![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
...ความมืดแผ่เข้าปกคลุมหมู่บ้านโนนสะแกอีกครั้งเหมือนทุกๆวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และก็อีกหลายๆปี แม้วิถีชีวิตจะค่อยๆถูกปรับเปลี่ยน เริ่มมีแ...
ความมืดแผ่เข้าปกคลุมหมู่บ้านโนนสะแกอีกครั้งเหมือนทุกๆวัน จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี และก็อีกหลายๆปี แม้วิถีชีวิตจะค่อยๆถูกปรับเปลี่ยน เริ่มมีแสงไฟฟ้าสาดส่องมากขึ้น แต่ค่ำคืนของที่นี่ก็ยังคงเป็นคืนค่ำอันเงียบสงบเหมือนเดิม อาจมีเสียงทีวี เสียงวิทยุดังแว่วมาจากหลายๆหลังคาเรือน ซึ่งก็ดูตื่นตัวอยู่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะปล่อยให้ราตรีอันเงียบสงัดเข้ามาขับกล่อม พร้อมการพักผ่อนที่ดำเนินไปอย่างเต็มอิ่ม รอการตื่นมารับกิจกรรมเก่าๆของเช้าวันใหม่อีกที
ู^
^
^
^
^
ผู้คนเริ่มทยอยลงจากขบวนรถไฟ ทันทีที่แน่ใจแล้วว่ามันหยุดและจอดแช่อย่างแน่นิ่ง เสียงจอแจจ้อกแจ้กประหนึ่งว่าจะได้ยินแต่เสียงคนแย่งกันพูด ทั้งบนตู้โดยสารและที่ยืนอออยู่ด้านล่าง ผู้คนเหล่านี้เหมือนไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาเป็นปีๆ
ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดใบหน้าเข้มเกลี้ยงเกลา เขาลุกขึ้นสะพายกระเป๋า เมื่อผู้คนที่ยืนอออยู่หน้าประตูทางลงเริ่มเบาบาง อากาศหนาวช่วงต้นเดือนธันวาเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เขากระชับเสื้อคลุม เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย ด้วยความสูงของเขา ทำให้ต้องเดินก้มศีรษะเป็นพักๆ
เขาก้มมองลอดหน้าต่างออกไปเพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลงรอบๆสถานีรถไฟ มันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนักกับตัวชานชาลาของสถานี ยังคงมีเค้าโครงที่เขาจำได้ดีในวัยเด็ก ก่อนขึ้นขบวนรถล่องลงใต้ไปกับลุงของเขา ซึ่งมีพระคุณอย่างล้นเหลือที่มอบโอกาสให้เขาได้รับการศึกษาจนจบปริญญา
เกือบๆสิบปีที่เขาไม่ได้ย้อนกลับมาที่บ้านเกิด เขายังจำคำพูดแกมหยอกล้อของพ่อกับแม่ได้ดี คราวที่นั่งรถอีแต๋นออกจากหมู่บ้านโนนสะแก "เอาปริญญากลับมาเด้อบักทอง ให่เป็นคนแรกของหมู่บ้านไปเลย ถ้าบ่จบปริญญา ก็บ่ต้องกลับมา" ไม่นึกเลยว่าเขาจะอดทนอดกลั้นคิดถึงท่านทั้งสองได้นานถึงขนาดนี้ แต่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ความคิดถึง ที่เขาทนรอมานานแสนนาน จะต้องได้รับการสวมกอดอย่างอิ่มเอม
