![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
บ้านของอ้อเป็นอาคารไม้เสากลมสองชั้น ชั้นบนเรียบฟากฝาจากมุงด้วยจากเป็นทั้งห้องนอนและห้องครัว ชั้นล่างโปร่งมีแคร่วางไว้เป็นที่รับแขก มีหม้อดินใส่น้ำวางไว้หน้าบ้านสำหรับล้างเท้า ล้างหน้า ล้างมือยามเหน็ดเหนื่อยจากงานและมีหม้อขนาดกลางสำหรับน้ำดื่ม ตัดด้วยกะลาขูดขัดอย่างดีแทนขันน้ำ และกระบวย
วันนั้นอากาศร้อน อ้อนั่งบนแคร่ใต้ถุนบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิด จะนั่งจะนอนก็ร้อนรุ่มไปหมด เธอมีความรู้สึกร้อน ๆ ผ่าว ๆ คล้ายกับมีใครนำไฟมาสุมไว้ในดวงใจ เธออยากจะกินอะไรสักอย่างที่มีรสเปรี้ยว เพราะเธอรู้สึกเปรี้ยวปากอารมณ์ตนเองเป็นอย่างไรไม่สามารถอกใครได้ แต่สิ่งที่อยากจะกินมันไม่มีสักอย่าง แต่ถ้ามีคนออกไปตลาดเธอสามารถสั่งซื้อของที่เธอปรารถนาแล้ว เขาผู้นั้นจะคิดค่าบริการเป็นหมื่นเป็นพัน ก็ยินยอม แต่ไม่มีที่จะหา
"จะนั่ง จะนอน จะเดินก็ไม่ไหว เดินไม่คล่อง จะทำอะไรหงุดหงิดไปหมด" อ้อรำพึงกับตนเอง
ขณะที่อ้อกำลังทุรนทุรายอยู่นั้น มีชายคนหนึ่ง ปกติชายคนนี้จะเดินหาบของพะรุงพะรังมาจำหน่าย แต่ในวันนี้ไม่มีสิ่งที่มีรสเปรี้ยวที่อ้อปรารถนาสักอย่างเดียว
อ้อรู้สึกทรมาน ทุรนทุรายยิ่งนัก นั่งอยู่ก็ไม่ไหว จึงปิดประตูบ้านแล้วเดินไปบ้านของญาติและเพื่อนบ้านเรื่อย ๆ ที่ละหลัง จนเกือบหมดทั้งหมู่บ้าน ซึ่งบ้านแต่ละหลังจะอยู่ห่างกันมากบ้างน้อยบ้าง อ้อเดินกว่าจะถึงแต่ละบ้านก็ต้องหยุดพักไปตลอดทาง บางครั้งเธอรู้สึกหวิว ๆ สั่น ๆ ปานใจจะขาด แต่เมื่อนั่งพักสักครู่ ก็สามารถเดินต่อไปอีกได้
บ้านหลังสุดท้ายนี้ อ้อเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า เพราะข้างบ้านมีการปลูกสับปะรดไว้ 4 -- 5 กอ มันออกผลเพียงกอเดียวผลเดียว ผลยังไม่สามารถนำไปรับประทานสุกได้ แต่ถ้าจะนำไปแกงส้มหรือแกงกะทิ ก็ได้ ผัดก็ได้ อ้อก็อุตส่าห์ขอแบ่งซื้อเขา เขาไม่ขายให้ทั้งที่เป็นคนรู้จักสนิทสนมกัน เป็นญาติกันด้วย
"น้าหนูขอแบ่งซื้อสับปะรดสักผลได้ไหม คะคุณน้า"
"ไม่ได้หรอกหลาน มีผลเดี่ยว มันเริ่มจะสุก กินสดยังไม่ได้ แต่จะแกงนั้นได้ อย่าเอามันเลยหลาน น้าก็มีแค่นี้"
