นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๐๗ สิงหาคม ๒๕๕๓
ดอกดิน 2
นายอิติฯ
...​​ความมืดแผ่เข้าปกคลุมหมู่บ้านโนนสะแกอีกครั้งเหมือนทุกๆ​​วัน จากวัน​​เป็นเดือน จากเดือน​​เป็นปี ​​และก็อีกหลายๆ​​ปี ​​แม้วิถีชีวิต​​จะค่อยๆ​​ถูกปรับเปลี่ยน เริ่มมีแ...
​ความมืดแผ่เข้าปกคลุมหมู่บ้านโนนสะแกอีกครั้งเหมือนทุกๆ​วัน จากวัน​เป็นเดือน จากเดือน​เป็นปี ​และก็อีกหลายๆ​ปี

​แม้วิถีชีวิต​จะค่อยๆ​ถูกปรับเปลี่ยน เริ่มมีแสงไฟฟ้าสาดส่องมากขึ้น​ ​แต่ค่ำคืนของ​ที่นี่ก็ยังคง​เป็นคืนค่ำอันเงียบสงบเหมือนเดิม อาจมีเสียงทีวี เสียงวิทยุดังแว่วมาจากหลายๆ​หลังคาเรือน ​ซึ่งก็ดูตื่นตัวอยู่​เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อน​จะปล่อยให้ราตรีอันเงียบสงัดเข้ามาขับกล่อม ​พร้อมการพักผ่อน​ที่ดำเนิน​ไปอย่างเต็มอิ่ม รอการตื่นมารับกิจกรรมเก่าๆ​ของเช้า​วันใหม่อีกที

ู^
^
^
^
^

ผู้คนเริ่มทยอยลงจากขบวนรถไฟ ทันที​ที่แน่ใจแล้ว​ว่ามันหยุด​และจอดแช่อย่างแน่นิ่ง เสียงจอแจจ้อกแจ้กประหนึ่ง​ว่า​จะ​ได้ยิน​แต่เสียงคนแย่งกันพูด ​ทั้งบนตู้​โดยสาร​และ​ที่ยืนอออยู่​ด้านล่าง ผู้คนเหล่านี้เหมือนไม่เคยพบหน้าค่าตากันมา​เป็นปีๆ​

ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดใบหน้าเข้มเกลี้ยงเกลา ​เขาลุกขึ้น​สะพายกระเป๋า ​เมื่อผู้คน​ที่ยืนอออยู่​หน้าประตูทางลงเริ่มเบาบาง อากาศหนาวช่วงต้นเดือนธันวาเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ​ ​เขากระชับเสื้อคลุม ​เพื่อเพิ่ม​ความอบอุ่นให้ร่างกาย ด้วย​ความสูงของ​เขา ทำให้​ต้องเดินก้มศีรษะ​เป็นพักๆ​

​เขาก้มมองลอดหน้าต่างออก​ไป​เพื่อสำรวจ​ความเปลี่ยนแปลงรอบๆ​สถานีรถไฟ มันไม่มีอะไร​เปลี่ยน​ไปมากนัก​กับตัวชานชาลาของสถานี ยังคงมีเค้าโครง​ที่​เขาจำ​ได้ดีในวัยเด็ก ก่อนขึ้น​ขบวนรถล่องลงใต้​ไป​กับลุงของ​เขา ​ซึ่งมี​พระคุณอย่างล้นเหลือ​ที่มอบโอกาสให้​เขา​ได้รับการศึกษาจนจบปริญญา

เกือบๆ​สิบปี​ที่​เขาไม่​ได้ย้อนกลับมา​ที่บ้านเกิด ​เขายังจำคำพูดแกมหยอกล้อของพ่อ​กับแม่​ได้ดี คราว​ที่นั่งรถอีแต๋นออกจากหมู่บ้านโนนสะแก "​เอาปริญญากลับมาเด้อบักทอง ให่​เป็นคนแรกของหมู่บ้าน​ไปเลย​ ​ถ้าบ่จบปริญญา ก็บ่​ต้องกลับมา" ไม่นึกเลย​ว่า​เขา​จะอดทนอดกลั้นคิดถึงท่าน​ทั้งสอง​ได้นานถึงขนาดนี้ ​แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ​ความคิดถึง ​ที่​เขาทนรอมานานแสนนาน ​จะ​ต้อง​ได้รับการสวมกอดอย่างอิ่มเอม

ทันที​ที่พื้นรองเท้าของ​เขาแตะชานชาลา สายตาของ​เขาก็พลันเหลือบ​ไปสะดุดเข้า​กับหญิงสาวสองคน​ที่เพิ่งก้าวลงจากประตูถัด​ไปทางซ้ายมือ ​เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ ​แต่​ที่​เขามองนั่นก็​เป็น​เพราะ...​​ความไม่แน่ใจ...​เผื่อว่าพวกเธออาจ​เป็นคน​ที่​เขาเคยรู้จักก็​เป็น​ได้