ทันทีที่พื้นรองเท้าของเขาแตะชานชาลา สายตาของเขาก็พลันเหลือบไปสะดุดเข้ากับหญิงสาวสองคนที่เพิ่งก้าวลงจากประตูถัดไปทางซ้ายมือ เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่ที่เขามองนั่นก็เป็นเพราะ...ความไม่แน่ใจ...เผื่อว่าพวกเธออาจเป็นคนที่เขาเคยรู้จักก็เป็นได้
เขาแน่ใจว่า เธอทั้งสองต้องเดินมาทางนี้อย่างแน่นอน เพราะทางออกจากสถานีรถไฟมีทางเดียว ที่อยู่ถัดไปทางขวามือของเขา ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะหยุดรอที่จะมองคนทั้งสองใกล้ๆ ด้วยการเสทำนั่งผูกรองเท้าให้กระชับขึ้น
จนเมื่อได้ระยะ คิ้วเข้มถูกขมวดจนเกือบชิดกัน เขาคลับคล้ายคลับคลา ว่าเหมือนเคยคุ้นหน้าสองสาวนี้มานาน คนหนึ่งน่ารักผิวขาวดูราบเรียบ เขามั่นใจได้เลยว่า หากเรียกชื่อวังเวียงออกไป เธอต้องขานรับ แม้เค้าหน้าของเธอจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่เขาก็พอจะจำเธอได้ว่าคือวังเวียงอย่างแน่นอน แต่อีกคนที่ดูสวยคมสะดุดตา เขาชักไม่แน่ใจว่าเป็นสารภี เด็กผู้หญิงตัวดำปากจัดคู่กัดคู่กวนของเขาในวัยซุกซน หรืออีแหล่ที่เขาเคยล้อเล่นอยู่เป็นประจำสมัยเรียนชั้นประถม
เขาเริ่มลังเลในความคิดเมื่อได้เพ่งมองจนเกือบหนำใจ เธอคนนี้ยิ่งมองยิ่งสวย ผิวสวย ตาสวย ไม่น่าจะใช่เด็กหญิงตัวดำหัวฟูที่ชื่ออีแหล่ไปได้
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะตัดสินใจสุ่มเสี่ยงเรียกถามชื่อวังเวียงออกไป สาวสวยตาคมก็คว้าดึงมือเธอรีบเดินจ้ำอ้าวตรงดิ่งไปยังทางออกทันที เขาก้าวตามโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองให้เสียเวลา
เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดหากพวกเธอจับได้ เขาเดินตามเธอทั้งสองด้วยการเว้นระยะอยู่ห่างๆ เขาพบว่ามีร้านรวงบ้านช่องผุดขึ้นจนผิดตา ดูจะมีตึกสูงสามสี่ชั้นปลูกทอดยาวออกไปทั้งสองข้างถนน มันทำให้เขาตื่นตัวอยากเข้าถึงบ้านโนนสะแกให้เร็วขึ้น โดยที่อีกใจเขาก็ยังอยากเดินตามเธอทั้งสองไปเรื่อยๆให้ถึงที่สุด
ดูเหมือนว่าความคิดของชายหนุ่มจะได้รับการตอบสนอง เธอทั้งสองยังคงเดินตามเส้นทางที่เขาอยากให้เดิน นั่นคือท่ารถที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เขาลุ้นและค้างคาใจมาได้สักพักใหญ่ๆกำลังจะมีคำตอบและเพิ่มความมั่นใจให้กับเขามากขึ้น พวกเธอกำลังตรงดิ่งไปยังท่ารถที่แลเห็นไกลๆอยู่ข้างหน้า
เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้คนมารวมตัวกันที่ท่ารถ เขาไม่ได้ใส่ใจกับเสียงเหล่านั้น แต่กลับประหลาดใจเล็กน้อย พื้นที่โล่งๆก่อนหน้านั้นเมื่อหลายปี เป็นการบดเรียบด้วยลูกรังสีแดงและใช้หินโรยทับอย่างหยาบๆ บัดนี้มันกว้างขวางราบเรียบสะอาดตาด้วยการเทคอนกรีต มีการจัดระเบียบท่ารถใหม่ ป้ายมีให้เห็นเด่นชัด เขาละสายตาจากเธอทั้งสอง จนปล่อยให้พวกเธอเดินลับหายไปยังอีกฟาก ที่ถูกบดบังด้วยรถบัสคันใหญ่หลายคัน
เขาปรี่ไปยังที่จอดรถประจำของหมู่บ้านโนนสะแกที่ยังจำได้ว่าน่าจะใช่ตรงนี้ แต่กับไม่พบสิ่งใดที่บ่งชี้ได้เลยว่า เขาจะต้องนั่งรอรถนะจุดนี้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักกับการเปลี่ยนแปลงของที่จอดรถ
"เดินหาสักพักก็คงเจอ"
เขาคิดพลางเดินสองมือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุม แม้เวลาล่วงเข้าช่วงบ่ายแล้ว แต่สายลมหนาวก็พัดพลิ้วอยู่ตลอดเวลา เสียงเรียกผู้โดยสารดังแว่วมาอีกฟาก มีรถอีแต๋นและรถสองแถวคันเล็กคันใหญ่จอดเรียงรายอยู่
เขาแลเห็นรถและป้ายแล้ว ถึงจะเขียนด้วยลายมืออย่างหวัดๆ แต่มันก็ตัวโตชัดเจนอ่านออกได้โดยง่าย ไม่มีรถอีแต๋นที่เขาเคยนั่ง มีรถสองแถวสีฟ้าคันใหญ่มาจอดแทน เสียงคนขับตะโกนเรียกผู้โดยสารเป็นพักๆ แม้จะยังไม่เข้าใกล้ เขาก็จำได้แม่นว่า เป็นเจ๊กจอมเจ้าของร้านชำประจำหมู่บ้านโนนสะแกนั่นเอง
มีผู้โดยสารนั่งอยู่บนรถบ้างแล้วหกเจ็ดคน แต่แล้วจู่ๆใจของเขาก็เต้นตุบตับขึ้นมาเอาดื้อ เขาสะดุดตาเข้ากับเสื้อผ้าของผู้สวมใส่ที่นั่งหันหลังให้ มันชี้ชัดได้เลยว่าเป็นเธอสองคนนั่นเอง เขาลังเลอยู่ข้างๆรถ เพราะความประหม่าและตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาลุ้นมา ตั้งแต่ประจันหน้าเธอสองคนที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ไม่ผิดแน่ว่าหนึ่งในนั้นคือวังเวียง อีกคนก็เริ่มจะมีเค้า แต่เขากลับไม่แน่ใจ
"เอ้าขึ้นเลยไอ้หนุ่ม เดี๋ยวจะออกแล้ว ลงบ้านไหนล่ะ" เสียงของเจ๊กจอม ที่เหลือผมสีดอกเลาอยู่แต่ช่วงท้ายๆ
"บ้านโนสะแกครับ" เขาตอบด้วยเสียงนอบน้อม
"อ้อ..คนบ้านเดียวกัน ขึ้นเลย ขึ้นเลย" เจ๊กจอมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เชื้อเชิญเขาขึ้นรถอย่างอย่างสงสัย แต่ก็ปล่อยผ่านๆไป
