![]() |
![]() |
ทิดอินทร์![]() |
...หากมีใครสักคนถามเธอว่า
"ใครคือหัวขโมย ที่เก่งที่สุดในโลก"
เธออาจจะตอบว่าไม่รู้
แต่หากถ้าเธอหันกลับมาถามฉัน ด้วยคำถามเดียวกัน
ฉันก็จะตอบเธอว่า
"ฉันเองนี่ไง"...
หากมีใครสักคนถามเธอว่า"ใครคือหัวขโมย ที่เก่งที่สุดในโลก"
เธออาจจะตอบว่าไม่รู้
แต่หากถ้าเธอหันกลับมาถามฉัน ด้วยคำถามเดียวกัน
ฉันก็จะตอบเธอว่า
"ฉันเองนี่ไง"...
"ใครคือหัวขโมย ที่เก่งที่สุดในโลก"
เธออาจจะตอบว่าไม่รู้
แต่หากถ้าเธอหันกลับมาถามฉัน ด้วยคำถามเดียวกัน
ฉันก็จะตอบเธอว่า
"ฉันเองนี่ไง"
เพราะว่าแทบทุกทุกวัน ที่ฉันเฝ้ามองเธอ
ฉันก็จะเก็บเอารอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอกลับไปด้วย
ทุกวัน ทุกวัน
มันทำให้ฉันฝันดี และมีความหวัง
ฉันเองก็จำไม่ได้ว่า ฉันริ ที่จะเริ่มเป็นหัวขโมยตั้งแต่เมือไหร่
อาจจะเป็นตั้งแต่วันแรก ที่ฉันได้พบกับเธอ
"วันรับน้องคณะ"
วันที่เธอเดินเข้ามาเป็นน้องใหม่ และเป็นวันที่ฉันเฝ้ารอรับอยู่
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันจึงได้เฝ้ามองแต่เธอ
แม้ว่าเธอจะไม่เคยรู้ตัวเลยก็ตาม
ฉันเคยมีความพยายามหลายครั้ง ที่จะรวบรวมความกล้า
อยากจะเข้าไปบอกความรู้สึกเหล่านี้กับเธอ
แต่สุดท้าย ฉันก็ทำได้เพียงแค่ มาหยุดยืน
และเฝ้ามองเธออยู่เช่นเคย
ใช่ว่าฉันขี้ขลาดหรอกนะ
แต่นั่นคงเป็นเพราะว่า ฉันไม่กล้าสูญเสียสิ่งดีดี
หากว่าเธอไม่ยินดีต่อความรู้สึก
และไม่ยินยอมให้ฉัน "รู้สึกเช่นนั้นต่อไป"
สุดท้าย ฉันจึงเลือก
ที่จะรักษา"ความรัก"ในรูปแบบที่เป็น"ความลับ"ของฉันต่อไป
และฉันยังคงตามเก็บรอยยิ้มของเธอไว้... ตลอดมา
ฉันปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้น ล่วงเลยไปกับกาลเวลา
เนิ่นนานเท่าไหร่นะ.....อาจจะกว่าสองปี
จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ฉันเห็นเธอเดินเข้ามา
นั่งลงที่ม้าหินอ่อน ข้างข้าง"สนามฟุตบอลจำเป็น"ของฉันและเพื่อน เพื่อน
ตอนนั้นฉันหัวใจฉันเต้นโครมคราม เพราะไม่รู้ว่า
จะมีโอกาสได้พบเธอในยามเย็นๆเช่นนี้
สายลมอ่อนๆของอากาศยามต้นฤดูหนาวที่พัดหวนมา
ลูบไล้เรือนผิวและเส้นผมที่ดำขลับของเธอ จนปลิวลู่ไปตามกระแส
เธอคงจะรู้สึกหนาว จึงกระชับเสื้อเข้าหากันแล้วนั่งก้มหน้า
สองมือยังคงเกาะกุมอะไรบางอย่าง เสียจนแนบแน่น
ฉันหันกลับมาเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆต่อ
เพราะเกรงว่า หากเธอหันกลับมามอง แล้วเห็นฉันจ้องอยู่
เธอก็จะจับความรู้สึกฉันได้
