![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
...พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังไม่บัญญัติคำศัพท์ "หนำ" และ "น่ำ" ที่หมายถึงกรรมวิธีเพาะปลูกข้าวไร่ของเกษตรกรชาวปักษ์ใต้ นอกจากจะแปลว่า เพียงพอต่อความต้องการ เพียงอย่างเดียว...
หนำไร่อาเสริมพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ยังไม่บัญญัติคำศัพท์ "หนำ" และ "น่ำ" ที่หมายถึงกรรมวิธีเพาะปลูกเมล็ดข้าวของชาวไร่ นอกจากจะแปลว่า เพียงพอต่อความต้องการ เพียงอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น "หนำ" ในที่นี้ จึงแค่สำเนียงข้าหลวงของตาปีด-คนภาคกลาง ซึ่งไปมีลูกเมียอยู่ที่ปักษ์ใต้บ้านผม พูดใส่หูพวกผมให้ได้ยินทั่วกันว่า คนภาคกลางบ้านแกเขาเรียกกรรมวิธีดังกล่าวว่าอย่างไร
ส่วน "น่ำ" เป็นสำเนียงทองแดง สำเนียงใต้จริง ๆ จะออกเสียงว่า "หน่ำ" และน่าจะยังไม่มีอยู่ในพจนานุกรมเช่นเดียวกัน
สมัยเด็ก ๆ โรงเรียนปิดเสาร์-อาทิตย์ หากเขามีการลงแขกหนำไร่กัน ผมก็มักจะดอดไปร่วมกับเขาเสมอ เพียงแต่ไม่ได้ไปร่วมตากแดดตากลมช่วยเขาหนำข้าวอยู่ในไร่ แต่จะแอบไปเป็นทองพลอยอยู่ในครัว ซึ่งมีแต่ของถูกปากและเอร็ดอร่อยทั้งนั้น เพราะส่วนมากวันลงแขกหนำไร่ เจ้าของไร่ก็มักจะใจปั้มถึงกับลงทุนเชือดหมูในเล้า หรือไม่ก็แจวเรือออกทะเลไปหาปูหาปลาจนเต็มลำเรือ เอามาทำกับข้าวเลี้ยงแขก
และที่แน่ ๆ ก็คือ น้ำกะแช่ หรือน้ำขาว แล้วก็ ส.ร.ถ. ที่ปรุงต้มขึ้นมาเองด้วยสูตรที่ร้อนแรงจุดไฟติด พอเลิกงานตอนเย็น อาบน้ำอาบท่าในห้วยในคลองกันเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะตั้งวงสังสรรค์เฮฮากัน
เป็นความรื่นเริงและอาหารตาที่พวกเด็ก ๆ ชอบกันนักหนา เพราะบางครั้งก็มีทั้ง ลิเกป่า รำวงเวียนครก รำรองแง็ง-ชายหญิงขับบทเกี้ยวพาราสีกัน หรือไม่ก็เพลงกระบอกฝีปากคมคาย
วันไหนมีพวกมโนราห์ติดมาด้วย ก็จะได้ชมลีลาการร่ายรำที่ออกจะพิสดารนอกตำราไปสักหน่อย นั่นก็คือ บางครั้งมโนราห์ขี้เมาร่ายรำไปพลางล้มลุกคลุกคลานไปพลาง เพราะดีกรีของ ส.ร.ถ.ฉุดลากไป
พวกเด็ก ๆ ที่นั่งดูก็โห่กันเกรียว ๆ ด้วยความชอบใจ
โนราห์บางคนแกล้งเมา เพื่อสร้างบรรยากาศให้สนุกครึกครื้นก็มี
ผมเองก็ชอบดูมโนราห์ขี้เมา บางครั้งนั่งอยู่จนเพลิน จนกระทั่งมืดค่ำ แม่ต้องเรียกกลับบ้านถึงจะลุกออกมา
วันหนำไร่อาเสริมคราวนั้นตรงกับวันเสาร์พอดี และตอนนั้นผมเองก็ยังเป็นเด็ก ยังเรียนหนังสืออยู่ชั้นประถมปลาย แต่จะเป็นชั้น ป.๖ หรือ ป.๗ ไม่มั่นใจ แต่ก็ถือเป็นเด็กโตในหมู่บ้าน เวลาใช้งานพวกเด็ก ๆ เขาก็จะเรียกใช้เด็กรุ่นผมก่อนใคร
