![]() |
![]() |
SONG-982![]() |
..."ที่จริงมณีโชติจินดาดวงนี้ก็มีคุณมหาศาล ครั้งที่นางพันธุรัตน์นั่นได้ไปครอง แม้เพราะการนั้นนางจะถูกสาป ให้ต้องอกแตกตายเพราะรักมนุษย์ แต่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยอำนาจพลังแห่งมณีโชติจินดา นางยังได้มหาจินดามนตร์ เอาไว้เรียกเนื้อเรียกปลาให้มีภักษา มังสาหารบริบูรณ...
บทนำดวงแก้วนั้นลอยขึ้นอย่างยากเย็น อีกทั้งแสงระเรื่อจากจุดกลางก็มิได้วาววามขึ้นดั่งใจปรารถนา ไม่กี่อึดใจถัดมา ประกายแสงก็วูบลับ ดวงแก้วตกลงบนพานทองตรงหน้า พร้อมกับที่นางพยัคฆอัปสรต้องถอนใจอย่างระทดท้อ
แต่แผลฉกรรจ์อันเกิดจากความรักความลุ่มหลง ยังผลักดันให้ฮึดสู้ต่อไป นางเริ่มรวบรวมสมาธิอีกครั้ง สำรวมกำลังจิตให้แน่วแน่ พยายามวางใจให้เป็นกลาง ไม่หมุนเหวี่ยงสอดส่าย ไม่ทุกข์ร้อนหรือยินดียินร้ายกับสรรพสิ่งรอบตัว
แก้วดวงนั้นคือ "มณีโชติจินดา" สมบัติอันเป็นขุมพลังล้ำค่าของพญาเวนไตรย ตอนนางได้มานั่นง่ายเพราะมีผู้ช่วยเหลือชี้นำ แต่การรักษามันไว้สิแสนยาก
ส่วนการค้นเอาพลังมหาศาลออกจากแก้วมณีดวงนี้ยิ่งยากกว่า
กี่ร้อยปีมาแล้วที่นางต้องหลบหนี หลบซ่อนให้พ้นจากการตามล่าของเหล่าสุบรรณ พร้อมกับที่ต้องหาวิธียักเยื้องกสิณสมาธิ ทดลองรูปแบบหลากหลายให้มณีโชติจินดาได้เผยพลังอำนาจ
พอจิตแกว่งด้วยทุกขเวทนาจากภายใน ดวงแก้วที่เริ่มสั่นไหวก็แน่นิ่ง
นางพยัคฆอัปสรถอนใจอีกครา คราวนี้จะจดจ่อแน่วแน่ ไม่วอกแวกกับสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายใน พอจิตดิ่งลงสู่ความสงัดว่าง วางสารพันในความคิดลงเสียได้ ดวงแก้วที่นิ่งสนิทก็เคลื่อนขึ้นอีกครั้ง พร้อมเปล่งแสงจรัสจ้าจากภายใน
แม้ต้องใช้กำลังจิตมหาศาล เพื่อให้มณีโชติจินดาล่องลอยและวาวแสง แต่นางก็ยังสบใจเป็นยิ่งนัก เพราะการใช้กำลังฌานทางนี้น่าจะใช่ ด้วยว่าดวงมณีไม่เคยสว่างไสวเช่นนี้มาก่อน
ทันใด! ก็รู้สึกถึงกระแสจิตอีกดวง วูบเข้ามา พอใกล้ก็ซ่อนกาย ราวหลบเร้นรอจังหวะ
พอสมาธิซ่านเพราะจับกระแสจิตนั้นได้ ดวงแก้วก็พลัดหล่น คล้ายเหลือเพียงซากอัญมณีน้ำหนึ่ง แม้พวกมนุษย์จะเรียกว่าเพชรรัตน์ ลูกกลมเท่ากำปั้น ปราศจากรอยตำหนิราคี และมีมูลค่าประมาณมิได้ แต่กับนางตอนนี้ มันมีค่าเพียงแค่เครื่องถ่วงรั้งชีวิต ให้ติดอยู่ในถ้ำแห่งนี้ อย่างแทบไม่ได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน
"เจ้าแก้ว!!!" นางพยัคฆอัปสรตวาดออกไป
"บอกแล้วไม่ใช่รึ ไม่ให้รบกวน!"
