![]() |
![]() |
ฐิติวัชร์ คุณาสินสถิตย์![]() |
ประสาทสัมผัสการรับรู้กลิ่นของผมพิการตั้งแต่กำเนิด ผมถูกส่งเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดตลอดจนสารพัดวิธีบำบัด นับครั้งไม่ถ้วน ด้วยว่าพ่อไม่ต้องการปล่อยให้เป็นปมด้อยติดตัวผม เหมือนที่ท่านรู้สึกอึดอัดกับตัวเองทุกครั้งต่อสภาพลมหายใจที่ติดขัดอันเกิดจากความไม่แข็งแรงของปอด สิ่งเรื้อรังจากการใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารเมื่อหลายปีก่อน ทั้งที่ครั้งหนึ่งท่านเคยเป็นนักกีฬาและนักข่าวที่แข็งแรงมาก ท่านว่าความหวังของท่านคือผมจะต้องแข็งแรงเหมือนท่านในสมัยที่ยังหนุ่ม และเมื่อมีภรรยา ผมสมควรได้รับรู้ถึงกลิ่นหอมของเรือนผมเธอ กลิ่นแป้งที่โรยบนตัวลูกอ่อน กลิ่นอันจำแนกความจริงออกจากสิ่งลวงและจำแนกมนุษย์ออกจากสัตว์ พ่อบอกว่าทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ที่ผมสมควรได้เสพทราบในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง แต่ความพยายามของพ่อก็ไม่เป็นผล เพราะแพทย์ท่านใดก็ไม่อาจนำความสามารถในการรับรู้กลิ่นมาสู่ฆานประสาทของผมได้ ในที่สุดเมื่อพ่อถอดใจ ผมกลับรู้สึกโปร่งใจ อาจด้วยว่าผมรู้สึกเหนื่อยแทนพ่อ แถมยังเดียงสาเกินจะรับทราบความหมายของท่านในเวลานั้น การเติบโตมาพร้อมกับจมูกที่ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกใด ๆของผมแม้แต่น้อย
ฤดูฝน...โลกเข้าสู่ความชุ่มฉ่ำอีกครั้ง เช้ามืดในตัวเมืองเชียงรายถูกห่มคลุมด้วยม่านหมอก ไอแดดอ่อนจากดวงอาทิตย์ในยามสายชำเลืองผ่านกลีบเมฆอย่างเกียจคร้าน ก่อนชำแรกไออุ่นละลายความเย็นจากมวลหมอกจนสิ้น แล้วไม่นานฝนก็โปรยปรายลงมา จากละอองเล็ก ๆ ในยามบ่ายกลายสภาพเป็นสายธารอันเชียวกรากสาดกระหน่ำไม่ยั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด จากพลบค่ำกระทั่งเช้าวันใหม่ เป็นเช่นนี้สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า ความชื้นประจำฤดูกาลนี้ไม่เป็นมิตรกับปอดที่อ่อนแออย่างมากของพ่อแม้แต่น้อย ท่านต่อสู้กับอาการเหนื่อยหอบนี้มาหลายปีแล้ว ก่อนตัดสินใจออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาอยู่กับแม่และผม แม่เป็นผู้พยาบาลพ่ออย่างใกล้ชิด ด้วยประสบการณ์ในอาชีพพยาบาล แม่รู้ดีว่าพ่อเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว แล้วในที่สุดลมหนาวก็ได้พรากพ่อไปจากเรา พร้อมกันกับการสิ้นสุดของฝนส่งท้ายฤดู ภายใต้คืนเงียบงันกับต่อมน้ำตาที่อยู่เหนือการควบคุม เราสองแม่ลูกร่ำไห้ประหนึ่งดวงวิญญาณสองดวงที่กำลังจะแตกสลาย
โมงยามอันมืดหม่นผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวปฏิทินที่ไม่อาจพลิกเจอ "วันพรุ่งนี้" ผมรู้ว่าจะจมจ่อมกับความสูญเสียนี้ตลอดไปไม่ได้ ในสายตาครูและเพื่อน ผมกลายเป็นเด็กหนุ่มมัธยมปลายที่เก็บกดด้วยปัญหาครอบครัวไปแล้ว ความเงียบใบ้ของผม ส่งผลให้เสียเพื่อนสนิทไปหลายคน แต่ "ตอง" เป็นคนเดียวที่ไม่เคยทิ้งผม...
