นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๐๑ กันยายน ๒๕๕๔
หอมกลิ่นปีบ - Thitiwach's version
ฐิติวัชร์ คุณาสินสถิตย์
...​​ที่​​ความสูงโพ้นระดับน้ำทะล ไม่ใช่ภรรยา หาก​​แต่​​เป็นเจ้าหน้า​​ที่จากโรงพยาบาลในประเทศไทย​​ที่ติดตามมาด้วย...
​ที่​ความสูงโพ้นระดับน้ำทะล ไม่ใช่ภรรยา หาก​แต่​เป็นเจ้าหน้า​ที่จากโรงพยาบาลในประเทศไทย​ที่ติดตามมาด้วย ผม​กำลังถูกส่งตัว​ไปซีแอตเทิล​เพื่อรับการบำบัด...​

ประสาทสัมผัสการรับรู้กลิ่นของผมพิการตั้งแต่กำเนิด ผมถูกส่งเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดตลอดจนสารพัดวิธีบำบัด นับครั้งไม่ถ้วน ด้วยว่าพ่อไม่​ต้องการปล่อยให้​เป็นปมด้อยติดตัวผม เหมือน​ที่ท่านรู้สึกอึดอัด​กับตัวเองทุกครั้งต่อสภาพลมหายใจ​ที่ติดขัดอันเกิดจาก​ความไม่แข็งแรงของปอด สิ่งเรื้อรังจากการ​ใช้ชีวิตอยู่​ในค่ายทหาร​เมื่อหลายปีก่อน ​ทั้ง​ที่ครั้งหนึ่ง​ท่านเคย​เป็นนักกีฬา​และนักข่าว​ที่แข็งแรงมาก ท่านว่า​ความหวังของท่าน​คือผม​จะ​ต้องแข็งแรงเหมือนท่านในสมัย​ที่ยังหนุ่ม ​และ​เมื่อมีภรรยา ผมสมควร​ได้รับรู้ถึงกลิ่นหอมของเรือนผมเธอ กลิ่นแป้ง​ที่โรยบนตัวลูกอ่อน กลิ่นอันจำแนก​ความจริงออกจากสิ่งลวง​และจำแนกมนุษย์ออกจากสัตว์ พ่อบอกว่า​ทั้งหมดนี้​คือประสบการณ์​ที่ผมสมควร​ได้เสพทราบในฐานะ​ที่เกิดมา​เป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง​ ​แต่​ความพยายามของพ่อก็ไม่​เป็นผล ​เพราะแพทย์ท่านใดก็ไม่อาจนำ​ความ​สามารถในการรับรู้กลิ่นมาสู่ฆานประสาทของผม​ได้ ใน​ที่สุด​เมื่อพ่อถอดใจ ผมกลับรู้สึกโปร่งใจ อาจด้วยว่าผมรู้สึกเหนื่อยแทนพ่อ แถมยังเดียงสาเกิน​จะรับทราบ​ความหมายของท่านในเวลานั้น​ การเติบโตมา​พร้อม​กับจมูก​ที่ไม่​ได้กลิ่นอะไร​เลย​ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อ​ความรู้สึกใด ๆ​ของผม​แม้​แต่น้อย

ฤดูฝน...​โลกเข้าสู่​ความชุ่มฉ่ำอีกครั้ง เช้า​มืดในตัวเมืองเชียงรายถูกห่มคลุมด้วยม่านหมอก ไอแดดอ่อนจากดวงอาทิตย์ในยามสายชำเลืองผ่านกลีบเมฆอย่างเกียจคร้าน ก่อนชำแรกไออุ่นละลาย​ความเย็นจากมวลหมอกจนสิ้น แล้ว​ไม่นานฝนก็โปรยปรายลงมา จากละอองเล็ก ๆ​ ในยามบ่ายกลายสภาพ​เป็นสายธารอันเชียวกรากสาดกระหน่ำไม่ยั้ง ไม่มีทีท่าว่า​จะสิ้นสุด จากพลบค่ำกระทั่งเช้า​วันใหม่ ​เป็นเช่นนี้สัปดาห์แล้ว​สัปดาห์เล่า ​ความชื้นประจำฤดูกาลนี้ไม่​เป็นมิตร​กับปอด​ที่อ่อนแออย่างมากของพ่อ​แม้​แต่น้อย ท่านต่อสู้​กับอาการเหนื่อยหอบนี้มาหลายปีแล้ว​ ก่อนตัดสินใจออกจากโรงพยาบาล​เพื่อกลับมาอยู่​​กับแม่​และผม แม่​เป็นผู้พยาบาลพ่ออย่างใกล้ชิด ด้วยประสบการณ์ในอาชีพพยาบาล แม่รู้ดีว่าพ่อเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว​ แล้ว​ใน​ที่สุดลมหนาวก็​ได้พรากพ่อ​ไปจากเรา ​พร้อมกัน​กับการสิ้นสุดของฝนส่งท้ายฤดู ภายใต้คืนเงียบงัน​กับต่อมน้ำตา​ที่อยู่​เหนือการควบคุม เราสองแม่ลูกร่ำไห้ประหนึ่ง​ดวงวิญญาณสองดวง​ที่​กำลัง​จะแตกสลาย
โมงยามอันมืดหม่นผ่าน​ไปอย่างเชื่องช้าราวปฏิทิน​ที่ไม่อาจพลิกเจอ "วันพรุ่งนี้" ผมรู้ว่า​จะจมจ่อม​กับ​ความสูญเสียนี้ตลอด​ไปไม่​ได้ ในสายตาครู​และ​เพื่อน ผมกลาย​เป็นเด็กหนุ่มมัธยมปลาย​ที่เก็บกดด้วยปัญหาครอบครัว​ไปแล้ว​ ​ความเงียบใบ้ของผม ส่งผลให้เสีย​เพื่อนสนิท​ไปหลายคน ​แต่ "ตอง" ​เป็นคนเดียว​ที่ไม่เคยทิ้งผม...​

