![]() |
![]() |
Silverfur![]() |
...เรื่องราวในโลกยากจะสมบูรณ์พร้อม แม้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งหวังใช่จะสมปรารถนา แต่บางสิ่งที่เราต้องการก็มีตำหนิที่เราไม่อาจยอมรับได้...
"ทำไมต้องเป็นข้าเล่า ท่านผู้เฒ่า ข้าเป็นถึงนักรบแล้วทำไมต้องไปส่งสารกับหมู่บ้านเล็กๆด้วย"ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางงานประชุมของหมู่บ้าน
"เพราะเจ้าเหมาะสมกับงานนี้ที่สุดแล้วน่ะสิ แล้วเจ้าคิดว่าใครคู่ควรจะฝ่าภูเขาที่มีโทรลใจโหดเพื่อติดต่อค้าขายกับหมู่บ้านที่ชายป่าอีกเล่า"
ท่านผู้เฒ่าลูบเครางามสีขาวอย่างหน่ายๆ ในเมื่อนายมันเนลิกเป็นคนหนุ่มเพียงคนเดียว ของหมู่บ้าน ส่วนชาวบ้านคนอื่นล้วนเป็นเด็ก สตรี และคนชราทั้งสิ้น แล้วหมู่บ้านเล็กๆที่ชายป่านั้นก็ใหญ่เมื่อเทียบกับหมู่บ้านของพวกเราแล้ว
"ช่วยไม่ได้ การผจญภัยเป็นงานของอัศวินนี่นะ"
มันเนลิกหัวเราะชอบใจก่อนจะออกไปจากบ้านของหัวหน้า เขากลับไปหยิบดาบเหน็บเอวแล้วเก็บอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการเดินทางใส่ย่าม เขาสวมผ้าคลุมกันหนาวหยิบไม้เท้าแล้วเดินอาดๆออกไป "อัศวิน" ประจำหมู่บ้านแห่งนี้กลับไม่มีเกราะสวมใส่สักชิ้น
หมู่บ้านฮูกินน์แห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งท่ามกลางเทือกเขาแซลก้าอันแสนสลับซับซ้อนด้วยเหตุผลกลได้ก็ไม่อาจทราบได้ แต่เท่าที่เล่าสืบต่อกันมาบรรพบุรุษของหมู่บ้านนั้นอพยพหนีภัยสงครามมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านนี้โดยอาศัยการคุ้มครองของต้นไม้แห่งตำนาน ต้นไม้สูงใหญ่ราวกับเสาค้ำท้องฟ้าไม่ให้ตกลงมายังพื้นดิน แม้พวกเขาจะอยู่กันอย่างสงบสุขพอมีพอกิน แต่บางครั้งก็จำเป็นต้องติดต่อกับหมู่บ้านมูนินน์ที่อยู่ใกล้สุดเพื่อขอซื้อของใช้จำเป็น
เทพเจ้าแห่งฤดูหนาวปีนี้กลับโหดร้ายกับหมู่บ้านฮูกินน์เป็นพิเศษ พืชผลเกือบครึ่งของหมู่บ้านที่เก็บไว้ในช่วงฤดูหนาวกลับถูกหิมะกัดกินจนเสียหาย หากปล่อยไว้เช่นนี้ชาวบ้านทั้งหมดรวมถึงสัตว์เลี้ยงต้องอดตาย ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านจึงให้มันเนลิกไปยังหมู่บ้านมูนินน์เพื่อขอความช่วยเหลือ
"ขอพระเจ้าคุ้มครองเจ้า"
"ขอให้เทพธอร์มอบกำลังให้ข้าจัดการโทรลร้ายนั่นดีกว่าน่า"
ชาวบ้านทั้งหลายพากันมาอวยพรให้แก่อัศวินหนุ่มซึ่งไม่ค่อยพอใจนัก นับแต่หมู่บ้านมีบาทหลวงมาเมื่อสิบปีก่อนเทพเจ้าต่างๆที่หมู่บ้านเคยนับถือก็ถูกแทนที่ด้วย "พระเจ้า" จากแดนใต้ที่แสนอ่อนแอและขี้ขลาดผิดกับเทพเจ้าแห่งอัสโกร์ดที่เขานับถือมาตลอดซึ่งนับวันมีแต่จะตายลงจากความเชื่อของชาวบ้านรวมถึงเขาเองด้วย