ผมรู้ข่าวนี้ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ เพราะอาเสริมไปยืมกระบอกหนำข้าวของพ่อที่บ้านผม ซึ่งเป็นกระบอกไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่เท้า ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน ทำจากต้นไผ่เกรียบ ซึ่งเป็นไม้ไผ่ที่ผิวบางและมีน้ำหนักเบา พ่อไปตัดมาจากป่าลึกได้สี่ห้าสิบกระบอก เอามามัดรวมกัน และแขวนไว้กับขื่อยุ้งข้าว เพื่อนบ้านคนไหนหนำข้าว มายืมไปใช้งาน ก็ให้ไปไม่หวง
"ไอ้ถึก-พรุ่งนี้เช้า มึงหาบกระบอกหนำข้าวไปให้อาด้วยนะ ประเดี๋ยวอาจะเลยไปยืมไม้สักที่บ้านลุงพร้อมอีกสักสี่ห้าคู่ แล้วอาก็จะเลยกลับบ้านไปทางโน้น ไม่ต้องเดินอ้อมมาทางนี้อีก"
สั่งความเสร็จอาเสริมก็จุดยาใบจากพ่นควันโขมง และก้าวลงจากกระไดนอกชานบ้านผม มุ่งหน้าไปขอยืมไม้สักที่บ้านตาพร้อมอีกเจ้าหนึ่ง
ไม้สักเป็นอุปกรณ์หนำไร่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ทำจากลวดไม้จริงต้นเล็ก ๆ ขนาดด้ามพร้าด้ามขวาน ยาวประมาณสามวา ซึ่งจะถือว่าสำคัญอันดับหนึ่งเลยก็ได้ เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้ผิวดินบนผืนไร่เกิดเป็นหลุมกลม ๆ ลึกประมาณข้อนิ้วมือ เรียงรายเป็นแถวเป็นแนวขึ้นมาเต็มผืนไร่ สำหรับเขาจะเทเมล็ดข้าวเปลือกในกระบอกหนำ หยอดลงไปสักห้าหกเมล็ด แล้วก็เอาส่วนก้นของกระบอกนั่นแหละกระทุ้งดินกลบอีกที หลังจากนั้นพอได้ฝนสักห่าสองห่า เมล็ดพันธุ์ข้าวในหลุม ก็จะแตกหน่อขนาดก้านไม้ขีดแทงทะลุผิวดินที่กลบมันขึ้นมา เป็นสีเขียวอ่อนตัดกับผืนไร่สีดำ แลเป็นแถวเป็นแนว ทอดยาวและตัดกันตามรอยสักเต็มผืนไร่ สวยงามยิ่งนัก
ชาวไร่ส่วนมากจะมีไม้สักส่วนตัวกันคนละคู่สองคู่ เพราะใช้งานเข้ามือ น้ำหนักด้านซ้ายและขวาจะเท่ากัน ไม่หนักข้างเบาข้าง ซึ่งจะทำให้จังหวะการสักลงพื้นดินของพวกเขาเสียไป ทั้งนี้ก็เพราะเวลาไปเสาะหาลวดไม้ (ต้นไม้ที่อายุยังน้อย แต่ลำต้นพุ่งเป็นแนวดิ่ง สูงขึ้นไปข้างบนเกือบเท่าไม้ใหญ่)ในป่า เขาก็จะเลือกตัดเอาเฉพาะต้นที่อยู่ใกล้กัน และเป็นพันธุ์ไม้ชนิดเดียวกัน ลอกเปลือกออกจนหมด แล้วนำไปแช่น้ำคลองทิ้งไว้สักเดือนครึ่งเดือน ก่อนจะนำกลับมาตากแดดให้แห้ง แล้วเก็บไว้ในที่ร่ม ซึ่งส่วนมากจะแขวนไว้ตามข้างฝา ใต้หางจากริมชายคา
เช้าวันเสาร์ตาปีดพร้อมไม้สักบนบ่าคู่หนึ่งฉีกหมอกมาที่บ้านของผมแต่เช้ามืด เพื่อจะชวนพ่อและแม่ของผมไปหนำไร่อาเสริมพร้อมกัน
สำหรับงานหนำไร่ ตาปีดนับเป็นมือสักหลุมหยอดเมล็ดข้าวขั้นเซียนคนหนึ่ง แกมีไม้สักส่วนตัวเช่นเดียวกับพ่อของผม เมื่อลงไปสักหลุมสักอยู่ในไร่ของใคร แกก็มักจะลงไม้สักเดินเคียงคู่ไปพร้อมกับพ่อของผมเสมอ เพราะแกเคยผ่านการเรียนรู้เรื่องนี้ไปจากพ่อของผมนั่นเอง