เสียงเข้มเคียดของประโยคท้าย ทำให้หญิงสาวร่างแบบบางค่อยเผยตัว
เธอเป็นดรุณีรูปทรงสวยสะคราญ หากพินิจเพียงภายนอกย่อมเห็นว่าน่าจะอยู่ในวัยต้นยี่สิบ ผิวพรรณขาวผ่องผุดผาด ดวงหน้าเรียว คิ้วโค้ง ดวงตากลมสุกใส ขนตาดำงอนงาม ประดับประกายสีทองตรงปลาย จมูกเล็กโด่ง ริมฝีปากบางแต่ได้รูปสวยและส่งสีชมพูอ่อนหวาน
เครื่องแต่งกายเป็นผ้าผืนบางเบา พันและผูกไว้เป็นเครื่องนุ่งเครื่องห่มอย่างแนบเนียน บ่าซ้ายพาดทบไว้ด้วยแพขนสัตว์สีขาวเป็นปุย
คนที่ตวาดเรียกชื่อเธอก็สวมใส่เช่นนี้ แต่แพขนสัตว์ที่พาดไว้เป็นหนังเสือ ผืนเต็ม สีดำราวศอพระอิศวร
"อย่าเพิ่งดุสิคะ แก้วเพียงจะมาบอกว่า คืนวันพรุ่ง จันทราจะเสวยเพ็ญฤกษ์แล้ว"
น้ำเสียงก็สดใสอ่อนหวาน ทั้งจริตกิริยาตอนทำท่าจะเข้ามาออดอ้อนนั้นก็น่ารักน่าเอ็นดู
"แล้วไยไม่รอให้ถึงวันพรุ่งค่อยเข้ามา หรือว่าไม่ใส่ใจที่แม่สั่งสอน"
นางพยัคฆอัปสรยังขึ้งโกรธ เพราะยิ่งเห็นหน้า เห็นจริต เห็นแววตาของหญิงสาวตรงหน้า แล้วก็ยิ่งนึกโทษความผูกรักพัวพัน อันมีหลักฐานคือสตรีแน่งน้อยผู้นี้ ช่างอ่อนหวาน ช่างสดใส ช่างหาหนทางมาออดอ้อนเจรจา เหมือนพ่อมันไม่มีผิด
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ไอ้มนุษย์ผู้นั้น มันเซซังมา รูปร่างหน้าตาราวเทพบุตรจำแลงองค์ จนทำให้นางหลงรูป หลงเพ้อ หลงฝัน ปล่อยกายปล่อยใจ จนที่สุดก็กลายเป็นเพทภัยใหญ่หลวง
รู้อย่างนี้ นางคงสำแดงเพศพยัคฆาให้เห็นเสียตั้งแต่แรก ไม่คงรูปเป็นนางอัปสรเข้าไปสนทนา ให้ทั้งนางทั้งเขาต้องตกอยู่ในบ่วงรัก ที่สานถักกันไปมาจนก่อกำเนิดเป็น "เจ้าแก้ว" ทิ้งไว้ให้คอยแสลงลูกนัยน์ตา
"เหมือนพ่อไม่มีผิด"
คำหลังนี้นางพยัคฆอัปสรแค่พึมพำกับตัวเอง
"ท่านแม่ว่าอย่างไรนะคะ แก้วได้ยินไม่ถนัด"
"แม่ยังไม่ได้พูดด้วย! อย่าสอด!... แล้วเสนอหน้าเข้ามานี่ หน้าที่ของตัว ทำเสร็จแล้วรึ"
คนถามลุกขึ้นจากที่ แล้วเดินใกล้เข้ามา พิศดูรูปร่างหน้าตาบุตรี ก็เห็นว่าถ่ายทอดความงดงามจากเพศอัปสรของตนไปได้ไม่น้อย
"งานของแก้วเป็นแต่ตอนยามใกล้รุ่ง พอสายหน่อย น้ำค้างก็เหือดหมด"
"เวลาที่เหลือก็เอาแต่เที่ยวเล่นซีนะ"
"ก็..."
เจ้าแก้วขยับจะเถียง แต่ยั้งคำไว้ทัน จะบอกได้อย่างไรเล่า ว่าระหว่างวัน ตนยังมีเวลาฝึกฝนสมาธิอาคม เสกนั่นนี่เล่นได้ด้วยกำลังจิต ที่ได้รับกำลังนั้นมาจากมารดา แม่ผู้เป็นนางหิมพานต์ลี้ภัย หลบมาอยู่ในเขตกันดานกลางป่าเขา เงียบเหงาจนไม่มีอะไรให้ทำได้มากนัก
"ก็... มีคน.... เอ่อ... แต่แก้วว่า... ไม่ใช่..."