​เขาแน่ใจว่า เธอ​ทั้งสอง​ต้องเดินมาทางนี้อย่างแน่นอน ​เพราะทางออกจากสถานีรถไฟมีทางเดียว ​ที่อยู่​ถัด​ไปทางขวามือของ​เขา ชายหนุ่มตัดสินใจ​ที่​จะหยุดรอ​ที่​จะมองคน​ทั้งสองใกล้ๆ​ ด้วยการเสทำนั่งผูกรองเท้าให้กระชับขึ้น​

จน​เมื่อ​ได้ระยะ คิ้วเข้มถูกขมวดจนเกือบชิดกัน ​เขาคลับคล้ายคลับคลา ว่าเหมือนเคยคุ้นหน้าสองสาวนี้มานาน คนหนึ่ง​น่ารักผิวขาวดูราบเรียบ ​เขามั่นใจ​ได้เลย​ว่า หากเรียกชื่อวังเวียงออก​ไป เธอ​ต้องขานรับ ​แม้เค้าหน้าของเธอ​จะเปลี่ยน​ไปบ้าง ​แต่​เขาก็พอ​จะจำเธอ​ได้ว่า​คือวังเวียงอย่างแน่นอน ​แต่อีกคน​ที่ดูสวยคมสะดุดตา ​เขาชักไม่แน่ใจว่า​เป็นสารภี เด็กผู้หญิงตัวดำปากจัดคู่กัดคู่กวนของ​เขาในวัยซุกซน หรืออีแหล่​ที่​เขาเคยล้อเล่นอยู่​​เป็นประจำสมัยเรียนชั้นประถม

​เขาเริ่มลังเลใน​ความคิด​เมื่อ​ได้เพ่งมองจนเกือบหนำใจ เธอคนนี้ยิ่งมองยิ่งสวย ผิวสวย ตาสวย ไม่น่า​จะใช่เด็กหญิงตัวดำหัวฟู​ที่ชื่ออีแหล่​ไป​ได้

​แต่ก่อน​ที่ชายหนุ่ม​จะตัดสินใจสุ่มเสี่ยงเรียกถามชื่อวังเวียงออก​ไป สาวสวยตาคมก็คว้าดึงมือเธอรีบเดินจ้ำอ้าวตรงดิ่ง​ไปยังทางออกทันที ​เขาก้าวตาม​โดยไม่​ต้องคิดไตร่ตรองให้เสียเวลา

​เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดหากพวกเธอจับ​ได้ ​เขาเดินตามเธอ​ทั้งสองด้วยการเว้นระยะอยู่​ห่างๆ​ ​เขาพบว่ามีร้านรวงบ้านช่องผุดขึ้น​จนผิดตา ดู​จะมีตึกสูงสามสี่ชั้นปลูกทอดยาวออก​ไป​ทั้งสองข้างถนน มันทำให้​เขาตื่นตัวอยากเข้าถึงบ้านโนนสะแกให้เร็วขึ้น​ ​โดย​ที่อีกใจ​เขาก็ยังอยากเดินตามเธอ​ทั้งสอง​ไปเรื่อยๆ​ให้ถึง​ที่สุด

ดูเหมือนว่า​ความคิดของชายหนุ่ม​จะ​ได้รับการตอบสนอง เธอ​ทั้งสองยังคงเดินตามเส้นทาง​ที่​เขาอยากให้เดิน นั่น​คือท่ารถ​ที่​เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก สิ่ง​ที่​เขาลุ้น​และค้างคาใจมา​ได้สักพักใหญ่ๆ​​กำลัง​จะมีคำตอบ​และเพิ่ม​ความมั่นใจให้​กับ​เขามากขึ้น​ พวกเธอ​กำลังตรงดิ่ง​ไปยังท่ารถ​ที่แลเห็นไกลๆ​อยู่​ข้างหน้า

เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้น​อีกครั้ง ​เมื่อผู้คนมารวมตัวกัน​ที่ท่ารถ ​เขาไม่​ได้ใส่ใจ​กับเสียงเหล่านั้น​ ​แต่กลับประหลาดใจเล็กน้อย พื้น​ที่โล่งๆ​ก่อนหน้านั้น​​เมื่อหลายปี ​เป็นการบดเรียบด้วยลูกรังสีแดง​และ​ใช้หินโรยทับอย่างหยาบๆ​ บัดนี้มันกว้างขวางราบเรียบสะอาดตาด้วยการเทคอนกรีต มีการจัดระเบียบท่ารถใหม่ ป้ายมีให้เห็นเด่นชัด ​เขาละสายตาจากเธอ​ทั้งสอง จนปล่อยให้พวกเธอเดินลับหาย​ไปยังอีกฟาก ​ที่ถูกบดบังด้วยรถบัสคันใหญ่หลายคัน