พ่อชมว่า ตาปีดแม้จะเป็นคนกรุง แต่ก็สักหลุมหยอดข้าวเป็นแถวเป็นแนวตรงดิ่ง ไม่คดโค้ง อีกทั้งหลุมก็ลึกได้ระดับเสมอกันทุกหลุม ผิดกับคนบ้านเราบางคนที่เกิดข้างตอไม้ในไร่แท้ ๆ แต่กลับสักหลุมหยอดข้าวไม่เป็น เวลาลงไม้สักเรียงหน้ากระดานไปพร้อมกัน บางครั้งพ่อก็ต้องหยุดรอพวกเขา ทำให้เสียจังหวะจนต้องหยุดชะงักและเริ่มตั้งแถวกันใหม่ทำให้เสียเวลาอยู่บ่อย ๆ
วันหนำไร่อาเสริม มีเพื่อนบ้านใกล้ไกลทั้งหญิงและชายมาร่วมด้วยช่วยกันร้อยกว่าคน รวมทั้งพวกเด็ก ๆ อย่างพวกผมอีกหกเจ็ดคน คอยช่วยโน่นช่วยนี่ตามแต่เขาจะเรียกใช้
พวกเด็กผู้หญิงตัวโต ๆ บางคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เรียนต่อชั้นประถมปลายเหมือนผม ก็จะถือกระบอกหนำข้าวโก้งโค้งหนำไร่เป็นกันแล้ว แต่พวกเด็กผู้ชายยังแทงสักกันไม่ได้ ไม่ใช่ไม่เป็น เพราะไม้สักพวกนั้นหนักมือมาก ๆ ขนาดผู้ใหญ่บางคนยังต้องหยุดพักบ่อย ๆ ไม่เช่นนั้นสองแขนของเขาก็จะอ่อนล้ายกไม่ขึ้น เวลามีการลงแขกหน่ำไร่ส่วนมากเขาจึงใช้ให้แบกกระสอบเมล็ดพันธุ์ข้าวเดินตามพวกที่ถือกระบอกหนำ หากเมล็ดข้าวเปลือกในกระบอกของใครหมด เขาก็จะกวักมือเรียก...
คนเฒ่าคนแก่ก็มักจะเรียกให้วิ่งไปเอาหมากพลูมาคอยเสริม หิวน้ำก็ใช้ให้ไปแบกกระบอกไม้ไผ่ที่บรรจุน้ำดื่มไว้ข้างใน รวมทั้งกระบวยที่พิงและแขวนไว้ในที่ร่ม มาให้เขาดื่ม เด็กคนไหนเกียจคร้านทำหูทวนลม ก็จะโดนด่าพ่อล่อแม่เสียงโล้งเล้ง ๆ เหมือนจีนกินผัก
แต่ทว่าเด็กชายอย่างผมถนัดงานในครัวครับ !
ยิ่งได้ทำงานอยู่ใกล้ ๆ หม้อข้าวหม้อแกง- -นั่นแหละของชอบของผม
ขูดมะพร้าว ตำพริกแกง หั่นผัก หรือเชือดคอไก่พวกนี้ งานถนัดของผมทั้งนั้น ขอเพียงแต่อย่าให้ลงไปตากแดดในไร่อย่างเดียว
"ไอ้เด็กคนนี้รู้จักพาตัว"
ยายนุ่มแม่ของน้าด้วนมักชมเชยผมอย่างนั้น
หากแต่ย่าของผมกลับชี้หน้าด่า "หนักไม่เอาเบาไม่สู้ ระวังโตขึ้นมาจะอดตาย" (ฮา ฮา)
เป็นคำประณามที่ค่อนข้างจะรุนแรงตามจริตของย่า หากแต่ผมก็รู้ว่า ในบรรดาหลาน ๆ ของย่าทั้งหมดนั้น น้ำหนักในความเมตตาสงสารของท่าน ค่อนข้างจะเทมาที่ผมมากกว่าใคร (โม้ซะหน่อย- -ฮา ฮา)
"ไอ้ถึก-วันนี้เจ้าไร่แกงไหรเลี้ยงแขก"
ตาวาดซึ่งวางมือจากไม้สักในไร่ เดินมาคว้าไม้สอยใบกระท่อมที่พิงอยู่กับฝาเรือน ร้อง
ถามผมขึ้นมาในครัว
"แกงหมูเถื่อน" ผมตอบเสียงดัง
"ยัดแม่-มึงอย่าขี้หก"
ผมรู้ว่าตาวาดเป็นริดสีดวงทวาร กินแกงหมูป่าไม่ได้ เพราะเป็นของแสลง ผมจึงแกล้งพูดหยอก แต่แกก็รู้ทัน จึงด่าแม่สวนผมขึ้นมาทันที