ตองกับผม เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมไล่มาจนมัธยมปลายในโรงเรียนประจำตัวเมืองเชียงราย เธออยู่กับน้าสาวชาวพม่า ซึ่งผมเรียก "น้า" ตามเธอ ส่วนตองก็เรียก"พ่อ" กับ "แม่" ตามที่ผมเรียก ผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวเข้ากันได้ด้วยอุดมการณ์ร่วมกันที่มีต่อแผ่นดินเกิด พ่อเคยเข้ากับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารเมื่อคราวเป็นนิสิตด้านสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของย่างกุ้ง และพบรักกับแม่ซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ในโรงพยาบาลเล็ก ๆ ที่ตองยีโดยผ่านการแนะนำของน้าซึ่งเป็นอาสาสมัครกลุ่มนิสิตด้วยกัน พ่อบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ หากแต่เป็นเรื่องของ "เหตุปัจจัย" ตามที่พระพุทธเจ้า มหาศาสดาแห่งศาสนาพุทธได้ตรัสแสดงไว้เมื่อกว่าสองสหัสวรรษที่แล้ว
โรงเรียนเลิก แต่ผมก็ยังไม่กลับบ้าน แสงตรงปลายฟ้าค่อย ๆ หรี่ลงทีละน้อย คล้ายอาการคนใจสลาย อีกไม่นานความมืดยามราตรีจะห่มคลุมทุกสรรพสิ่ง ที่ชั้นสูงสุดของอัฒจันทร์ประจำสนามฟุตบอล ผมได้แต่นั่งรอคอยการถูกกลืนกินเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเงามืด
"เราเข้าใจนะ ว่าเธอไม่อยากพูด แต่ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แม่ก็จะยิ่งเศร้าตามไปด้วย ยังไงเธอก็ยังเหลือแม่อยู่อีกคนนะ" ตองซึ่งนั่งเงียบอยู่ด้านข้างตั้งแต่เย็น พูดปลอบใจผม
ฟ้ามืดสนิทแล้ว คงเหลือเพียงแสงจากหลอดไฟเล็กข้างอัฒจันทร์ เมื่อเห็นว่าผมยังเงียบ เธอหยุดไปนาน รอบบริเวณโรงเรียนแว่วเสียงหรีดระงม
พร้อมกันกับเสียงถอนลมหายใจ ตองหยิบภาพเหลืองซีดออกมาจากกระเป๋าสตางค์ เป็นรูปนิสิตหนุ่มสาวคู่หนึ่ง แสงแดงจากหลอดไฟจับเข้ากับหยดน้ำตาที่ค่อย ๆ รื้นขึ้น เธอจ้องมองภาพของพ่อและแม่ซึ่งเสียชีวิตในเงื้อมมือรัฐบาลทหารพม่า แล้วเสียงหอบสะอื้นไห้ก็ค่อยแผ่วดังขึ้น
"ใช่ ผมยังมีแม่ ส่วนตองก็ยังมีน้าอยู่นะ" ผมเพิ่งจะยอมเอ่ยปาก
เนิ่นนานกว่าเธอจะพยักหน้าและพยายามลดอาการสะอื้น
"และก็ยังมี...ผมอีกคนไง" เธอยิ้มแล้ว เป็นเช่นนี้เสมอ...
รอยยิ้มที่สามารถระบายรุ้งทุกเส้นให้สดใสนั้น ขจัดความเศร้าพ้นไปจากใจผมในบัดดล
.......................................