เขาก้าวขึ้นไปบนรถอย่างช้าๆ ผู้โดยสารต่างพากันนั่งนิ่ง เขาเกิดตื่นเต้นมากกว่าเดิม ด้วยไม่รู้จะเข้าไปทักทายเพื่อนเก่าอย่างไร ยังมีที่นั่งว่างๆเหลือให้เลือกนั่งได้ตามสบายทั้งสองฝั่ง แต่เขาก็ตัดสินใจเลือกที่จะหย่อนก้นลงนั่งอยู่ท้ายสุด ฝั่งเดียวกันเธอทั้งสอง ซึ่งถูกคั่นด้วยผู้โดยสารต่างบ้าน เป็นหญิงรุ่นน้าตัวใหญ่รูปร่างท้วมอยู่หนึ่งคน ด้วยความสูงของเขา หากจงใจจะหันไปมอง ก็จะพบกับร่างระหงของสาวผิวสวยอย่างเด่นชัด อีกทั้งกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆก็ถูกลมหนาวยามบ่ายพัดโชยผ่านหญิงร่างท้วมมาเตะจมูกเป็นระยะๆ
เขานั่งหน้าตรงและกอดกระเป๋าที่วางไว้หน้าตัก พร้อมกับพริ้มตานิ่งเงียบ เมื่อมีผู้โดยสารทยอยขึ้นบนรถมาเรื่อยๆ สมองเขาเริ่มว่างเปล่าอยู่พักหนึ่ง ความเงียบของสายลมเย็นน่าสบาย ทำให้เขาเกิดความผ่อนคลายจนเคลิบเคลิ้ม
เสียงพูดกันดังขรมที่ท้ายรถด้านล่างทำให้เขาต้องเหลือบตาลงไปมอง เขาเห็นหญิงรุ่นป้าสามคนที่พอรู้จัก แม้จะจดจำได้ไม่ละเอียดแต่ก็พอรู้ว่าเป็นคนบ้านโนนสะแก ทั้งสามหิ้วของพะรุงพะรังคุยจ้ออย่างออกรส ยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันอันร่วงหลอที่ผ่านการกินหมากมาอย่างโชก จับใจความส่วนใหญ่ได้ว่าเป็นเรื่องข้าวที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขายิ้มที่มุมปากที่ได้เห็นการพูดจาประสาลูกทุ่งแบบเปิดอกหมดเปลือกอย่างไม่อนาทร จนไม่น่าเชื่อว่าคนเพียงแค่สามคนจะคุยกันได้เซ็งแซ่ปานนี้
เสียงสตาร์ทรถของเจ๊กจอมดังขึ้น นั่นล่ะป้าทั้งสามจึงกุลีกุจอขยับตัวก้าวขึ้นรถ โดยมีป้าอีกคนแยกตัวไปนั่งกับคนขับ ชายหนุ่มส่งยิ้มลุกเอื้อมมือช่วยหยิบจับสิ่งของป้าทั้งสองและส่งนั่งฝั่งตรงข้ามกับสองสาวที่ว่างอยู่พอดี พวกแกขอบอกขอบใจแถมให้พรลั่นรถ เขาก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้รับพร พร้อมกับหันหลังเหลือบตามองสองสาวอีกครั้ง ซึ่งพวกเธอเองก็จ้องมองเขาอย่างไม่กระพริบตาเช่นกัน
เป็นอย่างที่เขาคาดคิดไว้!!
ก่อนที่เขาจะถอยกลับมานั่งที่เดิม เสียงเล็กใสของเธอทั้งสองกล่าวสวัสดีป้าทั้งสองท่าน ที่เขาเองก็รู้ว่าเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงของพวกเธอ จากนั้นเสียงทักคืนก็ดังลั่นรถสองแถว ทำเอาผู้โดยสารต่างบ้านอีกหลายๆหันมองต้นเสียงเป็นตาเดียวกัน
"อ้าว...อีเวียง อีสา กลับมากันแล้วรึ คุ้มเราเตรียมงานต้อนรับพวกมึงไว้เต็มที่เลย พ่อแม่ของพวกมึงสองคนนะบอกคนทั่วโนนสะแกแล้ว ว่าจะมีการเลี้ยงต้อนรับ...รับอะไรวะเฮ่ย" ป้ารูปร่างผอมสะกิดถามป้าอีกคนที่ร่างท้วม
"รับ..ปริญ...ญา" แกตอบตะกุกตะกัก
"เอ้อๆ นั่นล่ะๆ ครั้งแรกของหมู่บ้านที่มีคนเรียนจบสูงขนาดนี้ แถมมีตั้งสองคนแน่ะโว๊ย พวกมึงนี่เก่งจริงๆว่ะ เทียบพวกเจ้านายที่อำเภอได้เลยนะเนี่ย"
