นิตยสารรายสะดวก  Memorandum  ๐๕ สิงหาคม ๒๕๕๔
ธรรมะเปลี่ยนชีวิต
มนต์อักษรา
...ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวทหาร ​​เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ​​เมื่อตอนยัง​​เป็นเด็ก พ่อรับราชการอยู่​​​​ที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล ​​เมื่ออายุ​​ได้ประมาณสิบเอ็ดปี แม่ของข...
ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวทหาร ​เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ ​เมื่อตอนยัง​เป็นเด็ก พ่อรับราชการอยู่​​ที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล ​เมื่ออายุ​ได้ประมาณสิบเอ็ดปี แม่ของข้าพเจ้า​กับป้าน้ำหวาน​ได้พา​ไปพบ​กับ หลวงปู่เรือง ​ที่อยู่​บน​เขาสามยอด ​และท่านเคยพูด​กับข้าพเจ้าว่า"ชีวิตเองนะมันดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวชอบป่วย​เป็นโรคอะไร​แปลกแปลก" ในตอนนั้น​ป้าน้ำหวานค้านขึ้น​ว่า ​ถ้าปฏิบัติธรรมะก็หาย​จะไม่​เป็นแบบนั้น​ ท่านก็บอกว่า​ถ้าปฏิบัติ​ได้ก็​จะดี หลังจากนั้น​​ได้ไม่นาน ป้าน้ำหวานก็พาแม่​กับข้าพเจ้ามารู้จัก​กับ​พระภิกษุรูปหนึ่ง​​ที่วัดหลวงพ่อเขียว อำเภอบ้านแพรก จังหวัด​พระนครศรีอยุธยา ​ซึ่งในปัจจุบันก็​คือ ท่าน​พระครูภาวนานุกูล ชูชัย อริโย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนาค อำเภอบางปะหัน จังหวัด​พระนครศรีอยุธยา ชีวิตของข้าพเจ้าเริ่มรู้จัก​และปฏิบัติธรรมนับตั้งแต่นั้น​​เป็นต้นมา

หลวงพ่อสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักการนั่งสมาธิ ​ซึ่งทำให้จิตใจสงบ​และสว่าง ​ซึ่งเกิดปาฏิหาริย์หลายอย่าง​กับชีวิตของข้าพเจ้าในตอนนั้น​ยกตัวอย่างในเรื่อง​เรียนของข้าพเจ้า ​ซึ่ง​เป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง ​และมีวิชาหนึ่ง​​ที่เกลียดมาก สอบย่อยทีไรมัก​จะ​ได้ศูนย์คะแนนเกือบทุกที นั่นก็​คือ วิชาภาษาอังกฤษ หลังจาก​ที่ฝึกสมาธิ​กับหลวงพ่อแล้ว​
คลิกดูภาพขยาย

มีอยู่​วันหนึ่ง​ข้าพเจ้า​ต้องสอบย่อย วันนั้น​มีเสียงกระซิบ​ที่ข้างหูของข้าพเจ้า บอกคำตอบของข้อสอบ​แต่ละข้อ ข้าพเจ้า​ซึ่งเรียนไม่รู้เรื่อง​อยู่​แล้ว​เลย​ ใส่คำตอบตามเสียงกระซิบนั้น​ ทำให้ผลสอบของข้าพเจ้าออกมาถูกทุกข้อ จนครูผู้สอบถึง​กับงง​ไปเลย​ แล้ว​ยังทำให้เด็กนักเรียนหลายคนจากต่างห้องแอบมาถามถึงข้าพเจ้าว่า​เป็น​ใคร จน​เพื่อน​ที่นั่งด้วยกันเกิด​ความอิจฉา เข้ามาหยิก แล้ว​บอกว่า​ถ้าฉันฆ่าเธอ​ได้ฉันคงทำ​ไปแล้ว​

หลังจากนั้น​มาทำให้ข้าพเจ้าขยันเรียนมากขึ้น​ จนคะแนนในทุกวิชาออกมาดี จากเด็ก​ที่เรียน​ได้แค่เกรดเฉลี่ย สองกว่า ขึ้น​มาเรียน​ได้เกรดเฉลี่ย สามกว่าจน​ได้รับ เกียรติบัตร
​ส่วนในเรื่อง​ของนิสัยก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้ามีนิสัยเสียอยู่​อย่างหนึ่ง​ ​คือ ชอบเถียงพ่อแม่มาก หลังจาก​ที่ฝึกสมาธิ​กับหลวงพ่อ ในตอนนั้น​มีเรื่อง​ประหลาดเกิดขึ้น​​กับตัวของข้าพเจ้าอีกหนึ่ง​อย่าง​คือ ​เมื่อ​จะเถียงพ่อแม่ทีไร ขากรรไกร​จะค้าง ​คือ อ้าปากแล้ว​หุบไม่​ได้ พูดอะไร​ไม่​ได้เลย​จนกว่า​จะเลิกเถียง ถึง​จะกลับมา​เป็นปกติ ทำให้ข้าพเจ้าลดการเถียงพ่อแม่ลง​ไป​ได้เยอะมาก

หลังจากนั้น​ไม่นานพ่อของข้าพเจ้าก็เลื่อนยศ​และย้าย​ไปรับตำแหน่ง​ที่กรุงเทพ เลย​ขาดการติดต่อ​กับหลวงพ่อ​ไปเลย​ การเรียนก็ยังคงเรียนดี ​แต่เริ่มขี้เกียจ ​และมัก​จะเถียงพ่อแม่ ​กับยาย หนักมากขึ้น​ ยังคงนั่งสมาธิอยู่​ ​แต่ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่นัก หันมาใส่บาตรตอนเช้า​ แล้ว​ก็สวดมนต์ไหว้​พระ ในตอนนั้น​มี​เพื่อนนิสัยดีหลายคน ​และ เรียนอยู่​โรงเรียนวัด จึงพอมีโอกาส​ได้เข้าคอร์ส อบรมธรรมะบ้าง ครั้งละเจ็ดวันทุกช่วงปิดเทอม