อ้อ ได้ยินเช่นนั้นหน้าก็ถอดสี ลาเจ้าบ้านเดินมาเหนื่อยแสนเหนื่อยอยากจะนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน ท้องกำลังแก่ หน้าท้องตึงและหนัก แต่เธอก็จำใจลุกเดินจากบ้านนั้นไปด้วยความยากลำบาก เมื่อเลยบ้านคนไปแล้ว เธอก็นั่งลงพักผ่อนใต้ร่มเงาต้นไม้ อ้อเดินน้ำตาร่วงมาตลอดทาง ขณะนี้น้ำตาของเธอก็ยังไหลรินไม่ขาดสาย โดยเธอมิได้มีเจตนาหรือต้องการจะร้อง แต่มันหลั่งออกมาเอง มันไหลมาจากก้นบึงของหัวใจ เหมือนน้ำที่เอ่อล้นออกมา จากหัวใจอันบอบบางของเธอ อ้อรู้สึกปวดร้าวกว่าครั้งใด ๆ ในชีวิต แต่อ้อก็ต้องอดทนเพื่อมีชีวิตอยู่ในสังคม
อ้อเดินผ่านป่ามาไกลแสนไกล ทั้งที่อากาศร้อนใกล้จะเที่ยงวัน แต่อ้อนั้นรู้สึกร้อนหลายเท่านักจนเหงื่อแตกชุ่ม เมื่ออ้อเดินทะลุถึงที่โล่งเธอก็ต้องถอดเสื้อนอกแขนยาวออกคลุมศีรษะ น้ำตายังหยดไหลริน ไม่ยอมหยุดด้วยความน้อยใจ เสียใจ มันเป็นผลกระทบที่ใจอ้ออย่างแรงที่สุดในชีวิต อ้อปวด อ้อเจ็บกว่าครั้งใด อ้อไม่สามารถพูดให้ใครได้ยินว่าเธอมีความรู้สึกอย่างไรในขณะนี้ อ้อจำต้องอดทน ซึ่งปกติอ้อเป็นคนที่อดทน ขยันทำงาน มีความรู้เหมาะสมกับสถานการณ์
อ้อกลับถึงบ้านตอนเย็น ล้างเท้าแล้วล้มลงนอนด้วยความเหนื่อยและหิว น้ำตาของอ้อยังไหลซึมหยดลงมาเช่นเดิม และมากขึ้น มันเกิดจากความรู้สึกจากส่วนลึกของหัวของเธอในขณะนั้น ที่เป็นผลกระทบกระแทกอย่างแรง ตามที่ผู้เล่าสันนิษฐาน ผู้เล่าเองไม่สามารถทราบความต้องการหรือเจตนาของอ้อได้ เธอจะบอกผู้เล่าเมื่อไรหนอ ว่าเธอร้องไห้ทำไม
หญิงท้องแก่ลุกขึ้นนั่งทั้งที่น้ำตายังอาบแก้ม เธอนึกอะไรก็ไม่ทราบได้ เธอจึงเดินไปหลังบ้านเข้าไปในป่าลึกจนค่ำแล้ว เธอจึงกลับมาถึงบ้าน พร้อมด้วยบ่าสะพายอะไรมาด้วยผ้าเช็ดหน้าสี่มุ่มผืนใหญ่เก่าคร่ำคร่า ของก็ไม่มากนัก เมื่ออ้อมาถึงบ้านก็ร้องเรียกสามี เรียกแล้วเรียกเล่าก็ไม่มีคนขานรับ
" สามีเรานี่ช่างน่ารักเหลือเกิน เขาคงจะรักเมียมาก ๆ ออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนเช้า ค่ำแล้วก็ยังกลับไม่ถึงบ้าน เธอจึงเข้าไปในครัวหุงข้าวสุกแล้วและอุ่นแกงกะทิมะเขือผสมสะตอ กลิ่นแกงหอมอบอวลชวนกินมาก ๆ เมื่ออ้อหุงข้าวเสร็จไปอาบน้ำ รับทานข้าวโดยมิได้รอสามี เพราะหิวจนปวดท้องแล้ว เราหิวก็ต้องทานก่อน นี่ถ้าไม่มีท้องอยู่ อ้อก็จะคอยทานพร้อมกันไม่ว่าจะค่ำมืดสักเท่าไรก็ตาม อ้อทนได้เสมอสำหรับคนที่ตนรัก รักยิ่งกว่าชีวิต อุทิศให้ทุกอย่างสำหรับคนที่ตนรัก