"หึ้ย.. ไปพูดมึงพูดอีกับคนจบปริญญาได้ยังไงวะ กูว่ามันไม่เหมาะนา"
"เออว่ะ กูก็ลืมไป แล้วจะเรียกยังไงดี"
"ก็พูดเหมือนเดิมนั่นล่ะจ้ะป้า" วังเวียงตอบเสียงใส
"จ้า เคยเป็นไง ก็เป็นอย่างเดิมนั่นแหละ หนูสองคนก็ยังเป็นลูกชาวนาเต็มร้อยเหมือนเดิมแหละจ้า" สารภีส่งยิ้มหวานให้กับป้าทั้งสอง พร้อมปรายตายิ้มกับผู้โดยสารอีกหลายๆคนด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยเมื่อผสานตาเข้ากับเขาอย่างจัง
ชายหนุ่มแอบยิ้มชื่นชม กับเพื่อนของเขาทั้งสองคนที่คว้าฝันอันยิ่งใหญ่มาให้ตัวเองและผู้เป็นพ่อแม่ เขายังทึ่งและยิ่งปลาบปลื้มเพิ่มทวีคูณ กับไม้เบื่อไม้เมาของเขาในอดีต เธอไม่เหลือภาพเก่าๆในวัยเด็กให้เห็นเลย เธอสวย เธอสุภาพ จำนรรจาฉะฉานคล่องแคล่ว จากการนั่งฟังการพูดคุย เธอเป็นคนที่มีเหตุผลเข้าอกเข้าใจโลกเกษตรกรรมเป็นอย่างดี แม้ไม่ถามเขาก็พอจะเดาออกว่า สารภีจบเกษตรเหมือนเขาอย่างแน่นอน ส่วนวังเวียงแว่วว่าเธออยากสอบบรรจุครูแล้วมาสอนที่โนนสะแกตามที่เธอเคยวาดหวังไว้ตอนเด็กๆ ครานี้คงสมใจเธอแล้วล่ะ
บนรถเริ่มคึกคัก ผู้โดยสารนั่งกันอย่างสบายไม่เบียดเสียด หลายๆคนเริ่มกล้าที่จะหันหน้าเข้าคุยกัน จะดูครึกครื้นได้อรรถรสหน่อยก็สองป้ากับสองสาว รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่า จนเมื่อเข้าถนนหลัก สองข้างถนนรายล้อมด้วยตึกแถวเตี้ยๆ สลับกับโรงสีข้าว ที่ผุดขึ้นอีกสามสี่แห่ง สายลมหนาวพัดกระพือเข้าตัวรถกลบเสียงพูดคุยได้เล็กน้อย
รถสองแถววิ่งไปตามถนนใหญ่ได้สักพักใหญ่ๆ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามทางลาดยางอันคดเคี้ยว มันดูตื่นตาดีสำหรับชายหนุ่มที่ไม่เคยได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่เขาจากที่นี่ไป ต่างกับวังเวียงและสารภี ถึงเธอทั้งสองจะเข้าไปศึกษาต่อยังเมืองหลวง แต่พวกเธอก็มีโอกาสได้กลับมาบ้านเกิดอยู่บ่อยครั้ง จึงเป็นอะไรที่ชินตา
รถวิ่งผ่านทุ่งข้าวรวงเหลืองย้อยระย้า เอนไหวพลิ้วตามแรงลม มองเห็นละลานตาทั้งสองข้างทาง
มีผู้โดยสารต่างหมู่บ้านที่นั่งอยู่ข้างๆเขาและฝั่งตรงข้ามทยอยลงบ้างแล้ว ชายหนุ่มช่วยหยิบส่งของให้ลุงๆป้าๆ ซึ่งเท่าที่เขาสังเกตเห็นจะเป็นเครื่องมือเก็บเกี่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยมีสายตาอีกหลายคู่จับจ้องมองเขา คงด้วยความสงสัยว่าหนุ่มหล่อเข้มนิสัยดีคนนี้เป็นใคร