พายาย​ไปถือศีล​ที่วัดทุกวัน​พระอยู่​เสมอ​เป็นประจำ จนท่านเจ้าอาวาสวัดเอ่ยปากชม​กับแม่เสมอว่า ข้าพเจ้า​เป็นเด็กปฏิบัติตัวดีกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เวลา​ที่ท่านจัดอบรมธรรมะให้​กับเด็กนักเรียน ​ที่โรงเรียนครั้งใด ข้าพเจ้าก็มัก​จะสมัครเข้าอบรม ทุกครั้งด้วยเช่นกัน ทุกอย่างดูเหมือน​จะดี​แต่ก็ไม่ดี ​เพราะข้าพเจ้ายังเลิกนิสัยเถียงพ่อแม่ไม่​ได้สักที ​และไม่มีทีท่าว่า​จะลดน้อยลงเลย​

พอช่วงเรียน​จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอบข้อเขียนติดวิทยาลัยพยาบาลหลายแห่ง ​แต่ก็พลาดรอบสัมภาษณ์ทุกครั้ง​ไป ไม่​ได้เรียนพยาบาลดัง​ที่พ่อ​กับแม่ตั้งใจไว้ ​แต่กลับ​ไปเรียนคณะนิเทศศาสตร์​ที่ไม่รู้ว่าจบมา​จะ​ได้งานทำหรือเปล่า ทำให้พ่อแม่รู้สึกผิดหวัง​และเสียใจ ​แต่ก็ยังคงนิสัยดื้อรั้นเถียงพ่อแม่ไม่เลิก ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนั้น​​จะเกิดเหตุการณ์​ที่ประหลาดในชีวิตอยู่​สักสองครั้ง

ครั้งแรกเกิดเวลาบ่ายโมง วันนั้น​ข้าพเจ้านอนหลับอยู่​บน​ที่นอนแล้ว​รู้สึกว่า​ร้อนมาก จนเหมือน​จะหายใจไม่ออกก็เลย​รีบลุกขึ้น​นั่ง เกิด​ความรู้สึกว่า​ตัวของข้าพเจ้ามันทำไมเบามากจึงหันหลังกลับ​ไปดูภาพ​ที่เห็นมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกกลัว​และจำ​ได้ติดตามาจนถึงทุกวันนี้

ภาพนั้น​​คือร่างกายของข้าพเจ้า​กำลังนอนหลับอยู่​แล้ว​​ใครกันละ​ที่ลุก วินาทีนั้น​ข้าพเจ้าตัดสินใจนอนทับร่างกาย​ที่นอนหลับอยู่​นั้น​ แล้ว​ลุกขึ้น​มาใหม่ร่างกายของข้าพเจ้าจึงหาย​เป็นปกติเหมือนเดิม​คือมีร่างเดียว ตอนนั้น​เก็บ​ความสงสัย​เอาไว้ ไม่รู้​จะถาม​ใครไม่กล้าเล่าให้​ใครฟัง ​แม้กระทั่งพ่อแม่กลัว​เขา​จะหาว่าบ้า

หลังจากนั้น​อีกหนึ่ง​ปีก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น​อีก​เป็นครั้ง​ที่สอง ในครั้งนี้หนักกว่าเดิมมาก เหตุการณ์นี้เกิดในช่วงเวลาบ่ายวันหนึ่ง​ ข้าพเจ้า​กำลังนอนหลับอยู่​บนโซฟาในห้องรับแขก แม่ของข้าพเจ้า​กำลัง​จะ​ไปตลาด ถึง​แม้ว่าข้าพเจ้านอนหลับอยู่​ ​แต่ข้าพเจ้าเห็นภาพแม่เดินออกจากบ้าน​ไป ​และ​ได้ยินว่าให้ใส่กลอนประตูบ้านด้วย ข้าพเจ้าจึงรีบลุกตาม​ไปใส่กลอนประตู เสร็จแล้ว​ก็​กำลัง​จะกลับมานอนต่อ​ที่โซฟาในห้องรับแขกข้าพเจ้า​ต้องตกใจสุดขีด​เพราะเห็นร่างกายของตัวเองนอนหลับอยู่​บนโซฟา

ตอนนั้น​ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวมาก พยายาม​จะนอนทับร่าง​ที่อยู่​บนโซฟา ​แต่ก็เหมือนมีแรงผลักให้กระเด็นออกมาอยู่​หลายครั้ง ในตอนนั้น​ข้าพเจ้าพยายามตั้งสตินึกถึงหลวงพ่อ (​พระครูภาวนานุกูล ชูชัย อริโย) ​ที่ท่าน​เป็นครูบาอาจารย์ สอนให้นั่งสมาธิ ข้าพเจ้าก็เลย​กำหนดในขณะ​ที่นั่งทับ​ไป​ที่ร่างว่า นั่ง นั่ง อยู่​นานมาก ถึง​จะนั่งทับ​ไปบนร่างนั้น​​ได้ หลังจากนั้น​ กำหนดต่อ​ไปอีกว่านอน นอนถึง​จะนอนทับร่างนั้น​​ได้

​เมื่อนอนทับร่างกายของตัวเอง​ได้แล้ว​ สักพักก็​จะลุกขึ้น​​ได้​เป็นปกติ ​แต่​จะรู้สึกเหนื่อยมาก มีเหงื่อไหลท่วมตัว ​ทั้ง​ที่พัดลมเพดานในห้องรับแขกเปิดอยู่​ สิ่งแรก​ที่ข้าพเจ้าลุก​ไปดู ​คือ ประตูหน้าบ้าน ว่าใส่กลอนจริงหรือเปล่า ข้าพเจ้าไม่​ได้ฝัน​ไป มัน​เป็นเรื่อง​จริง​ที่ลุก​ไปใส่กลอนประตู​ได้ ​โดย​ที่ร่างกายยังหลับอยู่​ มัน​เป็นเรื่อง​​ที่ประหลาดมาก ​แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าเล่าให้​ใครฟังอีกเหมือนเดิม ​และก็ไม่​ได้สนใจเรื่อง​นี้เลย​ สิ่ง​ที่ทำอยู่​เสมอ ​คือใส่บาตรสวดมนต์ทุกวัน ​และก็ยังคงเถียงพ่อ​กับแม่​และยายไม่เว้น​แต่ละวันด้วยเช่นกัน

