![]() |
![]() |
มนต์อักษรา![]() |
...ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวทหาร เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เมื่อตอนยังเป็นเด็ก พ่อรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล เมื่ออายุได้ประมาณสิบเอ็ดปี แม่ของข...
ข้าพเจ้าเกิดในครอบครัวทหาร เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เมื่อตอนยังเป็นเด็ก พ่อรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล เมื่ออายุได้ประมาณสิบเอ็ดปี แม่ของข้าพเจ้ากับป้าน้ำหวานได้พาไปพบกับ หลวงปู่เรือง ที่อยู่บนเขาสามยอด และท่านเคยพูดกับข้าพเจ้าว่า"ชีวิตเองนะมันดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวชอบป่วยเป็นโรคอะไรแปลกแปลก" ในตอนนั้นป้าน้ำหวานค้านขึ้นว่า ถ้าปฏิบัติธรรมะก็หายจะไม่เป็นแบบนั้น ท่านก็บอกว่าถ้าปฏิบัติได้ก็จะดี หลังจากนั้นได้ไม่นาน ป้าน้ำหวานก็พาแม่กับข้าพเจ้ามารู้จักกับพระภิกษุรูปหนึ่งที่วัดหลวงพ่อเขียว อำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งในปัจจุบันก็คือ ท่านพระครูภาวนานุกูล ชูชัย อริโย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนาค อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชีวิตของข้าพเจ้าเริ่มรู้จักและปฏิบัติธรรมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงพ่อสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักการนั่งสมาธิ ซึ่งทำให้จิตใจสงบและสว่าง ซึ่งเกิดปาฏิหาริย์หลายอย่างกับชีวิตของข้าพเจ้าในตอนนั้นยกตัวอย่างในเรื่องเรียนของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง และมีวิชาหนึ่งที่เกลียดมาก สอบย่อยทีไรมักจะได้ศูนย์คะแนนเกือบทุกที นั่นก็คือ วิชาภาษาอังกฤษ หลังจากที่ฝึกสมาธิกับหลวงพ่อแล้ว
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าต้องสอบย่อย วันนั้นมีเสียงกระซิบที่ข้างหูของข้าพเจ้า บอกคำตอบของข้อสอบแต่ละข้อ ข้าพเจ้าซึ่งเรียนไม่รู้เรื่องอยู่แล้วเลย ใส่คำตอบตามเสียงกระซิบนั้น ทำให้ผลสอบของข้าพเจ้าออกมาถูกทุกข้อ จนครูผู้สอบถึงกับงงไปเลย แล้วยังทำให้เด็กนักเรียนหลายคนจากต่างห้องแอบมาถามถึงข้าพเจ้าว่าเป็นใคร จนเพื่อนที่นั่งด้วยกันเกิดความอิจฉา เข้ามาหยิก แล้วบอกว่าถ้าฉันฆ่าเธอได้ฉันคงทำไปแล้ว
หลังจากนั้นมาทำให้ข้าพเจ้าขยันเรียนมากขึ้น จนคะแนนในทุกวิชาออกมาดี จากเด็กที่เรียนได้แค่เกรดเฉลี่ย สองกว่า ขึ้นมาเรียนได้เกรดเฉลี่ย สามกว่าจนได้รับ เกียรติบัตร
ส่วนในเรื่องของนิสัยก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้ามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือ ชอบเถียงพ่อแม่มาก หลังจากที่ฝึกสมาธิกับหลวงพ่อ ในตอนนั้นมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับตัวของข้าพเจ้าอีกหนึ่งอย่างคือ เมื่อจะเถียงพ่อแม่ทีไร ขากรรไกรจะค้าง คือ อ้าปากแล้วหุบไม่ได้ พูดอะไรไม่ได้เลยจนกว่าจะเลิกเถียง ถึงจะกลับมาเป็นปกติ ทำให้ข้าพเจ้าลดการเถียงพ่อแม่ลงไปได้เยอะมาก
หลังจากนั้นไม่นานพ่อของข้าพเจ้าก็เลื่อนยศและย้ายไปรับตำแหน่งที่กรุงเทพ เลยขาดการติดต่อกับหลวงพ่อไปเลย การเรียนก็ยังคงเรียนดี แต่เริ่มขี้เกียจ และมักจะเถียงพ่อแม่ กับยาย หนักมากขึ้น ยังคงนั่งสมาธิอยู่ แต่ไม่ค่อยบ่อยเท่าไหร่นัก หันมาใส่บาตรตอนเช้า แล้วก็สวดมนต์ไหว้พระ ในตอนนั้นมีเพื่อนนิสัยดีหลายคน และ เรียนอยู่โรงเรียนวัด จึงพอมีโอกาสได้เข้าคอร์ส อบรมธรรมะบ้าง ครั้งละเจ็ดวันทุกช่วงปิดเทอม
