![]() |
![]() |
มุก อันดา![]() |
...๑. ทันทีที่เสียงกัปตันกล่าวลาผู้โดยสารบนเครื่องจบลง พีร์ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวใบหน้าคมสันก็เดินลิ่วออกจากเครื่องบินด้วยความรู้สึกลิงโลดตื้นเต้น...
๑. ทันทีที่เสียงกัปตันกล่าวลาผู้โดยสารบนเครื่องจบลง พีร์ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวขาวใบหน้าคมสันก็เดินลิ่วออกจากเครื่องบินด้วยความรู้สึกลิงโลดตื้นเต้นดีใจที่จะได้พบบุพการี เป็นความรู้สึกเดิมเหมือนทุกครั้งที่มีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้าน"ทุกคนจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนกันนะ ทั้งพ่อ ลุงชม ป้าแหวน และคนอื่นๆ" ชายหนุ่มนึกถึงผู้เป็นพ่อและเหล่าบริวารผู้ภักดีที่บ้านริมน้ำ
เป็นเวลากว่า10ปีแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาเมืองไทยนับแต่เรียนจบ ครั้งสุดท้ายที่กลับมาเยี่ยมบ้านก็มากับพี่ชายผู้ซึ่งตอนนั้นอยู่ระหว่างพักเพื่อรอเข้าประจำการในกองทัพสหรัฐ ส่วนตัวเขานั้นกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสาม อายุเพิ่ง 20 ปีเต็ม
เมื่อคิดย้อนไปในวัยเด็ก ชายหนุ่มก็อดยิ้มด้วยความสุขไม่ได้ จะมีใครโชคดีเหมือนเขา ที่ไม่เคยขาดความรักความอบอุ่นใจแม้จะต้องไปอาศัยอยู่กับผู้ที่มิใช่บิดามารดา
ลุงธรรม ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของพ่อเขาไปตั้งรกรากในประเทศอเมริกานานแล้ว มีลูกชายคนเดียวชื่อ พอล โตกว่าเขา 3 ปี เขาและพี่ชายถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาด้วยกันจึงรักและสนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ๆ
ลุงเล่าว่า ด้วยความสงสารที่เขาต้องขาดแม่ตั้งแต่อายุเพียง 2 ขวบ ลุงจึงพาครอบครัวบินข้ามฟ้ามารับหลานชายตัวน้อยหลังจากเสร็จสิ้นงานศพของน้องสะใภ้
ธีร์ผู้เป็นพ่อจำต้องยอมมอบลูกให้ไปอยู่ในความดูแลของพี่ชายและพี่สะใภ้ เพราะตระหนักดีว่าลูกน้อยนั้นต้องการผู้ที่จะทำหน้าที่แทนมารดาและจำนนต่อความความรักของคนทั้งสองที่มีต่อลูกของตน ซึ่งตัวเขาก็หาได้ละเลยลูกน้อยไม่ จัดเวลาไปเยี่ยมเยียนลูกชายคนเดียวทุกปี สิ่งนี้เองที่ช่วยทำให้ความสัมพันธ์พ่อลูกไม่เหินห่างเหมือนครอบครัวอื่น
และในเวลาต่อมาเขาก็รู้ว่าตัดสินใจไม่ผิดที่ทำเช่นนั้น นอกจากเด็กน้อยจะเติบโตขึ้นมาอย่างคนที่มีความรับผิดชอบต่อตนเองและส่วนรวมแล้ว ยังได้รับการอบรมสั่งสอนเรื่องการปฏิบัติตัวในสังคมไทยและการใช้ภาษาไทย พูด อ่าน เขียน อย่างถูกต้องอีกด้วย เพราะทั้งสองคนรู้ดีว่าอนาคตของพีร์อยู่ที่เมืองไทย