ส่วนเขาจะมีความรู้สึกเช่นอ้อหรือไม่นั้นไม่ทราบได้ ถึงจะอย่างไรอ้อก็รักเขาเสมอ รักด้วยใจ รักเกิดจากใจส่วนลึกจากก้นบึงของหัวใจ มิได้เกิดขึ้นผิวเผิน เพราะเดินผ่านพบ เพราะเขาช่วยหยิบผ้าเช็ดหน้าให้ หรือเพราะเขาหล่อกว่าใคร หรือเพราะเขามีเงินมาก พ่อเป็นราชการ แม่เป็นครู จะเอาอะไรอีกเล่า อ้อก็จะรัก เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม เขาจะกลายสภาพเป็นคนติดยาเรื้อรัง นั่งกินนอนกินเพราะเป็นอัมพาต หรือเป็นมะเร็งลุกเดินไม่ไหว เดินไม่ได้ก็ตาม อ้อยินดีปรนนิบัติสามีเสมอด้วยใจรักเช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะเอาตึก ราชวัง หรือดวงอาทิตย์มาแลกกับเขาก็ไม่ยอมรับ ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะชีวิตเขา คือส่วนหนึ่งของอ้อ แล้วจะขอมอบเป็นของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้าจะต้องเป็นชายอื่นจะขอยอมตายเสียดีกว่า นี้เป็นคำสัตย์จริงของอ้อ
เพื่อสุขภาพของผู้มาใหม่อยู่ในท้องอ้อก็จำเป็นรับประทานอาหารก่อนสามีเพื่อหล่อเลี้ยงลูกอันเป็นสุดที่รัก อ้อทานข้าวเสร็จบ้วนปากแปรงฟันด้วยสมุนไพรเสร็จแล้วออกมานั่งคอยสามีอยู่ครู่ใหญ่ จึงกลับเข้าไปในครัวหยิบสะพายที่ได้มาจากในป่าตอนค่ำออกมาเปิดกว้างออก โดยการแก้ชายผ้าที่ผูกติดกันออก ปรากฏว่าข้างในสะพายนั้นเป็นแง่จากทะลายระกำ อ้อได้จากในป่า เธอดึงแง่ทะลายของมันออกมาเพียงอันเดียว มันยังแก่ ยังไม่สุก แต่พอจะมีรสเปรี้ยว
คำนวณจากแง่ทะลายระกำมีประมาณ 6 -- 7 ผล อ้อจึงได้ดึงออกมาหนึ่งผล เธอจับที่ก้นและหัวของผลด้านที่ติดกับทะลายด้วยปลายนิ้วชี้กับปลายนิ้วหัวแม่มือ นำผลระกำไปถูกับฟากไม้ไผ่ ไป ๆ มา ๆ จนหนามเล็ก ๆของมันหักหมด มันไม่สามารถตำมือได้แล้ว เธอจึงบอกเปลือกของมันออก โดยการปอกส่วนหัวให้แตกแล้วบิดผลระกำให้หมุนขณะที่มืออีกข้างจับส่วนที่ทำให้มันแตกออก ผลมันหมุนไป เปลือกของมันก็หลุดออกเป็นสว่าน จนถึงส่วนสุดท้ายของมัน เธอจึงสามารถหยิบผลระกำออกรับประทานได้
อ้อมีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส อมยิ้มอยู่ในหน้า ขณะปอกเปลือกระกำ น้ำลายเธอไหล รู้สึกมีรสเปรี้ยวและน้ำลายมันไหลออกมาเอง และไหลออกมามากเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาอันเกิดจากความรู้สึกและสารเคมีภายในร่างกายของเธอเอง และของทุกคนที่เห็นส้มและเกิดความรู้สึกขึ้น