​เขาปรี่​ไปยัง​ที่จอดรถประจำของหมู่บ้านโนนสะแก​ที่ยังจำ​ได้ว่าน่า​จะใช่ตรงนี้ ​แต่​กับไม่พบสิ่งใด​ที่บ่งชี้​ได้เลย​ว่า ​เขา​จะ​ต้องนั่งรอรถนะจุดนี้ ​แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก​กับการเปลี่ยนแปลงของ​ที่จอดรถ
"เดินหาสักพักก็คงเจอ"
​เขาคิดพลางเดินสองมือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุม ​แม้เวลาล่วงเข้าช่วงบ่ายแล้ว​ ​แต่สายลมหนาวก็พัดพลิ้วอยู่​ตลอดเวลา เสียงเรียกผู้​โดยสารดังแว่วมาอีกฟาก มีรถอีแต๋น​และรถสองแถวคันเล็กคันใหญ่จอดเรียงรายอยู่​

​เขาแลเห็นรถ​และป้ายแล้ว​ ถึง​จะเขียนด้วยลายมืออย่างหวัดๆ​ ​แต่มันก็ตัวโตชัดเจนอ่านออก​ได้​โดยง่าย ไม่มีรถอีแต๋น​ที่​เขาเคยนั่ง มีรถสองแถวสีฟ้าคันใหญ่มาจอดแทน เสียงคนขับตะโกนเรียกผู้​โดยสาร​เป็นพักๆ​ ​แม้​จะยังไม่เข้าใกล้ ​เขาก็จำ​ได้แม่นว่า ​เป็นเจ๊กจอมเจ้าของร้านชำประจำหมู่บ้านโนนสะแกนั่นเอง

มีผู้​โดยสารนั่งอยู่​บนรถบ้างแล้ว​หกเจ็ดคน ​แต่แล้ว​จู่ๆ​ใจของ​เขาก็เต้นตุบตับขึ้น​มา​เอาดื้อ ​เขาสะดุดตาเข้า​กับเสื้อผ้าของผู้สวมใส่​ที่นั่งหันหลังให้ มันชี้ชัด​ได้เลย​ว่า​เป็นเธอสองคนนั่นเอง ​เขาลังเลอยู่​ข้างๆ​รถ ​เพราะ​ความประหม่า​และตื่นเต้น​กับสิ่ง​ที่​เขาลุ้นมา ตั้งแต่ประจันหน้าเธอสองคน​ที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ไม่ผิดแน่ว่าหนึ่ง​ในนั้น​​คือวังเวียง อีกคนก็เริ่ม​จะมีเค้า ​แต่​เขากลับไม่แน่ใจ

"เอ้าขึ้น​เลย​ไอ้หนุ่ม เดี๋ยว​จะออกแล้ว​ ลงบ้านไหนล่ะ" เสียงของเจ๊กจอม ​ที่เหลือผมสีดอกเลาอยู่​​แต่ช่วงท้ายๆ​
"บ้านโนสะแกครับ​" ​เขาตอบด้วยเสียงนอบน้อม
"อ้อ..คนบ้านเดียวกัน ขึ้น​เลย​ ขึ้น​เลย​" เจ๊กจอมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เชื้อเชิญ​เขาขึ้น​รถอย่างอย่างสงสัย ​แต่ก็ปล่อยผ่านๆ​​ไป

​เขาก้าวขึ้น​​ไปบนรถอย่างช้าๆ​ ผู้​โดยสารต่างพากันนั่งนิ่ง ​เขาเกิดตื่นเต้นมากกว่าเดิม ด้วยไม่รู้​จะเข้า​ไปทักทาย​เพื่อนเก่าอย่างไร ยังมี​ที่นั่งว่างๆ​เหลือให้เลือกนั่ง​ได้ตามสบาย​ทั้งสองฝั่ง ​แต่​เขาก็ตัดสินใจเลือก​ที่​จะหย่อนก้นลงนั่งอยู่​ท้ายสุด ฝั่งเดียวกันเธอ​ทั้งสอง ​ซึ่งถูกคั่นด้วยผู้​โดยสารต่างบ้าน ​เป็นหญิงรุ่นน้าตัวใหญ่รูปร่างท้วมอยู่​หนึ่ง​คน ด้วย​ความสูงของ​เขา หากจงใจ​จะหัน​ไปมอง ก็​จะพบ​กับร่างระหงของสาวผิวสวยอย่างเด่นชัด อีก​ทั้งกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ​ก็ถูกลมหนาวยามบ่ายพัดโชยผ่านหญิงร่างท้วมมาเตะจมูก​เป็นระยะๆ​

​เขานั่งหน้าตรง​และกอดกระเป๋า​ที่วางไว้หน้าตัก ​พร้อม​กับพริ้มตานิ่งเงียบ ​เมื่อมีผู้​โดยสารทยอยขึ้น​บนรถมาเรื่อยๆ​ สมอง​เขาเริ่มว่างเปล่าอยู่​พักหนึ่ง​ ​ความเงียบของสายลมเย็นน่าสบาย ทำให้​เขาเกิด​ความผ่อนคลายจนเคลิบเคลิ้ม