ชีวิตในขณะนั้น​ทำงานด้วยเรียน​ไปด้วย ​แต่ด้วย​ความ​ที่สติ ​และปัญญาไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ​ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่ว​ไป เ​ที่ยวกลางคืน ​ใช้เงินอย่างไม่รู้คุณค่า เงินเดือนไม่เคยเหลือเก็บเลย​ ทำงานก็ไร้​ความอดทนต่อ​เพื่อนร่วมงานทำให้มีปัญหาเรื่อง​งานอยู่​บ่อยครั้ง

​และ​เมื่อชีวิตเดินมาถึงทางแยก​ที่​ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ​คือ ​ได้เจอสามีในตอนนั้น​ข้าพเจ้าตัดสินใจ​แต่งงาน​ทั้ง​ที่ยังเรียนอยู่​แค่ปีสองเท่านั้น​เอง ​โดยไม่ฟังคำคัดค้านจากพ่อแม่ ก่อนวัน​แต่งงานของข้าพเจ้าหนึ่ง​วัน ข้าพเจ้า​ได้รับโทรศัพท์จากหลวงพ่อ ท่านพูดว่า "ผู้ชายคนนี้​เป็นคนดีมาก" ​และอวยพรให้ชีวิตคู่ของข้าพเจ้ามี​แต่สิ่งดีดี​และประสบ​ความสำเร็จ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจมากไม่รู้ว่าท่านทราบข่าว​ได้อย่างไร ​ทั้ง​ที่ข้าพเจ้า​และแม่ไม่​ได้​ไปบอกท่านเลย​ ​แต่ในตอนนั้น​ข้าพเจ้าดีใจมาก​และถือว่าคำอวยพรนั้น​​เป็นสิ่ง​ที่ดี​ที่สุดในการเริ่มชีวิตคู่ของข้าพเจ้า

การ​แต่งงานทำให้ข้าพเจ้าทิ้งทุนของอาจารย์เจ้าของโรงเรียน​ที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่​ ​ซึ่ง​ได้เคยตกลงกันตอนรับข้าพเจ้าเข้ามาทำงานว่า ​จะส่งเรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก ​แต่ข้าพเจ้ากลับลาออกจากงาน​และไม่รับทุนต่อ มาทำหน้า​ที่แม่บ้านของสามี ​ที่ข้าพเจ้าวาดฝันไว้ซะสวยหรู โชคดีข้าพเจ้าไม่​ได้ทิ้งการเรียน​ไปเลย​ ยังกลับมาเรียนต่อจนจบปริญญาตรี ด้วยระยะเวลาเพียงแค่สามปีครึ่งจบก่อน​เพื่อนรุ่นเดียวกันหนึ่ง​เทอม ​เพราะกลัวว่า​ถ้าไม่รีบเรียน อาจ​จะทำให้ไม่มีโอกาส​ได้เรียนอีกแล้ว​ ​และ​จะทำให้พ่อแม่ผิดหวัง​และเสียใจ​ไปมากกว่าเดิมอีก

​เมื่อเรียนจบ​และมา​ใช้ชีวิต​เป็นแม่บ้านมากขึ้น​ ออกจากบ้านพ่อแม่ ตามสามีมาอยู่​​ที่นครราชสีมา ข้าพเจ้าเคยพาสามี​ไปพบ​กับหลวงพ่อครั้งหนึ่ง​ ตอนนั้น​ท่านย้าย​ไป​เป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดอัมพวัน ฝ่ายวิปัสสนาธุระ จังหวัดสิงห์บุรี ท่านยังให้รูปภาพใบเล็กแก่ข้าพเจ้าหนึ่ง​ใบ ​ที่มีคำว่า ระ หัง สา มิ ให้ข้าพเจ้าพกติดตัวในกระเป๋าสตางค์ ​เพื่อคุ้มครองให้ข้าพเจ้าปลอดภัยจาก ภัยอันตราย​ทั้งหลาย​ทั้งปวง (คำว่า ระ หัง สา มิ นี้ข้าพเจ้าเคยท่อง​เพื่อระงับอาการปวดกล้ามเนื้ออักเสบ ​ได้ผลดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจเลย​ทีเดียว)
​ซึ่งในปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็ยังคงพกอยู่​เลย​ ข้าพเจ้าทำงานบ้านไม่ค่อยเก่งเท่า​ที่ควร ​เนื่องจากไม่​ได้ฝึกฝน​เอาไว้ตอนเด็ก เรียนหนังสืออย่างเดียว ทำให้มีปัญหาทะเลาะ​กับสามีบ่อยครั้ง อีกสวนหนึ่ง​ก็​เป็น​เพราะการใช่ชีวิต​ที่หรูหราฟุ่มเฟือยไม่รู้จักเก็บเงินทอง ไม่เคยสนใจพ่อแม่ เจ้าอารมณ์ขี้โมโหง่าย พูดจาว่าพ่อแม่ให้เสียใจอยู่​เสมอ ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้า ตกต่ำลง หนี้สินเพิ่มขึ้น​มากมาย​

พ่อแม่ของข้าพเจ้าพยายาม​จะช่วยเหลือแก้ไขข้าพเจ้า ​โดยการพาข้าพเจ้า​ไปเข้าอบรมธรรมะ​ที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง​ ​ซึ่ง​เป็น​ที่นิยมมากอยู่​ในโคราช มีดารา​ไปเข้าอบรมกันเยอะมาก หลักสูตรอบรมของ​ที่นั้น​​ใช้ระยะเวลาแปดวันเจ็ดคืน เวลาปฏิบัติห้ามไม่ให้พูดจากัน แล้ว​​จะมีช่วงให้นึกถึง​พระคุณพ่อแม่ขอขมาพ่อแม่​ที่เราทำไม่ดีล่วงเกิน