ผมหัวเราะ ฮา ฮา ก่อนจะบอกไปตามจริงว่า แกงเขียวหวานไก่กับฟักเขียว และแกงจืดเส้นตังหุนกับหมูบะช่อ
"ของชอบทั้งเพใช่ไหม-ตาวาด" ผมว่า
"เออ-ยัดแม่ ว่าแต่คนทำครัวอย่าแดกเองเสียหมด เหลือแต่น้ำแกงไว้ให้กูก็แล้วกัน"
ว่าแล้วแกก็ถือไม้สอยตรงไปที่ต้นกระท่อมข้างบ่อน้ำ ซึ่งแกต้องเลือกเฟ้นใบของมันด้วยตัวเอง ใบกระท่อมในกระสอบที่เจ้าภาพเอาไปวางไว้ให้แขกที่ในไร่ไม่ถูกปากแก
"กินไม่เมา" แก่ว่า
ตาปีดชาวบางกอก ซึ่งพลัดหลงมาอยู่ที่นี่ ก็จับพลัดจับผลูมาติดใบกระท่อมกับเขาเหมือนกัน แต่แกจะล่อชนิดผงเหมือนปู่ของผม คือเก็บใบกระท่อมใบแก่ ๆ สีเขียวจัดมาตากแดดให้เกรียม แล้วตำด้วยครกตำหมาก หรือบดด้วยรางบดยาสมุนไพรจนละเอียดเป็นผงแล้วบรรจุขวดเก็บไว้
ถ้าได้สักขวดแม่โขงหรือขวดกวางทองชนิดกลม พวกเขาก็จะเก็บไว้กินกันได้เป็นเดือน ๆ แต่ถ้าเป็นขวดแบนก็ประมาณครึ่งเดือนหมด
เวลาไปนาไปไร่ พวกนักเลงกระท่อมผงก็จะถ่ายจากขวดใหญ่ใส่ขวดยานัตถุ์ พกติดตัวไปสักขวดหรือสองขวดเป็นอย่างมาก
พวกที่ไม่ช่ำชองใบกระท่อม จะไปวอแวกับผงกระท่อมไม่ได้เป็นอันขาด เพราะโดนเข้าไปซักแค่ปลายช้อนชา ก็จะเมาตาเหลือก เพราะใบกระท่อมที่เขาบดจนเป็นผงละเอียด ในปริมาณเพียงแค่ปลายช้อนชา เมื่อนำไปเทียบกับใบสด ๆ ของมัน ก็จะมีจำนวนไม่ต่ำกว่าห้าหรือหกใบ ในขณะที่คนไม่เคยข้องแวะกับมันเลย แค่โดนเข้าไปซักใบครึ่งใบ ก็จะเมาจนน้ำลายไหลยืดลงมาเป็นยวง แล้วทีนี้,ถ้าใครเกิดล่อเข้าไปทีเดียวตั้งห้าหกใบ ก็ลองหลับตานึกเอาเถิดพระเดชพระคุณท่าน ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น... (ฮา ฮา)
วันหนำไร่อาเสริมนี่แหละที่ผมได้รู้ฤทธิ์เดชของใบกระท่อมอย่างซาบซึ้ง
เพราะในช่วงบ่าย หลังจากแป๊ะกุ่ยเจ้าของร้านค้าริมถนน ห้อมอเตอร์ไซค์ยักษ์ซึ่งมีท่อไอเสียสองท่อของแกเสียงก้องป่า มาพร้อมกับกั๊กน้ำแข็งห่อกระสอบป่านผูกท้ายรถมาส่งให้ที่บ้านอาเสริมตามที่นัดหมายแล้วกลับไป ผมก็ทำหน้าที่ย่อยก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่เรียกว่ากั๊กนั้น ให้เป็นก้อนเล็ก ๆ สำหรับใส่ขนมลอดช่องและโอเลี้ยง นำไปเลี้ยงแขกในไร่เป็นของว่าง หลังจากอาหารมื้อเที่ยงผ่านไปแล้วสักครู่ใหญ่ ๆ
ไร่ของอาเสริมอยู่ไม่ไกล มองเห็นหัวคนหนำไร่เต็มพรืดไปจากบ้าน ผมและลูก ๆ ของอาเสริม รวมทั้งเด็ก ๆ รุ่นราวคราวเดียวกับผมอีกสองสามคน ช่วยกันขนของพวกนั้นไปสองสามเที่ยวก็หมด
รวมทั้งก้อนน้ำแข็งที่ผมย่อยสลายจนได้ที่แล้วถังหนึ่ง ก็ขนไปด้วย