พายายไปถือศีลที่วัดทุกวันพระอยู่เสมอเป็นประจำ จนท่านเจ้าอาวาสวัดเอ่ยปากชมกับแม่เสมอว่า ข้าพเจ้าเป็นเด็กปฏิบัติตัวดีกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เวลาที่ท่านจัดอบรมธรรมะให้กับเด็กนักเรียน ที่โรงเรียนครั้งใด ข้าพเจ้าก็มักจะสมัครเข้าอบรม ทุกครั้งด้วยเช่นกัน ทุกอย่างดูเหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี เพราะข้าพเจ้ายังเลิกนิสัยเถียงพ่อแม่ไม่ได้สักที และไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย
พอช่วงเรียนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย สอบข้อเขียนติดวิทยาลัยพยาบาลหลายแห่ง แต่ก็พลาดรอบสัมภาษณ์ทุกครั้งไป ไม่ได้เรียนพยาบาลดังที่พ่อกับแม่ตั้งใจไว้ แต่กลับไปเรียนคณะนิเทศศาสตร์ที่ไม่รู้ว่าจบมาจะได้งานทำหรือเปล่า ทำให้พ่อแม่รู้สึกผิดหวังและเสียใจ แต่ก็ยังคงนิสัยดื้อรั้นเถียงพ่อแม่ไม่เลิก ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนั้นจะเกิดเหตุการณ์ที่ประหลาดในชีวิตอยู่สักสองครั้ง
ครั้งแรกเกิดเวลาบ่ายโมง วันนั้นข้าพเจ้านอนหลับอยู่บนที่นอนแล้วรู้สึกว่าร้อนมาก จนเหมือนจะหายใจไม่ออกก็เลยรีบลุกขึ้นนั่ง เกิดความรู้สึกว่าตัวของข้าพเจ้ามันทำไมเบามากจึงหันหลังกลับไปดูภาพที่เห็นมันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวและจำได้ติดตามาจนถึงทุกวันนี้
ภาพนั้นคือร่างกายของข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่แล้วใครกันละที่ลุก วินาทีนั้นข้าพเจ้าตัดสินใจนอนทับร่างกายที่นอนหลับอยู่นั้น แล้วลุกขึ้นมาใหม่ร่างกายของข้าพเจ้าจึงหายเป็นปกติเหมือนเดิมคือมีร่างเดียว ตอนนั้นเก็บความสงสัยเอาไว้ ไม่รู้จะถามใครไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง แม้กระทั่งพ่อแม่กลัวเขาจะหาว่าบ้า
หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ในครั้งนี้หนักกว่าเดิมมาก เหตุการณ์นี้เกิดในช่วงเวลาบ่ายวันหนึ่ง ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก แม่ของข้าพเจ้ากำลังจะไปตลาด ถึงแม้ว่าข้าพเจ้านอนหลับอยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นภาพแม่เดินออกจากบ้านไป และได้ยินว่าให้ใส่กลอนประตูบ้านด้วย ข้าพเจ้าจึงรีบลุกตามไปใส่กลอนประตู เสร็จแล้วก็กำลังจะกลับมานอนต่อที่โซฟาในห้องรับแขกข้าพเจ้าต้องตกใจสุดขีดเพราะเห็นร่างกายของตัวเองนอนหลับอยู่บนโซฟา
ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกกลัวมาก พยายามจะนอนทับร่างที่อยู่บนโซฟา แต่ก็เหมือนมีแรงผลักให้กระเด็นออกมาอยู่หลายครั้ง ในตอนนั้นข้าพเจ้าพยายามตั้งสตินึกถึงหลวงพ่อ (พระครูภาวนานุกูล ชูชัย อริโย) ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์ สอนให้นั่งสมาธิ ข้าพเจ้าก็เลยกำหนดในขณะที่นั่งทับไปที่ร่างว่า นั่ง นั่ง อยู่นานมาก ถึงจะนั่งทับไปบนร่างนั้นได้ หลังจากนั้น กำหนดต่อไปอีกว่านอน นอนถึงจะนอนทับร่างนั้นได้
