบกลุ่มสาวระหว่างทาง ยายจึงบอกให้พวกเธอครึ่งหนึ่งไปวัดเพื่อเอาน้ำร้อน ส่วนยายและสาวอีกอีกครึ่งหนึ่งรีบเข้าไปในป่าตามเส้นทางที่แหวกเป็นช่องเห็นได้ในยามราตรีที่มีจันทร์เพ็ญกระจ่างฟ้าวิสาขะบูชานี้
*เมื่อกลุ่มสาวถึงวัดพบว่ามีน้ำร้อนต้มเดือดพอดี จึงขออนุญาตต่อพระขอน้ำร้อน พระอนุญาต เธอจึงใช้ผ้ารองมือนำกาน้ำร้อนตามเข้าไปในป่าพร้อมตะเกียงเจ้าพายุ ซึ่งให้แสงสว่างจ้าดุจกลางวัน
*เมื่อยายละม้ายให้สัญญาณ ตาหมอแดงก็จะตามเข้าไป เพราะท่านเองก็ทราบว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะท่านได้ผ่านการฝึกและปฏิบัติธรรมขั้นสูงมา สามารถถอดจิตติดตามดูสถานการณ์บางอย่างได้ ท่านจึงได้ขออนุญาตนำบานประตูกุฏิของพระซึ่งทำด้วยไม้ไผ่สับไปด้วย พระอนุญาตให้ ตาหมอแดงจึงขอผ้าขาวม้าของลูกหลานและเพื่อนได้ 5 ผืนนำไปด้วย จึงได้เดินตามหลังยายไป
*ขณะนั้นเวลาประมาณ 20 นาฬิกา หลังจากที่ทุกคนได้พักผ่อนคลายเหนื่อยจากการขนทรายเข้าวัด ทำเจดีย์ทราย ก็เตรียมพร้อมจะเวียนเทียนกันอยู่
*อาการของน้าสาวปิดเบี้ยวปากแหย่เจ็บปวดมากเหงื่อกาฬตก ขณะนั้นมีน้ำไหลลงสู่พื้นดิน สาว ๆ ก็เอะใจไม่รู้จะทำอย่างไรดีได้ จึงได้วางผ้าถุงลงกับพื้นที่เรียบใต้ต้นไม้"
*"อาการอย่างนี้ ผู้หญิงเขาบอกว่าน้ำทังแตก แต่ยังไม่คลอด พร้อมที่จะคลอดอยู่แล้ว" สาวหนึ่งได้ประสบการณ์ของคุณแม่ได้บอกกับเพื่อน ๆ
*ทันใดนั้นยายละม้ายก็มาถึงบริเวณที่สาว ๆ วางน้าสาวไว้กับพื้น
*" ยาย โชคดีจังยายมาแล้ว น้ำทังแตกแล้วยาย" สาวกลุ่มนี้บอกยายด้วยความดีใจ ทุกคนยิ้มออกได้
*ยายเข้าไปนั่งลงข้าง ๆ พร้อมคลำท้องดู แล้วขยับมาด้านปลายเท้า
*" เธอช่วยงอเข่า ตั้งชันขึ้นทั้งสองข้าง " ยายละม้ายบอก
*ยายถกผ้าถุงขึ้น ยายคิดว่าศีรษะทารกกำลังจะโผล่ออกมา
*" พวกเธอช่วยถอด กางเกงใน ของน้าสาวออกด้วย " ยายสั่ง สาวๆ ก็รีบจัดการทันทีด้วยความตื่นเต้น เธอเห็นศีรษะมีผมดำ ๆ กำลังโผล่ออกมาจะพ้นช่องคลอดอยู่แล้ว
*"เบ่งลูก" ยายหมอละม้ายสั่งคนท้อง " พวกเธอช่วยกันจับไม้จับมือและจับเท้าด้วย"
*" พร้อมแล้วยาย เบ่งได้น้า" สาวตะโกนบอกด้วยดีใจระคนตื่นเต้น
*เพียงอึดใจเดียวเด็กก็เคลื่อนออกมาที่ละนิดจนผ่านเลยลำตัวและหลุดออกได้อย่างปลอดภัย พร้อมด้วยน้ำคลำ ซึ่งยายหมอละม้ายก็รับเด็กไว้
*"คลอดแล้ว" สาว ๆ อุทานพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
*"ไชโย ๆ ๆ " สาวอีกกลุ่มที่กลับจากวัดพร้อมกลุ่มคนมีตาหมอแดง ชาวบ้าน บานประตู ตะเกียง มาถึง พร้อมกันและได้ยินคำว่าคลอดแล้วในระยะใกล้ชิดประมาณ 20 เมตรก็ถึง
*"เหง่ง ๆ ๆ ๆ ๆ" เสียงระฆังดังแว่วมาจากวัดเป็นจังหวัดยาวติดต่อกัน เพื่อให้ผู้กันเวียนเทียนในคืนวิสาขะบูชา
*แสงไฟจากตะเกียงทำให้สถานการณ์ดีขึ้นทุกอย่าง ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างโผล่ขึ้นเหนือป่าไม้ลอยขึ้นไปกลางอากาศสามารถกลบแสงของตะเกียงได้ ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียวกัน เด็กส่งเสียงร้องจ้า ดวงไฟสว่างลอยอยู่ในท้องฟ้าและทำการทักษิณาวัตรไปรอบ ๆ ที่พวกเรานั่งอยู่ เป็นจำนวน 3 รอบแล้วก็หายไป เด็กก็หยุดร้องไห้ มีอาการยิ้มผ่องใส สร้างความตื่นเต้น และตกใจกลัวให้แก่กลุ่มสาว ๆ พร้อมกัน
*กลุ่มคนในวัดกำลังแห่เทียนรอบศาลาการเปรียญอยู่เห็นดวงไฟขนาดใหญ่ลอยขึ้งสูงสว่างจ้ามาถึงที่วัดซึ่งเขาเวียนเทียนอยู่ก็ต้องหยุดลงทันใด คนตีระฆังก็หยุดด้วยความงุนงงและตื่นเต้นระคนหวาดกลัว เพราะไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด เมื่อดวงไฟเวียนเป็นวงกลม 3 รอบและหายไป สร้างความระทึกใจแก่ทุกคน มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ่งแซ่ไปทั้งวัด ความสงสัยทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มท่ีไม่ได้เข้าไปในป่า สำหรับสาวๆท่ีเข้าป่ามากับน้าสาวใกล้คลอดไม่รู้หวาดกลัวหรืิอหวั่นไหวใด ๆ ทั้งสิ้นกระบวนหามแม่ลูกอ่อนออกมาพร้อมทารกหญิงขาวอวบที่น่ารัก
*เจ้าอาวาสได้พิจารณาถึงบุคลิกของทารกแล้วบอกได้ว่าเป็นผู้มีบุญญาบารมี จะได้เป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต จึงได้ตั้งขื่อทารกน้อยผู้นี้ว่า "วันเพ็ญ" ตามวันสำคัญในพระพุทธศาสนาในวันนี้ แปลว่า เต็มพร้อมบริบูรณ์ดี สวยพร้อมทุกอย่าง
*จากนั้นมาเกือบห้าสิบปีไม่เคยปรากฏแสงหรือดวงไฟบนท้องฟ้า เช่นคืนนี้อีกเลย
เมื่อวันที่ : 24 เม.ย. 2558, 11.33 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...