ตอนนั้น​คิดว่าข้าพเจ้า​จะเลิกนิสัยเถียงพ่อแม่​ได้บ้างถึงขนาดกลับ​ไปบ้านกราบขอขมาพ่อแม่​และกินน้ำล้างเท้าพ่อแม่ ​แต่ก็ไม่ทำให้เลิกเถียงพ่อแม่​ได้เลย​ หลังจากนั้น​สามีอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง​แล้ว​เจอสถานปฏิบัติธรรม​ที่นี่เช่นกันเกิดศรัทธรา ​เขาจึงอยากให้น้อง​กับแม่เข้า​ไปปฏิบัติธรรมบ้าง ​เนื่องจากข้าพเจ้าเคย​ไปอบรมมาแล้ว​สามีเลย​ ให้ข้าพเจ้า​ได้กลับมาอบรมอีกครั้งหนึ่ง​​พร้อม​กับพาแม่​และน้องสาวของ​เขา​ไปด้วย หลังจากนั้น​ข้าพเจ้าเริ่มตั้งครรภ์ ใน​ระหว่างนั้น​แม่​กับพ่อของข้าพเจ้าเริ่มมีปัญหากัน ทำให้ข้าพเจ้า มัก​จะรู้สึกตำหนิพ่อ​กับแม่ในใจอยู่​เสมอ แล้ว​ยังเคยพูดจาไม่ดีจนทำให้แม่เสียใจจนร้องไห้

เหมือน​กับว่ากรรมนั้น​มันติดจรวดเลย​ทีเดียว ​แต่ว่าข้าพเจ้าไม่รู้ตัว ใน​ระหว่างตั้งครรภ์ข้าพเจ้าป่วย​เป็นครรภ์​เป็นพิษ ลำบาก​และทรมานมากในการตั้งครรภ์ ในช่วง​ที่ตั้งครรภ์​ได้แปดเดือน น้ำคร่ำแตกสี่วันก็ไม่รู้ตัว​ไปหาหมอเกือบ​จะตาย​ทั้งแม่​ทั้งลูก จนหมอ​ต้องตัดสินใจผ่าตัดคลอด​เอาเด็กออกก่อนกำหนด​เป็นผู้หญิง เด็กปกติทุกอย่างยกเว้น ตัวเหลืองมากจนเกือบ​จะ​ต้องถ่ายเลือด

หมอเลย​นำเด็ก​ไปเข้าตู้อบ ​ส่วนตัวของข้าพเจ้า​เมื่อกลับบ้าน​ไปแผล​ที่ผ่าตัดคลอดลูกเน่าจน​ต้องกลับมานอนแหวะแผล ทิ้งไว้สี่วันหลังจากนั้น​หมอเห็นท่าไม่ดี จึงตัดสินใจผ่าตัดอีกรอบ​เพื่อ​เอาหนองออก เลย​​ต้องนอนโรงพยาลหลังจากคลอดลูกแล้ว​รวมกัน ประมาณเกือบสองอาทิตย์ เสียค่า​ใช้จ่าย​ไปอย่างมากมาย​ ​ทั้ง​ที่ฐานะทางการเงินของข้าพเจ้าในตอนนั้น​เริ่มไม่ค่อย​จะดีแล้ว​

ในช่วง​ที่นอนแหวะแผลทิ้งไว้สี่วันนั้น​ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงช่วงสมัย​ที่เรียนอยู่​มัธยมปลาย อาจารย์ให้ผ่าไส้เดือนตัวใหญ่ ​เพื่อดูอวัยวะเพศของมัน ​ซึ่งมันมีสองเพศในตัวเดียวกัน ข้าพเจ้าจับคู่​กับ​เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง​​และ​เพื่อนคนนั้น​​เป็นคน​เอามีดคัตเตอร์กีด​ที่ตัวของไส้เดือน ​ส่วนตัวของข้าพเจ้านั้น​ก็​เอาเข็มหมุดปัก​เพื่อแหวะตัวของมันออกดูเครื่องเพศภายใน มันก็คงเจ็บปวดทรมานมาก ​แต่ข้าพเจ้า​กับ​ไปสมน้ำหน้ามันตอน​ที่​จะทิ้งมันลงขยะ แล้ว​ยังหัวเราะเยาะมัน แล้ว​พูด​กับ​เพื่อนว่า "แล้ว​​ใคร​จะ​เป็นคนเย็บแผลให้ มันกันละเนี่ย"

ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว​ว่ามันทรมานมากขนาดไหน ตอน​ที่โดนแหวะแผลทิ้งไว้ พยาบาล​ต้องมาทำ​ความสะอาดแผลให้ทุกวัน มันเจ็บปวดทรมานมาก ขึ้น​อยู่​​กับมือของพยาบาลเลย​ว่าหนักหรือเบา ข้าพเจ้า​จะดิ้นทรมานด้วย​ความเจ็บปวดทุกครั้ง ยกเว้นครั้งสุดท้ายก่อน​ที่​จะผ่าตัด​เอาหนองออก​ทั้งหมด หมอสงสารเลย​ทำ​ความสะอาดแผลให้​ซึ่งไม่รู้สึกเจ็บเลย​ ​เมื่อข้าพเจ้า​ได้กลับบ้าน​และ​ได้มีโอกาส​ไปเยี่ยม​เพื่อน​ที่​เป็นมือกรีด ​ซึ่งตั้งท้องในระยะ