"ยังไรกัน พูดจาไม่เป็นถ้อยเป็นความ"
ให้อย่างไรนางพยัคฆอัปสรก็ดูไม่สบอารมณ์ธิดาของตนอยู่นั่นเอง
ส่วนหนึ่งอาจเพราะเจ้าแก้วเป็นหลักฐานของความพลัดพราก อีกส่วนหนึ่งก็เพราะพื้นฐานนิสัยของตน ที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นนางพยัคฆ์... เป็นนิลพยัคฆ์... เป็นนางเสือดำ จึงมีโทสะเป็นเจ้าเรือน เจ้าอารมณ์พลุ่งพล่าน คล้ายมีไฟสุมขอนซ่อนอยู่ในกายกระนั้น
"คือว่า... กำลังจิตของนางผู้นั้น แปลกประหลาด ครึ่งๆ กึ่งๆ น่ะค่ะ"
เจ้าแก้วพยายามเรียบเรียงอธิบาย ขืนสายตาตนให้สบอยู่กับแววตาค้อนขวางของผู้เป็นมารดา
"ฝันกลางวันไม่เข้าเรื่อง!"
"หลานไม่ได้ฝันไปหรอกค่ะคุณพี่ เป็นฉันเองที่แวะมาเยี่ยมหา"
เสียงหวานฉ่ำพลันดังขึ้นพร้อมรูปกายที่ปรากฏ เจ้าแก้วค่อนข้างตระหนก เพราะเมื่ออึดใจที่แล้ว ยังจับกระแสจิตใครอื่นไม่ได้
แต่ผู้เป็นมารดายังตีหน้านิ่ง ไม่กล่าวว่ากระไร
"จะไม่ต้อนรับขับสู้ ให้สมกับที่เรามีกันอยู่เพียงสองคนพี่น้องเลยหรือคะ"
"ที่นี่ไม่ต้อนรับนางอสรพิษอย่างเจ้า"
"อสรอัปสรค่ะ ลูกครึ่ง ครึ่งแทตย์ครึ่งสัตว์ เหมือนอย่างกะคุณพี่นั่นละ"
"จะอสรพิษ อสูรพิษ หรืออัปสรอับปางอะไรก็ช่าง ที่นี่ไม่ต้อนรับ!"
นางพยัคฆอัปสรยังใช้เสียงหนักแน่น เข้ม ชัด
"โถๆ คุณพี่ยังหงุดหงิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกหรือ กับมนุษย์หนุ่มน้อยคนเดียว ไม่น่าทำให้คุณพี่เป็นไปได้ถึงเพียงนี้"
ผู้มาเยือนยังฉอเลาะเย้ายั่ว
"มันเรื่องของข้า"
"แต่ว่า... เรื่องปัญหาหัวใจนี้ น้องถนัดนักนะคะ"
ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นน้าสาวของเจ้าแก้ว ดวงหน้าหวานปานจะหยด มีแต่หางตาที่เฉียงขึ้นเล็กน้อย ที่ทำให้ทั้งดูทรงเสน่ห์ลึกล้ำ พร้อมกับความน่าครั่นคร้ามยำเกรง
เจ้าแก้วค่อยขยับหลบหลังก้อนหินใหญ่ เข้าใจได้ไม่ยากว่าผู้มาเยือนกำลังพยายามยั่วโมโหมารดาตน
ตอนที่นางพยัคฆอัปสรอารมณ์ดีๆ เจ้าแก้วจะมีโอกาสได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับสายสกุลของตนเองบ้าง จึงพอรู้ว่าท่านตา บิดาของแม่ เป็นแทตย์ทานพ เป็นเทพอสูรรูปงาม เพราะบุญเคยสร้าง ถวายกระแจะจันทน์น้ำมันเจิม ถวายบุปผามาลัยเป็นเครื่องบวงสรวงบูชา ตั้งแต่สมัยพระกัสปปพุทธเจ้า รูปร่างหน้าตาจึงหล่อเหลายิ่งกว่าเทพบุตรในวิมานชั้นฟ้า แม้มิได้เสวยทิพย์ก็คลับคล้าย ซ้ำยังมีมนตราจำแลงตัวได้หลากหลาย
ตัวนางพยัคฆอัปสรเองก็เป็นวิบาก คือผลิตผลของแทตย์ทานพจอมเจ้าชู้ แปลงตัวเป็นพยัคฆาเข้าเสพสมกับนางเสือดำ จนให้กำเนิดธิดาตัวน้อย คือมารดาของเจ้าแก้วนี้เอง
แต่ผู้ที่เรียกตัวเองว่า อสรอัปสร มารดาไม่เคยพูดถึง เจ้าแก้วจึงต้องลองคาดเดา สตรีสองนางตรงหน้า มีหลายส่วนละม้ายคล้ายกัน มารดาเธอค่อนข้างดุดัน แต่อีกนางดูอ่อนโยนยอกย้อน น่าจะมากมายเล่ห์กลมารยา
"ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า กลับไปซะ!"