ปีที่นางอองซานซูจีขึ้นปราศัยใหญ่เพื่อต่อต้านเผด็จการทหาร มหาเจดีย์ชเวดากองล้อมรอบไปด้วยกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมกว่าครึ่งล้านชีวิต แต่การเข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติยังคงดำเนินต่อไปอย่างทารุณโหดร้าย น้าและแม่อยู่ประจำในย่างกุ้งร่วมกับทีมแพทย์อาสาเพื่อคอยให้การช่วยเหลือพยาบาลประชาชนผู้บาดเจ็บจากการสลายผู้ชุมนุม
ก่อนจะไป ผู้ใหญ่ทั้งสองฝากเราสองคนให้อยู่ในความดูแลของลุงที่ดูแลทุ่งกาดสะลองนี้
ในคืนเดือนดับ เมื่อดวงจันทร์ไม่ยอมทอแสง หน้าที่ในการประดับท้องนภาจึงตกแก่กลุ่มดาวที่กระจุกตัวเป็นกลุ่ม และที่กระจายอยู่เต็มฟ้า หญ้าเล็ก ๆ ทิ่มผ่านผ้ากันชื้นที่ปูซ้อนหนาถึงสองชั้น สร้างความรู้สึกระคายคัน เราหาผ้ามาปูเพิ่ม แล้วล้มกายลงขนานกับพื้นโลก ทอดตาชมแสงดาวเบื้องบน เนิ่นนานผ่านไป หลังการเล่นทายชื่อกลุ่มดาว ซึ่งจากคำเฉลย ปรากฏว่าผมตอบผิดมากกว่าถูก แม้ว่าตองจะช่วยใบ้ให้แล้วก็ตาม
เราทั้งคู่ผ่านวันเวลาในช่วงปิดเทอมปีสุดท้ายอย่างคนที่ล้นสุขระคนขื่น อาจเพราะรู้ว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้เจอกัน ผมสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ส่วนตองจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในย่างกุ้ง
"ถ้าพ่อแม่ตองยังอยู่ ตองอยากพูดอะไรกับท่าน" ผมถามตองหลังจากที่ดาวตกดวงหนึ่งเพิ่งผ่านโค้งฟ้าไป
"อืม...เราอยากได้ยินท่านพูดให้เราฟังมากกว่า" ริมฝีปากเรียวงามปรากฎรอยยิ้มโศกเศร้า
"ถามแบบนี้ แสดงว่าถ้าพ่อยังอยู่ เธอมีเรื่องที่ต้องการบอกกับท่านใช่ไหม ?"
"ใช่แล้ว เราอยากถามพ่อว่า กลิ่นดอกกาดสะลอง เขาเรียกกันว่าหอมหรือเปล่า ?"
"ถามแปลกจริง เดี๋ยวก่อน อะไรนะ ก็ไหนเธอว่า จมูกเธอรักษาไม่หายไม่ใช่เหรอ ? แล้ว...ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย"
"ตั้งแต่ก้าวแรกที่ตองกับเราเหยียบเข้ามาในทุ่งปีบนั่นล่ะ เราเพิ่งบอก เพราะอยากให้ตองรู้มากเลยนะว่า เราชอบกลิ่นผมของตองมากกว่ากลิ่นดอกไม้พวกนี้ตั้งแยะ"
จากวันนั้น ฆานประสาทของผมก็รับรู้กลิ่นได้เช่นคนปกติ...
...........................................
บนเกาะแห่งนี้ เม็ดทรายทอประกายพราวระยับ อ้าวลมทะเลอบอวลชวนฝัน ดวงอาทิตย์กระจายความร้อนอ่อนโยนคล้ายครรภ์บอบบางแห่งมารดาที่ห่อหุ้มคุ้มครองชีวิตน้อย ๆ ของทารก ตองในวัยยี่สิบห้าลอยเทียนหอมที่เพิ่งจุดลงบนผืนน้ำสีเขียวเข้ม เทียนเล่มน้อยลอยห่างออกไปยังจุดตัดซึ่งแบ่งฟ้าสีครามออกจากท้องน้ำเขียวเข้มอย่างเป็นสัดส่วนก่อนที่จะลับตาไปในที่สุด เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อนที่ยังติดค้างอยู่ในอณูอากาศ
ตองโน้มตัวซบไหล่ผม กลิ่นเธอหอมกว่าเทียนหอมทุกอันที่อยู่ในมือคู่นั้น
"ฉันจะตั้งชื่อลูกว่า กาดสะลอง" ตองบอก พลางลูบครรภ์น้อย ๆ ของเธอ
กาดสะลอง.....