มันเนลิกออกเดินทางเลียบแม่น้ำไปทางตะวันออกพลางทอดถอนใจให้กับความโหดร้ายของธรรมชาติ ไม่ว่ามองไปทางไหนแผ่นดินก็กลายเป็นสีขาวโพลน เหล่าพฤกษาพากันสลัดใบเหลือไว้แต่กิ่งก้านที่ปกคลุมด้วยหิมะ อัศวินหนุ่มใช้ไม้เท้าจิ้มลงไปวัดความลึกของหิมะก่อนจะก้าวเท้าไปทีละก้าวอย่างช้าๆท่ามกลางลมหนาวที่เชือดเฉือนเขาอยู่ทุกทิศทาง
ความมืดคืบคลานมารวดเร็วจนน่าใจหาย มันเนลิกหวนนึกถึงตัวเองออกเดินมาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็พลบค่ำแล้วเช่นนี้หมู่บ้านมูนินน์ที่เคยไปถึงในเวลาสามวันคงต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ กว่าความช่วยเหลือจะมาถึงก็สองสัปดาห์นับจากวันนี้น่ากลัวว่าหมู่บ้านเขาอาจจะทนไม่ถึงตอนนั้น แต่ยามกลางคืนเป็นเวลาออกหากินของสัตว์ร้ายแบบนี้ถ้าฝืนไปอาจไม่ถึงปลายทางเสียก่อน อัศวินหนุ่มจึงต้องหยุดพักแรมอย่างช่วยไม่ได้ เขาวางสัมภาระไว้ริมแม่น้ำที่ผิวหน้าเป็นน้ำแข็งก่อนจะออกไปรวบรวมฟืนมาจุดไฟไล่ความหนาว
มันเนลิกนั่งลงเหยียดเท้าเข้าหากองไฟพลางครุ่นคิด ฤดูหนาวปีนี้หนักหนากว่าปีก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด ขนาดผ้าพันขาที่เคยทำให้เขาอุ่นเมื่อปีที่แล้วกลับไม่สู้มีประโยชน์เท่าใดนักจนเขาต้องบอกตัวเองเสมอว่ายังมีขาอยู่ทุกก้าวที่เดินมาจนถึงตอนนี้ที่ได้ผิงไฟเขาถึงรู้สึกว่าขาหายชาแล้ว หากพระเจ้าแห่งแดนใต้รักเราจริงทำไมท่านถึงต้องทรมานด้วยฤดูหนาวอันโหดร้ายเช่นนี้ด้วย หากว่าเป็นประสงค์ของสกาดีเทพีแห่งฤดูหนาวเขาก็ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง
อัศวินล้วงเนื้อรมควันจากย่ามใส่เข้าปากพลางครุ่นคิดถึงหนทางข้างหน้า ถึงแม้เขาจะบอกว่าตัวเองเป็นนักรบแต่กลับไม่เคยออกปล้นเลยสักครั้ง แม้เขาจะบอกกับบิดามารดาว่าต้องการจะสร้างชื่อเสียงแต่ก็จะโดนปฏิเสธกลับมาทุกที
"การใช้กำลังผิดกับหนทางที่พระองค์มอบให้ มือของเจ้าแทนที่จะจับดาบควรจะจับจอบเสียมทำไร่ไถนาสร้างเนื้อสร้างตัวแล้วตบแต่งภรรยาต่างหาก"
"แม่มีลูกแค่คนเดียวหากตายไปใครเล่าจะเลี้ยงดูพ่อแม่ ใครเล่าจะให้แม่ได้อุ้มหลาน ลูกรักของแม่ ก่อนตายแม่อยากเห็นภรรยาผู้แสนดีของลูกนะ"
ทำไร่ไถนาอะไรกัน พวกเราชาวนอร์สต้องตายในสนามรบต่างหาก นับแต่พระเจ้าจากแดนใต้เข้ามาหมู่บ้านเราก็อ่อนแอลง แม้กระทั่งนักรบอย่างบิดาตอนนี้กลับเป็นแค่ชาวนาชราธรรมดาเท่านั้น หรือที่โบราณว่าไว้ว่ายิ่งชรายิ่งขลาดเขลาจะเป็นเรื่องจริง แต่ข้ามันเนลิกผู้นี้จะไม่ยอมอยู่อย่างขลาดเขา สักวันข้าจะออกรบให้ได้แล้วกลับมากับความยิ่งใหญ่