เมื่อนอนทับร่างกายของตัวเองได้แล้ว สักพักก็จะลุกขึ้นได้เป็นปกติ แต่จะรู้สึกเหนื่อยมาก มีเหงื่อไหลท่วมตัว ทั้งที่พัดลมเพดานในห้องรับแขกเปิดอยู่ สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าลุกไปดู คือ ประตูหน้าบ้าน ว่าใส่กลอนจริงหรือเปล่า ข้าพเจ้าไม่ได้ฝันไป มันเป็นเรื่องจริงที่ลุกไปใส่กลอนประตูได้ โดยที่ร่างกายยังหลับอยู่ มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังอีกเหมือนเดิม และก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย สิ่งที่ทำอยู่เสมอ คือใส่บาตรสวดมนต์ทุกวัน และก็ยังคงเถียงพ่อกับแม่และยายไม่เว้นแต่ละวันด้วยเช่นกัน
ชีวิตในขณะนั้นทำงานด้วยเรียนไปด้วย แต่ด้วยความที่สติ และปัญญาไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป เที่ยวกลางคืน ใช้เงินอย่างไม่รู้คุณค่า เงินเดือนไม่เคยเหลือเก็บเลย ทำงานก็ไร้ความอดทนต่อเพื่อนร่วมงานทำให้มีปัญหาเรื่องงานอยู่บ่อยครั้ง
และเมื่อชีวิตเดินมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต คือ ได้เจอสามีในตอนนั้นข้าพเจ้าตัดสินใจแต่งงานทั้งที่ยังเรียนอยู่แค่ปีสองเท่านั้นเอง โดยไม่ฟังคำคัดค้านจากพ่อแม่ ก่อนวันแต่งงานของข้าพเจ้าหนึ่งวัน ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากหลวงพ่อ ท่านพูดว่า "ผู้ชายคนนี้เป็นคนดีมาก" และอวยพรให้ชีวิตคู่ของข้าพเจ้ามีแต่สิ่งดีดีและประสบความสำเร็จ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจมากไม่รู้ว่าท่านทราบข่าวได้อย่างไร ทั้งที่ข้าพเจ้าและแม่ไม่ได้ไปบอกท่านเลย แต่ในตอนนั้นข้าพเจ้าดีใจมากและถือว่าคำอวยพรนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการเริ่มชีวิตคู่ของข้าพเจ้า
การแต่งงานทำให้ข้าพเจ้าทิ้งทุนของอาจารย์เจ้าของโรงเรียนที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ ซึ่งได้เคยตกลงกันตอนรับข้าพเจ้าเข้ามาทำงานว่า จะส่งเรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก แต่ข้าพเจ้ากลับลาออกจากงานและไม่รับทุนต่อ มาทำหน้าที่แม่บ้านของสามี ที่ข้าพเจ้าวาดฝันไว้ซะสวยหรู โชคดีข้าพเจ้าไม่ได้ทิ้งการเรียนไปเลย ยังกลับมาเรียนต่อจนจบปริญญาตรี ด้วยระยะเวลาเพียงแค่สามปีครึ่งจบก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกันหนึ่งเทอม เพราะกลัวว่าถ้าไม่รีบเรียน อาจจะทำให้ไม่มีโอกาสได้เรียนอีกแล้ว และจะทำให้พ่อแม่ผิดหวังและเสียใจไปมากกว่าเดิมอีก
เมื่อเรียนจบและมาใช้ชีวิตเป็นแม่บ้านมากขึ้น ออกจากบ้านพ่อแม่ ตามสามีมาอยู่ที่นครราชสีมา ข้าพเจ้าเคยพาสามีไปพบกับหลวงพ่อครั้งหนึ่ง ตอนนั้นท่านย้ายไปเป็น ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดอัมพวัน ฝ่ายวิปัสสนาธุระ จังหวัดสิงห์บุรี ท่านยังให้รูปภาพใบเล็กแก่ข้าพเจ้าหนึ่งใบ ที่มีคำว่า ระ หัง สา มิ ให้ข้าพเจ้าพกติดตัวในกระเป๋าสตางค์ เพื่อคุ้มครองให้ข้าพเจ้าปลอดภัยจาก ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง (คำว่า ระ หัง สา มิ นี้ข้าพเจ้าเคยท่องเพื่อระงับอาการปวดกล้ามเนื้ออักเสบ ได้ผลดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว)
ซึ่งในปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าก็ยังคงพกอยู่เลย ข้าพเจ้าทำงานบ้านไม่ค่อยเก่งเท่าที่ควร เนื่องจากไม่ได้ฝึกฝนเอาไว้ตอนเด็ก เรียนหนังสืออย่างเดียว ทำให้มีปัญหาทะเลาะกับสามีบ่อยครั้ง อีกสวนหนึ่งก็เป็นเพราะการใช่ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยไม่รู้จักเก็บเงินทอง ไม่เคยสนใจพ่อแม่ เจ้าอารมณ์ขี้โมโหง่าย พูดจาว่าพ่อแม่ให้เสียใจอยู่เสมอ ทำให้ชีวิตของข้าพเจ้า ตกต่ำลง หนี้สินเพิ่มขึ้นมากมาย