ตอง​กับผม เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมไล่มาจนมัธยมปลายในโรงเรียนประจำตัวเมืองเชียงราย เธออยู่​​กับน้าสาวชาวพม่า ​ซึ่งผมเรียก "น้า" ตามเธอ ​ส่วนตองก็เรียก"พ่อ" ​กับ "แม่" ตาม​ที่ผมเรียก ผู้ใหญ่​ทั้งสองครอบครัวเข้ากัน​ได้ด้วยอุดมการณ์ร่วมกัน​ที่มีต่อแผ่นดินเกิด พ่อเคยเข้า​กับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร​เมื่อคราว​เป็นนิสิตด้านสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง​ของย่างกุ้ง ​และพบรัก​กับแม่​ซึ่ง​เป็นพยาบาลอยู่​ในโรงพยาบาลเล็ก ๆ​ ​ที่ตองยี​โดยผ่านการแนะนำของน้า​ซึ่ง​เป็นอาสาสมัครกลุ่มนิสิตด้วยกัน พ่อบอกว่าเหตุการณ์​ทั้งหมดไม่​ได้เกิดขึ้น​​เพราะ​ความบังเอิญ หาก​แต่​เป็นเรื่อง​ของ "เหตุปัจจัย" ตาม​ที่​พระพุทธเจ้า มหาศาสดาแห่งศาสนาพุทธ​ได้ตรัสแสดงไว้​เมื่อกว่าสองสหัสวรรษ​ที่แล้ว​

โรงเรียนเลิก ​แต่ผมก็ยังไม่กลับบ้าน แสงตรงปลายฟ้าค่อย ๆ​ หรี่ลงทีละน้อย คล้ายอาการคนใจสลาย อีกไม่นาน​ความมืดยามราตรี​จะห่มคลุมทุกสรรพสิ่ง ​ที่ชั้นสูงสุดของอัฒจันทร์ประจำสนามฟุตบอล ผม​ได้​แต่นั่งรอคอยการถูกกลืนกินเข้า​เป็น​ส่วนหนึ่ง​ของเงามืด
"เราเข้าใจนะ ว่าเธอไม่อยากพูด ​แต่​ถ้า​เป็นแบบนี้​ไปเรื่อย ๆ​ แม่ก็​จะยิ่งเศร้าตาม​ไปด้วย ยังไงเธอก็ยังเหลือแม่อยู่​อีกคนนะ" ตอง​ซึ่งนั่งเงียบอยู่​ด้านข้างตั้งแต่เย็น พูดปลอบใจผม
ฟ้ามืดสนิทแล้ว​ คงเหลือเพียงแสงจากหลอดไฟเล็กข้างอัฒจันทร์ ​เมื่อเห็นว่าผมยังเงียบ เธอหยุด​ไปนาน รอบบริเวณโรงเรียนแว่วเสียงหรีดระงม
​พร้อมกัน​กับเสียงถอนลมหายใจ ตองหยิบภาพเหลืองซีดออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ​เป็นรูปนิสิตหนุ่มสาวคู่หนึ่ง​ แสงแดงจากหลอดไฟจับเข้า​กับหยดน้ำตา​ที่ค่อย ๆ​ รื้นขึ้น​ เธอจ้องมองภาพของพ่อ​และแม่​ซึ่งเสียชีวิตในเงื้อมมือรัฐบาลทหารพม่า แล้ว​เสียงหอบสะอื้นไห้ก็ค่อยแผ่วดังขึ้น​
"ใช่ ผมยังมีแม่ ​ส่วนตองก็ยังมีน้าอยู่​นะ" ผมเพิ่ง​จะยอมเอ่ยปาก
เนิ่นนานกว่าเธอ​จะพยักหน้า​และพยายามลดอาการสะอื้น
"​และก็ยังมี...​ผมอีกคนไง" เธอยิ้มแล้ว​ ​เป็นเช่นนี้เสมอ...​
รอยยิ้ม​ที่​สามารถระบายรุ้งทุกเส้นให้สดใสนั้น​ ขจัด​ความเศร้าพ้น​ไปจากใจผมในบัดดล

...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​

ปี​ที่นางอองซานซูจีขึ้น​ปราศัยใหญ่​เพื่อต่อต้านเผด็จการทหาร มหาเจดีย์ชเวดากองล้อมรอบ​ไปด้วยกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมกว่าครึ่งล้านชีวิต ​แต่การเข่นฆ่า​เพื่อนร่วมชาติยังคงดำเนินต่อ​ไปอย่างทารุณโหดร้าย น้า​และแม่อยู่​ประจำในย่างกุ้งร่วม​กับทีมแพทย์อาสา​เพื่อคอยให้การช่วยเหลือพยาบาลประชาชนผู้บาดเจ็บจากการสลายผู้ชุมนุม
ก่อน​จะ​ไป ผู้ใหญ่​ทั้งสองฝากเราสองคนให้อยู่​ใน​ความดูแลของลุง​ที่ดูแลทุ่งกาดสะลองนี้
ในคืนเดือนดับ ​เมื่อดวงจันทร์ไม่ยอมทอแสง หน้า​ที่ในการประดับท้องนภาจึงตกแก่กลุ่มดาว​ที่กระจุกตัว​เป็นกลุ่ม ​และ​ที่กระจายอยู่​เต็มฟ้า หญ้าเล็ก ๆ​ ทิ่มผ่านผ้ากันชื้น​ที่ปูซ้อนหนาถึงสองชั้น สร้าง​ความรู้สึกระคายคัน เราหาผ้ามาปูเพิ่ม แล้ว​ล้มกายลงขนาน​กับพื้นโลก ทอดตาชมแสงดาวเบื้องบน เนิ่นนานผ่าน​ไป หลังการเล่นทายชื่อกลุ่มดาว ​ซึ่งจากคำเฉลย ปรากฏว่าผมตอบผิดมากกว่าถูก ​แม้ว่าตอง​จะช่วยใบ้ให้แล้ว​ก็ตาม
เรา​ทั้งคู่ผ่านวันเวลาในช่วงปิดเทอมปีสุดท้ายอย่างคน​ที่ล้นสุขระคนขื่น อาจ​เพราะรู้ว่า​เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว​​ที่​จะ​ได้เจอกัน ผมสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ​ส่วนตอง​จะ​ไปเรียนต่อ​ที่มหาวิทยาลัยในย่างกุ้ง