เสียงพูดกันดังขรม​ที่ท้ายรถด้านล่างทำให้​เขา​ต้องเหลือบตาลง​ไปมอง ​เขาเห็นหญิงรุ่นป้าสามคน​ที่พอรู้จัก ​แม้​จะจดจำ​ได้ไม่ละเอียด​แต่ก็พอรู้ว่า​เป็นคนบ้านโนนสะแก ​ทั้งสามหิ้วของพะรุงพะรังคุยจ้ออย่างออกรส ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันอันร่วงหลอ​ที่ผ่านการกินหมากมาอย่างโชก จับใจ​ความ​ส่วนใหญ่​ได้ว่า​เป็นเรื่อง​ข้าว​ที่​กำลัง​จะเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ​เขายิ้ม​ที่มุมปาก​ที่​ได้เห็นการพูดจาประสาลูกทุ่งแบบเปิดอกหมดเปลือกอย่างไม่อนาทร จนไม่น่าเชื่อว่าคนเพียงแค่สามคน​จะคุยกัน​ได้เซ็งแซ่ปานนี้

เสียงสตาร์ทรถของเจ๊กจอมดังขึ้น​ นั่นล่ะป้า​ทั้งสามจึงกุลีกุจอขยับตัวก้าวขึ้น​รถ ​โดยมีป้าอีกคนแยกตัว​ไปนั่ง​กับคนขับ ชายหนุ่มส่งยิ้มลุกเอื้อมมือช่วยหยิบจับสิ่งของป้า​ทั้งสอง​และส่งนั่งฝั่งตรงข้าม​กับสองสาว​ที่ว่างอยู่​​พอดี พวกแกขอบอกขอบใจแถมให้พรลั่นรถ ​เขาก็ไม่ลืม​ที่​จะยกมือไหว้รับพร ​พร้อม​กับหันหลังเหลือบตามองสองสาวอีกครั้ง ​ซึ่งพวกเธอเองก็จ้องมอง​เขาอย่างไม่กระพริบตาเช่นกัน

​เป็นอย่าง​ที่​เขาคาดคิดไว้!!

ก่อน​ที่​เขา​จะถอยกลับมานั่ง​ที่เดิม เสียงเล็กใสของเธอ​ทั้งสองกล่าวสวัสดีป้า​ทั้งสองท่าน ​ที่​เขาเองก็รู้ว่า​เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงของพวกเธอ จากนั้น​เสียงทักคืนก็ดังลั่นรถสองแถว ทำ​เอาผู้​โดยสารต่างบ้านอีกหลายๆ​หันมองต้นเสียง​เป็นตาเดียวกัน

"อ้าว...​อีเวียง อีสา กลับมากันแล้ว​รึ คุ้มเราเตรียมงานต้อนรับพวกมึงไว้เต็ม​ที่เลย​ พ่อแม่ของพวกมึงสองคนนะบอกคนทั่วโนนสะแกแล้ว​ ว่า​จะมีการเลี้ยงต้อนรับ...​รับอะไร​วะเฮ่ย" ป้ารูปร่างผอมสะกิดถามป้าอีกคน​ที่ร่างท้วม
"รับ..ปริญ...​ญา" แกตอบตะกุกตะกัก
"เอ้อๆ​ นั่นล่ะๆ​ ครั้งแรกของหมู่บ้าน​ที่มีคนเรียนจบสูงขนาดนี้ แถมมีตั้งสองคนแน่ะโว๊ย พวกมึงนี่เก่งจริงๆ​ว่ะ เทียบพวกเจ้านาย​ที่อำเภอ​ได้เลย​นะเนี่ย"
"หึ้ย.. ​ไปพูดมึงพูดอี​กับคนจบปริญญา​ได้ยังไงวะ กูว่ามันไม่เหมาะนา"
"เออว่ะ กูก็ลืม​ไป แล้ว​​จะเรียกยังไงดี"
"ก็พูดเหมือนเดิมนั่นล่ะจ้ะ​ป้า" วังเวียงตอบเสียงใส
"จ้า เคย​เป็นไง ก็​เป็นอย่างเดิมนั่นแหละ​ หนูสองคนก็ยัง​เป็นลูกชาวนาเต็มร้อยเหมือนเดิมแหละ​จ้า" สารภีส่งยิ้มหวานให้​กับป้า​ทั้งสอง ​พร้อมปรายตายิ้ม​กับผู้​โดยสารอีกหลายๆ​คนด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนเปลี่ยน​เป็นเรียบเฉย​เมื่อผสานตาเข้า​กับ​เขาอย่างจัง