อีกครั้งแล้ว ที่คุณทำให้ผมนึกถึงทุ่งกาดสะลองในค่ำคืนนั้น... แสงไฟจาง ความเงียบในค่ำคืนถูกแทนที่ด้วยเสียงอึงอลของแมลง เสียงหวีดหวิวลมหนาวที่ผ่านโพรงไม้ เปราะกระเทาะกิ่งไม้ กรุ้งกริ่งกระดิ่งลมระรี้ร่าริมหน้าต่าง จะมีก็แต่เทพราตรีเท่านั้น จึงจะบันดาลสรรพสำเนียงแห่งพงไพรที่ไม่ซ้ำจังหวะเช่นนี้ได้ ในห้องที่มีเพียงผมและตอง กับผ้าห่มผืนบางที่เสมือนอาภรณ์คลุมร่างอันเปลือยเปล่าของเราไว้ อุ่นสัมผัสกรุ่นลมหายใจรวยริน หอมระริกกฤษณาจากดงแดนอันเร้นลับ ส่วนหนึ่งของผมล่วงล้ำเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในตัวเธอ วิญญาณสองดวงเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ลักษณาการกระเพื่อมไหวอันเร่งร้อน เราโฉบทะยานสู่จักรวาลอันไกลโพ้น กระเส่าเสียงครวญที่พร้อมจะหลอมละลายทุกสิ่งในสุริยระบบ นานชั่วกัลป์ และไวเท่าปีแสง ในเวิ้งจักรวาล ด้วยแรงเสียดทานสุดท้าย เราพบว่าโลกทั้งใบได้ระเบิดออกเป็นจุล พร้อมกันกับการสลายทุกอนุภาคเข้ากับสายธาราแห่งทางช้างเผือก หมดจด ระรวยล้า และชุ่มเอม
"ที่รัก กลับมาอยู่กับฉันตรงนี้.. " เสียงตองดึงผมกลับคืนมายังปัจจุบัน
"ชื่อที่คุณจะตั้งให้ลูกทำให้ผมคิด" ผมอธิบายแก่ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์
"คิดเรื่องทุ่งปีบ กับสาวพม่าที่ชื่อเดียวกันกับฉันใช่ไหมคะ"
ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาภรรยา ชั่วขณะหนึ่งที่มองกลับไปที่ตอง เธอพยายามหลบสายตา แต่ผมก็ยังสังเกตุเห็นความผิดหวังที่ปรากฎอยู่ในแววตาคู่นั้นได้ ผมรู้สึกละอาย ที่คิดถึงผู้หญิงอื่นต่อหน้าเธอและลูกของเรา
"ที่รัก ตอนนี้คุณได้กลิ่นอะไรไหม ?" ตองอังเทียนหอมที่จุดขึ้นใหม่ใกล้จมูกผม
"ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลย"
"ตอนนี้ คุณยังเห็นว่าฉันท้องอยู่หรือเปล่า ?"
"คุณไม่ได้ท้อง" ผมตอบด้วยความรู้สึกอย่างปวดร้าวเกินระงับ
"ที่รัก ตอนนี้คุณกลับมา "อยู่" กับฉันแล้ว ขอให้คุณได้โปรดตั้งใจฟังฉัน ฉันต้องเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้คุณฟัง ก่อนที่คุณจะ "หาย"ไปอีก"
เธอบอกเล่าเรื่องราว และขอร้องให้ผมเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในซีแอตเทิล
"ตกลง เพื่อเรา ผมจะเข้ารับการบำบัด"
ไม่เคยมีกลิ่น...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ไม่เคยมีกลิ่น !
...........................................
บางทีชีวิตก็เป็นได้แค่เพียงภาพจำลองอันเลือนลางของความฝัน...
"พ่อคะ แม่ส่งจดหมายมาให้หนู พ่ออ่านให้หนูฟังด้วยนะคะ"
ผมเปิดจดหมายของภรรยา และอ่านให้ลูกฟัง
ถึง กาดสะลอง ลูกรัก...
แม่จะเล่าเรื่องของพ่อให้กาดสะลองฟัง...