" คุณน้อย ......ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของอ้อ ที่ทุกคนให้การเคารพนับถือ ในฐานะผู้ที่อันพอจะมีพอจะกิน เป็นคนใจบุญอันเป็นทีเคารพนับถือของชนในหมู่บ้านยิ่งกว่าใคร แต่ทำไมจึงเสียดาย แม้แต่สับปะรดลูกเดียวเท่านั้น" เธอคิดเรื่อยเปื่อยเพราะมีเวลาว่างและสิ่งนั้นมันยังติดตรึงด้วยแรงกระทบที่รุนแรงมากสำหรับอ้อในครั้งนี้ และนั่งคอยสามีอยู่ เขายังไม่กลับมา
* " เขาไปเมาอยู่ที่ไหน เมาจนลืมเมียลืมลูกเล็กในท้องในไส้ไปเสียแล้ว หรืออาจมีเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือกำลังไปนั่งพรอดกอดสาวอื่นอยู่หรือไร ใครรู้ช่วยบอกหน่อย"
อ้อนั่งอยู่บนแคร่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านต่างเฉลี่ยง มีดวงจันทร์ดวงดาว ส่องก่อนวันเพ็ญทอแสงว่างจ้าอยู่ทางหน้าบ้าน เธอสามารถมองเห็นดาวบนท้องฟ้า และนั่งอาบแสงจันทร์อย่างอบอุ่นในความรู้สึก ผสมกับความหว้าเหว่และความปวดร้าวที่กระทบในวันนี้ ทำให้อารมณ์ของเธอผ่องใสขึ้นบ้าง
"จันทร์เจ้าขา... จันทร์มีหูมีตาสว่างไสว จันทราอยู่สูงมองเห็นได้ทั่วหล้า จันทร์จ๋า พบเห็นสามีของหนูบ้างไหม เขากำลังอยู่ในท้องถิ่นตำบลใด เขาอยู่ใกล้หรือไกล เขากำลังทำอะไร เขากำลังทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์และธรรมชาติหรือไม่ หรือเขากำลังเหยียบย่ำทำลายประเพณีและวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของไทยอยู่ หรือเขาไปกอดสาวอื่นอยู่"
" จันทร์จ๋า หนูคิดไปเอง กรุณาบอกได้ไหมว่า เขาจะกลับมาถึงเวลาเท่าไร หรือเขาเข้าพักอยู่กับใครที่ไหน อยู่บนถนน อยู่ในวัด อยู่ในบ้านแม่หม้าย อยู่ในโรงแรม อยู่บ้านสาวแก่ หรืออยู่ในซ่องนางโลม หรือที่ไหนคะ กรุณาช่วยบอกหนูด้วย"
* "จันทร์จ๋า หนูกำลังจะขาดใจตาย เพราะแพ้ท้อง อยากจะรับประทานส้ม ส้มก็ไม่มีขาย หนูไม่มีเรี่ยวแรง หนูก็อุตส่าห์เดินไปทั่ว หมู่บ้านย่านตำบลแต่ก็ไม่เจอส้ม จนไปพบที่บ้านญาติ ซึ่งอยู่ไกลออกไป ไกลแสนไกล สุดเขตหมู่บ้าน แต่เขาไม่ยอมให้ ไม่ยอมขาย ไม่เห็นใจหนู หนูอยากตาย ช่างเป็นกรรมเป็นเวรของหนูจริง ๆ "