นางพยัคฆอัปสรยังตะเพิดซ้ำ
"น้องสู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงพะเนินทุ่งนี้ ก็ต้องมีธุระบ้างละค่ะ"
"ธุระของเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า"
"เกี่ยวซีคะ... เกี่ยวมากเสียด้วย..."
นางอสรอัปสรเว้นช่วง ปรายตาไปทางดวงมณีบนพานทอง
"...เกี่ยวกับมณีโชติจินดานั้นด้วย"
ถ้ำกว้างซ่อนอยู่ในซอกภูผา ลึกลับจนน้อยคนจะรู้จักหรือมาถึงได้ แต่ชาวพื้นถิ่นคือพวกกระเหรี่ยงและละว้า รู้จักหุบถ้ำนี้มาแสนนาน พากันเรียกขานว่า ถ้ำนางพราย ตามตำนานที่สืบทอด
ผู้เฒ่าผู้แก่ กระทั่งพรานไพรบางคนในปัจจุบัน ต่างยืนยันแน่ชัด ว่าเคยได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนคั่งแค้น ดังผ่านออกมา กับอีกบางคนก็ยืนยันว่า ได้เห็นด้วยตา มีนางไม้พรายผีปรากฏตัว ล่องลอยไปมาอยู่ในแถบบริเวณ จากรุ่นสู่รุ่นที่เล่าลือ เรื่องราวยิ่งพิศดารพันลึก หากใครล้ำเขตเสาศิลาหลักหมายนั่นเข้าไป จะไม่มีวันได้กลับออกมา
เหตุนี้นอกจากพรานป่าชำนาญไพร ที่เคยจำใจต้องเฉียดผ่าน จึงไม่มีใครอีกที่จะกล้ากล้ำกราย ถ้ำนางพรายในซอกหุบผาจึงถูกเก็บงำ เป็นความลี้ลับเข้มขลังของชาวบ้านป่ากลุ่มเล็กๆ ผู้ไม่ปรารถนาจะเอ่ยถึงหากไม่จำเป็น
ความเคลื่อนไหวแท้จริงในโพรงถ้ำจึงไม่มีผู้ใดรับรู้ พอได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเคืองแค้นแว่วมาไกลๆ ชาวบ้านก็ทำได้แค่ปิดหูปิดตา ภาวนาขออย่าให้เภทภัยมาถึงตัว
หรือหากใครได้เคยเห็นสาวน้อยที่สวยงามราวนางอัปสรสวรรค์ ก็มีอันต้อง "เข้าศีลจำเรือน" กักขังตัวเองไว้ในบ้านถึงเจ็ดวันสิบห้าวัน ด้วยเกรงว่านางพรายจะตามมาทวงชีวิต โทษฐานบังอาจได้เห็นรูปโฉมมายา
"เราตัดขาดกันนานแล้ว ไม่ต้องมานับพี่นับน้องกันอีก"
"กับแค่ผู้ชายคนเดียว จะแบ่งจะปันกันไม่ได้เชียวหรือคะคุณพี่ อีกอย่างเรื่องมันก็นานนมมาแล้ว ทำไมยังไม่ยอมลืม"
เพราะตำนานลี้ลับ ทำให้ไม่มีใครรับรู้เลยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา แท้จริงเรื่องราวในถ้ำนางพรายเป็นเช่นไร แม้วี่แววว่าจะเกิดการปะทะดุเดือดในเวลานี้ ก็มีเพียงสตรีสามคนในที่นี่ ที่เป็นผู้ก่อเหตุและรับผล
"น้องยังไม่คิดถึงมันเลยสักนิด ตายไปเป็นร้อยปี มัวแต่คร่ำครวญหวนไห้ มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า"
ใครก็ไม่รู้ที่นางอสรอัปสราพูดถึง น่าจะเป็นต้นเหตุของความร้าวฉานสำคัญ
"ทั้งหมดไม่เกี่ยวกับใคร ข้าไม่พอใจจะนับเจ้าเป็นน้อง ก็แค่นั้น ออกไป!"