เวลาไล่เลี่ยกัน คลอดลูกห่างจากกันไม่กี่วัน เธอเล่าให้ฟังว่า
พอถึงกำหนดคลอดเจ็บท้องมาก​แต่ปากมดลูกไม่ยอมเปิด ถึงหมอ​จะฉีดยาเร่งคลอดให้ ​แต่ก็ยังคลอดไม่​ได้ เจ็บปวดหนึ่ง​วันเต็มเต็มเลย​ จนหมอเห็นว่าปล่อยไว้ไม่​ได้ ก็เลย​​ต้องผ่าตัดคลอด สรุปแล้ว​ ข้าพเจ้า​และ​เพื่อน​ต้องโดนหมอ ​ใช้มีดกรีดผ่าท้อง​เพื่อ​เอาเด็กออก​ทั้งคู่เหมือน ข้าพเจ้าคิดว่าคง​เป็นกรรม​ที่เรา​ทั้งคู่ ​ได้รับหลังจาก​ที่ช่วยกันผ่าตัดเจ้าไส้เดือน ​แต่​เพื่อนคงไม่รู้หรอก ​เพราะ​เขาหัน​ไปนับถือศาสนาอื่นตามสามีของ​เขาแล้ว​

​เมื่อหนี้สินมากมาย​​ที่เกิดมาจากการ​ใช้จ่ายเกินตัวจนทำให้ข้าพเจ้า​กับสามีมัก​จะทะเลาะกันอย่างรุนแรงด้วยเรื่อง​นี้ หลังจาก​ที่ข้าพเจ้าคลอดลูกแล้ว​ประจำเดือนมาทุกวันไม่ยอมหยุด ​และมาจำนวนมาก จน​ต้องใส่แพมเพิร์สเด็กแทนผ้าอนามัย ​เป็นเวลาเกือบสองปีกว่า ลูกสาว​ได้สองขวบกว่า​พอดี ในช่วงนั้น​ข้าพเจ้า​เป็นคนเจ้าอารมณ์มาก ขี้โมโห ทะเลาะกัน​กับสามี บางทีก็ถือมีด​จะทำร้ายตัวเอง ขู่​จะกินยาฆ่าตัวตายบ้าง ประกอบ​กับพ่อแม่​กำลังมีปัญหาทะเลาะกัน จนเกือบ​จะเลิกกัน

มีอยู่​วันหนึ่ง​ข้าพเจ้านอนหลับอยู่​แล้ว​รู้สึกว่า​ทำไมตัวของข้าพเจ้าจึงเปียก​ไปหมด ​เมื่อตื่นขึ้น​มาก็​ต้องตกใจ เห็นเลือดมันไหลมาท่วมตัวเปื้อน​ที่นอนเต็ม​ไปหมด จนไม่มีแรง​จะลุก ​ต้องนั่งถัดตัวเอง​ไปห้องน้ำ​เพื่อล้างเลือดประจำเดือน​ที่เปื้อนตัว หลังจากนั้น​จึงตัดสินใจขอสามีพาลูกมาอยู่​​กับพ่อแม่​ที่กรุงเทพ​เพื่อหาทางรักษา

ในช่วงนั้น​ถึง​แม้​จะนึกถึงหลวงพ่อ ​แต่ยังไม่ยอม​ไปหา​เพราะตอนนั้น​มัก​จะคิดว่าอยู่​ไกลถึงอยุธยา ​และก็ไม่มี​ใครมีเงิน ​จะให้พ่อหรือสามีพา​ไปหาก็คงไม่มี​ใครพา​ไป ​พอดีมีพวกร่างทรงเข้ามาในชีวิตช่วงนั้น​แล้ว​บอกว่า​จะช่วยเหลือ ให้ร่ำรวยมีเงินทอง ​และให้พ่อ​กับแม่เลิกมีปัญหากัน แล้ว​ช่วยให้ข้าพเจ้าหายจากการมีประจำเดือนมาไม่หยุด ข้าพเจ้าเลย​หลง​ไป​กับพวกร่างทรงนี้ประมาณห้าปีเต็มถึง​จะรู้ว่าโดนหลอกให้แยกทาง​กับสามี ​ไปทำงานบ้านให้​เขาเหมือนเด็กรับ​ใช้ ​ที่​ได้ค่าจ้างเพียงน้อยนิด โดนดุโดนด่าสารพัด แล้ว​ยัง​ต้องหาเงินหาทอง​ไปให้​กับร่างทรง หมด​ไปเกือบสามแสนบาท​

ชีวิตในช่วง​ระหว่าง​ที่​ไปคลุกคลีอยู่​​กับร่างทรง ทำให้ลูกสาวของข้าพเจ้านั้น​เริ่มมีปัญหาทางจิตใจ มัก​จะป่วย​และไม่ค่อยสบายอยู่​บ่อยครั้ง ​แต่สิ่งหนึ่ง​​ที่​เป็นเหมือนกระจกสะท้อนกรรม ลูกสาวของข้าพเจ้าในขณะนั้น​เรียนอยู่​อนุบาล ​เมื่อใด​ที่ข้าพเจ้าว่ากล่าวตักเตือน​และสั่งสอน ​เขามัก​จะเถียงข้าพเจ้าอยู่​เสมอ เด็กเกลียดร่างทรงมาก ​เพราะคิดว่าร่างทรงนั้น​ทำลายครอบครัวของ​เขา ทำให้​เขาไม่​ได้อยู่​​พร้อมหน้า​พร้อมตา​กับพ่อ​และแม่เหมือน​กับครอบครัวอื่น ​แต่ข้าพเจ้า​กับไม่รู้สึกเลย​ ​เพราะ​ความโง่เขลา ขาดสติพิจารณา ทำให้ชีวิต​ต้องตก​ไปอยู่​ในหนทาง​ที่มืดมน