"จันทร์จ๋า เอ็นดูและสงสารหนูด้วย จันทร์ช่วยชี้ทาง และนำหนูไปพบสามีของหนูหน่อยได้ไหม หนูกำลังจะสิ้นใจ เพราะขาดธาตุสารอาหาร ถ้าไม่ไปเจอผลระกำที่ในป่าลึกตอนหัวค่ำ ขณะนั้นหนูกลัวมาก ๆ กลัวความมืดในป่าพง กลัวสัตว์ร้ายนานาชนิด แสงสว่างจากตะเกียง จากดุ้นไต้ก็ไม่มี หนูกลัวจะตกลงไปในหลุมหรือเหวลึก ๆ หรือในแอ่งที่มีจระเข้อยู่ ๆ หรือมีงูพิษอยู่ มันอันตรายจริง ๆ แต่หนูก็สามารถกลับมาได้ ขอบคุณเทพาอารักษ์ คุณพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์อริยะทั้งหลายตลอดสิ่งศักดิสิทธิ์ต่าง ๆ ที่ช่วยดลบันดาลให้หนูปลอดภัยกลับมาได้"
"แม้นหนูจะขาดใจตายเพราะอะไรก็ตาม ตามที่ใครกำหนดไว้ก็ตาม หนูจะไม่ยอมละทิ้งความรัก ซึ่งเป็นรักแรกพบ กับเขาผู้ที่ยังไม่กลับมาไม่ถึงบ้านในขณะนี้"
"ดวงจันทร์ก็ใจร้ายจริง ๆ ไม่ได้เล่าขานบอกกล่าวหนูบ้างเลย เพียงแต่มอง ๆ ยิ้ม ๆ เท่านั้น หนูก็ชักจะเบื่อแล้วนะ"
เธอนั่งมองท้องฟ้า มองจันทร์ มองดาว มองก้อนเมฆ มองดาวนิ่งอยู่นานแสนนาน
"ดาวจ๋า ดาวมีแสงสดใสบ้าง แสงริบหรี่บ้าง ดวงดาวมีมากมายบนท้องฟ้า ต่างกับดวงจันทร์ที่มีเพียงดวงเดียวเท่านั้น แต่ดวงดาวมีหลายหมื่นหลายแสนตา กระพริบแพรวพราวเต็มท้องฟ้า ไม่ทราบว่าท่านเห็น พบเจอสามีของหนูบ้างไหม ถ้าเจอกรุณาบอกบ้างเถอะ หนูกำลังจะตายอยู่แล้ว เพราะความหว้าเหว่เดียวดาย"
"หนูไหว้ละนะ ดวงดาวจ๋า โปรดสงสารหนู ช่วยหนูด้วย บอกมาเร็ว ๆ เข้าเถอะ เสามีของหนูอยู่ที่ไหน หนูจะได้หลับโดยปราศจากความห่วงใย เขายังมีชีวิตอยู่หรือสิ้นชีวิตไปแล้ว ดาวจ๋า โปรดบอกหน่อยได้ไหม"
* "มีแต่ความเงียบสงัดในราตรีนี้ มิเหมือนเช่นราตรีก่อน ๆ ที่ผ่านมา,มีเสียงหริ่งหรีดเรไรดังก้องป่า"
" หนูเห็นใจท่าน ท่านเล็ก ๆ กว่าดวงจันทร์ มันอาจจะไกลแสนไกล เสียงของท่านอาจจะไม่ก้องกังวานหรือดังเพียงพอที่จะได้ยิน ขอพี่ดาว ลุงดาว น้าดาว ป้าดาว หลานดาว หนุ่ม ๆ ดาวทั้งหลาย โปรดจงกระซิบฝากกับพระพายมาบอกข่าวให้หนูได้ทราบก็ได้คะ หนูจะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง พี่ดาวจ๋า กรุณา สงสาร แด่ หนูน้อยคนนี้ที่ใกล้จะตายอยู่แล้วด้วยเถอะ"
"พระพายสายลมผ่านมาแล้ว ท่านนำความเย็นยะเยือกมาด้วย ขอความกรุณามาเร็ว ๆ หน่อย นำคำบอกเล่าของพี่ดาว น้องดาว น้าดาว หลานดาว ลุงดาว ทวดดาว หรือพระพายลืมคำบอกฝากจากพี่ดาวเสียแล้วหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นดาวน่าจะสงสารหนูยิ่งขึ้นอีก"