"อย่างนั้นก็เอาของน้องคืนมา น้องสาวคนนี้จะได้รีบไป"
"ที่นี้ไม่มีอะไรเป็นของเจ้า นังอสรพิษ!"
"มณีโชติจินดาไงล่ะคะ พี่หลวงเคยเอ่ยปากยกให้น้อง"
คำ "พี่หลวง" ของคนพูด คล้ายโยนคบไฟลงกลางทะเลน้ำมัน พริบตาถัดมา เจ้าแก้วก็รู้สึกว่าทั้งถ้ำกลายเป็นทะเลเพลิง เป็นเพลิงแห่งโทสะของมารดา ที่ถูกโหมกระพือให้ลุกโชนขึ้น จากการยั่วยุอย่างถูกจุด
เสียงก้องคำรน ไม่เจือสำเนียงสตรีอีกต่อไป แต่เป็นการขู่คำรามของนางเสือร้ายที่ประกาศสีหนาทว่า พร้อมจะเอาชีวิตศัตรู
แล้วเสียงขู่ฟอดฟ่อก็ตามมา เจ้าแก้วยิ่งต้องทำตัวให้ลีบเล็ก อยากจะแทรกหลบเข้าไปในซอกหินเสียให้ได้ แต่สายตาก็ไม่อาจละไปจากภาพเหตุการณ์พันตูต่อหน้า
ในร่างยังเป็นร่างของสองสตรีเข้าห้ำหั่น ฝ่ายหนึ่งมีกรงเล็บเหล็กเพชร ยาวโง้งออกมาจากปลายมือ กับอีกฝ่ายที่เรือนผมขยายยาว พันรวบเป็นสองสาย ยาวเลื้อยรอบแขนลงมา คล้ายแส้ที่มีปิ่นทองแหลมคมสองอันติดปมอยู่ตรงปลาย จนสายแส้เกศากลายเป็นอาวุธที่น่าจะทำร้ายกันได้จนสาหัส
เจ้าแก้วเห็นชัด นางอสรอัปสรผู้เป็นน้าสาว นอกจากพุ่งเข้าทำร้ายมารดา ยังหมายจะช่วงชิงแก้วมณีโชติจินดาอีกด้วย
"อย่ามายุ่งกับเรา ถ้าไม่อยากตายก็กลับไปซะ!"
นางพยัคฆอัปสรายังตวาดหนัก สองกรงเล็บที่วาดปาดป่าย มิใช่มีอานุภาพแค่สุดปลายคม เพราะกำลังจิตเข้มแข็ง จึงเกิดรังสีพิฆาตยืดยาวออกมาอีกหลายฝ่ามือ ทั้งแผ่กว้างทั้งคมกริบ โรมรันกันอยู่ครู่เดียว ฝ่ายผู้มีแส้เกศาเป็นอาวุธก็เพลี่ยงพล้ำ
"นางสำส่อนอย่างเจ้า ได้แต่ร่านราคะ ไม่มีเวลาได้ฝึกฝนกำลังญาณ มีหรือจะมาหาญสู้ คิดแย่งชิงมณีโชติจินดาของข้า"
จังหวะที่พูด คือตอนที่รังสีกรงเล็บกรีดฝากสามรอยแผล ไว้บนลำแขนขาวนวลของฝ่ายตรงข้าม
"มณีโชติจินดาน่ะรึของเจ้า อีนังหน้าขน! ของพี่หลวงต่างหาก..."
น้ำเสียงอ่อนหวานไม่หลงเหลือ กระทั่งสรรพนามเรียกขานก็เปลี่ยนไปตามความเจ็บปวดโกรธเคือง
"...ก็เพราะไม่ใช่ของตัวเองไงล่ะ เลยต้องมาหลบซ่อน ให้พ้นทัพสุบรรณ!"
นางอสรอัปสรยังย้ำ ทางหนึ่งคือการเร่งโหมเพลิงโทสะของพี่สาว ทางหนึ่งคือขยายความให้เจ้าแก้วค่อยเข้าใจอะไรได้มากขึ้น
"เจ้าเก็บงำซุกซ่อนอยู่กับมันมานานเกินไปแล้ว มาแบ่งให้ข้าช่วยค้นหาพลังอำนาจนั่นบ้างเถอะ!"