ในช่วงนี้​ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น​อีก​เป็นครั้ง​ที่สามของชีวิต หลังจาก​ที่ข้าพเจ้า​ได้ซื้อไฟ​และน้ำมัน​ไปให้​กับร่างทรง ​และเล่าเรื่อง​เหตุการณ์ประหลาด สองครั้ง​ที่เกิดขึ้น​​กับชีวิตของข้าพเจ้าในช่วง​ที่เรียนมหาวิทยาลัยให้​กับร่างทรงฟัง​ได้ไม่นาน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น​ในเย็นวันหนึ่ง​ หลังจาก​ที่ข้าพเจ้ากลับมาจากการเดินออก​กำลังกาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่า​ ร่างกายของข้าพเจ้านั้น​ร้อนมากจึงเปลี่ยนเสื้อผ้า​เพื่อ​จะอาบน้ำ ในขณะ​ที่​กำลังอาบน้ำนั้น​ข้าพเจ้าอาเจียนออกมา​เป็นเสียง​ที่ดังมาก หลังจากนั้น​ข้าพเจ้าเห็นร่างกายของตัวเองนอนหมดสติอยู่​ในห้องน้ำ แม่​กับสามีของข้าพเจ้าเดินเข้ามาดู​เพราะ​ได้ยินเสียงของข้าพเจ้าร้องดังมาก ​ทั้งคู่ตกใจ​ที่เห็นข้าพเจ้านอนหมดสติอยู่​ เลย​พยายามลากข้าพเจ้ามายัง​ที่นอนด้วย​ความทุลักทุเลมาก ข้าพเจ้า​ซึ่งยืนอยู่​ข้างหลังของ​ทั้งคู่พยายามร้องเรียกชื่อ​แต่ก็ไม่มี​ใคร​ได้ยิน

ข้าพเจ้าเห็นแม่ร้องไห้แล้ว​พยายาม​ทั้งทุบ​ทั้งเขย่าร่างกายของข้าพเจ้า​เพื่อให้​ได้สติ ยิ่งทำให้รู้สึกกลัวมาก ไม่รู้ว่า​จะทำอย่างไรดี ​และเริ่มคิดว่า ตัวเองอาจ​จะเสียชีวิต​ไปแล้ว​ก็​ได้ ในขณะนั้น​​ได้​แต่คิดถึงครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยเหมือน​กับเหตุการณ์​ที่เกิดในครั้ง​ที่สอง สักพักก็กลับเข้าร่าง​ได้​เป็นปกติ แล้ว​ยัง​สามารถเล่าเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้น​ใน​ระหว่าง​ที่ข้าพเจ้าหมดสติ​ไป​ได้อย่างถูก​ต้อง จนแม่​กับสามีรู้สึกแปลกใจ

หลังจากนั้น​​ได้ไม่นานเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็หลง​ไป​กับร่างทรง จนถึง​กับบ้างที​ไปกินนอนอยู่​​ที่บ้านของร่างทรง ​เป็นเวลาประมาณเกือบห้าปี โดนร่างทรงด่าว่าสารพัด ทำให้รู้สึกว่า​ชีวิตในตอนนั้น​ทำอะไร​ก็ผิด มันช่าง​เป็นช่วงเวลา​ที่แสนทรมานมาก​ที่สุด ​และมัก​จะทะเลาะ​กับแม่อยู่​บ่อยครั้งมาก ​เพราะเชื่อร่างทรง ​ซึ่งมัก​จะพูด​กับข้าพเจ้าอีกอย่าง แล้ว​​ไปพูด​กับแม่ของข้าพเจ้าอีกอย่างจนเข้าใจผิด​และทะเลาะกัน จนกระทั่งวันหนึ่ง​ข้าพเจ้า​และแม่โดนร่างทรงต่อว่า​และสาปแช่งสารพัดอย่างรุนแรงด้วย​ความโกรธ ทำให้รู้ว่าร่างทรงนั้น​หลอกลวง เลย​เลิกติดต่อ​กับร่างทรง

​ส่วนข้าพเจ้านั้น​กลัวว่า ร่างทรง​จะทำไสยศาสตร์ใส่ครอบครัว ​และ รู้สึกเสียใจมาก​ที่ทำให้พ่อแม่​กับลูกสาว​ต้องมาเดือดร้อน ตัวของข้าพเจ้าในขณะนั้น​​ได้ สูญเสียครอบครัว​ไปแล้ว​ งานก็ไม่มีทำ จึงเริ่มคิดหาคนช่วยให้พ้นจากสภาพนี้ แม่​และข้าพเจ้าจึงนึกถึงหลวงพ่อ แม่บอก​กับข้าพเจ้าว่าหลวงพ่อเท่านั้น​ ​ที่​จะช่วยให้เรา​ทั้งคู่พ้นจากพวกไสยศาสตร์เหล่านี้ ​และมีชีวิต​ที่ดีขึ้น​​ได้

ใน​ที่สุดก็​ได้มาหาหลวงพ่อ ​แต่ในสภาพของคน​ที่หมดสิ้น ​ไปแล้ว​ทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตคู่ล้มเหลว ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต ร้องไห้ทุกวันจนแทบ​จะเสียสติ ​เมื่อมาปฏิบัติธรรม​กับหลวงพ่อในตอนแรก ไม่ว่าหลวงพ่อท่าน​จะให้ทำอะไร​ก็ทำตามหมด ​เพราะเชื่อว่าหลวงพ่อ​จะช่วยให้ข้าพเจ้า พ้นจากทุกข์​ที่​เป็นอยู่​ในขณะนั้น​​ได้ ระยะเวลาเพียงแค่สามวัน ​ที่มาปฏิบัติธรรม​ที่วัดนาค ทำให้ข้าพเจ้า เปลี่ยนแนวทางใน​การปฏิบัติธรรม จากแบบเก่า​ที่ เคยปฏิบัติมา​ทั้งหมด มาทำตามในแบบ​ที่หลวงพ่อท่านสอน

ทำให้ข้าพเจ้า​ได้รู้ว่า ในขณะ​ที่นอนหลับนั้น​ ​สามารถรู้สึกตัวว่า พลิก​ไปข้างซ้ายหรือข้างขวา ​ได้ยิน​แม้กระทั่งเสียงกรนของตัวเอง รู้ว่าตัวเอง​กำลังฝันอยู่​​ได้ ด้วยการ เจริญสติ ระลึกรู้ ดูรูปนาม ในอารมณ์ปัจจุบัน ตอนนั้น​ข้าพเจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ รู้​แต่เพียงว่า ให้​เอาสติ​ไปจับในทุกทุกอิริยาบถ ของร่างกาย ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับตาลงนอน

ในตอนแรก สติมัก​จะหลุดบ่อย ​เพราะข้าพเจ้านั้น​​เป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน ​แต่พอเจริญสติอย่างต่อ​เนื่อง​ไป​ได้สักระยะ จิตเริ่ม​จะจำ​ได้เอง ​และทำ​ไปเอง​โดยอัตโนมัติ ทำให้อาการฟุ้งซ่านของข้าพเจ้านั้น​ค่อยค่อยจางหาย​ไป จนเหลือน้อยมาก ​เพราะ สติ​ส่วนใหญ่​จะอยู่​ ​แต่​กับอิริยาบถในอารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น​ ​เมื่อเริ่มคิดฟุ้งซ่าน​เมื่อไหร่ มัน​จะหยุด ​และตัดกลับมาอยู่​​ที่อิริยาบถในปัจจุบันนั้น​ทันที

ไม่เฉพาะเพียง การคิดฟุ้งซ่าน ​แต่มันรวม​ไปถึง อารมณ์โกรธ ​ความอยาก ​ความโลภ ก็ค่อยค่อยทยอยกันลดลง​ไปเรื่อยเรื่อย ทำให้ในหนึ่ง​วัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่า​ เบา สงบ ​และว่าง ว่างใน​ที่นี้สำหรับข้าพเจ้า ​คือ ไม่​ได้คิดเรื่อง​อะไร​เลย​ นอกจาก​จะดูกาย​กับใจ อยู่​​กับอารมณ์ปัจจุบัน​ไปวันวัน ​ซึ่ง​เมื่อก่อน ข้าพเจ้าเคยรู้สึกรำคาญมากเลย​ว่า ทำไมข้าพเจ้า​จะ​ต้องคิดเรื่อง​โน้น เรื่อง​นี้ อยู่​ตลอดเวลา สั่งให้หยุดคิดมันก็หยุด​ได้แค่เพียงชั่วครู่ แล้ว​ก็กลับ​ไปคิดใหม่อยู่​อย่างนี้ทุกวัน ​แต่ตอนนี้ ​เมื่อมาเจริญสติในแบบ​ที่หลวงพ่อท่านสอนนั้น​ ทำให้ข้าพเจ้า​สามารถหยุดคิด​ได้ ​โดย​ที่ไม่​ต้อง​ไปทำอะไร​เลย​ แค่ดูกาย​กับใจ เท่านั้น​ ​เพราะสิ่ง​ที่เห็นอยู่​เสมอ ​คือ การเปลี่ยนแปลงอยู่​ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดคง​ที่​และแน่นอน มีเกิด แล้ว​มีดับ ​เป็นของธรรมดา

ใน​การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า มีอยู่​ช่วงหนึ่ง​​ที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อมาก ​เพราะข้าพเจ้าเริ่มเห็นร่างกายของตัวเอง ​เป็นโครงกระดูก เห็นภาพอวัยวะภายในร่างกายแบบสดสด อย่างเช่นวันหนึ่ง​ในขณะ​ที่ข้าพเจ้าอาบน้ำอยู่​​ที่ฟิตเนสข้าพเจ้า เริ่มเห็นชั้นไขมันตรงหน้าท้องแบบสดสด ในตอนแรกก็รู้สึกกลัว ​และอยาก​จะอาเจียน ​แต่ข้าพเจ้าก็ดูอารมณ์​และอาการในขณะนั้น​​ไปด้วยทำให้ จิตไม่รู้สึกหวั่นไหวมากนัก

​แต่มันน่าแปลกตรง​ที่หลังจากนั้น​อีกไม่นาน ข้าพเจ้าก็​ได้รับบาดเจ็บจากการออก​กำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อตรงหน้าท้องอักเสบ อีกสิ่งหนึ่ง​​ที่ข้าพเจ้า​ต้องประหลาดใจ​เป็น​ที่สุด ​คือ จิตใจของเรานั้น​​สามารถเปลี่ยน​ไปในทาง​ที่ดี​ได้ ​โดย​ที่จิตเปลี่ยนของจิตเอง อย่างเช่น นิสัยบางอย่างของข้าพเจ้า​ที่พยายามแก้ไข​และเปลี่ยนมา​โดยตลอด​แต่ไม่เคยทำ​ได้เลย​ ​คือ การเถียง​และคิดไม่ดี​กับพ่อแม่ ​ซึ่งนำพาให้ชีวิตตกต่ำมา​โดยตลอด ในขณะนี้มัน​ได้หาย​ไปจากชีวิตของข้าพเจ้าแล้ว​

ผลในทางโลก​ที่​ได้รับจากการมาปฏิบัติธรรม​กับหลวงพ่อ ข้าพเจ้า​ได้รับสิ่ง​ที่เคยสูญเสีย​ไปแล้ว​กลับคืนมานั่น​คือ ครอบครัว ข้าพเจ้า​กับสามีกลับมาเริ่มต้นชีวิตคู่กันใหม่อีกครั้ง ​ส่วนลูกสาวก็ลดการเถียงข้าพเจ้าลง​และเรียนหนังสือเก่งขึ้น​ พ่อ​และแม่ของข้าพเจ้าแสดง​ความรัก​และแสดง​ความรู้สึกภูมิใจ ในตัวของข้าพเจ้า มากกว่า​ที่​จะแสดง​ความรู้สึกผิดหวังเสียใจเหมือน​เมื่อก่อน ​ที่ข้าพเจ้ายังไม่​ได้ปฏิบัติธรรม

​ส่วนสามีของข้าพเจ้านั้น​ ศรัทธราในการสอนของหลวงพ่อมาก จนตัดสินใจลางาน​เพื่อมาบวช​กับท่าน​ที่วัดนาค อย่างเงียบเงียบ ​เป็นเวลาสิบห้าวัน ​ทั้ง​ที่​เขาเคยพูด​เอาไว้ก่อน​แต่งงานว่า ​เขา​จะไม่บวชเด็ดขาด หลังจาก​ที่สึกออกมาแล้ว​นั้น​ หนี้สิน​ที่เคยมีมากมาย​ ข้าพเจ้า​และสามี​สามารถชำระหนี้​ได้หมด แล้ว​ยัง​สามารถซื้อบ้านใหม่ ​และรถใหม่​ได้อีก ทำให้ฐานะทางครอบครัวของข้าพเจ้ามั่นคงขึ้น​ราวปาฏิหารย์
คลิกดูภาพขยาย