"​ถ้าพ่อแม่ตองยังอยู่​ ตองอยากพูดอะไร​​กับท่าน" ผมถามตองหลังจาก​ที่ดาวตกดวงหนึ่ง​เพิ่งผ่านโค้งฟ้า​ไป
"อืม...​เราอยาก​ได้ยินท่านพูดให้เราฟังมากกว่า" ริมฝีปากเรียวงามปรากฎรอยยิ้มโศกเศร้า
"ถามแบบนี้ แสดงว่า​ถ้าพ่อยังอยู่​ เธอมีเรื่อง​​ที่​ต้องการบอก​กับท่านใช่ไหม ?"
"ใช่แล้ว​ เราอยากถามพ่อว่า กลิ่นดอกกาดสะลอง ​เขาเรียกกันว่าหอมหรือเปล่า ?"
"ถามแปลกจริง เดี๋ยวก่อน อะไร​นะ ก็ไหนเธอว่า จมูกเธอรักษาไม่หายไม่ใช่เหรอ ? แล้ว​...​ตั้งแต่​เมื่อไรเนี่ย"
"ตั้งแต่ก้าวแรก​ที่ตอง​กับเราเหยียบเข้ามาในทุ่งปีบนั่นล่ะ เราเพิ่งบอก ​เพราะอยากให้ตองรู้มากเลย​นะว่า เราชอบกลิ่นผมของตองมากกว่ากลิ่นดอกไม้พวกนี้ตั้งแยะ"

จากวันนั้น​ ฆานประสาทของผมก็รับรู้กลิ่น​ได้เช่นคนปกติ...​

...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​.

บนเกาะแห่งนี้ เม็ดทรายทอประกายพราวระยับ อ้าวลมทะเลอบอวลชวนฝัน ดวงอาทิตย์กระจาย​ความร้อนอ่อนโยนคล้ายครรภ์บอบบางแห่งมารดา​ที่ห่อหุ้มคุ้มครองชีวิตน้อย ๆ​ ของทารก ตองในวัยยี่สิบห้าลอยเทียนหอม​ที่เพิ่งจุดลงบนผืนน้ำสีเขียวเข้ม เทียนเล่มน้อยลอยห่างออก​ไปยังจุดตัด​ซึ่งแบ่งฟ้าสีครามออกจากท้องน้ำเขียวเข้มอย่าง​เป็นสัด​ส่วนก่อน​ที่​จะลับตา​ไปใน​ที่สุด เหลือไว้เพียงกลิ่นหอมอ่อน​ที่ยังติดค้างอยู่​ในอณูอากาศ
ตองโน้มตัวซบไหล่ผม กลิ่นเธอหอมกว่าเทียนหอมทุกอัน​ที่อยู่​ในมือคู่นั้น​

"ฉัน​จะตั้งชื่อลูกว่า กาดสะลอง" ตองบอก พลางลูบครรภ์น้อย ๆ​ ของเธอ

กาดสะลอง...​..
อีกครั้งแล้ว​ ​ที่คุณทำให้ผมนึกถึงทุ่งกาดสะลองในค่ำคืนนั้น​...​ แสงไฟจาง ​ความเงียบในค่ำคืนถูกแทน​ที่ด้วยเสียงอึงอลของแมลง เสียงหวีดหวิวลมหนาว​ที่ผ่านโพรงไม้ เปราะกระเทาะกิ่งไม้ กรุ้งกริ่งกระดิ่งลมระรี้ร่าริมหน้าต่าง ​จะมีก็​แต่เทพราตรีเท่านั้น​ จึง​จะบันดาลสรรพสำเนียงแห่งพงไพร​ที่ไม่ซ้ำจังหวะเช่นนี้​ได้ ในห้อง​ที่มีเพียงผม​และตอง ​กับผ้าห่มผืนบาง​ที่เสมือนอาภรณ์คลุมร่างอันเปลือยเปล่าของเราไว้ อุ่นสัมผัสกรุ่นลมหายใจรวยริน หอมระริกกฤษณาจากดงแดนอันเร้นลับ ​ส่วนหนึ่ง​ของผมล่วงล้ำเข้า​ไป​เป็น​ส่วนหนึ่ง​ในตัวเธอ วิญญาณสองดวงเชื่อม​เป็นหนึ่ง​เดียวภายใต้ลักษณาการกระ​เพื่อมไหวอันเร่งร้อน เราโฉบทะยานสู่จักรวาลอันไกลโพ้น กระเส่าเสียงครวญ​ที่​พร้อม​จะหลอมละลายทุกสิ่งในสุริยระบบ นานชั่วกัลป์ ​และไวเท่าปีแสง ในเวิ้งจักรวาล ด้วยแรงเสียดทานสุดท้าย เราพบว่าโลก​ทั้งใบ​ได้ระเบิดออก​เป็นจุล ​พร้อมกัน​กับการสลายทุกอนุภาคเข้า​กับสายธาราแห่งทางช้างเผือก หมดจด ระรวยล้า ​และชุ่มเอม
"​ที่รัก กลับมาอยู่​​กับฉันตรงนี้.. " เสียงตองดึงผมกลับคืนมายังปัจจุบัน
"ชื่อ​ที่คุณ​จะตั้งให้ลูกทำให้ผมคิด" ผมอธิบายแก่ภรรยา​ที่​กำลังตั้งครรภ์
"คิดเรื่อง​ทุ่งปีบ ​กับสาวพม่า​ที่ชื่อเดียวกัน​กับฉันใช่ไหมคะ​"
ผมไม่กล้า​แม้​แต่​จะสบตาภรรยา ชั่วขณะหนึ่ง​​ที่มองกลับ​ไป​ที่ตอง เธอพยายามหลบสายตา ​แต่ผมก็ยังสังเกตุเห็น​ความผิดหวัง​ที่ปรากฎอยู่​ในแววตาคู่นั้น​​ได้ ผมรู้สึกละอาย ​ที่คิดถึงผู้หญิงอื่นต่อหน้าเธอ​และลูกของเรา
"​ที่รัก ตอนนี้คุณ​ได้กลิ่นอะไร​ไหม ?" ตองอังเทียนหอม​ที่จุดขึ้น​ใหม่ใกล้จมูกผม
"ผมไม่​ได้กลิ่นอะไร​เลย​"
"ตอนนี้ คุณยังเห็นว่าฉันท้องอยู่​หรือเปล่า ?"
"คุณไม่​ได้ท้อง" ผมตอบด้วย​ความรู้สึกอย่างปวดร้าวเกินระงับ
"​ที่รัก ตอนนี้คุณกลับมา "อยู่​" ​กับฉันแล้ว​ ขอให้คุณ​ได้โปรดตั้งใจฟังฉัน ฉัน​ต้องเล่าเรื่อง​​ทั้งหมดนี้ให้คุณฟัง ก่อน​ที่คุณ​จะ "หาย"​ไปอีก"
เธอบอกเล่าเรื่อง​ราว ​และขอร้องให้ผมเข้ารับการบำบัด​ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง​ในซีแอตเทิล
"ตกลง ​เพื่อเรา ผม​จะเข้ารับการบำบัด"
ไม่เคยมีกลิ่น...​ตอนนี้ผมรู้แล้ว​ว่า ไม่เคยมีกลิ่น !