คราวนี้เขากลับมาด้วยความตั้งใจอยู่นาน 6 เดือน ซึ่งเป็นวันพักร้อนทั้งหมดที่สามารถสะสมได้ เมื่อหยิบสัมภาระจากสายพานใส่รถเข็นเรียบร้อย ชายหนุ่มรีบเดินผ่านศุลกากรเพื่อออกประตูไปยังจุดนัดพบที่ลุงชมกำลังรออยู่
"เอ๊ะ นั่นใครกัน สาวน้อยที่ยืนยิ้มกว้างพร้อมโบกมือไหวๆ มาทางเรา ใบหน้าขาวใส ดวงตากลมโต สวยสะดุดตา ไม่เลวแฮะ เมืองไทยก็มีสาวสวยน่ารักเหมือนกัน" ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มในใจ พลางสาวเท้าเข้าไปหาลุงชม
"หรือว่าไอ้เษมแกล้งส่งใครมาเซอร์ไพร้ส....." ทันทีที่นึกถึงเพื่อนซี้ชายหนุ่มก็หยุดเดิน ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง "กึก!" มาจากด้านหลังพร้อมกับความรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า
เขารีบหันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าผู้ที่เข็นกระเป๋าตามหลังเขามาติดๆนั้นเป็นชายไทยผิวขาวท่าทางสุภาพ
"ขอโทษครับคุณ เจ็บมากไหมครับ" ชายผู้นั้นรีบขอโทษอย่างระล้ำระลัก
"ผมไม่คิดว่าคุณจะหยุดเดินกะทันหัน พอดีผมก้มมองโทรศัพท์ในมือ เลยเบรคไม่ทัน"
"ไม่เป็นไรครับ" พีร์กล่าวตอบ พร้อมยิ้มให้อย่างมีไมตรี
"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ น้องผมเขารีบ ขอโทษอีกครั้งครับ"
ผู้เข็นรถชนเท้าโค้งให้เขาขณะกล่าวลา
"ครับ เชิญครับ" พีร์หันกลับ เดินไปหาลุงชมที่ยืนรออยู่
"สวัสดีครับ คุณพีร์" ลุงชมทักทายพลางน้อมตัวไปรับของจากชายหนุ่ม
"สวัสดีครับ ลุงชม ลุงไม่เปลี่ยนเลยนะครับ ยังแข็งแรงเหมือนเดิม" ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้อาวุโส
"ทางนี้ครับ คุณพีร์" ลุงชมบอกพลางออกเดินนำหน้าไปที่จอดรถ ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมก้าวเดินตาม อดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองหาสาวน้อยผู้นั้นอีกครั้ง ซึ่งบัดนี้ได้อันตรธานไปเสียแล้ว
"คนแก่ก็เป็นแบบนี้แหละครับ คุณพีร์ แก่เฒ่าไปตามกาลเวลา ยายแหวนก็เหมือนกัน วันนี้ตื่นเต้นไปจ่ายตลาดแต่เช้า ทำอาหารที่คุณพีร์ชอบรอไว้หลายอย่างเลยครับ" ลุงชมเอ่ยถึงภรรยาที่อยู่ร่วมรับใช้ ประมุขของบ้านมาตั้งแต่ยังเป็นสาวน้อยถึงตอนนี้ที่กลายเป็นสาวเหลือน้อยแล้ว
"คุณพ่อเป็นไงบ้างอ่ะครับลุง ผมถามทีไร ก็ตอบว่า สบายดีๆ ทุกครั้งเลย"
"คุณท่านสุขสบายดีจริงๆครับ สุขภาพของท่านแข็งแรงดี สุขภาพจิตก็ดีครับ ท่านจะมีห่วงก็เรื่องเดียวเท่านั้นแหละครับ" ลุงกล่าวยิ้มๆ
"อ่อ เรื่องอะไรล่ะลุง"
"เรื่องคุณพีร์ นั่นแหละครับ เมื่อไหร่จะย้ายกลับมาอยู่บ้านเราเสียที"
"โห พ่อบ่นกับลุง เรื่องนี้ด้วยหรอ นึกว่าบ่นแค่ในจดหมายที่ส่งหาผม"
"อีกไม่นานหรอกครับลุง อีกไม่นาน ...." ชายหนุ่มพึมพำ พร้อมปิดตาลงด้วยความอ่อนเพลียในการเดินทาง แต่ใจกลับนึกถึงภาพของเธอผู้นั้นที่เขาพบที่สนามบิน........