"เวรกรรมอะไร หนูเคยสร้างกรรมอะไรไว้ แต่ปางใด ทำไมจึงไม่มีคนบอกเหตุได้ว่า สามีของหนูขณะนี้อยู่ที่ไหน มีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือใครพาไปขังกรงไว้ เช่นเดียวกับนกสาลิกาลิ้นทอง"
"พระพายจ๋า ก่อนพัดมาถึงที่นี้ ท่านได้พบลุงดาว ป้าดาว น้าดาว พี่ดาวบ้างหรือไม่ ถ้าพบเขาฝากบอกข่าวของสามีจากท่านมาถึงหนูบ้าง"
"ท่านพระพายขา อย่าหยอกเย้าหนูเลยนะ บอกมาเถอะว่าพบกับพี่ ๆ ลุงดาวบ้างหรือไม่ ถ้าพบเขาสั่งอะไรท่านมาบอกหนูบ้าง อย่าทรมานหนูเลย หนูกำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว"
"โอ้...ช่างใจดำเหลือเกินทั้งดวงจันทร์ ดวงดาว และพระพาย ทำไมจึงใจดำกับหนูเหลือเกิน หนูชักจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว " ฮือ ๆ ๆ ๆอ้อร่ำไห้โฮออกมาโดยไม่ตั้งใจและไม่รู้ตัว
"เทพารักษ์ขา ท่านเห็นสามีของหนูเดินทางมาทางนี้หรือไม่ ถ้าท่านพบกรุณาเล่าให้ฟังหน่อย เขากำลังเดินทางหรือเดินไปที่ไหน เขาพูดอะไรบ้าง มีไหมคะที่พบเห็นเขา"
ทันใดนั้นภาพผลสับปะรดก็ปรากฏเด่นชัดในความจำอีกครั้งหนึ่ง มิใช่เป็นครั้งแรก เมื่อเธอผละจากบ้านญาติหลังนั้นมา มันมีภาพผลสับปะรดติดตรึงใจตรึงตาและผนึกแน่นในส่วนลึกของใจเธอ เธออดทน จนน้ำตาไหล ทำไมเขาไม่สงสารหนูบ้างเลย ความอยากกินในสิ่งใดสิ่งหนึ่งในขณะมีครรภ์หรือท้องนั้น ปานจะขาดใจ ถ้าหากไม่ได้ดั่งที่ต้องการ เหมือนกับคนกำลังจะขาดใจตายจริง ร่างกายต้องการธาตุสารอาหารไปทดแทนส่วนที่ใช้ไปกับการเลี้ยงดูทารก จันทร์คงจะไม่รู้ ดาวคงไม่ทราบ พระพายจ๋าท่านทราบหรือเปล่า
"วันข้างหน้า หรืออนาคต ถ้ามีชีวิตรอดไปจากนี้ หนูจะปลูกสับปะรดให้เต็มบ้านเต็มเมือง ขอเทวดาฟ้าดิน จันทรา ดารา หมื่นล้าน ๆ ดวง ตลอดถึงพระพายสายลมและเทพารักษ์ทั้งหลาย ตลอดจนเหล่านกกาที่อาศัยอยู่ในถิ่นนี้ และทุกอนูของบรรยากาศจงมาร่วมกันเป็นพยานให้หนูด้วยเถิด และกรุณานำสามีมาคืนให้หนูด้วย"
ต่อจากนั้นมาอีก 10 ปี
หนูมีลูกสี่คน ผู้ชายเป็นลูกคนแรกและคนที่สองส่วนคนที่สามเป็นผู้หญิง
วันหนึ่งเกวียนมาจอดหน้าบ้านของอ้อ เจ้าของเกวียนส่งเสียงตะโกนถามหาว่า
"มีใครอยู่บ้างไหม"
"อยู่ค้า" อ้อขานรับ "จะให้หนูช่วยอะไรหรือค่ะ"
"ท่านเจ้าอาวาสท่านป่วยอาการดีขึ้นมากแล้ว ท่านอยากฉันสับปะรด จึงให้ลุงมาจัดหาซื้อให้"
"ลุงเดินเข้าสวนไปเลือกดูก่อนก็ได้"
"มีมากอย่างนี้จะกินไหวหรือ"