...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​.

บางทีชีวิตก็​เป็น​ได้แค่เพียงภาพจำลองอันเลือนลางของ​ความฝัน...​

"พ่อคะ​ แม่ส่งจดหมายมาให้หนู พ่ออ่านให้หนูฟังด้วยนะคะ​"
ผมเปิดจดหมายของภรรยา ​และอ่านให้ลูกฟัง


ถึง กาดสะลอง ลูกรัก...​
แม่​จะเล่าเรื่อง​ของพ่อให้กาดสะลองฟัง...​
ช่วงปิดเทอมของมัธยมปลายปีสุดท้าย พ่อ​ต้องสูญเสีย​ทั้งปู่ ย่า ​และคนรักเก่า ​ไปในปีเดียวกัน ​เมื่อปู่เสียชีวิต ย่าเดินทางกลับพม่า​เพื่อนำเ​ถ้ากระดูกของปู่คืนสู่แผ่นดินเกิดก่อน​ที่ย่า​จะเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น​ ​เมื่อทราบข่าว พ่อทำใจรับเรื่อง​นี้ไม่​ได้ พ่อไม่เชื่อว่าย่าตายแล้ว​

จากอำเภอแม่สาย พ่อ​กับคุณตองคนรักเก่า จับรถหลายต่อมุ่งสู่ชายแดนพม่า ลัดเลาะแนวป่า ข้ามภูลูกแล้ว​ลูกเล่า รถ​โดยสารถูกปล้นตรงสันเขื่อน ติดกัน​กับป่าละเมาะอัน​เป็น​ที่กบดานของบรรดาโจรป่า พวกโจรปล้นชิงของมีค่าทุกชิ้น ​และบังคับให้ผู้หญิงทุกคนลงจากรถ คุณตองถูกพวกโจรผลัดกันขืนใจ ​โดยพ่อไม่​สามารถช่วยเหลืออะไร​เธอ​ได้เลย​ ด้วย​ความแค้น พ่อสัญญาว่า​จะกลับ​ไปฆ่าพวกมันทุกคนในตอนรุ่งสาง ​ทว่าในคืนนั้น​ คุณตอง​ได้ตัดสินใจจบชีวิตลงด้วยการแขวนคอ ทิ้งเพียงข้อ​ความว่า ​เพราะรักพ่อมากเธอจึงออกตามหาย่าร่วม​กับพ่อ ​แม้​จะรู้ดีว่าย่า​ได้เสียชีวิตลงแล้ว​ เธอขอให้พ่อยุติการตามหาย่า ​และมีชีวิตต่อ​ไป พ่อวิ่งตะโกนร้องไห้คลุ้มคลั่งหลายวัน​ต่อมาจึงถูกพบเข้า​โดยทางการพม่า ​และถูกส่งตัวกลับเข้ามายังฝั่งไทย ​ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายตามภูมิลำเนา​ที่ปรากฏในบัตรประชาชน

แล้ว​ครั้งแรกของภาพในอดีตชุดใหม่ก็ถูกวาดขึ้น​​เพื่อกลบทับ​ความทรงจำในอดีตอันเจ็บปวดของพ่อ ภาพทุ่งกาดสะลอง การเข้าร่วม​กับทีมแพทย์อาสาของคุณย่าในช่วงสงคราม ปาฏิหาริย์ในการ​ได้กลิ่น ถูกสร้างขึ้น​ใหม่ใน​ความคิดของพ่อ​ทั้งหมด พ่อเล่าเรื่อง​​ที่เกิดขึ้น​ในช่วงปีสุดท้ายของมัธยมปลายให้แม่ฟัง​เมื่อเราเริ่มรู้จักตอนเข้าเรียนปีหนึ่ง​ ​ซึ่งตอนนั้น​แม่ไม่เคยนึกสงสัยหรือติดใจในเรื่อง​การ​ได้กลิ่นของพ่อเลย​ ​และในปีสุดท้าย​เมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัย พ่อก็ขอแม่​แต่งงาน

แม่รู้ว่าพ่อของลูกไม่เคยลืมคุณตองคนรักเก่า ​ทั้งยังเคยนึกสงสัยว่าเหตุผล​ที่พ่อชอบแม่​เป็น​เพราะแม่ชื่อ "ตอง" เหมือนกัน​กับคุณตองหรือเปล่า ​แต่​เมื่อมีลูกแล้ว​ พ่อเหม่อลอยน้อยลง ​และ "อยู่​" ​กับพวกเราบ่อยขึ้น​

ในวัน​ที่แม่คลอดหนูออกมา พ่อว่าพ่อนึกถึงคำปู่ ​แม้​จะ​เป็น​ไปไม่​ได้​แต่พ่อก็ยังอยากรู้ว่ากลิ่นของลูก​เป็นอย่างไร ตอนนั้น​เอง​ที่แม่ประหลาดใจ ​เมื่อ​ได้ปรึกษาแพทย์แล้ว​จึง​ได้รู้ว่าพ่อไม่เคย​ได้กลิ่นอะไร​เลย​​แม้​แต่กลิ่นเดียว

ในแบบ​ที่จิตใต้สำนึกของพ่อปรารถนาให้มัน​เป็น "​ทั้งกลิ่นดอกปีบ กลิ่นเส้นผมคนรัก กลิ่นเทียนหอม กลิ่นแม่​และกลิ่นของลูก" ล้วน​เป็นกลิ่น​ที่พ่อสูดดม​ได้จากภาพเหตุการณ์ในจินตนาการของตัวเองเท่านั้น​

จิตแพทย์บอก​กับแม่ว่า หนทาง​ที่​จะสื่อสาร​กับพ่อ​ได้ ​คือ​ต้องรู้ให้​ได้ก่อนว่าพ่อ "อยู่​" หรือ "หาย" ​และวิธีเดียว​ที่​จะรู้​ได้ก็​คือการ​ใช้ "กลิ่น" ​เป็นตัวตัดสิน ​เมื่อใดก็ตาม​ที่พ่อ "ไม่​ได้กลิ่น" ​เมื่อนั้น​ พ่อ​กำลังอยู่​ใน "โลกใบจริง"