ชายหนุ่มแอบยิ้มชื่นชม ​กับ​เพื่อนของ​เขา​ทั้งสองคน​ที่คว้าฝันอันยิ่งใหญ่มาให้ตัวเอง​และผู้​เป็นพ่อแม่ ​เขายังทึ่ง​และยิ่งปลาบปลื้มเพิ่มทวีคูณ ​กับไม้เบื่อไม้เมาของ​เขาในอดีต เธอไม่เหลือภาพเก่าๆ​ในวัยเด็กให้เห็นเลย​ เธอสวย เธอสุภาพ จำนรรจาฉะฉานคล่องแคล่ว จากการนั่งฟังการพูดคุย เธอ​เป็นคน​ที่มีเหตุผลเข้าอกเข้าใจโลกเกษตรกรรม​เป็นอย่างดี ​แม้ไม่ถาม​เขาก็พอ​จะเดาออกว่า สารภีจบเกษตรเหมือน​เขาอย่างแน่นอน ​ส่วนวังเวียงแว่วว่าเธออยากสอบบรรจุครูแล้ว​มาสอน​ที่โนนสะแกตาม​ที่เธอเคยวาดหวังไว้ตอนเด็กๆ​ ครานี้คงสมใจเธอแล้ว​ล่ะ

บนรถเริ่มคึกคัก ผู้​โดยสารนั่งกันอย่างสบายไม่เบียดเสียด หลายๆ​คนเริ่มกล้า​ที่​จะหันหน้าเข้าคุยกัน ​จะดูครึกครื้น​ได้อรรถรสหน่อย​ก็สองป้า​กับสองสาว รถค่อยๆ​เคลื่อนตัวออกจากท่า จน​เมื่อเข้าถนนหลัก สองข้างถนนรายล้อมด้วยตึกแถวเตี้ยๆ​ สลับ​กับโรงสีข้าว ​ที่ผุดขึ้น​อีกสามสี่แห่ง สายลมหนาวพัดกระพือเข้าตัวรถกลบเสียงพูดคุย​ได้เล็กน้อย

รถสองแถววิ่ง​ไปตามถนนใหญ่​ได้สักพักใหญ่ๆ​ ก่อน​จะเลี้ยวซ้ายเข้า​ไปตามทางลาดยางอันคดเคี้ยว มันดูตื่นตาดีสำหรับชายหนุ่ม​ที่ไม่เคย​ได้เห็น​ความเปลี่ยนแปลงเลย​ตั้งแต่​เขาจาก​ที่นี่​ไป ต่าง​กับวังเวียง​และสารภี ถึงเธอ​ทั้งสอง​จะเข้า​ไปศึกษาต่อยังเมืองหลวง ​แต่พวกเธอก็มีโอกาส​ได้กลับมาบ้านเกิดอยู่​บ่อยครั้ง จึง​เป็นอะไร​​ที่ชินตา

รถวิ่งผ่านทุ่งข้าวรวงเหลืองย้อยระย้า เอนไหวพลิ้วตามแรงลม มองเห็นละลานตา​ทั้งสองข้างทาง

มีผู้​โดยสารต่างหมู่บ้าน​ที่นั่งอยู่​ข้างๆ​​เขา​และฝั่งตรงข้ามทยอยลงบ้างแล้ว​ ชายหนุ่มช่วยหยิบส่งของให้ลุงๆ​ป้าๆ​ ​ซึ่งเท่า​ที่​เขาสังเกตเห็น​จะ​เป็นเครื่องมือเก็บเกี่ยวเสีย​เป็น​ส่วนใหญ่ ​โดยมีสายตาอีกหลายคู่จับจ้องมอง​เขา คงด้วย​ความสงสัยว่าหนุ่มหล่อเข้มนิสัยดีคนนี้​เป็น​ใคร

​โดยเฉพาะสองสาว​ที่​กำลังซุบซิบ​และมองมาทาง​เขาอยู่​ตลอดเวลา ชายหนุ่มเริ่มเกิดอาการประหม่าอีกครั้ง​เมื่อไม่มี​ใครมานั่งกั้น​ระหว่าง​เขา​กับเธอ​ทั้งสอง ครั้นรถเริ่มออกเคลื่อนตัวอีกครั้ง​เขานั่งมองตรงทำเฉย หลังจากสงบมานานจู่ๆ​ใจมันก็เต้นถี่ขึ้น​มาอีก ทันที​ที่แวบหนึ่ง​พบว่า ป้าขาเม้า​ทั้งคู่​และเธออีกสองคน ยื่นหน้าเข้าหากันทำซุบซิบๆ​ด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง

ด้วยไม่รู้​จะทำอย่างไร ​เขาหวังตัด​ความตื่นเต้น​โดยการนั่งหันหลังเบิ่งหน้ามองทุ่งข้าวรอบๆ​ท้ายรถ ​เขาโล่งใจ​ได้แค่พักเดียว เสียงป้าขาเม้าคนผอม​ที่​เขาจำเสียง​ได้ก็ดังขึ้น​ ทำให้​เขา​ต้องหันหลังกลับในทันที
"พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มรูปหล่อคนนั้น​น่ะ มาจากไหนล่ะ ดูไม่คุ้นหน้าเลย​" คำถามของแกทำ​เอาทุกสายตาหันมารวม​ที่​เขา​เป็นจุดเดียวอีกครั้ง ​โดยเฉพาะสองสาวปริญญาหันหน้าตรงแถมเขยิบเบียดๆ​ผลักๆ​กันเข้าใกล้​เขามากขึ้น​ จนเหลือระยะห่างไม่ถึงวา
"ผมมาจากสงขลาครับ​" ​เขาตอบยิ้มๆ​อย่างเลี่ยงเสียมิ​ได้
"สงขลา...​.มันอยู่​​ส่วนไหนของประเทศวะ" ป้าแกหัน​ไปพูดเบาๆ​​กับ​เพื่อนแกอีกคน
"​เป็นจังหวัดทางภาคใต้จ้ะ​ป้า" สาวสวยคมตอบขึ้น​
"อ๋อ..​เป็นคนภาคใต้นี่เอง ถึงว่าหล่อเข้มเชียวพ่อหนุ่ม อ้าว..แล้ว​ข้ามน้ำข้ามทะเลมาอีสานนี่ทำไมล่ะ อย่าว่าป้าพูดมากเลย​นะ..แล้ว​​จะลงบ้านไหน" สม​กับ​เป็นขาเม้าบ้านทุ่ง ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนหายใจยาวลึกยืดอกตอบออก​ไป ​โดยมีสองสาวจ้องเขม็งอยู่​ใกล้ๆ​
"ผมไม่ใช่คนใต้หรอกครับ​ เลือดโนนสะแกสายพันธุ์ชาวนาเต็มร้อย ผมลูกพ่อชาติแม่ลำไยครับ​"

จบคำตอบของชายหนุ่ม เสียงใสๆ​ของสองสาวก็ดังสวนขึ้น​เกือบ​พร้อมๆ​กัน

"ทองคูณ"

​เขาพยักหน้าเปิดยิ้มกว้างให้​กับ​เพื่อนสาว​ทั้งสอง ​และก้มสวัสดีคุณป้า​ทั้งคู่อีกครั้ง รถสองแถวยังคงวิ่งลัดเลาะ​ไปตามถนนลาดยาง ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ​มาสองสามหมู่บ้าน ผู้​โดยสารทยอยลงจนเหลือ​แต่ท้ายสุดของปลายทางอยู่​ห้าคน ​ทั้งหมดคุยจ้อแข่ง​กับสายลม ถึงบัณฑิตใหม่ของหมู่บ้าน​ที่โคจรมาเจอกันถึงสามคน สลับ​กับงานเก็บเกี่ยว​ที่​จะเริ่มอีกไม่กี่วันข้างหน้า ​เมื่อพูดถึงข้าวปลา​ที่อุดมสมบูรณ์ ป้า​ทั้งสอง​จะแย้มยิ้มหัวเราะอย่างมี​ความสุข ​ทั้งๆ​​ที่ปากยังเคี้ยวหมากแก้มตุ่ย พักใหญ่ๆ​​จะเห็นถ่มถุยใส่ถุงพลาสติกเสีย​ที่หนึ่ง​ ​และคุยต่ออย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

"ไม่อยาก​จะเชื่อเลย​ว่านาย​จะ​เป็นทองคูณ ตอนอยู่​สถานีรถไฟยังสงสัยอยู่​ว่า คนบ้า​ที่ไหนมายืนจ้องหน้าเรา ​ที่แท้ก็เจ้าเตี้ยตัวป่วนตอนเด็กนี่เอง" สารภีเอ่ยขึ้น​ ภายหลัง​ที่มิตรภาพวันเก่าๆ​เริ่มหวนกลับมาอย่างรวดเร็ว ​แม้อยาก​จะพูดหยอกล้อเหมือนวัยเด็กก็ตามเธอก็​ต้องปล่อยผ่าน​ไป การศึกษา​ที่สูงขึ้น​ อายุ​ที่เพิ่มขึ้น​ อีกอย่าง​ความ​เป็นหญิงในวัยสาว ทำให้คำพูด​ต้องปรับเปลี่ยน​ไป คงพูดสุดโต่งเหมือนวัยเด็กไม่​ได้

"ทึ่งใน​ความหล่อเราน่ะสิ นี่ล่ะไอ้เตี้ยหมาตื่น ​ที่​ใครบางคนชอบสบประมาทตอนเด็ก" ทองคูณยืดตัวตรงเอียงไหล่จนเกือบชิดตัวสารภี
"แหวะ หล่อตายล่ะ" สารภีเบ้ปาก​และเบือนหน้า​ไปทางวังเวียง ​ที่นั่งพิงพนักด้วยใบหน้ายิ้มๆ​
"หือ...​ตัวเองสวยตายเลย​น๊อ ​แต่​จะว่า​ไปก็แค่ดูดีขึ้น​มานิดหน่อย​นะ ไม่น่าเชื่อว่า​จะ​เป็นเด็กตัวดำปากจัดคนนั้น​" ทองคูณค่อนขอดกลับอย่างทันควัน แล้ว​ก็ยิ้มกว้างใส่สารภี จนเหลือบ​ไปเห็นวังเวียง​ที่หันมาสบตา​กับ​เขา ​พร้อม​กับยิ้ม​และส่ายหัว​ไปมาช้าๆ​สองสามที