เสียงหมาป่าโหยหวนจากภูเขาอันไกลโพ้นดังขึ้น อัศวินหนุ่มเคลิ้มหลับไปขณะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
โทรลภูเขานางหนึ่งอาศัยในกระท่อมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่มันเนลิกค้างแรมอยู่ เธอนั่งพิงเตียงไม้ร้องไห้นึกถึงแม่ของเธอที่เพิ่งเสียชีวิตไป ถึงแม้แม่เธอจะทิ้งของไว้ให้แค่ไหนแต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับความรักของแม่เธอ
"แต่งงานกับคนดีๆแล้วมีความสุขนะลูก"
ในดินแดนอันโหดร้ายแห่งนี้แม้จะเป็นโทรลที่มีพละกำลังกล้าแข็งยังยากยิ่งอยู่ได้ตามลำพัง แม่ของเธอจึงได้แต่หวังว่าลูกของเธอจะมีใครสักคนเคียงข้างไปชั่วชีวิต แต่สำหรับนางโทรลแล้วเธอไม่ยินยอมถูกคนประณามหยามเหยียดว่าเป็นสตรีหนีลึงค์หรือหญิงสาวที่ปฏิเสธการแต่งงานขอแค่ได้อยู่กับแม่ของเธอเท่านั้น
นางโทรลภูเขาไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ไม่ว่าอย่างไรภาพของแม่เธอยังไม่จางหายไปจากใจ ยิ่งลืมตามองข้าวของในบ้านแล้วเธอยังเห็นภาพแม่เธอนั่งเย็บเสื้อเพื่อให้เธอใส่ทุกหน้าหนาวทั้งๆที่เธอบอกไม่จำเป็นแท้ๆ
"ไม่ได้หรอก ลูกแม่ต้องใส่ชุดใหม่ๆสวยๆ ใครๆเขาเห็นจะได้รักจะได้หลงลูกยังไงล่ะ"
ในสายตาของนางโทรลแล้วรอยยิ้มใต้ใบหน้าเหี่ยวย่นอัปลักษณ์ของแม่เธอนั้นงดงามยิ่งกว่าบุปผาใดๆ แม้เธอจะรู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนจะแต่งงานกับโทรลอัปลักษณ์ดุร้ายอย่างเธอแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นของแม่เธอก็ได้แต่ฝืนยิ้มตอบ
โทรลภูเขาตัดสินใจออกมาข้างนอกไม่เช่นนั้นเธอไม่อาจลืมแม่ของเธอได้ เธอคว้าผ้าคลุมมาห่มก่อนจะเดินออกจากกระท่อมของเธอ เธอค่อยๆย่ำไปตามหิมะอย่างระมัดระวังพลางเหม่อมองฟากฟ้าที่แสนห่างไกล แม่ของเธอจะจ้องมองเธอจากแสงเหนือสีเขียวที่โบกสะบัดไปมานั่นหรือไม่
น้ำตาโทรลหลั่งไหลลงมาอีกหนเมื่อเธอคิดถึงแม่ มันกลายเป็นเกล็ดหิมะอย่างรวดเร็วก่อนจะโดนลมหนาวพัดไปทิ้งไว้แต่ความหนาวเหน็บ โทรลภูเขาก้าวไปตามลำน้ำจนกระทั่งพบกับอัศวินหนุ่มนอนหลับข้างกองไฟ
นางโทรลได้แต่สงสัยว่าเหตุใดชายคนนี้จึงมาหลับกลางหิมะทั้งๆที่ยามกลางคืนของที่นี่แม้แต่ลมหายใจยังเป็นน้ำแข็ง ต่อให้ก่อกองไฟก็ใช่ว่าจะช่วยได้มากมายนัก ครั้นจะปล่อยให้เขาตายกลางหิมะเธอก็ทนไม่ได้
โทรลภูเขาโอบอุ้มร่างของอัศวินหนุ่มไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินกลับไปยังกระท่อมของเธอแล้ววางร่างของเขาลงในเตียงไม้ เธอคลุมผ้าห่มให้มันเนลิกก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้แล้วเฝ้ามองคนที่เธอช่วยไว้