ครั้งสุดท้าย​ที่พ่อ "อยู่​" นาน​ที่สุด​คือ คืน​ที่กาดสะลองอายุ 5 ขวบ
คืนนั้น​ พี่เลี้ยงเข้าใจว่าลูกหลับแล้ว​ เธอล็อกประตูจากด้านนอกไว้​เพราะไม่​ต้องการให้ลูกออกมาวิ่งเล่นกลางดึก ​แต่ลูกยังไม่หลับ พ้นสายตาพี่เลี้ยง ลูกก็แอบ​เอาไม้ขีดไฟออกมาเล่น ทันที​ที่พ่อรู้สึกถึง​ความร้อน​ที่ลามมาถึงหน้าห้องนอนของพ่อ ทุกอย่างก็สายเกิน​ไปแล้ว​ พ่อพยายามผายปอดให้ลูก ก่อนพาร่างไร้วิญญาณของลูก​ไปส่ง​ที่โรงพยาบาล
​เมื่อแม่กลับมาถึงบ้าน เพลิงไหม้ดับ​ไปแล้ว​ เหลือเพียงเขม่าดำบนวอลเปเปอร์ลายมิกกี้เมาส์บนผนังห้องนอนของลูก ตัวแม่สั่นเทิ้ม พ่อโทรศัพท์มาบอกว่าอยู่​​กับลูก​ที่โรงพยาบาล หมอบอกแม่ทางโทรศัพท์ว่าลูก​ไปดีแล้ว​ มือไม้แม่อ่อนแรง ฟังเสียงร้องไห้ของพ่อ ใจแม่เจียน​จะขาด

แม่เรียกแท็กซี่แล้ว​​ไปรับพ่อกลับจากโรงพยาบาล ขา​ไปแม่นั่งร้องไห้ ขากลับแม่จำ​ต้องทำใจแข็ง ​เพราะพ่อของลูกอยู่​ในอาการเหม่อยลอยไม่รู้ตัว พร่ำพูดถึงจมูก​ที่ไม่​สามารถรับรู้กลิ่น โทษตัวเองว่า​เป็นต้นเหตุให้ลูก​ต้องตาย ​ถ้า​เป็นพ่อคนอื่น ๆ​ ​ต้อง​ได้กลิ่นควันไฟ​แต่เนิ่น ๆ​ ​และช่วยเหลือลูกทัน

พ่อ "หาย" ​ไปจนกระทั่งบ่ายวันหนึ่ง​ในฤดูร้อน แม่ทดสอบพ่อด้วยเทียนหอม ​เมื่อรู้ว่าพ่อ​พร้อม​ที่​จะรับสาส์นแล้ว​ แม่จึงพยายามบอกให้พ่อรับทราบว่า พ่อ​ได้สร้างตัวตน​และเรื่อง​ราวในอดีตขึ้น​มาใหม่ ​ทั้งการ​ได้กลิ่นสิ่งต่าง ๆ​ ​เพื่อลบปมด้อยของการไม่​ได้กลิ่นตัวเอง ​และยังเชื่อมโยงกลิ่น​ที่ไม่เคยมีเข้า​กับเรื่อง​​ที่สร้างขึ้น​ใหม่​เพื่อ​ใช้เก็บ​เป็นใน​ความทรงจำให้ระลึกถึงแทนการระลึกถึง​ความทรงจำ​ที่เจ็บปวด พ่องุนงงอยู่​นาน ​แต่ใน​ที่สุด พ่อก็ตกลง​ที่​จะเข้ารับการบำบัด​ที่แผนกจิตเวชของโรงพยาบาลในซีแอตเทิล

​แต่...​เ​ที่ยวบินนั้น​ไม่เคย​ไปถึงซีแอตเทิล

คืนนี้ แม่ยังคงรอคอยการกลับมาของพ่ออย่างเช่นทุกคืน ​แม้รู้ว่าไม่มีหวังก็ตาม
กาดสะลอง แม่ยังจำภาพหนูในชุดอนุบาล​ได้เลย​ แม่ถามหนูว่าโตขึ้น​กาดสะลอง​จะเลือกเรียนคณะอะไร​ กาดสะลอง​เอา​แต่หัวเราะแล้ว​​ไปวิ่งเล่น​กับ​เพื่อน จนวันนี้แม่ก็ยังไม่เคย​ได้รับคำตอบจากลูกเลย​นะ

แล้ว​พบกัน
แม่

เลื่อมแสงยามเย็นเริงร่าระบำอยู่​บนต้นปีบ ผมพักสายตาจากจดหมายด้วยการมองดูหญ้าขจี​ที่​กำลังลู่เล่นเอนล้อ​ไป​กับสายลม ไกลออก​ไป ผมชี้ชวนลูกสาวดูริ้วควันหลายสายจากเตาหุงอาหาร​ที่​กำลังไล้ละล่องสู่ปุยเมฆ คล้ายบันไดวน​ที่เชื่อมโยง​ระหว่างสวรรค์​กับโลก

เด็กน้อยบอกว่า​จะเลิกเล่นไม้ขีดไฟ ​และ​เมื่อโตขึ้น​เธอ​จะเรียนคณะการ์ตูนศาสตร์
"ขยี้ให้หัวฟูเลย​ นี่ไงนักเรียนคณะการ์ตูนศาสตร์" ผมยีหัวลูก

...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​..

​ที่นั่งข้างผม ไม่มี​ทั้งลูก ​และไม่ใช่ภรรยา หาก​แต่​เป็นเจ้าหน้า​ที่จากโรงพยาบาลในประเทศไทย​ที่ติดตามมาด้วย ผม​กำลังถูกส่งตัว​ไปซีแอตเทิล​เพื่อรับการบำบัด
​ความสูงโพ้นระดับน้ำทะล เมฆทมิฬหนาแน่นคล้ายหัตถ์มัจจุราช​ที่​พร้อม​จะบีบบดทุกสิ่งทุกอย่างบนน่านฟ้าแห่งนี้ให้แหลกละเอียด ลมพายุโหมกระหน่ำครืนครั่น กระแสอากาศไม่ราบเรียบ ส่งผลให้นกเหล็ก​ที่ผม​โดยสารอยู่​ เคว้งดิ่งตกหลุมอากาศอย่างรุนแรง แรงกดอากาศก่อกระ​เพื่อมระลอกใหญ่ ท้องไส้ผมปั่นป่วน
สุดแรงต้าน มีเพียง​ความมืด ก่อนแตกออก​เป็นเสี่ยง
สิ้นการทรงตัว เครื่องบินลำมหึมา ลู่ดิ่งลงสู่​ความมืดเบื้องล่าง...​.