ช่วงปิดเทอมของมัธยมปลายปีสุดท้าย พ่อต้องสูญเสียทั้งปู่ ย่า และคนรักเก่า ไปในปีเดียวกัน เมื่อปู่เสียชีวิต ย่าเดินทางกลับพม่าเพื่อนำเถ้ากระดูกของปู่คืนสู่แผ่นดินเกิดก่อนที่ย่าจะเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น เมื่อทราบข่าว พ่อทำใจรับเรื่องนี้ไม่ได้ พ่อไม่เชื่อว่าย่าตายแล้ว
จากอำเภอแม่สาย พ่อกับคุณตองคนรักเก่า จับรถหลายต่อมุ่งสู่ชายแดนพม่า ลัดเลาะแนวป่า ข้ามภูลูกแล้วลูกเล่า รถโดยสารถูกปล้นตรงสันเขื่อน ติดกันกับป่าละเมาะอันเป็นที่กบดานของบรรดาโจรป่า พวกโจรปล้นชิงของมีค่าทุกชิ้น และบังคับให้ผู้หญิงทุกคนลงจากรถ คุณตองถูกพวกโจรผลัดกันขืนใจ โดยพ่อไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้เลย ด้วยความแค้น พ่อสัญญาว่าจะกลับไปฆ่าพวกมันทุกคนในตอนรุ่งสาง ทว่าในคืนนั้น คุณตองได้ตัดสินใจจบชีวิตลงด้วยการแขวนคอ ทิ้งเพียงข้อความว่า เพราะรักพ่อมากเธอจึงออกตามหาย่าร่วมกับพ่อ แม้จะรู้ดีว่าย่าได้เสียชีวิตลงแล้ว เธอขอให้พ่อยุติการตามหาย่า และมีชีวิตต่อไป พ่อวิ่งตะโกนร้องไห้คลุ้มคลั่งหลายวันต่อมาจึงถูกพบเข้าโดยทางการพม่า และถูกส่งตัวกลับเข้ามายังฝั่งไทย ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายตามภูมิลำเนาที่ปรากฏในบัตรประชาชน
แล้วครั้งแรกของภาพในอดีตชุดใหม่ก็ถูกวาดขึ้นเพื่อกลบทับความทรงจำในอดีตอันเจ็บปวดของพ่อ ภาพทุ่งกาดสะลอง การเข้าร่วมกับทีมแพทย์อาสาของคุณย่าในช่วงสงคราม ปาฏิหาริย์ในการได้กลิ่น ถูกสร้างขึ้นใหม่ในความคิดของพ่อทั้งหมด พ่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงปีสุดท้ายของมัธยมปลายให้แม่ฟังเมื่อเราเริ่มรู้จักตอนเข้าเรียนปีหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นแม่ไม่เคยนึกสงสัยหรือติดใจในเรื่องการได้กลิ่นของพ่อเลย และในปีสุดท้ายเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย พ่อก็ขอแม่แต่งงาน
แม่รู้ว่าพ่อของลูกไม่เคยลืมคุณตองคนรักเก่า ทั้งยังเคยนึกสงสัยว่าเหตุผลที่พ่อชอบแม่เป็นเพราะแม่ชื่อ "ตอง" เหมือนกันกับคุณตองหรือเปล่า แต่เมื่อมีลูกแล้ว พ่อเหม่อลอยน้อยลง และ "อยู่" กับพวกเราบ่อยขึ้น
ในวันที่แม่คลอดหนูออกมา พ่อว่าพ่อนึกถึงคำปู่ แม้จะเป็นไปไม่ได้แต่พ่อก็ยังอยากรู้ว่ากลิ่นของลูกเป็นอย่างไร ตอนนั้นเองที่แม่ประหลาดใจ เมื่อได้ปรึกษาแพทย์แล้วจึงได้รู้ว่าพ่อไม่เคยได้กลิ่นอะไรเลยแม้แต่กลิ่นเดียว
ในแบบที่จิตใต้สำนึกของพ่อปรารถนาให้มันเป็น "ทั้งกลิ่นดอกปีบ กลิ่นเส้นผมคนรัก กลิ่นเทียนหอม กลิ่นแม่และกลิ่นของลูก" ล้วนเป็นกลิ่นที่พ่อสูดดมได้จากภาพเหตุการณ์ในจินตนาการของตัวเองเท่านั้น
จิตแพทย์บอกกับแม่ว่า หนทางที่จะสื่อสารกับพ่อได้ คือต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าพ่อ "อยู่" หรือ "หาย" และวิธีเดียวที่จะรู้ได้ก็คือการใช้ "กลิ่น" เป็นตัวตัดสิน เมื่อใดก็ตามที่พ่อ "ไม่ได้กลิ่น" เมื่อนั้น พ่อกำลังอยู่ใน "โลกใบจริง"