​ส่วนผลในทางธรรมนั้น​ ทำให้ข้าพเจ้า ลด​ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนลง​ไป​ได้เยอะมาก ​ความทุกข์ต่างต่าง​ที่เกิดจากการ​ใช้ชีวิตในปัจจุบันก็ลดลง​ไปด้วย แล้ว​ยังดำเนินชีวิตอย่างมีสติ รู้หน้า​ที่ ​และเป้าหมาย​ที่แท้จริง ​ซึ่งนั่นก็​คือ การ​ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนของ​พระพุทธเจ้า ​ที่มี​พระพุทธ ​พระธรรม ​พระสงฆ์ ​เป็น​ที่พึ่งในทุกลมหายใจเข้าออกของชีวิต ข้าพเจ้าโชคดีมาก​ที่​ได้พบเจอ​กับครูบาอาจารย์ ​ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติถูก​ต้อง แล้ว​ท่านยังคอยให้คำแนะนำแก้ไขปัญหาให้ในยาม​ที่ข้าพเจ้าปฏิบัติไม่ถูก​ต้อง หรือหลงทาง

ใน​การปฏิบัติธรรมนั้น​ ครูบาอาจารย์​เป็นสิ่ง​ที่สำคัญ​ที่สุด ​ถ้า​ได้เจอ​กับครูบาอาจารย์​ที่ท่านปฏิบัติดี​และปฏิบัติ​ได้ถูก​ต้องนั้น​ ถือว่า​เป็นสิ่ง​ที่มีค่ามาก​ที่สุดแล้ว​ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ​เพราะครูบาอาจารย์​ที่ดี​และถูก​ต้องนั้น​ ท่าน​จะสอน​และคอยประคับประคอง ให้เราปฏิบัติจน​ได้พบ​กับธรรมะจริงจริง ธรรมะ​ที่ถูก​ต้องของ​พระพุทธเจ้า ​เมื่อปฏิบัติธรรม​ได้อย่างถูก​ต้องแล้ว​ธรรมะนั้น​ย่อมส่งผลเจริญให้​กับผู้​ที่ปฏิบัติ​และครอบครัวของผู้ปฏิบัติด้วย
"ชีวิตเองนะมันดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวชอบป่วย​เป็นโรคอะไร​แปลกแปลก"​ซึ่งในปัจจุบันก็​คือ ท่าน​พระครูภาวนานุกูล ชูชัย อริโย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนาค อำเภอบางประหัน ชีวิตของข้าพเจ้าเริ่มรู้จัก​และปฏิบัติธรรมนับตั้งแต่นั้น​​เป็นต้นมาก่อนวัน​แต่งงานของข้าพเจ้าหนึ่ง​วัน ข้าพเจ้า​ได้รับโทรศัพท์จากหลวงพ่อ ท่านพูดว่า "ผู้ชายคนนี้​เป็นคนดีมาก" ​และอวยพรให้ชีวิตคู่ของข้าพเจ้ามี​แต่สิ่งดีดี​และประสบ​ความสำเร็จระ หัง สา มิ(คำว่า ระ หัง สา มิ นี้ข้าพเจ้าเคยท่อง​เพื่อระงับอาการปวดกล้ามเนื้ออักเสบ ​ได้ผลดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจเลย​ทีเดียว)nullในตอนแรก สติมัก​จะหลุดบ่อย ​เพราะข้าพเจ้านั้น​​เป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน ​แต่พอเจริญสติอย่างต่อ​เนื่อง​ไป​ได้สักระยะ จิตเริ่ม​จะจำ​ได้เอง ​และทำ​ไปเอง​โดยอัตโนมัติ ทำให้อาการฟุ้งซ่านของข้าพเจ้านั้น​ค่อยค่อยจางหาย​ไป จนเหลือน้อยมาก ​เพราะ สติ​ส่วนใหญ่​จะอยู่​ ​แต่​กับอิริยาบถในอารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น​ ​เมื่อเริ่มคิดฟุ้งซ่าน​เมื่อไหร่ มัน​จะหยุด ​และตัดกลับมาอยู่​​ที่อิริยาบถในปัจจุบันนั้น​ทันทีตัวหนาใน​การปฏิบัติธรรมนั้น​ ครูบาอาจารย์​เป็นสิ่ง​ที่สำคัญ​ที่สุด ​ถ้า​ได้เจอ​กับครูบาอาจารย์​ที่ท่านปฏิบัติดี​และปฏิบัติ​ได้ถูก​ต้องนั้น​ ถือว่า​เป็นสิ่ง​ที่มีค่ามาก​ที่สุดแล้ว​ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ​เพราะครูบาอาจารย์​ที่ดี​และถูก​ต้องนั้น​ ท่าน​จะสอน​และคอยประคับประคอง ให้เราปฏิบัติจน​ได้พบ​กับธรรมะจริงจริง ธรรมะ​ที่ถูก​ต้องของ​พระพุทธเจ้า ​เมื่อปฏิบัติธรรม​ได้อย่างถูก​ต้องแล้ว​ธรรมะนั้น​ย่อมส่งผลเจริญให้​กับผู้​ที่ปฏิบัติ​และครอบครัวของผู้ปฏิบัติด้วย

 

F a c t   C a r d
Article ID A-3536 Article's Rate 3 votes
ชื่อเรื่อง ธรรมะเปลี่ยนชีวิต
ผู้แต่ง มนต์อักษรา
ตีพิมพ์เมื่อ ๐๕ สิงหาคม ๒๕๕๔
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ ฉันเขียนให้เธออ่าน
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๔๙๕ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๐ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๑๔
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t

สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น