หอมกาดสะลอง กลิ่นลูกสาวหอม​ที่สุด...​




...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​...​.
หมายเหตุ : ปีบ Indian cork tree; ชื่อวิทยาศาสตร์: Millingtonia hortensis Linn.f ​เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 15 เมตร มีดอกรูปแตรสีขาวหอมอ่อนๆ​ นิยมปลูก​เป็นไม้ประดับ ปีบยังมีชื่อพื้นเมืองอื่นอีก​คือ กาดสะลอง



...​.เวอร์ชั่น​ที่ท่านอ่านจบลง​ไปนี้​เป็น "หอมกลิ่นปีบ Thitiwach's version" ยังมีอีก 1 เวอร์ชั่น​คือ "หอมกลิ่นปีบ Narin's version" ​ที่ http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3559
ท่าน​สามารถร่วม​เป็นกรรมการในการตัดสินให้ 1 ใน 2 เรื่อง​นี้​เป็นเรื่อง​​ที่​ได้รับชัยชนะในหัวข้อเรื่อง​สั้น "หอมกลิ่นปีบ" ประจำปี 2554 นี้

หอมกลิ่นปีบ Narin's version
http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3559
หอมกลิ่นปีบ Thitiwach's version
http://noknoi.com/magazine/article.php?t=3558

ขอเชิญร่วมสนุกในการ​เป็นกรรมการตัดสินเรื่อง​สั้นคราวนี้ด้วยครับ​ ขอบ​พระคุณมากครับ​

 

F a c t   C a r d
Article ID A-3558 Article's Rate 7 votes
ชื่อเรื่อง หอมกลิ่นปีบ - Thitiwach's version
ผู้แต่ง ฐิติวัชร์ คุณาสินสถิตย์
ตีพิมพ์เมื่อ ๐๑ กันยายน ๒๕๕๔
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องสั้น
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๗๗๐ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๑๐ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๓๒
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : ณัฐพิชา [C-18401 ], [58.8.74.21]
เมื่อวันที่ : 01 ก.ย. 2554, 18.50 น.

เหมือน ดูภาพเขียนเรียลลิสติค​กับอิมเพรสชั่นนีสค่ะ​ ของคุณนรินทร์ ให้ภาพ​ที่สร้างจินตนาการเหมือนจริง เหมือนดูภาพยนตร์ รายละเอียด​และตัวละครก็ชัดดีค่ะ​ การลำดับ​ความไม่ซับซ้อนค่อนมาทางการประพันธ์ยุคใหม่ ​แต่ก็สร้างเรื่อง​ราว​ได้ดีนะคะ​
สำหรับคุณฐิติวัชย์ อย่าง​ที่บอก มีลักษณะภาษา​ที่ค่อนข้าง​เป็นนามธรรม การเรียงร้อยเรื่อง​ราวมีลักษณะแฟลชแบค​ไปมา ​แต่พี่ชอบภาษา​ที่สวยงามนะคะ​ ​ซึ่งหา​ได้ยากในหนุ่มสาวยุคใหม่นี้ ชื่นชมค่ะ​ (​จะ​เป็น​เพราะเรา​เป็นคนยุคเก่าหรือเปล่าถึง​ได้ชอบภาษาแบบนี้ ลองให้เยาวชนรุ่นใหม่มาอ่านสิ ไม่รู้เค้า​จะคิดยังไง) ​ที่เด่น​และดูเหมือนตั้งใจมากอาจ​เป็นการบรรยายถึงบทอัศจรรย์นั้น​ เขียนซะงดงามเหมือนเพลงลูกกรุงยุคเก่าเลย​
ค่ะ​ ​จะบอกว่า พี่ขอลำเอียงเข้าข้างคุณฐิติวัชย์นะคะ​ ไม่ใช่​เพราะเรารู้จักกัน ​แต่​เป็น​เพราะพี่ชอบการเรียบเรียงเรื่อง​ราว​และภาษาแบบนามธรรม (​ถ้าพี่วาดภาพพี่ก็ชอบวาดภาพแบบอิมเพรสชั่นนิส​และอุดมคติค่ะ​ ฉะนั้น​คงไม่สงสัยนะคะ​ว่าทำไมพี่เลือกของคุณฐิติวัชย์)

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : ชยพล _บอย [C-18403 ], [58.11.21.61]
เมื่อวันที่ : 01 ก.ย. 2554, 20.06 น.

เรื่อง​คุณ Narin ภาษาเขียนสละสลวย ​แต่ไม่ถึง​ที่สุด เนื้อเรื่อง​คาดเดาเหตุการณ์​ได้ง่ายเกิน​ไป

เรื่อง​คุณ Thitiwatch ภาษาเขียนสละสลวยมาก เนื้อเรื่อง​มี​ความซับซ้อน ตอนจบคาดเดาเหตุการณ์​ได้ยาก ​แต่ก็เข้าใจเนื้อเรื่อง​​ทั้งหมด​ได้ อีก​ทั้งการบรรยายเนื้อหามี "มิติ" ของเรื่อง​มากกว่า

สรุป เลือก Thitiwatch's version ครับ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๓ : รฐา [C-18405 ], [58.11.0.79]
เมื่อวันที่ : 02 ก.ย. 2554, 12.25 น.

ชอบงานเขียนของ​ทั้งสองคนเลย​ค่ะ​
ของคุณนรินทร์ อ่านสนุก เข้าใจง่ายดี เหมือน​ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง​สั่น เรื่อง​หนึ่ง​
ของคุณฐิติวัชร์ สลับซับซ้อน ​ต้องอ่านย้อน​ไปมา​เพื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์จริง​กับ​ที่สมมติขึ้น​เอง
อ่านแล้ว​ให้​ความรู้สึกพลิกผันอยู่​ตลอดเวลา คล้าย ๆ​ หนังของผรั่ง​ที่ไม่​สามารถคาดเดา​ได้
สรุป ชอบ​ทั้งของ​ทั้งสองคนเลย​ค่ะ​ ​แต่​ถ้า​ต้องเลือก ขอโหวด คุณฐิติวัชร์ค่ะ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๔ : ลุงเปี๊ยก [C-18408 ], [125.26.81.35]
เมื่อวันที่ : 02 ก.ย. 2554, 16.47 น.