ครั้งสุดท้ายที่พ่อ "อยู่" นานที่สุดคือ คืนที่กาดสะลองอายุ 5 ขวบ
คืนนั้น พี่เลี้ยงเข้าใจว่าลูกหลับแล้ว เธอล็อกประตูจากด้านนอกไว้เพราะไม่ต้องการให้ลูกออกมาวิ่งเล่นกลางดึก แต่ลูกยังไม่หลับ พ้นสายตาพี่เลี้ยง ลูกก็แอบเอาไม้ขีดไฟออกมาเล่น ทันทีที่พ่อรู้สึกถึงความร้อนที่ลามมาถึงหน้าห้องนอนของพ่อ ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว พ่อพยายามผายปอดให้ลูก ก่อนพาร่างไร้วิญญาณของลูกไปส่งที่โรงพยาบาล
เมื่อแม่กลับมาถึงบ้าน เพลิงไหม้ดับไปแล้ว เหลือเพียงเขม่าดำบนวอลเปเปอร์ลายมิกกี้เมาส์บนผนังห้องนอนของลูก ตัวแม่สั่นเทิ้ม พ่อโทรศัพท์มาบอกว่าอยู่กับลูกที่โรงพยาบาล หมอบอกแม่ทางโทรศัพท์ว่าลูกไปดีแล้ว มือไม้แม่อ่อนแรง ฟังเสียงร้องไห้ของพ่อ ใจแม่เจียนจะขาด
แม่เรียกแท็กซี่แล้วไปรับพ่อกลับจากโรงพยาบาล ขาไปแม่นั่งร้องไห้ ขากลับแม่จำต้องทำใจแข็ง เพราะพ่อของลูกอยู่ในอาการเหม่อยลอยไม่รู้ตัว พร่ำพูดถึงจมูกที่ไม่สามารถรับรู้กลิ่น โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุให้ลูกต้องตาย ถ้าเป็นพ่อคนอื่น ๆ ต้องได้กลิ่นควันไฟแต่เนิ่น ๆ และช่วยเหลือลูกทัน
พ่อ "หาย" ไปจนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งในฤดูร้อน แม่ทดสอบพ่อด้วยเทียนหอม เมื่อรู้ว่าพ่อพร้อมที่จะรับสาส์นแล้ว แม่จึงพยายามบอกให้พ่อรับทราบว่า พ่อได้สร้างตัวตนและเรื่องราวในอดีตขึ้นมาใหม่ ทั้งการได้กลิ่นสิ่งต่าง ๆ เพื่อลบปมด้อยของการไม่ได้กลิ่นตัวเอง และยังเชื่อมโยงกลิ่นที่ไม่เคยมีเข้ากับเรื่องที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อใช้เก็บเป็นในความทรงจำให้ระลึกถึงแทนการระลึกถึงความทรงจำที่เจ็บปวด พ่องุนงงอยู่นาน แต่ในที่สุด พ่อก็ตกลงที่จะเข้ารับการบำบัดที่แผนกจิตเวชของโรงพยาบาลในซีแอตเทิล
แต่...เที่ยวบินนั้นไม่เคยไปถึงซีแอตเทิล
คืนนี้ แม่ยังคงรอคอยการกลับมาของพ่ออย่างเช่นทุกคืน แม้รู้ว่าไม่มีหวังก็ตาม
กาดสะลอง แม่ยังจำภาพหนูในชุดอนุบาลได้เลย แม่ถามหนูว่าโตขึ้นกาดสะลองจะเลือกเรียนคณะอะไร กาดสะลองเอาแต่หัวเราะแล้วไปวิ่งเล่นกับเพื่อน จนวันนี้แม่ก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบจากลูกเลยนะ
แล้วพบกัน
แม่
เลื่อมแสงยามเย็นเริงร่าระบำอยู่บนต้นปีบ ผมพักสายตาจากจดหมายด้วยการมองดูหญ้าขจีที่กำลังลู่เล่นเอนล้อไปกับสายลม ไกลออกไป ผมชี้ชวนลูกสาวดูริ้วควันหลายสายจากเตาหุงอาหารที่กำลังไล้ละล่องสู่ปุยเมฆ คล้ายบันไดวนที่เชื่อมโยงระหว่างสวรรค์กับโลก
เด็กน้อยบอกว่าจะเลิกเล่นไม้ขีดไฟ และเมื่อโตขึ้นเธอจะเรียนคณะการ์ตูนศาสตร์
"ขยี้ให้หัวฟูเลย นี่ไงนักเรียนคณะการ์ตูนศาสตร์" ผมยีหัวลูก
.....................................................