"สวัสดีค่ะ พี่ตั้ว ตะกี๊แพรเห็นพี่ยืนคุยอยู่กับใครคะ เจอเพื่อนหรอ"
"ป่าวๆ ก็พี่มัวรีบเดินมาหาเรานั่นแหละ คุณคนนั้นเค้าเดินอยู่ข้างหน้า แล้วอยู่ดีๆ เค้าก็หยุดเดิน พี่เบรกไม่ทัน แฮ่ะๆ เลยชนเข้าเต็มเปา สงสัยคงจะเจ็บน่าดู"
"อ่อ"
"ตะกี๊ หยุดคุยเพื่อขอโทษเขาน่ะ ไม่มีอะไรหรอก "
"อ่อค่ะ รีบไปกันดีกว่าค่ะ วันนี้วันศุกร์ รถเยอะ เดี๋ยวเราจะออกยาก"
"จ้ะ"
ประมาณ 45 นาที นายชมก็พาชายหนุ่มมาถึงบ้านริมน้ำ ทุกคนออกมารอต้อนรับเขาที่หน้าบ้าน โดยเฉพาะแม่แหวนกุลีกุจอออกมายืนรอด้วย
"คุณพีร์ครับ คุณพีร์ ถึงบ้านแล้วครับ"
"อ่อ เหรอ" ชายหนุ่มพยายามรีบเปิดตามองดูรอบๆ แล้วเดินลงจากรถ
"สวัสดีครับ คุณพีร์ จำผมได้ไหมครับ" หมัดยกมือไหว้แล้วรีบเดินไปที่รถเพื่อช่วยขนกระเป๋า
"จำได้สิ ไงหมัด โตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา เรียนถึงไหนแล้วล่ะ" พีร์หันมาทักทายเด็กหนุ่ม
"สวัสดีค่ะ คุณพีร์ ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะ" ป้าแหวนร้องทัก
"สวัสดีครับ ป้าแหวน" ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ตรงรี่เข้าไปกอดและหอมแก้มป้าแหวน 1 ฟอด
"โห ป้า ยังเต่งตึงเหมือนเดิมเลย ป้าแข็งแรงดีนะครับ"
"ค่ะ คุณพีร์ แต่ไปหาคุณท่านก่อนเถอะค่ะ ท่านรออยู่ในห้องทำงานค่ะ" ป้าแหวนพูดแทรก
"ครับ" พีร์เดินไปหาพ่อเขาตามคำบอกของป้าแหวน
"สวัสดีครับ พ่อ" เขาตรงไปคุกเข่าลงกราบที่ตักและกอดบิดา
"สวัสดี พีร์ เป็นไงบ้างลูกเหนื่อยไหม เดินทางเรียบร้อยดีหรือเปล่า" บิดาอ้าแขนกอดลูกชายสุดรัก
"เรียบร้อยดีครับพ่อ จนถึงสนามบินอ่ะครับ มีคนเข็นรถมาชนเท้าผม"
ชายหนุ่มตอบพลางเอามือลูบข้อเท้า ซึ่งยังปวดอยู่
"อ้าว เป็นไรมากไหมนั่น ต้องหาหมอไหม"
"ไม่ต้องหรอกครับ นิดหน่อย"
"หิวไหมลูก หรือจะไปอาบน้ำพักผ่อนก่อน"
"ยังไม่หิวครับพ่อ สาวๆบนเครื่องดูแลผมเป็นอย่างดี" ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะ
"แต่พ่อครับ ผมเริ่มง่วงแล้ว อยู่บนเครื่องนอนไม่หลับ ดูหนังฟังเพลงและกินตลอดทาง"
"อ้าว งั้นก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวค่อยตื่นมาคุยกัน ถ้าไม่ไหว ก็ไว้คุยกันพรุ่งนี้ ต้องการอะไรก็บอกหมัดหรือแม่แหวนให้จัดการให้ก็แล้วกันนะ"
ผู้เป็นพ่ออมยิ้ม นึกขำที่เมื่อตอนลูกยังเล็ก พ่อลูกคุยกันภาษาอังกฤษ แต่เดี๋ยวนี้ลูกของเขาพูดไทยได้ชัดมาก
"ขอบคุณครับพ่อ เอ่อ ผมขอพักปรับเวลาสักสองสามวันนะครับ แล้วจะไปช่วยงานพ่อครับ"
"ได้สิ งานของเราเอง ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพ่อแล้วกัน อ้อ แต่อย่าลืมให้ป้าแหวนเอายามาทาที่ข้อเท้าให้เสียล่ะ"
พีร์ไม่พิลี้พิไล พอถึงห้อง เปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนและหลับไปทันที
"คุณท่านคะ อาหารว่างพร้อมน้ำชาค่ะ มันเลยเวลาแล้ว"
"อืม"
"อ้าว คุณพีร์ล่ะคะ ไปพักผ่อนแล้วหรอคะ"
"อืม แหวนเดี๋ยวหายาทาข้อเท้าให้พีร์หน่อยนะ รอเขาตื่นก่อนก็ได้ เห็นบอกว่ามีคนเข็นของชนเท้าเขาอ่ะ"
"ค่ะ แล้วค่ำนี้จะให้ตั้งอาหารกี่โมงดีคะ ไม่รู้คุณพีร์จะตื่นตอนไหน"