"ให้มัน​ได้อย่านี้สิ​เพื่อนชั๊น ไม่ว่าตอนเล็กตอนโต เอ้อ..ว่า​แต่นายหาย​ไปทำอะไร​เสียตั้งนานล่ะทองคูณ" วังเวียงถาม ​เพราะเห็นว่าทองคูณตั้งแต่จบปอหก​เขาก็เงียบหาย​ไปเลย​
"แล้ว​อีกคนล่ะ ไม่อยากรู้บ้างเหรอ" ทองคูณเอ่ยหวังกระเซ้าสารภี
"​จะบอกดีๆ​ หรือ​ต้องให้บีบคอล่ะ" เธอทำตาดุ​พร้อม​กับค้อนขวับเข้าให้
"ยังดุเหมือนเดิม ​คืองี้นะ เห็นว่า​จะมีงานฉลองต้อนรับสองสาวปริญญา งั้นรวมเรา​เป็นคน​ที่สามนะ ​เพราะเราก็​ได้มามันมาเหมือนกัน ​และเราก็อยาก​เอาใบปริญญามา​ใช้​ที่บ้านเกิดเมืองนอนของเราด้วย" ​เขายืดตัวตรงอีกครั้ง รับรอยยิ้มหวานจาก​เพื่อน​ทั้งสอง​ที่ส่งมาให้อย่างอิ่มใจ ​พร้อมเสียงหัวเราะร่วนของคน​ทั้งหมดก็ตามมา ก่อนรถสองแถว​จะค่อยเลี้ยวโค้งเข้าหมู่บ้าน​ไป

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


เช้า​วันหนึ่ง​หลังฤดูเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นลง ทองคูณควบมอเตอร์ไซด์ บิดบึ่ง​ไปยังบ้านสารภี​และวังเวียง ​เพื่อชวนเข้า​ไปเ​ที่ยวในตัวอำเภอ ​แต่วังเวียงมีนัด​กับครูใหญ่​ที่โรงเรียน

"​ไปมั๊ยสารภี" ทองคูณถาม​เมื่อเห็นว่าคู่หูของเธอติดธุระ
"​ไปเหอะแก โตๆ​กันแล้ว​นี่ ถึงเวลา​ที่เรา​ต้องแยกๆ​กันมั่งแล้ว​ล่ะ" วังเวียงรบเร้าแกมผลักใสสารภี
"อือๆ​ งั้นนายรอฉันแป๊บนึง ขอ​ไปหยิบหมวก​กับเสื้อก่อน" สารภีเดินขึ้น​ก่อน​จะกลับลงมาด้วย เสื้อคลุมสีชมพูหวานแหว๋ว ผมยาวสลวย​ที่มัดรวบถูกปล่อยผ่านหมวกแก๊ปสีแดงเพลิง เธอถูกวังเวียงกระชับกุมไหล่ให้ขึ้น​นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของทองคูณ

"เ​ที่ยวกันให้สนุกนะจ๊ะ​ อ้อ...​อย่า​ไปทะเลาะกันกลางทางเสียล่ะ" วังเวียงทิ้งท้าย ฉีกยิ้มให้คน​ทั้งสอง

ลมหนาวพัดแรงขึ้น​ ​เมื่อรถเครื่องออกสู่ถนนลาดยาง ผมยาวสลวยของสารภี ปลิวสะบัดรับลม​ไปมา ตอซังข้าว​ที่ดูเตียนโล่งแผ่กระจายมองเห็น​ได้ทั่ว​ทั้งสองข้างทาง ทองคูณ​ใช้​ความเร็วไม่มากนัก ออก​จะ​เป็นการขี่​ไปเรื่อยเอื่อยๆ​เสียมากกว่า

"หนาวล่ะซี"​เขาถาม​เมื่อเห็นสารภีห่อไหล่ห่อตัว
"อือ...​แล้ว​นายล่ะไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือ" สารภีโล้ตัวตอบด้วยน้ำเสียง​ที่อ่อนโยน
"ก็หนาวนะ ​แต่เราก็ชอบ เราชอบหน้าหนาว ​เพราะหน้าหนาว​กับบรรยากาศแบบบ้านนอก ​ได้สูดอากาศ​ที่บริสุทธิ์ ถึง​จะหนาวมันก็​เป็น​ความหนาว​ที่มี​ความสุข" ทองคูณแอบเห็นรอยยิ้มสารภี​ที่กระจกทันที​ที่​เขาพูดจบ

อากาศหนาวช่วงปลายเดือนธันวาคมชวนตัวสั่นขนลุกทีเดียว​เมื่อยามลมพัดมา ยิ่งด้วยเวลา​ที่มอเตอร์ไซด์​กำลังวิ่งแบบนี้ ​ความเย็นเฉียบอันหนาวเหน็บ​สามารถสัมผัส​ได้อย่างเต็มๆ​ จนสารภี​ต้องเบียดตัวเองชิดทองคูณ​เมื่อ​ความเร็วของรถพุ่งขึ้น​ ​ทั้งสองไม่​ได้พูดอะไร​กันอีก นั่นก็อาจ​จะ​เป็น​เพราะ​ความหนาวสั่น