"กินเท่าที่กินได้"
อ้อเก็บสับปะรดที่ตาฉ่ำ คือระหว่างตาของมันสว่างใส แสดงว่าผลสุกแล้ว 5 ลูก(ผล)ให้ลุงเจ้าของเกวียนไป
"คิดเท่าไร"
"ลุงเอาไปเถอะ ไม่คิดสตางค์ ลุงก็น่าจะทราบดีว่า มากกว่า 5 ปีแล้วที่หนูให้บริการฟรีกับทุกคนที่มีความตั้งใจมาหา นอกจากนั้นหนูก็ตัดไปขายที่ตลาดบ้าง ถ้าไม่ทำเช่นนั้นมันจะเน่าติดต้น"
"หนูกับครอบครัวก็เหนื่อยแย่"
"ไม่เป็นไรหรอกลุง ฉันแจกทุกคนที่มาที่บ้านเว้นที่ตลาด แต่ก็มีแถมบ้างเช่นกัน"
ลุงนำสับปะรดไปถวายเจ้าอาวาสด้วยความปิติสุข และอิ่มในบุญกับอ้อ ที่เธอมีเมตตาและสร้างบุญในโอกาสนี้ ท่านเจ้าอาวาสก็สวดมนต์อวยพรให้อ้อและครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญ
"น้า ๆ ลูกมันสร่างจากป่วยแล้วอยากรับประทานสับปะรด"
"เข้าไปเก็บเอาได้เลยหลาน น้ากำลังหุงแกงอยู่บนไฟ หักไป 2 -- 3 ลูกก็แล้วกัน"
"ผู้หญิงคนนั้นก็นำสับปะรดมา ตามที่เธอปรารถนา"
"คิดเงินเท่าไร น้า"
"ไม่หรอก หลานเอาไปเถอะ น้าไม่คิดเงินกับใคร ขอให้ลูกของหลานหายป่วยเร็ว นะ"
"หนูท้องอยากทานส้มจ้าน้า"
"ไปเก็บมาปอกทานก่อน ตอนกลับบ้านจะนำไปสักเท่าไรก็ได้ที่หลานจะพาได้"
"ขอบคุณจะน้า"
"หลาน ลูกสะใภ้ของน้ามันท้องอยากกินสับปะรด ระยะทางมันไกลน้าจึงมาขอแบ่งซื้อแทนมัน"
"น้าเก็บไปให้หลานเถอะเท่าไรก็ได้"
ผู้หญิงสูงวัยหายเข้าไปในสวนสับปะรดของอ้อ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ รอบ ๆ บ้านเธอเก็บมันมา 1 ผล
*"คิดiราคาเท่าไรหลาน"
"เดียวน้า นั่งคอยก่อน อย่าเพิ่งไปไหน"
อ้อเดินเข้าไปในสวนสับปะรดครู่หนึ่ง ออกมาพร้อมกับสับปะรด 3 ผล โต ๆ แล้วนำเชือกมาผูกจุกตะเกียงของมันรวมกัน เป็นเป็น 2 คู่ให้หญิงคนนั้นนำไปฝากลูกสะใภ้ โดยมิได้คิดเงินแต่ประการใด
"ขอบใจมาก ขอให้หลานมีแต่ความสุขความเจริญ ขอให้เทวดาและสิ่งศักดิสิทธิปกป้องคุ้มครองหลานและครอบครัว"
เวลาผ่านไปเรื่อย ไม่มีการหยุดรั้ง ทุกคนที่ผ่านไปมาจะแวะนั่งพักที่บ้านของอ้อก่อน ได้สนทนาพูดคุยกันประสาญาติมิตรและคนสนิทสนม และจากไปพร้อมด้วยผลสับปะรดทุกท่าน อ้อทำมาอย่างนี้เป็นเวลา 14 -- 15 ปีแล้ว