เหมือนนางอัปสรครึ่งอสรพิษจะปล่อยไม้ตาย ตอนตวัดสองแส้เกศาขึ้นสูง มันกอดเกลียวเข้าเป็นเส้นเดียว พุ่งตรงเข้าแสกหน้าของอัปสรลูกครึ่งพยัคฆ์ผู้เป็นพี่สาว
"มีหรือที่คนมีสติปัญญาอย่างข้าจะไม่ก้าวหน้า นี่ยังไรเล่า"
สิ้นคำ มารดาของเจ้าแก้วก็วาดแขนเป็นวง รังสีกรงเล็บเหล็กเพชรกรีดแสงวาบ ตัดผ่านแส้เกศา วูบเดียวก็ขาดสะบั้นเป็นหลายท่อน
พริบตาถัดมา นางผู้หาญกล้ามาเหยียบถ้ำพยัคฆ์ก็โดนยัน กระเด็นไปติดผนังถ้ำ ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกหินใหญ่กระแทกซ้ำ ที่แท้คือก้อนหินยักษ์ที่เจ้าแก้วใช้กำบังตน ที่ถูกกระแสจิตของมารดาดึงไปถล่มทับผู้มาร้าย
"คุณพี่เจ้าขา ฟังน้องก่อน"
พอหมดสิ้นหนทางจะต่อสู้ นางอสรอัปสรก็กลับมาส่งเสียงออดอ้อนอ่อนหวานได้อีกครา
"มีอะไรจะพูดก่อนตายก็ว่ามา"
แต่ผู้เป็นพี่สาวยังขบเขี้ยว ดุดันไม่ไยดี
"ที่จริงมณีโชติจินดาดวงนี้ก็มีคุณมหาศาล ครั้งที่นางพันธุรัตน์นั่นได้ไปครอง แม้เพราะการนั้นนางจะถูกสาป ให้ต้องอกแตกตายเพราะรักมนุษย์ แต่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยอำนาจพลังแห่งมณีโชติจินดา นางยังได้มหาจินดามนตร์ เอาไว้เรียกเนื้อเรียกปลาให้มีภักษา มังสาหารบริบูรณ์มิได้ขาด..."
"นางยักขินีนั่นมันเห็นแก่แค่การกิน ก็สมแล้วที่ได้ไปดังนั้น เจ้าเอามาพูดทำไร"
"แต่พี่หลวง..."
"หยุดพูดถึงมัน อย่าพูดถึงมันให้ข้าได้ยินอีก"
คราวนี้น้ำเสียงของนางพยัคฆอัปสรเข้มเคียดจริงจัง แรงยันกับก้อนศิลา ซึ่งมีร่างของนางอัปสรครึ่งอสรพิษอยู่ระหว่างกลาง เพิ่มขึ้นจนนางถึงกับกระอักเลือด
"มันเจ้าชู้ทั้งนายบ่าว ถูกเกณฑ์มาทางนี้ก็เพราะเล่นชู้กับสนมนางใน ไอ้นั่นมันเลยหาเหตุ ที่เจ้านายมันถูกประหารตัดหัวที่กลางหาด อ้างว่าตัวมันต้องกลับขึ้นไป แจ้งให้พ่อแม่ของมันซับซาบ..."
มารดาของเจ้าแก้วพูดถึงตรงนี้ก็หยุด อดกล้ำกลืนความเจ็บช้ำไม่ได้
"ข้ามันมืดบอดมัวเมาไปเอง ที่ไปหลงเชื่อว่ามันจะกลับมา"
"แต่พี่หลวงเขาก็ไปถึงท่านโหราธิบดี"
"ทำไม เจ้าจะบอกว่าคัมภีร์จินดามณีนั่น ก็เป็นผลิตผลของแก้วมณีโชติจินดางั้นรึ"
"ก็... พี่หลวงเขาว่าอย่างนั้น"
"ข้าบอกให้หยุดพูดถึงมัน!"
กำลังผลักดันที่ยังไม่ลดละ ยิ่งเพิ่มแรงบดเบียดหนักขึ้นไปอีก
"น้อ... น้องเพียง จะบอกว่า อานุภาพของมณีโชติจินดา เป็นเรื่องของปรารถนาร่วมกับแรงบุญ ใครจะได้ผลอย่างไรก็สุดแท้แต่ คุณพี่ก็ได้กำลังจิตเพิ่มพูนถึงขนาดนี้ น้องก็หวังเพียงจะจุนเจือเศษเสี้ยวสักน้อย..."