ที่นั่งข้างผม ไม่มีทั้งลูก และไม่ใช่ภรรยา หากแต่เป็นเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลในประเทศไทยที่ติดตามมาด้วย ผมกำลังถูกส่งตัวไปซีแอตเทิลเพื่อรับการบำบัด
ความสูงโพ้นระดับน้ำทะล เมฆทมิฬหนาแน่นคล้ายหัตถ์มัจจุราชที่พร้อมจะบีบบดทุกสิ่งทุกอย่างบนน่านฟ้าแห่งนี้ให้แหลกละเอียด ลมพายุโหมกระหน่ำครืนครั่น กระแสอากาศไม่ราบเรียบ ส่งผลให้นกเหล็กที่ผมโดยสารอยู่ เคว้งดิ่งตกหลุมอากาศอย่างรุนแรง แรงกดอากาศก่อกระเพื่อมระลอกใหญ่ ท้องไส้ผมปั่นป่วน
สุดแรงต้าน มีเพียงความมืด ก่อนแตกออกเป็นเสี่ยง
สิ้นการทรงตัว เครื่องบินลำมหึมา ลู่ดิ่งลงสู่ความมืดเบื้องล่าง....
หอมกาดสะลอง กลิ่นลูกสาวหอมที่สุด...
......................................................................................................................
หมายเหตุ : ปีบ Indian cork tree; ชื่อวิทยาศาสตร์: Millingtonia hortensis Linn.f เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 15 เมตร มีดอกรูปแตรสีขาวหอมอ่อนๆ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ปีบยังมีชื่อพื้นเมืองอื่นอีกคือ กาดสะลอง
....เวอร์ชั่นที่ท่านอ่านจบลงไปนี้เป็น "หอมกลิ่นปีบ Thitiwach's version" ยังมีอีก 1 เวอร์ชั่นคือ "หอมกลิ่นปีบ Narin's version" ที่ http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3559
ท่านสามารถร่วมเป็นกรรมการในการตัดสินให้ 1 ใน 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้รับชัยชนะในหัวข้อเรื่องสั้น "หอมกลิ่นปีบ" ประจำปี 2554 นี้
หอมกลิ่นปีบ Narin's version
http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3559
หอมกลิ่นปีบ Thitiwach's version
http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3558
ขอเชิญร่วมสนุกในการเป็นกรรมการตัดสินเรื่องสั้นคราวนี้ด้วยครับ ขอบพระคุณมากครับ
เมื่อวันที่ : 01 ก.ย. 2554, 18.50 น.
เหมือน ดูภาพเขียนเรียลลิสติคกับอิมเพรสชั่นนีสค่ะ ของคุณนรินทร์ ให้ภาพที่สร้างจินตนาการเหมือนจริง เหมือนดูภาพยนตร์ รายละเอียดและตัวละครก็ชัดดีค่ะ การลำดับความไม่ซับซ้อนค่อนมาทางการประพันธ์ยุคใหม่ แต่ก็สร้างเรื่องราวได้ดีนะคะ
สำหรับคุณฐิติวัชย์ อย่างที่บอก มีลักษณะภาษาที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม การเรียงร้อยเรื่องราวมีลักษณะแฟลชแบคไปมา แต่พี่ชอบภาษาที่สวยงามนะคะ ซึ่งหาได้ยากในหนุ่มสาวยุคใหม่นี้ ชื่นชมค่ะ (จะเป็นเพราะเราเป็นคนยุคเก่าหรือเปล่าถึงได้ชอบภาษาแบบนี้ ลองให้เยาวชนรุ่นใหม่มาอ่านสิ ไม่รู้เค้าจะคิดยังไง) ที่เด่นและดูเหมือนตั้งใจมากอาจเป็นการบรรยายถึงบทอัศจรรย์นั้น เขียนซะงดงามเหมือนเพลงลูกกรุงยุคเก่าเลย
ค่ะ จะบอกว่า พี่ขอลำเอียงเข้าข้างคุณฐิติวัชย์นะคะ ไม่ใช่เพราะเรารู้จักกัน แต่เป็นเพราะพี่ชอบการเรียบเรียงเรื่องราวและภาษาแบบนามธรรม (ถ้าพี่วาดภาพพี่ก็ชอบวาดภาพแบบอิมเพรสชั่นนิสและอุดมคติค่ะ ฉะนั้นคงไม่สงสัยนะคะว่าทำไมพี่เลือกของคุณฐิติวัชย์)