"ข้าฯ แต่...ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายที่เรียงรายอยู่บนฟากฟ้า ตลอดจนพระพายและเทพารักษ์ทั้งหลาย เทวดาฟ้าดินและเหล่าสกุณานกกาทั้งหลาย กรุณาเป็นพยานให้หนูด้วย หนูจะให้ทุกคนในแผ่นดินนี้ได้กินสับปะรดได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินตั้งแต่วันก่อนนี้มาหลายปีและต่อไปอีกนานเท่านานจนกระทั้งไม่มีสับปะรดหรือไม่มีชีวิตเท่านั้น ซึ่งเมื่อก่อนอ้อเคยนำออกไปขายตลาดบ้าง แต่ต่อไปจะไม่ขายอีกแล้ว นอกจากนำไปแจกเท่านั้น"
ข่าวเล่าลือจนกิติศัพท์ดังไปทั่วทุกถิ่น ทุกคนทราบถึงรสชาติของความหวานและอร่อยของสับปะรดที่นี้ดี
*เดียวนี้อ้อเธอเป็นประดุจแม่ของแดนถิ่นนี้ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทุกคนได้รับความสุข และความพอใจกับสับปะรดของเธอ ทุกคนปิติอิ่มสุขอิ่มบุญของเธอ ทำให้อ้อเป็นที่รักใครของทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาให้ตำบลนี้และตำบลใกล้เคียง นอกจากสับปะรดแล้วอ้อยังมีบริการผลไม้ อาหารและน้ำเย็นในหม้อดินหรือเนียงไว้บริการทุกท่าน มีศาลาต้อนรับกว้างขวาง ปัจจุบันได้ขยายที่พักใหญ่และกว้างขึ้น
เดี๋ยวนี้สามีของอ้อได้ช่วยเหลือขยายพันธ์สับปะรดในพื้นที่ 10 กว่าไร่ เขามิเคยรับสตางค์ของใคร ใครมา หรือผ่านมาก็ได้กินได้รับประทาน บางโอกาสให้ไปฝากลูกฝากหลานที่บ้าน
ซึ่งเป็นความสุขของอ้อและสามีที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือช่วยเหลือกัน โดยการแจกฟรี แถมฟรี ชาวบ้านไม่ต้องซื้อมาตลอดทุก ฤดูกาล มาหลายปีแล้ว ยังมีผลไม้อื่น ๆแจกแถมด้วย เช่น มะม่วง มะเขือ กล้วย เงาะ ทุเรียน ถั่ว มัน ตะไคร้ และผักต่าง ๆ อ้อและสามีจะแบ่งปันให้ทุกคนที่ต้องการ
ทุกคนในถิ่นนี้ต่างมีความสุข เมื่อลูกของเธอไปเรียนต่อในระดับปริญญาในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นลูกคนแรก มีผู้ไปส่งที่สถานีรถไฟมากมายพร้อมด้วยของฝาก มีหลายคนใส่เงินมอบซองให้ลูกของอ้อไปใช้จ่ายในกรุงเทพฯ และทุกครั้งที่ลูกของอ้อกลับมาบ้าน ตอนกลับไปเรียนนั้นจะมีการช่วยเหลือตลอดมา จนลูกของอ้อเรียนจบปริญญาตรีด้วยการสนับสนุนของญาติพี่น้องในท้องถิ่น
ต่อมาทางราชการในจังหวัดประกาศรับบุคลเข้าดำรงตำแหน่งหน้าที่ราชการ ลูกชายของอ้อได้รับตำแหน่งในครั้งนี้ด้วย ชาวบ้านจัดการเลี้ยงฉลองกันอย่างสนุกสนาน เหมือนลูกของพวกเขาเองทั้งตำบล
...............................
เมื่อวันที่ : 16 เม.ย. 2558, 10.11 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...