[ลอกคอมเม้นต์มา] เพิ่งอ่านจบ​ทั้งสองเวอร์ชั่นครับ​ ​ถ้าบอกว่า​ทั้งสองเรื่อง​นี้เขียน​โดยคน ๆ​ เดียวกัน ผมก็​จะเชื่อ ​เป็นเรื่อง​สั้น​ที่อยู่​ในโทนดี​ทั้งสองเรื่อง​ครับ​ หากให้ตัดสินผมอยากให้เสมอกัน ​แม้​โดยตัวบทเวอร์ชั่นของนรินทร์อาจดูด้อยกว่าในแง่​ความงดงามทางภาษา ​แต่วรรณกรรม​ที่ดีไม่​ได้แปลว่างดงาม ​แม้เวอร์ชั่นของฐิติวัฒน์​จะดูมีมิติ​ความซับซ้อนกว่า​และงดงามกว่า ทำไมผมกลับไม่ยอมให้​เขา​เป็นผู้ชนะ คำตอบ​คือ ผมเชื่อว่าหาก​ได้อ่าน​แต่ละเรื่อง​ในช่วงเวลาแตกต่างกัน อ่าน​โดยไม่เปรียบเทียบกัน ผม​จะให้คะแนน​ทั้งสองเรื่อง​ไม่ต่างกันเลย​

​ทั้งสองนามปากกานี้มีวิธีการเล่าเรื่อง​คล้ายกันมาก วิธีผูกเรื่อง​ก็คล้ายกันมาก ​และ​ถ้าให้เดาผมก็คิดว่า ​ทั้งสองน่า​จะมีรสนิยมในการอ่านหนังสือคล้ายกัน ด้วยเหตุนี้ผม​จะให้ผู้ใดคนหนึ่ง​ชนะเหนือกว่าอีกคน​ได้อย่างไร

สิ่ง​ที่เห็นแน่ ๆ​ ​คือ คุณ​ทั้งสอง​จะพัฒนาขึ้น​​ได้อีกมาก อยากแนะให้นรินทร์ทดลอง​ใช้นาฏกรรมเล่าเรื่อง​ราวบอกผู้อ่านแทนการ​ใช้ประโยคบอกเล่าดื้อ ๆ​ ​และอยากแนะนำให้ฐิติวัฒน์ลองเล่น​กับ​ความนึกคิดของตัวละครให้มากกว่าเส้นเวลา (ไม่ใช่ว่า​ที่ทำมาแล้ว​ไม่ดี ผมเพียง​แต่เสนอให้ทำสิ่ง​ที่ต่างออก​ไป)

สุดท้ายขอแสดง​ความชื่นชม​ทั้งสองคน ​และขอบคุณ​ที่​ใช้พื้น​ที่ของเว็บนกน้อย มาทำกิจกรรมเผยแพร่ ​และรับฟังคำวิจารณ์ ยินดี​และดีใจ​ที่​ได้มารู้จักกันครับ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๕ : ลุงเปี๊ยก [C-18409 ], [125.26.81.35]
เมื่อวันที่ : 02 ก.ย. 2554, 16.48 น.

อูย..ขออภัย​ที่เขียนชื่อคุณ ฐิติวัชร์ ผิด​ไป

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๖ : นาม อิสรา [C-18411 ], [101.109.83.187]
เมื่อวันที่ : 02 ก.ย. 2554, 21.44 น.

ผมขอโหวตให้คุณฐิติวัชร์ครับ​ ​เพราะ​ถ้าเปรียบภาพเขียนก็วิจิตรแพรวพราวอร้าอร่ามอลังการเลย​ทีเดียว

สำหรับอีกท่านก็อย่า​ได้น้อยใจ ในสายตาผมภาพเขียนของคุณก็วิจิตรสวยงามเช่นกัน เพียง​แต่ดูเหมือน​จะขาดอะไร​อีกสักนิด​ที่ผมล้วง​เอา​ความรู้สึกออกมาบอกคุณ​ได้ยาก หรืออาจ​เป็น​เพราะภาพเขียนของคุณผม​ได้พบเจอมาบ้างแล้ว​ก็​ได้

​เพราะฉะนั้น​​ความงามก็เรื่อง​ของ​ความงาม ​แต่​ความแปลกตาแปลกใจนั้น​มันอีกเรื่อง​ ​ซึ่งผมค่อนข้างให้​ความสำคัญ​กับมันครับ​

สรุป--​ความ​สามารถของคุณ​ทั้งสอง ผมไม่อาจทาบรัศมี​ได้เลย​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๗ : วิสาวาโท [C-18412 ], [71.255.234.131]
เมื่อวันที่ : 03 ก.ย. 2554, 01.25 น.

​ความเห็นนี้ถูกส่งข้ามแม่น้ำ​และมหาสมุทรจากทวีปอเมริกา ​เป็นนัยว่าระยะทางไม่อาจปิดกั้น​ความสัมพันธ์​เมื่อครั้งเราเคยดูแลเจ้ามเหยงค์ด้วยกัน
ขอเทหนึ่ง​คะแนนให้​กับเรื่อง​สั้นอันประทับใจเรื่อง​นี้ ​และขอให้​ได้ชัยชนะตาม​ที่​ต้องการ

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๘ : มะขวิด [C-18413 ], [203.114.104.203]
เมื่อวันที่ : 03 ก.ย. 2554, 15.40 น.

เอ่อ...​.

พ่ออ่านหนังสือให้ลูกฟังตอนไหนอ่ะครับ​ ตอนนั่งเครื่องบินเหรอ หรือก่อนหน้า หรือหลังจากนั้น​

หลังจากนั้น​คงไม่​ได้ ​เพราะเครื่องบินตก

ก่อนหน้าก็คงไม่​ได้ ​เพราะในจดหมายบอกว่าเครื่องตก

อธิบายหน่อย​ครับ​ คุณเจ้าของเรื่อง​ ผมยัง "เข้าไม่ถึง" เรื่อง​ของคุณ หรืออย่างไร

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๙ : Rotjana Geneva [C-18414 ], [81.62.35.140]
เมื่อวันที่ : 03 ก.ย. 2554, 18.39 น.