"เจ้าคิดว่าข้าต้องการอะไรกันเล่า"
พร้อมคำถาม ก็เพิ่มแรงกด นางอสรอัปสรถึงกับกระอักโลหิตออกมาอีกหลายคำ
"พอเถิดค่ะ ปล่อยนางไปเถิด"
เจ้าแก้วจำใจต้องขยับเข้ามาวิงวอน ด้วยสงสารนางผู้กำลังตกเป็นลูกไก่ในกำมือ
"ใครให้เจ้าสอดเข้ามา ไปให้พ้นตาเสียเดี๋ยวนี้"
"หลานสาว หลานน้า จิตใจช่างงดงามเหลือเกิน ช่วยน้านะ ช่วยน้าด้วย"
นางอสรอัปสร พอเห็นทางรอด ก็รีบออดอ้อนกับเจ้าแก้วทันที
"ใครเป็นหลานเจ้า อย่ามายุ่งกับลูกข้า ถ้าไม่มีอะไรจะพูดอีกก็ตายซะ!"
นางอสรอัปสรคิดว่าตนเองต้องตายแน่แล้ว แต่แรงศิลาที่กดทับกลับลดวูบ พร้อมกับเสียงคำรามครางครืนของอากาศเบื้องนอก
"ทัพสุบรรณ!"
เห็นชัดว่านางครึ่งพยัคฆตระหนกหนักถึงแค่ไหน
เจ้าแก้วก็แปลกใจ ว่าทำไมมารดาจึงรามือ ด้วยไม่เคยรู้เห็นเหตุการณ์การไล่ล่า ติดตามทวงคืนสมบัติของพญาเวนไตรยมาก่อน จึงไม่ได้รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงกับเสียงผิดประหลาดข้างนอก
อึดใจต่อมา ทั้งโพรงถ้ำก็สั่นสะเทือน ฝูงค้างคาวบินกรูหวาดไหว หยดน้ำจากเพดานถ้ำหยาดพราวราวฝนพรม หินย้อยบางอันที่ไม่อาจทานแรงเขย่าโยกก็หักราญ
มารดาของเจ้าแก้วไม่สนใจอะไรอื่น เปลี่ยนร่างเป็นนางเสือดำตัวเพรียว กระโจนขึ้นไปคาบลูกแก้วบนพานทอง แล้วเผ่นหายไปในโพรงลึก
โชคดีที่ตรงโถงถ้ำนี้ค่อนข้างมั่นคง ปราศจากอันตรายจากหินแหลมคม ที่อาจจะหักหล่นลงมากระทบ เจ้าแก้วจึงเข้าไปประคองร่างของน้าสาว
"ช่วยน้าด้วยนะเจ้าแก้ว..."
นางอสรอัปสรอ้อนวอน
"นั่น... น่าจะเป็นแม่ไม่ใช่หรือคะที่เดือดร้อน"
"กับแม่เจ้า เหล่าสุบรรณตามล่าเพื่อทวงดวงมณีโชติจินดา แต่กับน้า มันจะหมายเอาไปเป็นอาหาร"
ข้อนี้เจ้าแก้วเองก็พอรู้ ตระกูลนาคนาคีทั้งหลาย ล้วนต้องพ่ายแพ้ ตกเป็นภักษาหารแก่บรรดาครุฑ แต่น้าสาวตนเป็นครึ่งแทตย์ครึ่งอสรพิษ ไม่น่าจะเกี่ยวข้อง
"พวกเทพปักษาหรือชั้นรองลงมาเขาไม่สนใจน้าหรอก แต่ไอ้พวกสมุนทั้งหลาย..."
"แต่ถ้ำนี้เป็นทางตัน เราจะหนีไปไหนได้"
"แล้วแม่เจ้ามุดหายไปไหน"
"ก็... อาจจะมีช่องทางอื่น แต่... คงแค่เล็กๆ พอให้อากาศถ่ายเท..."
"ที่ไหน ตรงไหน!"