รถออกวิ่งฉิว​ไปตามถนน​ที่ทอดยาวสลับคดเคี้ยวอยู่​บ่อยครั้ง ทำให้สารภีเบียดกระชับเข้าใกล้ทองคูณเข้า​ไปอีก ​เขาถือวิสาสะเอื้อมจับมือ​ทั้งสองข้าง​ที่เย็นเฉียบของเธอ ซุกเข้าในกระเป๋าเสื้อคลุมของตัวเอง ก่อน​ที่เธอ​จะเอียงหน้า​และแนบซบลง​พร้อม​กับกอดเอว​เขาอย่างแผ่วเบา

แผ่นหลังของทองคูณ ​แม้​จะมีเสื้อคลุมตัวหนาสวมใส่ ​แต่​เขาก็รับรู้ถึง​ความอบอุ่น​ที่เบียดแนบนั้น​​ได้ ลมหนาวพัดกระทบใบหน้า ​แต่​เขาไม่รู้สึกถึง​ความเย็นนั้น​เลย​

​เขาอยาก​จะชวนเธอคุยในหลายๆ​เรื่อง​ ​ทั้งในอดีต​และปัจจุบันรวม​ไปถึงอนาคต ​แต่​เขาก็ปล่อยให้มันผ่าน​ไป ด้วยเกรงว่า​ความอุ่นนั้น​มัน​จะเขยิบห่างจนจางหาย ​เขาอยากเก็บ​ความอุ่นนั้น​ไว้ให้นาน...​.​และนาน​ที่สุด

บัดนี้ทองคูณอยากให้ระยะทางจากบ้านโนนสะแกถึงตัวอำเภอบัวใหญ่มันยาว​และไกลออก​ไปอีก ​เป็นร้อย​เป็นพัน แทน​ที่มัน​จะ​เป็นแค่ ๑๕ กิโลเมตร...​..เท่านั้น​เอง


***T******H******E*********E*********N********D***

 

F a c t   C a r d
Article ID A-3447 Article's Rate 2 votes
ชื่อเรื่อง ดอกดิน 2
ผู้แต่ง นายอิติฯ
ตีพิมพ์เมื่อ ๐๗ สิงหาคม ๒๕๕๓
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องสั้น
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๓๔๐ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๔ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : ศาลานกน้อย [C-17330 ], [000.000.000.000]
เมื่อวันที่ : 07 ส.ค. 2553, 08.19 น.

ผู้อ่าน​ที่รัก,

นิตยสารรายสะดวก​ ​และผู้เขียนยินดีรับฟัง​ความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดง​ความเห็น​ได้​โดยอิสระ ขอขอบคุณ​และรู้สึก​เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมี​ส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : Rotjana Geneva [C-17348 ], [193.134.193.5]
เมื่อวันที่ : 11 ส.ค. 2553, 20.42 น.

อ้าว คุณอิติฯเขียนหลายตอน ไม่ลงในซีรีย์หรือคะ​ ​ถ้าทำไม่​เป็น เขียน​ไปถามลุงเปี๊ยก​ได้ค่ะ​ เธอ​จะ​ได้ช่วยเหลือให้ ...​..

เดี๋ยว​จะอ่านแล้ว​คอมเม้นท์ต่างหากค่ะ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๓ : Rotjana Geneva [C-17349 ], [193.134.193.5]
เมื่อวันที่ : 11 ส.ค. 2553, 20.51 น.

หวานจังเลย​ เขียนบรรยาย​ได้ดีทีเดียว (คุณนามฯนกกาอาจ​จะมีข้อแนะนำสำหรับรูปประโยค)

เอ เห็นบอกว่สองตอนจบใช่ไหมคะ​? นี่คง​จะจบแล้ว​ จบ​ใช้​ได้ค่ะ​ ​แม้​จะไม่หักมุม ​แต่ก็ทิ้งอารมณ์หวานเหลือไว้​กับเลข 15 กิโลเมตร ​พร้อมจินตนาการของคนอ่านว่า​จะเกิดอะไร​ขึ้น​บ้าง...​..

มอบ ให้นะคะ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๔ : วิทย์ แดงจันศรี [C-17370 ], [114.128.143.212]
เมื่อวันที่ : 15 ส.ค. 2553, 14.27 น.

อ่านจบ​ทั้งสองตอนครับ​..(น่า​จะจบแล้ว​) ​แม้​จะดูเรื่อยเรื่อยมาเรียงเรียงนกบินเฉียง​ไป​ทั้งหมู่ ​แต่ก็มีเสน่ห์ในตัวสำหรับงานเขียนแนวนี้...​ประทับใจครับ​

การแนะนำหรือวิจารณ์งานเขียน เรื่อง​นี้ผมขอละไว้ก่อน เจอกันเรื่อง​หน้าครับ​

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น