ขอร่วมลงคะแนนเสียงด้วยคนค่ะ​

งานของ​ทั้งสองท่าน เห็น​ได้ชัดว่าแสดงกันสุดฝีมือ ​เพื่อให้ตรง​กับโจทย์ "หอมกลิ่นปีบ" ​และชนะใจคนอ่าน

งานของนรินทร์ ​ถ้าเปรียบ​ไปก็เหมือนหนุ่มท้องทุ่ง เว้าซื่อ ๆ​ รักก็บอกว่ารัก ไม่มีอ้อมค้อม นำเสนอ​ตรง​ไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีลูกเล่น ไม่ปิดบังอำพราง เห็น​ได้ชัดว่า พยายาม​จะโยงเรื่อง​เข้าสู่ประเด็น "หอมกลิ่นปีบ" ตลอดเวลา ​แต่​ที่ทำไม่สำเร็จ​คือ ไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า​ "หอมกลิ่นปีบ" จากตัวอักษร​ได้ คง​เป็น​เพราะตั้งใจ​จะนำเสนอ​ลักษณะของดอกปีบมากเกิน​ไป ไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกร่วม ​โดยเฉพาะหากผู้อ่านไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้ พี่รจนาไม่​ได้กลิ่นปีบจากเรื่อง​ของนรินทร์เลย​ค่ะ​ นึกภาพกลีบดอก​ที่มีเปรียบเทียบ​กับครอบครัวไม่ออก

ใน​ส่วนของการผูกเนื้อเรื่อง​ ทำ​ได้ดี น่าสนุก น่าติดตามอ่าน จบ​ใช้​ได้ ​โดยทำให้ตัวละครตก​เป็นเบี้ยล่างในท้าย​ที่สุด ​เป็นการจบแบบเรื่อง​ลึกลับอยู่​สักหน่อย​ ​ซึ่ง​ถ้าว่าตามมวลเหตุของเรื่อง​แล้ว​ ยังไม่สมเหตุสมผลนัก หากคู่แฝดคนหนึ่ง​อยาก​เป็นนักการเมืองมากมาย​ จน​ต้องปลอมตัว​เป็นอีกคนหนึ่ง​ มันออก​จะตื้นเขิน​ไปนิดนึงนะคะ​ เหตุ​เพราะว่า คน​ที่ตัดสินท้าย​ที่สุด​คือ ประชาชนคนลงคะแนนเสียง พจน์ทำผิดมาแล้ว​ครั้งหนึ่ง​ ​ได้รับเลือกตั้งแค่ครั้งเดียว แล้ว​มาสวมรอย​เป็นเพชร ​แต่​ใช้นโยบายเดิม มองไม่เห็นว่า​จะสำเร็จในระยะยาว​ได้อย่างไร เหตุจูงใจอ่อน​ไปค่ะ​
วิธีเขียนของนรินทร์เรียบเหมือนอ่านรายงานค่ะ​ หากเขียน​เป็นนาฏกรรมเล่าเรื่อง​อย่าง​ที่ลุงเปี๊ยกแนะนำ ​จะทำให้มีชีวิตชีวา มีสีสันให้สม​กับเนื้อเรื่อง​มากขึ้น​ หาก​เป็นอาหารสักจาน "หอมกลิ่นปีบ" ของนรินทร์คง​เป็นเหมือนข้าวราดไข่ดาวค่ะ​ ง่าย ๆ​ อร่อย ​และ​เป็น​ที่ต้อนรับ​ได้เสมอ ​แต่ลืมน้ำปลาพริกของสำคัญ​ไป

การเขียนแบบไม่มีสำบัดสำนวนเช่นนี้​จะ​ต้องอาศัยพล็อตเรื่อง​ช่วยให้มากหน่อย​ ​เพื่อให้สำนวนภาษาง่าย ๆ​ นี้ไม่กลาย​เป็นจุดอ่อน

​ส่วนงานของฐิติวัชร์ มีเสน่ห์ของตัวอักษรตั้งแต่ย่อหน้าแรก อ่านแล้ว​สะดุด​กับลีลาทันที ทำให้สนเท่ห์อยากอ่านต่อ ​และ​ความ​สามารถในการนำเสนอ​ผ่านตัวอักษร​ที่ทำให้​ได้กลิ่น ​ได้อารมณ์ ​ได้เห็นภาพ ​โดยเฉพาะฉากอัศจรรย์ดัง​ที่​เพื่อน ๆ​ ​ได้วิพากษ์​ไป ​ได้สัมผัส​ความเสน่หาของชายหญิง​ที่​ทั้งอ่อนหวาน โรแมนติค ​และเจือด้วยดำกฤษณาอย่างกลมกลืน
​และประเด็นสำคัญ​ที่พี่รจนาชื่นชม​คือ การโยงเข้าสู่กลิ่นดอกปีบอย่างแนบเนียน ไม่ยัดเยียด ​แต่​เป็นจุดหักเหสำคัญ​ไปในชีวิตตัวละครหลัก ​และ​แม้ว่ากลิ่นปีบ​จะ​เป็นจุดสำคัญ ​แต่ก็ไม่นำเสนอ​จนมากเกิน​ไปหรือถี่เกิน​ไป ​จะมีการแฟลชแบ็ค​ไป​ที่กลิ่นปีบในโอกาสอันควร โยง​กับการ​ได้กลิ่น(หรือสูญเสียการรับกลิ่น)ของตัวละคร ​และกลิ่นอื่น ๆ​ ในชีวิต คนอ่านรู้สึกว่า​ กลิ่นนั้น​คงหอม​เป็นพิเศษ รวม​ทั้งเฝ้าครุ่นคิดว่า การไม่​ได้กลิ่นนั้น​มัน​จะ​เป็น​ความรู้สึกแบบไหน

ขอโหวตให้ฐิติวัชร์ค่ะ​ ​ทั้งภาษา ​ทั้งพล็อตเรื่อง​

​และนรินทร์ขอให้สู้ต่อ​ไป อย่า​ได้ท้อนะคะ​

ด้วยมิตรไมตรี

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๐ : มะขวิด [C-18420 ], [203.114.104.203]
เมื่อวันที่ : 14 ก.ย. 2554, 09.10 น.

เอ๊ะ หรือว่า ​ทั้งพ่อ​และลูกตาย​ไปหมดแล้ว​ แล้ว​จึงอ่านจดหมายของแม่??

กลับมาอ่านซ้ำ อิอิ

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น