พ่อแม่ของข้าพเจ้าพยายามจะช่วยเหลือแก้ไขข้าพเจ้า โดยการพาข้าพเจ้าไปเข้าอบรมธรรมะที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่นิยมมากอยู่ในโคราช มีดาราไปเข้าอบรมกันเยอะมาก หลักสูตรอบรมของที่นั้นใช้ระยะเวลาแปดวันเจ็ดคืน เวลาปฏิบัติห้ามไม่ให้พูดจากัน แล้วจะมีช่วงให้นึกถึงพระคุณพ่อแม่ขอขมาพ่อแม่ที่เราทำไม่ดีล่วงเกิน
ตอนนั้นคิดว่าข้าพเจ้าจะเลิกนิสัยเถียงพ่อแม่ได้บ้างถึงขนาดกลับไปบ้านกราบขอขมาพ่อแม่และกินน้ำล้างเท้าพ่อแม่ แต่ก็ไม่ทำให้เลิกเถียงพ่อแม่ได้เลย หลังจากนั้นสามีอ่านหนังสือเล่มหนึ่งแล้วเจอสถานปฏิบัติธรรมที่นี่เช่นกันเกิดศรัทธรา เขาจึงอยากให้น้องกับแม่เข้าไปปฏิบัติธรรมบ้าง เนื่องจากข้าพเจ้าเคยไปอบรมมาแล้วสามีเลย ให้ข้าพเจ้าได้กลับมาอบรมอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับพาแม่และน้องสาวของเขาไปด้วย หลังจากนั้นข้าพเจ้าเริ่มตั้งครรภ์ ในระหว่างนั้นแม่กับพ่อของข้าพเจ้าเริ่มมีปัญหากัน ทำให้ข้าพเจ้า มักจะรู้สึกตำหนิพ่อกับแม่ในใจอยู่เสมอ แล้วยังเคยพูดจาไม่ดีจนทำให้แม่เสียใจจนร้องไห้
เหมือนกับว่ากรรมนั้นมันติดจรวดเลยทีเดียว แต่ว่าข้าพเจ้าไม่รู้ตัว ในระหว่างตั้งครรภ์ข้าพเจ้าป่วยเป็นครรภ์เป็นพิษ ลำบากและทรมานมากในการตั้งครรภ์ ในช่วงที่ตั้งครรภ์ได้แปดเดือน น้ำคร่ำแตกสี่วันก็ไม่รู้ตัวไปหาหมอเกือบจะตายทั้งแม่ทั้งลูก จนหมอต้องตัดสินใจผ่าตัดคลอดเอาเด็กออกก่อนกำหนดเป็นผู้หญิง เด็กปกติทุกอย่างยกเว้น ตัวเหลืองมากจนเกือบจะต้องถ่ายเลือด
หมอเลยนำเด็กไปเข้าตู้อบ ส่วนตัวของข้าพเจ้าเมื่อกลับบ้านไปแผลที่ผ่าตัดคลอดลูกเน่าจนต้องกลับมานอนแหวะแผล ทิ้งไว้สี่วันหลังจากนั้นหมอเห็นท่าไม่ดี จึงตัดสินใจผ่าตัดอีกรอบเพื่อเอาหนองออก เลยต้องนอนโรงพยาลหลังจากคลอดลูกแล้วรวมกัน ประมาณเกือบสองอาทิตย์ เสียค่าใช้จ่ายไปอย่างมากมาย ทั้งที่ฐานะทางการเงินของข้าพเจ้าในตอนนั้นเริ่มไม่ค่อยจะดีแล้ว
ในช่วงที่นอนแหวะแผลทิ้งไว้สี่วันนั้นทำให้ข้าพเจ้านึกถึงช่วงสมัยที่เรียนอยู่มัธยมปลาย อาจารย์ให้ผ่าไส้เดือนตัวใหญ่ เพื่อดูอวัยวะเพศของมัน ซึ่งมันมีสองเพศในตัวเดียวกัน ข้าพเจ้าจับคู่กับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งและเพื่อนคนนั้นเป็นคนเอามีดคัตเตอร์กีดที่ตัวของไส้เดือน ส่วนตัวของข้าพเจ้านั้นก็เอาเข็มหมุดปักเพื่อแหวะตัวของมันออกดูเครื่องเพศภายใน มันก็คงเจ็บปวดทรมานมาก แต่ข้าพเจ้ากับไปสมน้ำหน้ามันตอนที่จะทิ้งมันลงขยะ แล้วยังหัวเราะเยาะมัน แล้วพูดกับเพื่อนว่า "แล้วใครจะเป็นคนเย็บแผลให้ มันกันละเนี่ย"
ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่ามันทรมานมากขนาดไหน ตอนที่โดนแหวะแผลทิ้งไว้ พยาบาลต้องมาทำความสะอาดแผลให้ทุกวัน มันเจ็บปวดทรมานมาก ขึ้นอยู่กับมือของพยาบาลเลยว่าหนักหรือเบา ข้าพเจ้าจะดิ้นทรมานด้วยความเจ็บปวดทุกครั้ง ยกเว้นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะผ่าตัดเอาหนองออกทั้งหมด หมอสงสารเลยทำความสะอาดแผลให้ซึ่งไม่รู้สึกเจ็บเลย เมื่อข้าพเจ้าได้กลับบ้านและได้มีโอกาสไปเยี่ยมเพื่อนที่เป็นมือกรีด ซึ่งตั้งท้องในระยะ
เวลาไล่เลี่ยกัน คลอดลูกห่างจากกันไม่กี่วัน เธอเล่าให้ฟังว่า
พอถึงกำหนดคลอดเจ็บท้องมากแต่ปากมดลูกไม่ยอมเปิด ถึงหมอจะฉีดยาเร่งคลอดให้ แต่ก็ยังคลอดไม่ได้ เจ็บปวดหนึ่งวันเต็มเต็มเลย จนหมอเห็นว่าปล่อยไว้ไม่ได้ ก็เลยต้องผ่าตัดคลอด สรุปแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนต้องโดนหมอ ใช้มีดกรีดผ่าท้องเพื่อเอาเด็กออกทั้งคู่เหมือน ข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นกรรมที่เราทั้งคู่ ได้รับหลังจากที่ช่วยกันผ่าตัดเจ้าไส้เดือน แต่เพื่อนคงไม่รู้หรอก เพราะเขาหันไปนับถือศาสนาอื่นตามสามีของเขาแล้ว
เมื่อหนี้สินมากมายที่เกิดมาจากการใช้จ่ายเกินตัวจนทำให้ข้าพเจ้ากับสามีมักจะทะเลาะกันอย่างรุนแรงด้วยเรื่องนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าคลอดลูกแล้วประจำเดือนมาทุกวันไม่ยอมหยุด และมาจำนวนมาก จนต้องใส่แพมเพิร์สเด็กแทนผ้าอนามัย เป็นเวลาเกือบสองปีกว่า ลูกสาวได้สองขวบกว่าพอดี ในช่วงนั้นข้าพเจ้าเป็นคนเจ้าอารมณ์มาก ขี้โมโห ทะเลาะกันกับสามี บางทีก็ถือมีดจะทำร้ายตัวเอง ขู่จะกินยาฆ่าตัวตายบ้าง ประกอบกับพ่อแม่กำลังมีปัญหาทะเลาะกัน จนเกือบจะเลิกกัน
มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับอยู่แล้วรู้สึกว่าทำไมตัวของข้าพเจ้าจึงเปียกไปหมด เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องตกใจ เห็นเลือดมันไหลมาท่วมตัวเปื้อนที่นอนเต็มไปหมด จนไม่มีแรงจะลุก ต้องนั่งถัดตัวเองไปห้องน้ำเพื่อล้างเลือดประจำเดือนที่เปื้อนตัว หลังจากนั้นจึงตัดสินใจขอสามีพาลูกมาอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพเพื่อหาทางรักษา
ในช่วงนั้นถึงแม้จะนึกถึงหลวงพ่อ แต่ยังไม่ยอมไปหาเพราะตอนนั้นมักจะคิดว่าอยู่ไกลถึงอยุธยา และก็ไม่มีใครมีเงิน จะให้พ่อหรือสามีพาไปหาก็คงไม่มีใครพาไป พอดีมีพวกร่างทรงเข้ามาในชีวิตช่วงนั้นแล้วบอกว่าจะช่วยเหลือ ให้ร่ำรวยมีเงินทอง และให้พ่อกับแม่เลิกมีปัญหากัน แล้วช่วยให้ข้าพเจ้าหายจากการมีประจำเดือนมาไม่หยุด ข้าพเจ้าเลยหลงไปกับพวกร่างทรงนี้ประมาณห้าปีเต็มถึงจะรู้ว่าโดนหลอกให้แยกทางกับสามี ไปทำงานบ้านให้เขาเหมือนเด็กรับใช้ ที่ได้ค่าจ้างเพียงน้อยนิด โดนดุโดนด่าสารพัด แล้วยังต้องหาเงินหาทองไปให้กับร่างทรง หมดไปเกือบสามแสนบาท
ชีวิตในช่วงระหว่างที่ไปคลุกคลีอยู่กับร่างทรง ทำให้ลูกสาวของข้าพเจ้านั้นเริ่มมีปัญหาทางจิตใจ มักจะป่วยและไม่ค่อยสบายอยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนกรรม ลูกสาวของข้าพเจ้าในขณะนั้นเรียนอยู่อนุบาล เมื่อใดที่ข้าพเจ้าว่ากล่าวตักเตือนและสั่งสอน เขามักจะเถียงข้าพเจ้าอยู่เสมอ เด็กเกลียดร่างทรงมาก เพราะคิดว่าร่างทรงนั้นทำลายครอบครัวของเขา ทำให้เขาไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อและแม่เหมือนกับครอบครัวอื่น แต่ข้าพเจ้ากับไม่รู้สึกเลย เพราะความโง่เขลา ขาดสติพิจารณา ทำให้ชีวิตต้องตกไปอยู่ในหนทางที่มืดมน
ในช่วงนี้ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สามของชีวิต หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ซื้อไฟและน้ำมันไปให้กับร่างทรง และเล่าเรื่องเหตุการณ์ประหลาด สองครั้งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของข้าพเจ้าในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยให้กับร่างทรงฟังได้ไม่นาน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ข้าพเจ้ากลับมาจากการเดินออกกำลังกาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ร่างกายของข้าพเจ้านั้นร้อนมากจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะอาบน้ำ ในขณะที่กำลังอาบน้ำนั้นข้าพเจ้าอาเจียนออกมาเป็นเสียงที่ดังมาก หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นร่างกายของตัวเองนอนหมดสติอยู่ในห้องน้ำ แม่กับสามีของข้าพเจ้าเดินเข้ามาดูเพราะได้ยินเสียงของข้าพเจ้าร้องดังมาก ทั้งคู่ตกใจที่เห็นข้าพเจ้านอนหมดสติอยู่ เลยพยายามลากข้าพเจ้ามายังที่นอนด้วยความทุลักทุเลมาก ข้าพเจ้าซึ่งยืนอยู่ข้างหลังของทั้งคู่พยายามร้องเรียกชื่อแต่ก็ไม่มีใครได้ยิน
ข้าพเจ้าเห็นแม่ร้องไห้แล้วพยายามทั้งทุบทั้งเขย่าร่างกายของข้าพเจ้าเพื่อให้ได้สติ ยิ่งทำให้รู้สึกกลัวมาก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี และเริ่มคิดว่า ตัวเองอาจจะเสียชีวิตไปแล้วก็ได้ ในขณะนั้นได้แต่คิดถึงครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดในครั้งที่สอง สักพักก็กลับเข้าร่างได้เป็นปกติ แล้วยังสามารถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ข้าพเจ้าหมดสติไปได้อย่างถูกต้อง จนแม่กับสามีรู้สึกแปลกใจ
หลังจากนั้นได้ไม่นานเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็หลงไปกับร่างทรง จนถึงกับบ้างทีไปกินนอนอยู่ที่บ้านของร่างทรง เป็นเวลาประมาณเกือบห้าปี โดนร่างทรงด่าว่าสารพัด ทำให้รู้สึกว่าชีวิตในตอนนั้นทำอะไรก็ผิด มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมานมากที่สุด และมักจะทะเลาะกับแม่อยู่บ่อยครั้งมาก เพราะเชื่อร่างทรง ซึ่งมักจะพูดกับข้าพเจ้าอีกอย่าง แล้วไปพูดกับแม่ของข้าพเจ้าอีกอย่างจนเข้าใจผิดและทะเลาะกัน จนกระทั่งวันหนึ่งข้าพเจ้าและแม่โดนร่างทรงต่อว่าและสาปแช่งสารพัดอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ทำให้รู้ว่าร่างทรงนั้นหลอกลวง เลยเลิกติดต่อกับร่างทรง
ส่วนข้าพเจ้านั้นกลัวว่า ร่างทรงจะทำไสยศาสตร์ใส่ครอบครัว และ รู้สึกเสียใจมากที่ทำให้พ่อแม่กับลูกสาวต้องมาเดือดร้อน ตัวของข้าพเจ้าในขณะนั้นได้ สูญเสียครอบครัวไปแล้ว งานก็ไม่มีทำ จึงเริ่มคิดหาคนช่วยให้พ้นจากสภาพนี้ แม่และข้าพเจ้าจึงนึกถึงหลวงพ่อ แม่บอกกับข้าพเจ้าว่าหลวงพ่อเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราทั้งคู่พ้นจากพวกไสยศาสตร์เหล่านี้ และมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
ในที่สุดก็ได้มาหาหลวงพ่อ แต่ในสภาพของคนที่หมดสิ้น ไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตคู่ล้มเหลว ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต ร้องไห้ทุกวันจนแทบจะเสียสติ เมื่อมาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อในตอนแรก ไม่ว่าหลวงพ่อท่านจะให้ทำอะไรก็ทำตามหมด เพราะเชื่อว่าหลวงพ่อจะช่วยให้ข้าพเจ้า พ้นจากทุกข์ที่เป็นอยู่ในขณะนั้นได้ ระยะเวลาเพียงแค่สามวัน ที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดนาค ทำให้ข้าพเจ้า เปลี่ยนแนวทางในการปฏิบัติธรรม จากแบบเก่าที่ เคยปฏิบัติมาทั้งหมด มาทำตามในแบบที่หลวงพ่อท่านสอน
ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า ในขณะที่นอนหลับนั้น สามารถรู้สึกตัวว่า พลิกไปข้างซ้ายหรือข้างขวา ได้ยินแม้กระทั่งเสียงกรนของตัวเอง รู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ได้ ด้วยการ เจริญสติ ระลึกรู้ ดูรูปนาม ในอารมณ์ปัจจุบัน ตอนนั้นข้าพเจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่า ให้เอาสติไปจับในทุกทุกอิริยาบถ ของร่างกาย ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งหลับตาลงนอน
ในตอนแรก สติมักจะหลุดบ่อย เพราะข้าพเจ้านั้นเป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน แต่พอเจริญสติอย่างต่อเนื่องไปได้สักระยะ จิตเริ่มจะจำได้เอง และทำไปเองโดยอัตโนมัติ ทำให้อาการฟุ้งซ่านของข้าพเจ้านั้นค่อยค่อยจางหายไป จนเหลือน้อยมาก เพราะ สติส่วนใหญ่จะอยู่ แต่กับอิริยาบถในอารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น เมื่อเริ่มคิดฟุ้งซ่านเมื่อไหร่ มันจะหยุด และตัดกลับมาอยู่ที่อิริยาบถในปัจจุบันนั้นทันที
ไม่เฉพาะเพียง การคิดฟุ้งซ่าน แต่มันรวมไปถึง อารมณ์โกรธ ความอยาก ความโลภ ก็ค่อยค่อยทยอยกันลดลงไปเรื่อยเรื่อย ทำให้ในหนึ่งวัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เบา สงบ และว่าง ว่างในที่นี้สำหรับข้าพเจ้า คือ ไม่ได้คิดเรื่องอะไรเลย นอกจากจะดูกายกับใจ อยู่กับอารมณ์ปัจจุบันไปวันวัน ซึ่งเมื่อก่อน ข้าพเจ้าเคยรู้สึกรำคาญมากเลยว่า ทำไมข้าพเจ้าจะต้องคิดเรื่องโน้น เรื่องนี้ อยู่ตลอดเวลา สั่งให้หยุดคิดมันก็หยุดได้แค่เพียงชั่วครู่ แล้วก็กลับไปคิดใหม่อยู่อย่างนี้ทุกวัน แต่ตอนนี้ เมื่อมาเจริญสติในแบบที่หลวงพ่อท่านสอนนั้น ทำให้ข้าพเจ้าสามารถหยุดคิดได้ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรเลย แค่ดูกายกับใจ เท่านั้น เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เสมอ คือ การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดคงที่และแน่นอน มีเกิด แล้วมีดับ เป็นของธรรมดา
ในการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเบื่อมาก เพราะข้าพเจ้าเริ่มเห็นร่างกายของตัวเอง เป็นโครงกระดูก เห็นภาพอวัยวะภายในร่างกายแบบสดสด อย่างเช่นวันหนึ่งในขณะที่ข้าพเจ้าอาบน้ำอยู่ที่ฟิตเนสข้าพเจ้า เริ่มเห็นชั้นไขมันตรงหน้าท้องแบบสดสด ในตอนแรกก็รู้สึกกลัว และอยากจะอาเจียน แต่ข้าพเจ้าก็ดูอารมณ์และอาการในขณะนั้นไปด้วยทำให้ จิตไม่รู้สึกหวั่นไหวมากนัก
แต่มันน่าแปลกตรงที่หลังจากนั้นอีกไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อตรงหน้าท้องอักเสบ อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องประหลาดใจเป็นที่สุด คือ จิตใจของเรานั้นสามารถเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ โดยที่จิตเปลี่ยนของจิตเอง อย่างเช่น นิสัยบางอย่างของข้าพเจ้าที่พยายามแก้ไขและเปลี่ยนมาโดยตลอดแต่ไม่เคยทำได้เลย คือ การเถียงและคิดไม่ดีกับพ่อแม่ ซึ่งนำพาให้ชีวิตตกต่ำมาโดยตลอด ในขณะนี้มันได้หายไปจากชีวิตของข้าพเจ้าแล้ว
ผลในทางโลกที่ได้รับจากการมาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ ข้าพเจ้าได้รับสิ่งที่เคยสูญเสียไปแล้วกลับคืนมานั่นคือ ครอบครัว ข้าพเจ้ากับสามีกลับมาเริ่มต้นชีวิตคู่กันใหม่อีกครั้ง ส่วนลูกสาวก็ลดการเถียงข้าพเจ้าลงและเรียนหนังสือเก่งขึ้น พ่อและแม่ของข้าพเจ้าแสดงความรักและแสดงความรู้สึกภูมิใจ ในตัวของข้าพเจ้า มากกว่าที่จะแสดงความรู้สึกผิดหวังเสียใจเหมือนเมื่อก่อน ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ปฏิบัติธรรม
ส่วนสามีของข้าพเจ้านั้น ศรัทธราในการสอนของหลวงพ่อมาก จนตัดสินใจลางานเพื่อมาบวชกับท่านที่วัดนาค อย่างเงียบเงียบ เป็นเวลาสิบห้าวัน ทั้งที่เขาเคยพูดเอาไว้ก่อนแต่งงานว่า เขาจะไม่บวชเด็ดขาด หลังจากที่สึกออกมาแล้วนั้น หนี้สินที่เคยมีมากมาย ข้าพเจ้าและสามีสามารถชำระหนี้ได้หมด แล้วยังสามารถซื้อบ้านใหม่ และรถใหม่ได้อีก ทำให้ฐานะทางครอบครัวของข้าพเจ้ามั่นคงขึ้นราวปาฏิหารย์