แม่แหวนพูดด้วยความเป็นห่วงเจ้านายน้อยของเธอ
"ตั้งตามปกตินั่นแหล่ะ ถ้าเขาไม่ตื่น ฉันก็กินคนเดียว ส่วนพีร์ แม่แหวนก็คอยดูแล้วกัน ทำอะไรเบาๆทิ้งไว้ แล้วสั่งหมัดยกไปให้ตอนเขาตื่นก็ได้"
"ค่ะท่าน"
หลังจากหลับไปนาน ตื่นมาอีกที เวลาก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่ง "เอ จะทำไรดีหว่า ดันตื่นมาตอนนี้" หันไปหันมา เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์
"สวัสดีครับ เกษมพูด" เสียงตอบจากปลายสาย
เกษม กุลวัธณ์ เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของพีร์ นักเรียนไทยที่ Seattle University ส่วนใหญ่จะรู้จักสองพี่น้องแห่งตระกูล "พิทักษ์ธรรม" ดีในฐานะเจ้าบ้านเชื้อชาติไทย เนื่องจากทั้งสองคนมีน้ำใจคอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนๆคนไทยอยู่เสมอ
"หวัดดี เษม ฉันมาแล้วโว้ย"
"เฮ้ย! พีร์หรอ มาถึงเมื่อไหร่วะ"
"เพิ่งถึงเมื่อบ่ายแก่ๆ นี่เอง ถึงบ้านก็หลับเป็นตายเลย เพิ่งตื่นมาตอนนี้ล่ะ แกทำไรอยู่วะ"
"ไม่ได้ทำไร นั่งดูทีวีอยู่"
"อยากออกมาข้างนอกไหมวะ"
"จะให้ตอบตรงๆ หรือตอบตามมารยาทวะ ฮ่ะๆๆ" เษมหัวเราะ
"ฉันตื่นมาแล้ว ไม่รู้จะทำไรดี คิดถึงแกคนแรก เลยยกหูมานี่ล่ะ"
"โห นี่ดีนะที่ฉันเป็นชาย ถ้าเป็นหญิง ได้ยินแกพูดแบบนี้ มีหวังแจ้นไปหาถึงบ้าน ฮ่าๆๆ"
"ไอ้บ้า อย่ามาทำพูดดี"
"ไม่ออกดีกว่าหว่ะ คืนนี้ดึกแระ แกมีไรหรือเปล่าที่จะให้ฉันไปหาอ่ะ"
"ไม่มีไรหรอก แค่อยากมีเพื่อนคุย"
"มีไรไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่า ว่าแต่แกจะให้ฉันไปพบที่ไหน บ้านหรือบริษัทพ่อแก"
"แกว่างตอนไหนค่อยโทรมาหาฉันดีกว่า แล้วมารับฉันออกไปด้วย ไม่รู้จักทางไม่อยากขับรถเอง อ้อ แต่ฉันอยากให้แกนัดแก้งเรากินข้าวเย็นกันสักมื้อด้วยนะ แกจัดเลยเรื่องวัน เวลา สถานที่"
"ได้เลยเพื่อน เดี๋ยวฉันจะกระจายข่าวเรื่องแกอินเดอะซิตี้ก่อน ฮ่าๆๆ ไม่รอดแน่พีร์" เษมหัวเราะร่วน
"เฮ้ย บอกแค่กลุ่มเราก็พอนะเว้ย ฉันขี้เกียจปั้นหน้ารับแขกอื่น"
แขกในที่นี้ คือ บรรดาหนุ่มสาวลูกเศรษฐีที่เคยรู้จักเขาที่อเมริกานั่นเอง บ้างก็ไปเรียน บ้างก็ไปเที่ยว มีบางคนที่ชอบพีร์มาก ขนาดเที่ยวป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นแฟนของพีร์ ทำเอาชายหนุ่มปวดหัวต้องคอยแก้ข่าวหลายหน
"โธ่ กลัวไรวะ มีสาวล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ดีตรงไหน ไม่ต้องเสียเวลาไปเดินหา มาให้เลือกถึงที่"
"ไอ้บ้า ฉันไม่ได้หื่นขนาดนั้นนะเฟ้ย แค่ไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายกับฉันถึงในบ้านเท่านั้น เข้าใจไหมวะ ไอ้คุณเษม"
"เออๆ ฉันเข้าใจแกทะลุเลยล่ะ ฮ่ะๆๆ"
"ดี งั้นทำเท่าที่ฉันบอกก็พอ"
"เออ แล้วนี่แกได้คุยกับพ่อแกยัง"
"ยังสิวะ เพิ่งตื่น ป่านนี้พ่อคงหลับไปแล้ว"
"พีร์ ฉันว่าแกรีบลงไปหาไรกินก่อนเหอะ ก่อนที่แม่ครัวแกจะหลับไปอีกคน ฉันจะเข้านอนล่ะ"
"เออจริง แกรู้ได้ไงวะ ว่าฉันกำลังหิว งั้นแค่นี้ก่อนนะ"
เมื่อวันที่ : 31 ส.ค. 2554, 17.51 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...