ถังน้ำแข็งสมัยนั้นทำด้วยสังกะสีแผ่นเรียบบุฟองน้ำภายใน ปรกติมีไว้สำหรับใส่น้ำแข็งแช่ผักสด หรือแช่เนื้อแช่ปลา เวลามีงานสำคัญที่ต้องซื้อของพวกนั้นมาตุนไว้ แต่เมื่อนำมาล้างให้สะอาด ก็ใช้แทนกระติกน้ำแข็งได้เหมือนกัน
และแล้วในช่วงเวลาที่พวกผมกำลังง่วนอยู่กับการขนของนี่แหละ พวกขากลั่นแกล้งเพื่อนบ้านเพื่อยึดเอาความสนุกสนานเป็นที่ตั้ง ก็ฉวยโอกาสแอบเอาผงกระท่อมเทใส่ลงในหม้อโอเลี้ยง ซึ่งเราหามไปวางไว้กลางผืนไร่เที่ยวแรก แล้วไม่มีคนคอยดูแล
หลังจากนั้น,คนไหนกินแต่ลอดช่อง ไม่กินโอเลี้ยงตบตูดก็รอดตัวไป แต่ถ้าหากคนไหนกินลอดช่องแล้วตามด้วยโอเลี้ยงรสหวานเย็นเข้าไปด้วยละก้อ... พอผงกระท่อมที่ผสมลงไปในหม้อโอเลี้ยงมันออกฤทธิ์ ก็จะพากันทำงานไม่ยอมเลิก และไม่ยอมหยุดพักเหนื่อย แล้วทีนี้อ้ายตัวการที่กลั่นแกล้งก็จะแอบสะกิดพรรคพวกให้จับตาดู แล้วชวนกันหัวเราะ ฮา ฮา
ที่สำคัญถ้าหากไปโดนเข้ากับพวกผู้ใหญ่ ก็จะไม่หนักหนาสาหัส เพราะพวกเขากำลังถือไม้สักหรือกระบอกหนำข้าว ใช้แรงงานจนเหงื่อไหลไคลย้อยกันอยู่แล้ว ถึงฤทธิ์เดชของมันจะสำแดงผลออกมา ก็แทบจะไม่มีใครรู้ตัว
ผิดกับพวกเด็ก ๆ โดยเฉพาะผม ซึ่งสวาปามน้ำกะทิลอดช่องแช่เย็นเข้าไปเต็มคราบ แล้วตามด้วยโอเลี้ยงอีกสองแก้ว พอพิษของสาร ไมทราไจนีน (Mitragynine) ในผงกระท่อมมันออกฤทธิ์ ผมก็เกิดอาการผะอืดผะอมขึ้นมาทันที จากนั้นก็วิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้จนทนไม่ไหว
อ้ายขนมลอดช่องสีเขียว ๆ มีอยู่ในกระเพาะเท่าไหร่ ๆ มันก็ขย้อนไหลออกมาจนหมด-ไม่เหลือ
ตาปีดเห็นเข้า แกก็รู้อาการว่าผมเป็นอะไร แกจึงพิงไม้สักในมือไว้กับตอไม้แล้วกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา
"มีอะไรหรือตา"
"พวกเอ็งไปแอบกินใบกระท่อมที่ไหนมา"
"พวกผมเปล่ากิน" ผมว่า
"อ้อ!"
ชายชาวกรุงร้องอ้อขึ้นมา-แล้วก็เงียบ ทำให้ผมแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
จนในที่สุดแกก็บอกผมว่า ถ้าอยากจะให้อาการแบบนี้หายไปละก้อ จะต้องลงมือทำงานให้เหงื่อไหลเชี่ยวออกมา แล้วมันก็จะค่อย ๆ ทุเลาและหายไปเอง แต่ถ้าหากขืนอยู่เฉย ๆ สักประเดี๋ยวก็จะคลื่นไส้ขึ้นมาอีก
"...รู้ยังงี้แล้ว พวกเอ็งจะเอายังไงก็เลือกเอา" พูดจบตาปีดก็คว้าไม้สักของแกที่พิงไว้กับตอไม้ ยกใส่บ่าเดินลิ่วไป
ไอ้ถึกเอ๋ย-ไอ้ถึก... คิดแล้วโสน้าหน้าตัวเองเหลือเกิน
********************************************************
เมื่อวันที่ : 26 ส.ค. 2554, 00.13 น.
เกลารอบแรกผ่านไปแล้วครับ
แต่คืนนี้ดึกมากแล้ว ยังไม่ได้จัดบรรทัดให้อ่านง่าย คงปล่อยให้ติดกันเป็นพืดไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยจัดการ