![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
ร้านรวงสองฝั่งถนนที่ทอดยาวมาจากสถานีรถไฟ แทบทุกวัน,จะมีลูกค้ามาจอดรถซื้อของเต็มหน้าร้าน แต่ทว่าวันนี้กลับเงียบหายเหมือนตลาดร้าง
โดยเฉพาะร้านทำป้ายที่รกรื้อเหมือนรังหนูของชายคิ้วต่ำตรงมุมถนนสามแยกนาสาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะปรกติลูกค้าก็มีน้อยอยู่แล้ว พอโดนพิษฝนถล่มเข้าอย่างนี้สองผัวเมียเจ้าของร้านก็แทบจะต้องแบกจอบไปขุดดินกินไส้เดือนแทนข้าวกันเลยทีเดียว
"เดือนนี้เธอจ่ายค่าไฟหรือยัง?"
เสียงร้องถามมาจากครัวหลังร้านพร้อมกลิ่นผัดกับข้าวหอมฟุ้ง
"จะเอาที่ไหนไปจ่าย"
ชายคิ้วต่ำนั่งกางหนังสือพิมพ์อ่านคอลัมน์เก่า ๆ อยู่ที่โต๊ะบัญชีหน้าร้าน ร้องตอบเมียเสียงดัง แม้เขาจะไม่เห็นหน้าหล่อน... แต่เขาก็รู้--เมื่อหล่อนได้ยินเขาตอบก็คงจะยิ้ม หรือไม่ก็หัวเราะคิก ๆ อยู่คนเดียว เพราะเดือนที่แล้วก็เป็นแบบนี้... เขาขาดรายได้จนไม่อาจชำระค่าไฟตามกำหนด พนักงานตัดไฟจึงถอดมิเตอร์ไปเก็บไว้ที่สำนักงานไฟฟ้าเสียหลายวัน
"ขนาดเดือนที่แล้วยังพอมีงานอยู่บ้าง ก็ยังไม่แคล้ว..." เมียเขาว่า "เดือนนี้ผ่านมาเกือบสิบวัน งานใหญ่ก็ยังไม่เข้ามาสักชิ้น มันจะรอดไปได้เร้อ? ฮ่า ๆ "
ชายคิ้วต่ำได้ยินเสียงเมียหัวเราะ เขาก็พลอยหัวเราะไปด้วย!
ทุกวันนี้ภายในร้านทำป้ายอันซอมซ่อของเขาก็เหลือเพื่อนร่วมทุกข์สุขแค่หล่อนคนเดียว แม้จะอัตคัดขัดสนอย่างไรหล่อนก็ยังยืนหยัดอยู่ไม่หน่าย นอกจากคอยช่วยเหลือกิจการงานอย่างแข็งขัน ก็ยังทำหน้าที่แม่บ้านอย่างไม่บกพร่อง หล่อนช่วยเขาซักผ้าหุงข้าวและทำกับข้าวให้เขากินไม่เคยปริบ่น แม้วันไหนตู้กับข้าวภายในครัวจะว่างโหวงเหวง น้ำปลาไม่มี น้ำมันพืชไม่มี พริกแห้ง หอม กระเทียมสักหยิบมือก็ล้วนไม่มีอย่างน่าใจหาย.. หล่อนก็อุตส่าห์ขอดโน่นขอดนี่เอามาพลิกแพลงจนกลายเป็นกับข้าวกินกันตายกันได้เสมอ โดยเฉพาะไข่เจียวน้ำประปา ของหล่อน ชายคิ้วต่ำคิดว่า น้อยคนนักที่จะมีวาสนาลิ้มลองรสชาติของมัน...
สองผัวเมียตะโกนหยอกล้อเรื่องบิลค่าไฟผ่านไปสักพัก อาหารมื้อแรกที่มักกำหนดฤกษ์ยามในเวลาเที่ยงวันก็เสร็จเรียบร้อย ฝ่ายเมียจึงเรียกผัวที่นั่งถ่างตาดักไซแห้งอยู่หน้าร้านให้เข้าไปกินข้าวด้วยกัน
หลังตักข้าวคำแรก... ชายคิ้วต่ำถามเมียว่า "สว่านกระแทกของเราตัวนั้น เที่ยวที่แล้วโรงจำนำให้ราคาเท่าไหร่"
"คิดจะจำนำเครื่องมือหากินอีกละสิ?" เมียของเขาย้อนขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
"ถ้าเอาเธอไปแทนได้ก็ว่าไปอย่าง" ชายคิ้วต่ำพูดยิ้ม ๆ "แต่นี่-แก่ก็แก่-แถมฟันน้ำนมก็หลุดไปตั้งหลายซี่ ขืนพาเข้าโรงจำนำเขาก็ถีบออกมานะสิ"
"ฮึ ดูถูก!" เมียเขาค้อน "ถ้าเมื่อก่อนรู้ว่าต้องอด ๆ อยาก ๆ อย่างนี้ ฉันจะไม่หอบผ้าหนีตามให้โง่หร็อก"
"ฮา ฮา"
ฟังเมียพูด ชายคิ้วต่ำหัวเราะเสียงลั่น นึกถึงสมัยหนุ่ม ๆ ตอนที่เขาและเพื่อน ๆ ไปห้อมล้อมเวทีประกวดนางสงกรานต์ และเรี่ยไรเงินกว้านซื้อพวงมาลัยข้างเวทีคล้องคอให้แฟนสาวจนเกลี้ยงกระเป๋ากันทุกคน แล้วในที่สุดแฟนสาวของเขาก็คว้าถ้วยรางวัลขวัญใจมหาชนมาครอง เขาก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที
อยู่กินกันมาตั้งสามสิบกว่าปี มันน่าจะมีอะไรดี ๆ สำหรับเราสักหน่อย!
ชายคิ้วต่ำครุ่นคิดถึงความหลังแล้วถอนหายใจออกมาเหนื่อยหน่าย.. .
จานข้าววางอยู่ตรงหน้า หัวปลาทูทอดกรอบกับน้ำพริกแมงดาในสำรับกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ไม่ต่างจากผักบุ้งผัดน้ำมันหอยที่เขามักแสร้งบอกกับเมียว่า "เป็นผักมีวิตามินช่วยบำรุงสายตา เราควรจะกินกันบ่อย ๆ" ก็ไม่อาจยั่วน้ำลายให้นึกอยาก...จนเป็นที่ผิดสังเกตของเมีย
"ปวดฟันอีกละซี?" เมียของเขาสงสัย "บอกให้ไปหาหมอถอนทิ้งเสียก็ไม่เชื่อ...ปัดโธ่"
"ถ้าถอนฟรี ฉันไปตั้งนานแล้ว"
เขาพูดออกไปทั้งที่ไม่รู้สึกปวดฟันเลยสักนิด
"บัตรสามสิบาทก็มี" เมียเขามองตาเขียว
"ขืนไปนั่งรอเป็นวัน ๆ ก็ไม่ต้องทำงานทำการกันพอดี"
แม้จะไม่ปวดฟัน แต่ชายคิ้วต่ำก็ว่าของเขาไปเรื่อย ทว่าคราวนี้ผู้เป็นเมียกลับเห็นด้วย
"จริงของเธอ วันนั้นฉันไปประชุม อสม. ที่หอประชุมโรงพยาบาล ฉันเห็นคนไข้มาหาหมอจนมืดฟ้ามัวดิน ทั้งห้องหมอฟัน ห้องฉุกเฉิน ห้องตรวจรักษาโรคทั่วไปที่ตึกหลังแรก มีคนป่วยยืนรอจนล้นออกนอกอาคาร ฉันว่าหมดเวลาราชการสี่โมงเย็น ก็ยังไม่รู้ว่าหมอจะตรวจรักษาพวกเขาหมดทุกคนหรือเปล่า ถ้าหากปวดฟันเหมือนอย่างเธอคงนั่งรอไม่ไหวหรอก ต้องไปคลินิก-อย่างต่ำก็สามร้อย..."
"นั่นแหละ ฉันถึงว่า อย่างไรเสียสู้หายามากิน แล้วทนนั่งดักไซแห้งอยู่อย่างนี้จะดีกว่า เผื่อลูกค้าโผล่มาสักรายเราก็จะได้งาน เพราะส่วนใหญ่ถ้าพวกเขาแวะมาไม่เจอฉันก็จะไปที่อื่นเสีย ยิ่งเดี๋ยวนี้พวกโรงพิมพ์ก็แย่งงานไปจากเราแทบหมดแล้วไม่เห็นหรือ ป้ายไวนิลของโรงพิมพ์ทั้งถูกทั้งสวย... ใครรีบก็รอรับได้เลย-รอให้เขาพิมพ์แป๊บเดียว"
"แหม!" เมียของเขาสูดปาก "พักนี้หลับนอนก็ไม่ค่อยฝัน-มันน่าเจ็บใจเสียจริง... เถอะ-เมื่อไหร่ฝันเห็นตัวแดง ๆ แล้วแม่จะซื้อให้น่าดู"
"แต่ฉันกลัวว่าผีที่มาเข้าฝันจะต้มเอานะซี" ผัวหล่อนว่า "จริง ๆ นะ ฉันไม่เคยคาดหวังกับเรื่องอย่างนั้นเลย ขอแค่มีงานชิ้นละร้อยสองร้อยเข้าร้านทุกวันฉันก็พอใจแล้ว เรื่องหวยเบอร์จะไปหวังอะไรกับมัน เสียเวลาเปล่า ๆ "
"ซื้อหวยเสียเวลาด้วยเหรอ" เมียเขาถาม "ฉันเห็นแต่เสียเงินให้เจ้ามือ"
"ก็เวลานั่งเพ้อฝันยังไงเล่า เปลืองสมองเปล่า ๆ แต่ถึงแม้เธอจะถูกหวยได้เงินมาก็จริง แต่ฉันไม่คิดจะซื้อหร๊อก-ไอ้เครื่องพิมพ์ไวนิลพวกนั้นน่ะ"
"ทำไม?"
"ราคาตั้งเป็นล้าน ๆ หนำซ้ำกระบวนการผลิตงานก็ยังจะก่อมลพิษทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกต่างหาก... ฮา ฮา"
สองผัวเมียกินข้าวพลางพูดคุยหัวเราะกันเสียงลั่น อีกสองสามวันข้างหน้าพวกพนักงานไฟฟ้าจะมาตัดไฟถอดมิเตอร์ไปเก็บไว้อีกหรือไม่ เวลานั้นเขาทั้งสองก็ลืมมันสิ้น
บนท้องฟ้าเหนือตลาดเมฆฝนยังคงตั้งเค้าอยู่หนาทึบ เบื้องล่าง,ลมเย็นจากทิศเหนือก็ยังโชยมาไม่สร่าง ชายคิ้วต่ำดึงเก้าอี้ที่สอดไว้ในช่องวางเท้าใต้โต๊ะบัญชีออกมานั่ง และเอนหลังพิงพนักในท่าสบายเพื่อให้ข้าวเรียงเม็ดสะดวก บนถนนที่มองไปจากร้านของเขารถรายังคงเบาบางนับคันได้ เขาคิดว่า ถ้าหากวันนี้ฝนกระหน่ำลงมาหนัก ๆ อีกสักวัน รถราเหล่านี้ก็คงจะหายไปหมด ไหนเลยลูกค้าที่เขาเฝ้ารอจะพลัดหลงมาสักรายสองราย
เมื่อเห็นสภาพดินฟ้าอากาศเป็นแบบนี้ ชายคิ้วต่ำก็รู้สึกท้อแท้ ความหวังที่จะได้เงินชำระค่าไฟตามกำหนดดูเหมือนจะถอยห่างออกไปทุกที การรอคอยลม ๆ แล้ง ๆ อย่างนี้ก็ไม่ต่างกับดักลอบดักไซไว้บนบก เหมือนโบราณว่า "ดักไซแห้ง" นอกจากจะไม่มีปลาตาบอดที่ไหนจะอุตริกระโจนขึ้นจากหนองน้ำมุดเข้าไปแล้ว ไม่แน่,เผลอ ๆ ก็อาจจะมีเห่านาตัวดำเมื่อมเลื้อยเข้าไปแทนก็ได้
ฝนสาดเม็ดลงมาปรอย ๆ แล้วหยุด สักครู่ก็สาดซ้ำลงมา... เป็นอย่างนี้อยู่สองสามลางแล้วทิ้งช่วง พร้อมกับเด็กหนุ่มรายหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าร้านทำป้ายของชายคิ้วต่ำ
"บายดีไหมลุง?"
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาข้างใน แล้วเอ่ยปากทักทายเจ้าของร้านอย่างสนิทสนม
"บายกับผีอะไร" ชายคิ้วต่ำหัวเราะหึ ๆ "ไม่มีงานมาเกือบอาทิตย์แล้ว"
"พักนี้ผมก็ว่างเหมือนกัน" เด็กหนุ่มว่า "ที่ร้านพี่แมวก็ไม่มีงาน..."
"เรอะ! งั้นมีปัญหาอะไรอีกล่ะวันนี้?"
ชายเจ้าของร้านทำป้ายถามเด็กหนุ่มซึ่งอดีตก็เคยเป็นลูกจ้างอยู่กับเขาที่นี่ แม้จะอยู่ได้ไม่นาน แต่ประสบการณ์บางอย่าง โดยเฉพาะงานซิลค์สกรีนเด็กหนุ่มคนนี้ก็จดจำเอาไปประกอบอาชีพได้ เพียงแต่บางครั้งเมื่อเกิดปัญหาจุกจิกแก้ไม่ตก เด็กหนุ่มก็มักจะมาสอบถามชายคิ้วต่ำอยู่เสมอ
ตอนนี้เด็กหนุ่มทำงานเป็นลูกจ้างร้านขายชุดกีฬาที่เจ้าของร้านชื่อแมว หน้าที่ของเขาก็คือถ่ายบล็อกพิมพ์และพิมพ์เสื้อกีฬาให้ลูกค้า งานถ่ายบล็อกซิลค์สกรีนเป็นงานประณีต และต้องอาศัยความชำนาญ ต้องรู้จักสังเกต มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย ทั้งปัญหาแม่แบบ ปัญหากาวอัดเสื่อมคุณภาพ ฯลฯ
เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนใจร้อน-สะเพร่า แม้เขาจะได้ความรู้และประสบการณ์ด้านนี้จากชายคิ้วต่ำไปพอสมควร แต่เขาก็มักจะประสบปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งเขาก็จะต้องมาขอคำแนะนำจากชายคิ้วต่ำในฐานะผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้นี้ให้เขาเสมอ
การมาของเขาวันนี้ ชายคิ้วต่ำคิดว่าเขาน่าจะมาด้วยปัญหาเดิม ๆ จึงได้ถามออกไปอย่างนั้น หากเด็กหนุ่มกลับบอกจุดประสงค์ของเขาว่า
"ผมรับงานมาให้ลุงชิ้นหนึ่งครับ" เขาพูดกับชายคิ้วต่ำด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวล "น้าเขยผมจะเปิดร้านขายปุ๋ยที่นี่ครับ เขาวานให้ผมช่วยจัดการเรื่องป้าย"
"น้าเขยคนไหนของเอ็งอีกล่ะ?"
"เขาเพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพฯ ลุงไม่รู้จักเขาหรอก"
"เรอะ-แล้วเขาจะทำป้ายอะไรรึ?"
"ก็ป้ายสามเหลี่ยมวางหน้าร้านนั่นแหละครับ ผมคิดว่าจำเป็นต้องมีก่อน ส่วนป้ายชื่อร้านค่อยทำก่อนเปิดร้านสักวันสองวันก็ได้..." เด็กหนุ่มตอบแล้วทำท่าครุ่นคิด "เออ-จริงซิ-ว่าแต่ป้ายสามเหลี่ยมจะเอาแบบไหนดีล่ะลุง"
"อื่อ-ก็ใช้ไม้กระดานอัดแปะโครงไม้ระแนงสิ-ไม่กี่บาท- -แล้วก็เสร็จเร็วด้วย"
ป้ายที่ชายคิ้วต่ำพูดถึงเป็นป้ายโฆษณาสินค้า ที่ร้านค้าต่าง ๆ มักจะนำไปตั้งโซว์ไว้หน้าร้าน เพื่อให้ลูกค้าที่ผ่านไปมาได้รู้ว่าภายในร้านมีสินค้าอะไรบ้าง ส่วนสนนราคาของป้ายก็ขึ้นอยู่กับขนาดและวัสดุที่ใช้ ที่ราคาสูงที่สุดจะเป็นป้ายอะครีลิค หรือแผ่น PVC รองลงมาก็ประเภทโลหะแผ่นเรียบและป้ายไวนิล ต่ำสุดก็คือป้ายไม้อัดตอกยึดด้วยไม้ระแนงตามที่ชายคิ้วต่ำเสนอไป
"ถ้างั้นก็ใช้ไม้อัดทั้งแผ่นเลยนะลุง ผ่าประกบสองด้าน-ร้อยยี่คูณร้อยยี่ไปเลย.."
เด็กหนุ่มพูดอย่างมีประสบการณ์ เพราะอย่างน้อยเขาก็เคยเป็นลูกจ้างของชายดิ้วต่ำมาก่อน... ร้อยยี่คูณร้อยยี่ หมายถึง กว้าง-ยาวด้านละ 120 ซม.
"แต่ว่า- -เดี๋ยวนี้ตั้งพันห้าแล้วนา- - ใหญ่ขนาดนั้น"
ชายคิ้วต่ำบอกราคาเพื่อให้เด็กหนุ่มชั่งใจ
"ไม่มีปัญหาหรอกลุง" เด็กหนุ่มยืนยัน "อย่าว่าแต่พันสอง... ต่อให้ห้าพันขนหน้าแข้งของเขาก็ไม่ร่วงหรอก น้าเขยของผมคนนี้ตังค์ให้หาบ"
"เรอะ! ฮา ฮา-งั้นเอาอย่างนั้นก็ได้ แต่ขอเวลาลุงสักวันสองวันนะ หมู่นี้ฝนตกถี่-งานที่ใช้สีน้ำก็ต้องช้าหน่อย"
"ไม่เป็นไรครับ" เด็กหนุ่มพูด "ผมกลับก่อนล่ะ อีกสองวันผมจะมารับงานและจ่ายตังค์ให้ลุงนะครับ"
"เออ-ไปเหอะ ขอบใจมาก-ขับรถดี ๆ ล่ะ..."
เมื่อเด็กหนุ่มขับมอเตอร์ไซค์จากไปแล้ว ชายคิ้วต่ำก็ถอนหายใจโล่งอก
สวรรค์ทรงโปรด คราวนี้ก็เห็นจะหมดห่วงเสียที ราคาป้ายตั้งพันห้า เมื่อหักต้นทุนและนำไปจ่ายค่าไฟเสร็จแล้ว อย่างน้อย, ร้อยสองร้อยก็คงเหลือให้เมียเก็บไว้ทำทุนต่อไป
ตังค์ให้หาบ!
ชายคิ้วต่ำนึกยิ้ม ๆ เพราะมันหมายถึงความร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติเหลือกินเหลือใช้ ต่อให้ใส่สาแหรกหาบไปผลาญก็ผลาญไม่หมด ทว่าค่ำวันนี้, เขากับเมียกลับต้องจุดเทียนไขเล่มเท่านิ้วก้อยปักที่โต๊ะกินข้าวราวกับได้ฉลองความรักกันอีกครั้งหนึ่งแล้ว... ตังค์ให้หาบ ตามคำคุยของเด็กหนุ่มไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้!
วันนั้น,หลังจากเด็กหนุ่มกลับไปแล้ว ชายคิ้วต่ำกับเมียของเขาก็เริ่มงานทันที... แม้ฝนจะตกพรำตลอดทั้งวัน ทำให้อากาศเย็นชื้นจนสีทาป้ายแห้งช้าไปสักหน่อย แต่ทว่าเพียงแค่สองวันเศษ ๆ ชายคิ้วต่ำกับเมียของเขาก็ช่วยกันทำป้ายที่เด็กหนุ่มสั่งไว้จนเสร็จ โดยมิได้เฉลียวใจสักนิดว่า เขาทั้งสองจะต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง... โชคชะตาช่างชอบเล่นตลกกับพวกเขาเสียจริง เพราะแทนที่จะได้เงินค่าป้ายและค่าแรงที่อุตส่าห์ลงทุนนำสว่านกระแทกตัวนั้นเข้าโรงจำนำ พวกเขากลับถูกเบี้ยว เงินทุนที่ได้มาก็หมดไปกับการหาซื้อวัสดุ, ทั้งสีและไม้กระดานเอามาทำป้าย... และเมื่อทำเสร็จแล้ว เขาสองคนก็ตั้งตารอ... และรอกระทั่งวันสุดท้ายที่ขอผัดผ่อนค่าไฟรุดมาถึง ชายคิ้วต่ำจึงตัดสินใจไปที่ร้านขายชุดกีฬาที่เด็กหนุ่มทำงานอยู ่ ทว่าเด็กหนุ่มไม่มาทำงานที่นั่นกว่าสองอาทิตย์แล้ว
กลับถึงร้าน, ชายคิ้วก็ต่ำโทรศัพท์ไปหาเจ้าของป้ายตัวจริงตามหมายเลขที่ระบุให้เขาเขียนลงในป้ายแผ่นนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะถ้าจะคิดให้ดีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าของป้ายโดยตรง... และที่สำคัญเขาเองก็ไม่เคยกระทำเช่นนี้มาก่อน แต่ทว่าตอนนี้เขากำลังจะถูกตัดไฟ เขาจึงต้องฝืนใจ... จนในที่สุดชายคิ้วต่ำก็ได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจว่า
"ผมก็กำลังหาตัวมันอยู่เหมือนกันครับ" เสียงตอบเคือง ๆ มาตามสาย "ทั้งค่าป้ายและค่าตกแต่งภายในร่วมแสนบาทที่ผมมอบให้มันช่วยเป็นธุระจัดการ ก่อนที่ผมจะขึ้นไปติดต่อสั่งของที่กรุงเทพฯเมื่อสามสี่วันก่อนถูกมันเชิดเอาไปเกลี้ยง - - เอ่อ- - ผมว่า-งานนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว เรื่องป้ายกับเรื่องเปิดร้านเห็นทีจะต้องชะลอไว้ก่อน"
***********************
เมื่อวันที่ : 01 ก.พ. 2554, 16.25 น.
เรื่องแบบนี้ผมซึมซาบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นอกจากจะบันทึกไว้ในไดอารี่ก็จำไว้ในสมองมากมาย
แต่เชื่อไหม! กว่าจะปั้นพวกมันให้เป็นรูปร่างพอจับต้องได้สักชิ้นสองชิ้น บางครั้งก็กินเวลาเป็นปี ๆ โดยเฉพาะปีนี้ ผมปั้นออกมาได้แค่ 2 ชิ้นเท่านั้น
ชิ้นแรกได้ตีพิมพ์ไปแล้วที่เนชั่นรายสัปดาห์ และชิ้นนี้กำลังใคร่ครวญว่าจะร่อนไปไหนดี
ส่วนชิ้นที่ตีพิมพ์ในเนชั่นฯสำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่าน กรุณารออีกสักนิด ผมจะนำมาโพสต์ให้อ่านกัน และขอสาบานว่าไม่ใช่จะนำมาคุยโม้ แต่จะนำโพสต์เป็นกรณีศึกษา เปรียบเทียบความก้าวหน้าเรื่องงานเขียนของผม
และผมก็อยากซาวด์เสียงด้วยครับ!
"ซาวด์เสียง"เขียนแบบหรือเปล่าไม่แน่ใจ