"ไม่... ไม่ทราบค่ะ"
ถึงตรงนี้ เสียงสายลมคำรณคำรามสงบลงแล้ว แต่กลับทำให้นางอสรอัปสรยิ่งหวาดหวั่น สายตายิ่งสอดส่ายเสาะหาหนทางรอด
"แล้ว... ทางน้ำนั่นเล่า"
คนถามชี้ไปทางธารน้ำเล็กๆ ที่ไหลเลียบผนังถ้ำด้านหนึ่ง
"เป็นน้ำซึมจากสระศิลาบนยอดผาน่ะค่ะ"
เจ้าแก้วตอบไปตามซื่อ ไม่เห็นว่าเวลานี้ ธารน้ำเล็กๆ จะช่วยอะไรได้
เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มใหญ่ใกล้เข้ามาทางปากถ้ำ พร้อมกับเสียงสั่งให้ค้นหาดุดัน
"บอกมาเร็ว! ทางน้ำนั่นไหลไปที่ใด"
"ก็... เป็นบ่อ..."
คำตอบของเจ้าแก้วคงไม่ทันใจ พริบตาถัดมานางอสรอัปสรจึงแปลงกายเป็นงูใหญ่สีขาวเผือก แม้ยังมีรอยฟกช้ำคล้ำแดง แต่ก็สามารถเลื้อยปราด มุดหายไปใต้ธารน้ำได้อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวได้แต่นั่งงง ไม่นึกว่าจะถูกทิ้งกันได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ทั้งมารดาทั้งน้าสาว ล้วนแต่เอาตัวรอด ไม่ห่วงว่าตัวเธอจะต้องเผชิญกับอะไร
"นั่นไง ไปกุมตัวมา"
เสียงทรงอำนาจสั่งการเฉียบขาด กว่าเจ้าแก้วจะได้ขยับ ก็ถูกรุมจับไว้เสียแล้ว
"เราจับกระแสจิตของนางได้!"
ผู้ก้าวมายืนตระหง่านตรงหน้า รูปร่างกำยำ ผิวพรรณอร่ามเรือง แต่ดวงหน้าออกสีอมแดง มีวี่แววว่าจะโกรธาอยู่ตลอดเวลา
แม้จะพึมพำออกมาดังนั้น แต่สีหน้ากลับสงสัย
"ไม่ใช่นาง เจ้าเป็นใคร"
"ฉัน... ฉันชื่อเจ้าแก้ว"
ดวงตาดุดันนั่นเพ่งพิศ ราวกำลังจับหาพิรุธจากตัวเธอ แล้วผู้ที่ทำตัวเหมือนนายของพวกทั้งหมด แค่เพียงปรายสายตา คนเหล่านั้นก็กระจายกำลังกันออกไป
"มีใครอื่นในนี้อีกหรือไม่"
"ไม่... ไม่มี นอกจากพวกท่าน"
เจ้าแก้วไม่ได้กล่าวเท็จ ก็ตอนนี้มีแค่ตัวเธอกับพวกมาใหม่นี้เท่านั้นจริงๆ
"ข้าหมายถึงก่อนหน้านี้"
แต่ท่าทางเขาเหมือนจับได้ไล่ทัน
"ก่อนหน้านี้ก็มีแค่... ฉัน..."
"ดี! อย่างนั้นเธอมาอยู่ทำไมที่นี่"
คำถามทั้งระคนเย้ยหยันและหมิ่นแคลน จนเจ้าแก้วนึกหมั่นไส้ขึ้นมาครามครัน
"ก็แล้วทำไมจะอยู่ไม่ได้"
"เราไม่ได้บอกว่าอยู่ไม่ได้ แต่ถามว่าทำไมมาอยู่ทีนี้"
"แล้วท่านล่ะ มาที่นี่ทำไม"
"นั่นมันธุระของข้า เจ้าไม่เกี่ยว"
"อย่างนั้น การที่ฉันจะอยู่ที่นีหรือที่ไหน ก็... ไม่เกี่ยวกับใคร!"
การโต้เถียงคงดำเนินไปอีกนาน หากว่าสมุนของเขานายหนึ่งไม่แทรกรายงาน
"ค้นหาจนทั่วแล้วขอรับ ไม่มีใครเลย"
คำนั้นทำให้เจ้าแก้วต้องลอบระบายลมหายอย่างโล่งอก แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายยิ่งมีท่าทางข่มขู่มากขึ้น หันมาเค้นถามเสียงเครียด
"บอกมาเดี๋ยวนี้ พวกมันหนีไปทางไหน!!!"
***************
เมื่อวันที่ : 13 เม.ย. 2555, 10.29 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...