แต่ฉันก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะคอยแอบมองเธออยู่เสมอ
จนกระทั่งพวกเราเลิกเล่นกัน
เพื่อนๆของฉันต่างแยกย้ายกันกลับไปหมดแล้ว
แต่ฉันยังไม่ไปไหน เพราะเห็นเธอยังนั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
ฉันเองก็เกรงว่า ลมเย็นๆจะทำให้เธอไม่สบาย
ฉันจึงเดินเข้าไปหา เพื่อจะถามเธอว่า
"มานั่งรอใคร"
แต่พอฉันเดินไปถึง เธอก็กลับลุกขึ้นยืน แล้วยืนสิ่งที่อยู่ในมือ มาให้กับฉัน
แต่ก่อนที่ฉันจะได้ถามอะไร เธอก็หันหลังเดินกลับไปเสียแล้ว
ตอนนั้นฉันทั้งงง และตกใจมาก คาดเดาไม่ออก ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉันจึงหยิบสิ่งที่เธอมอบไว้ ขึ้นมาดู
ฉันจึงได้เห็น
กระดาษจดหมาย ที่ห่อผ้าปักลายเป็นรูปกุหลาบสีแดง ดอกเล็กๆหนึ่งดอก
ฉันจึงเปิดจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาอ่าน จึงได้เข้าใจว่า
"เธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันเช่นกัน"
ตอนนั้น ฉันดีใจมาก จนต้องวิ่งไปรอบ รอบซุ้มเลย
ฉันอยากขอบคุณเธอมาก มาก ที่ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ให้กับฉัน
"นั่นคือความรักและความรู้สึกดีๆของเธอ"
และฉันเองก็อยากจะขอโทษเธอ
ที่ฉันไม่ยอมเป็นฝ่ายที่เดินเข้าไปบอกเธอเอง
ที่ท้ายจดหมาย เธอขอให้เก็บความรู้สึกของเธอไว้เป็นความลับ
เพราะเธอเขินอาย
เกินกว่าที่จะให้ ใคร ใครได้รับรู้
และแม้ว่าเธอจะไม่ขอเช่นนั้น ฉันก็จะทำเช่นกัน
เพราะฉันอยากจะเก็บเรื่องราวของความรัก
ให้มันเป็นเพียงเรื่องระหว่างเรา
"กริ๊ง.....กริ๊ง" เสียงโทรศัพท์ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์
ภาพความทรงจำ ยังคงรายละเอียดชัดเจน อยู่ในห้วงแห่งความคิดถึง
วันคืนที่ผ่านมากว่าสิบห้าปี ได้พัดพาให้เรา
มีวิถีชีวิตที่ต่างกันไปไกล ตามแบบที่ตนเองต้องการ
แม้ว่าผมอยากจะกอดและเก็บเธอไว้ ใกล้ ใกล้ก็ตาม
แต่สุดท้าย... ผมก็รู้ตัวเองดีว่า
ผมรักเธอเกินกว่า ที่จะกักขังเธอไว้ใต้ความรู้สึกของตัวเอง
ผมจึงเลือกที่จะปล่อยให้เธอ ได้โบยบินไปตามแต่ที่ใจเธอต้องการ
เพราะว่าความสุขของเธอนั้น
คือสิ่ง สิ่งเดียวที่ผมอยากจะได้เห็น และอยากให้เธอได้รับ
ผมเก็บผ้าปักลายกุหลายสีแดงผืนนั้น ม้วนลงในกล่องแห่ง"ความลับ"
และเป็นที่ ที่เรา เคยมีกันและกันตลอดมา และจะคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป
เมื่อวันที่ : 24 ต.ค. 2553, 08.10 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...