ช่างเป็นชายหนุ่มที่รูปงามอะไรอย่างนี้ เทียบกับเธอแล้วช่างอัปลักษณ์ยิ่งนัก เหตุใดเธอถึงต้องเกิดเป็นโทรลภูเขาด้วย ไม่ว่าใครต่างก็เกลียดเธอ ไม่ว่าใครต่างก็กลัวเธอ บัดนี้ไม่มีแม่คอยรักเธออีกแล้วจึงทำให้นางโทรลสาปแช่งโชคชะตาตัวเองขึ้นมา แต่แล้วเธอก็นึกถึงคำสั่งเสียของแม่ขึ้นมาได้นางโทรลจึงเกิดความคิดบางอย่าง เธอมองอัศวินหนุ่มอย่างยิ้มแย้มก่อนจะนั่งหลับอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงวันรุ่งขึ้น
มันเนลิกตื่นขึ้นอย่างฉงน เมื่อคืนเขาน่าจะนอนกลางแจ้งแล้วทำไมถึงตื่นขึ้นมาในบ้านได้ แต่ที่น่าตกใจที่สุดคือนางโทรลร่างยักษ์ที่หลับอยู่บนเก้าอี้ข้างเขานั่นเอง อัศวินหนุ่มร้องขึ้นสุดเสียงพลางชักดาบขึ้นมาป้องกันตัว
โทรลภูเขาตื่นขึ้นแล้วมองอัศวินหนุ่มพลางยิ้มโดยไม่ใส่ใจว่าเขาถือดาบในมืออยู่
"ท่านมีนามว่ากระไร บอกข้าได้หรือไม่"
อัศวินหนุ่มประหลาดใจที่โทรลภูเขาไม่โจมตีเขาทันที
"ข้านามว่ามันเนลิก เจ้าเป็นคนพาข้ามาที่นี่หรือ"
"ใช่แล้ว ข้าเห็นท่านหลับกลางหิมะเกรงว่าท่านอาจจะเป็นอะไรไปจึงพาท่านมาที่บ้านของข้า"
นางโทรลลุกขึ้นยืน มันเนลิกเมื่อเห็นเงาร่างของโทรลบังเขาจนมิดก็รีบกระชับดาบแน่นเตรียมพร้อมรับการโจมตี แต่โทรลภูเขากลับไปเปิดประตูกระท่อมเพื่อดูสภาพอากาศก่อนจะปิดประตูอย่างรวดเร็วไม่ให้ลมหนาวเข้ามาในกระท่อม
ตอนนี้เช้าเกินกว่าตะวันจะขึ้น ก่อนสกุณาจะเริ่มขับขานบอกวันใหม่ โทรลภูเขาตัดสินใจขอแต่งงานกับอัศวินหนุ่ม ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องการแต่งงานกับเขาให้ได้ เธอจ้องมองไปที่เขาก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา
"ท่านมันเนลิก ท่านมันเนลิก ท่านจะแต่งงานกับข้าได้หรือไม่"
มันเนลิกไม่คิดฝันว่านางโทรลดุร้ายอัปลักษณ์นางนี้จะขอแต่งงานกับเขาได้จึงเผลอปล่อยดาบตกลงเตียงไม้เสียงดังเคร้ง
"ข้าจะมอบม้าสิบสองตัวที่ข้าเลี้ยงไว้ให้ท่าน พวกมันไม่เคยใส่อานหรือขลุมใดๆ"
นางโทรลรู้ตัวดีว่ารูปลักษณ์อย่างเธอคงไม่อาจพิชิตใจอัศวินหนุ่มได้จึงต้องพึ่งมรดกของแม่เท่านั้น แต่มันเนลิกยังไม่ตอบเธอจึงคิดว่ามอบให้ไม่มากพอกระมัง
"เช่นนั้นข้าจะมอบโรงสีสิบสองแห่งให้ หินโม่เหล่านั้นเป็นสีแดงสด ส่วนวงล้อทำจากเงิน ท่านจะยินดีรับมันหรือไม่"
อัศวินหนุ่มเริ่มวางใจว่านางโทรลไม่ได้คิดจะทำร้ายเขาจริงๆจึงเริ่มครุ่นคิดถึงคำพูดของพ่อแม่ที่ต้องการให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวจากการทำไร่นา ถ้าเกิดได้โรงสีจากนางโทรลตนนี้ก็คงจะเป็นไปได้