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ส่วนผลในทางธรรมนั้น ทำให้ข้าพเจ้า ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนลงไปได้เยอะมาก ความทุกข์ต่างต่างที่เกิดจากการใช้ชีวิตในปัจจุบันก็ลดลงไปด้วย แล้วยังดำเนินชีวิตอย่างมีสติ รู้หน้าที่ และเป้าหมายที่แท้จริง ซึ่งนั่นก็คือ การได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งในทุกลมหายใจเข้าออกของชีวิต ข้าพเจ้าโชคดีมากที่ได้พบเจอกับครูบาอาจารย์ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติถูกต้อง แล้วท่านยังคอยให้คำแนะนำแก้ไขปัญหาให้ในยามที่ข้าพเจ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง หรือหลงทาง
ในการปฏิบัติธรรมนั้น ครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าได้เจอกับครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีและปฏิบัติได้ถูกต้องนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดแล้ว สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม เพราะครูบาอาจารย์ที่ดีและถูกต้องนั้น ท่านจะสอนและคอยประคับประคอง ให้เราปฏิบัติจนได้พบกับธรรมะจริงจริง ธรรมะที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้องแล้วธรรมะนั้นย่อมส่งผลเจริญให้กับผู้ที่ปฏิบัติและครอบครัวของผู้ปฏิบัติด้วย
"ชีวิตเองนะมันดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวชอบป่วยเป็นโรคอะไรแปลกแปลก"ซึ่งในปัจจุบันก็คือ ท่านพระครูภาวนานุกูล ชูชัย อริโย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนาค อำเภอบางประหัน ชีวิตของข้าพเจ้าเริ่มรู้จักและปฏิบัติธรรมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก่อนวันแต่งงานของข้าพเจ้าหนึ่งวัน ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากหลวงพ่อ ท่านพูดว่า "ผู้ชายคนนี้เป็นคนดีมาก" และอวยพรให้ชีวิตคู่ของข้าพเจ้ามีแต่สิ่งดีดีและประสบความสำเร็จระ หัง สา มิ(คำว่า ระ หัง สา มิ นี้ข้าพเจ้าเคยท่องเพื่อระงับอาการปวดกล้ามเนื้ออักเสบ ได้ผลดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจเลยทีเดียว)nullในตอนแรก สติมักจะหลุดบ่อย เพราะข้าพเจ้านั้นเป็นคนชอบคิดฟุ้งซ่าน แต่พอเจริญสติอย่างต่อเนื่องไปได้สักระยะ จิตเริ่มจะจำได้เอง และทำไปเองโดยอัตโนมัติ ทำให้อาการฟุ้งซ่านของข้าพเจ้านั้นค่อยค่อยจางหายไป จนเหลือน้อยมาก เพราะ สติส่วนใหญ่จะอยู่ แต่กับอิริยาบถในอารมณ์ปัจจุบันเท่านั้น เมื่อเริ่มคิดฟุ้งซ่านเมื่อไหร่ มันจะหยุด และตัดกลับมาอยู่ที่อิริยาบถในปัจจุบันนั้นทันทีตัวหนาในการปฏิบัติธรรมนั้น ครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าได้เจอกับครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีและปฏิบัติได้ถูกต้องนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดแล้ว สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม เพราะครูบาอาจารย์ที่ดีและถูกต้องนั้น ท่านจะสอนและคอยประคับประคอง ให้เราปฏิบัติจนได้พบกับธรรมะจริงจริง ธรรมะที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้องแล้วธรรมะนั้นย่อมส่งผลเจริญให้กับผู้ที่ปฏิบัติและครอบครัวของผู้ปฏิบัติด้วย