"ใช่แล้ว นักรบเช่นท่านคงต้องการดาบมากกว่า ข้ายินดีมอบดาบวิเศษที่จะทำให้ได้รับชัยทุกศึกอย่างแน่นอน ยามกวัดแกว่งท่านจะได้ยินเสียงจากแหวนทองทั้งสิบห้าวง"
โทรลภูเขาเห็นมันเนลิกท่าทีอ่อนลงจึงเริ่มเสนอของหมั้นให้มากขึ้นจนมันเนลิกเองก็คิดว่าถ้าได้ดาบวิเศษเช่นนั้นต่อให้ต้องแต่งงานกับนางโทรลก็ไม่เลวเช่นกัน ถ้าเขาได้มาล่ะก็หนทางสู่การเป็นนักรบที่เขาใฝ่ฝันต้องเป็นจริงได้อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่อัศวินหนุ่มจะตอบนางโทรลก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
"อัศวินรูปงามอย่างท่านมันเนลิกคงไม่เหมาะกับเสื้อผ้าซอมซ่อเช่นนี้ ข้ายินดีมอบเสื้อใหม่ที่สวมใส่สบายเป็นที่สุดด้วยฝีเย็บจากไหม"
มันเนลิกเริ่มเคลิ้มไปกับฝีปากนางโทรล ขอแค่เขาได้แต่งงานกับเธอลาภยศสรรเสริญคงไม่หนีไปไหนแล้ว
"ท่านมันเนลิก ขอเพียงตอบใช่เท่านั้นทั้งข้าและของเหล่านี้ก็จะเป็นของท่าน ขอเพียงท่านตอบว่าใช่เท่านั้น"
นางโทรลภูเขาเฝ้ามองอย่างคาดหวัง ขอแค่เขายอมตกลงเท่านั้น...
"ของขวัญเหล่านั้นข้ายินดีรับไว้...
หากเจ้าเป็นสาวชาวคริสต์ แต่ข้ารู้ รู้ว่าเจ้าเป็นโทรลภูเขาสุดต่ำช้าจากหนองบึงของพวกปิศาจ เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่ข้าจะสนใจเจ้า"
ขณะที่มันเนลิกจะตอบตกลงเขาก็หวนนึกถึงหากแต่งงานกับโทรลอัปลักษณ์ดุร้ายเช่นนี้ไยมิใช่เป็นที่เย้ยหยันไปทั่ว สำหรับนักรบเช่นเขาแล้วเกียรติสำคัญกว่าชีวิตยิ่งนักหากต้องให้ชื่อเสียงของตนหมองมัวเช่นนี้เขาคงทนไม่ได้เป็นอันขาดแม้ว่าจะได้ลาภก้อนโตแค่ไหนก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นพ่อแม่ของเขาคงต้องการแต่สาวผู้นับถือพระเจ้าจากแดนใต้มิใช่คนเถื่อนอีกต่อไปแล้ว
อัศวินหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินออกไป ทิ้งให้นางโทรลใจสลายน้ำตานองหน้า
โทรลภูเขาเปิดประตูดังปังแล้ววิ่งออกไปข้างนอกแล้วพบว่าอัศวินหนุ่มได้หายไปแล้ว เธอฉีกทึ้งผมเผ้ายุ่งสยายกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าเขามีสิทธิ์จะเลือกแล้วก็คงไม่เลือกคนอย่างเธอ แต่เธอก็อยากได้เขา อยากให้เขาอยู่กับเธอไปตลอด แต่เธอขอมากไปหรือใช่ไหม เธอผิดใช่ไหมที่เกิดมาเป็นโทรลเช่นนี้ ทั้งที่เธอจริงใจกับเขา ยอมทำทุกอย่างเพื่อเขา ทำไมกัน ทำไม
"ถ้าข้าได้แต่งงานกับเขาล่ะก็ ตัวข้า...คงหลุดพ้นจากความทรมานนี้ได้"
End
เมื่อวันที่ : 24 ธ.ค. 2554, 10.25 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...