โดยเฉพาะสองสาวที่กำลังซุบซิบและมองมาทางเขาอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มเริ่มเกิดอาการประหม่าอีกครั้งเมื่อไม่มีใครมานั่งกั้นระหว่างเขากับเธอทั้งสอง ครั้นรถเริ่มออกเคลื่อนตัวอีกครั้งเขานั่งมองตรงทำเฉย หลังจากสงบมานานจู่ๆใจมันก็เต้นถี่ขึ้นมาอีก ทันทีที่แวบหนึ่งพบว่า ป้าขาเม้าทั้งคู่และเธออีกสองคน ยื่นหน้าเข้าหากันทำซุบซิบๆด้วยสีหน้าท่าทีจริงจัง
ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไร เขาหวังตัดความตื่นเต้นโดยการนั่งหันหลังเบิ่งหน้ามองทุ่งข้าวรอบๆท้ายรถ เขาโล่งใจได้แค่พักเดียว เสียงป้าขาเม้าคนผอมที่เขาจำเสียงได้ก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องหันหลังกลับในทันที
"พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มรูปหล่อคนนั้นน่ะ มาจากไหนล่ะ ดูไม่คุ้นหน้าเลย" คำถามของแกทำเอาทุกสายตาหันมารวมที่เขาเป็นจุดเดียวอีกครั้ง โดยเฉพาะสองสาวปริญญาหันหน้าตรงแถมเขยิบเบียดๆผลักๆกันเข้าใกล้เขามากขึ้น จนเหลือระยะห่างไม่ถึงวา
"ผมมาจากสงขลาครับ" เขาตอบยิ้มๆอย่างเลี่ยงเสียมิได้
"สงขลา....มันอยู่ส่วนไหนของประเทศวะ" ป้าแกหันไปพูดเบาๆกับเพื่อนแกอีกคน
"เป็นจังหวัดทางภาคใต้จ้ะป้า" สาวสวยคมตอบขึ้น
"อ๋อ..เป็นคนภาคใต้นี่เอง ถึงว่าหล่อเข้มเชียวพ่อหนุ่ม อ้าว..แล้วข้ามน้ำข้ามทะเลมาอีสานนี่ทำไมล่ะ อย่าว่าป้าพูดมากเลยนะ..แล้วจะลงบ้านไหน" สมกับเป็นขาเม้าบ้านทุ่ง ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนหายใจยาวลึกยืดอกตอบออกไป โดยมีสองสาวจ้องเขม็งอยู่ใกล้ๆ
"ผมไม่ใช่คนใต้หรอกครับ เลือดโนนสะแกสายพันธุ์ชาวนาเต็มร้อย ผมลูกพ่อชาติแม่ลำไยครับ"
จบคำตอบของชายหนุ่ม เสียงใสๆของสองสาวก็ดังสวนขึ้นเกือบพร้อมๆกัน
"ทองคูณ"
เขาพยักหน้าเปิดยิ้มกว้างให้กับเพื่อนสาวทั้งสอง และก้มสวัสดีคุณป้าทั้งคู่อีกครั้ง รถสองแถวยังคงวิ่งลัดเลาะไปตามถนนลาดยาง ผ่านหมู่บ้านเล็กๆมาสองสามหมู่บ้าน ผู้โดยสารทยอยลงจนเหลือแต่ท้ายสุดของปลายทางอยู่ห้าคน ทั้งหมดคุยจ้อแข่งกับสายลม ถึงบัณฑิตใหม่ของหมู่บ้านที่โคจรมาเจอกันถึงสามคน สลับกับงานเก็บเกี่ยวที่จะเริ่มอีกไม่กี่วันข้างหน้า เมื่อพูดถึงข้าวปลาที่อุดมสมบูรณ์ ป้าทั้งสองจะแย้มยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข ทั้งๆที่ปากยังเคี้ยวหมากแก้มตุ่ย พักใหญ่ๆจะเห็นถ่มถุยใส่ถุงพลาสติกเสียที่หนึ่ง และคุยต่ออย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะเป็นทองคูณ ตอนอยู่สถานีรถไฟยังสงสัยอยู่ว่า คนบ้าที่ไหนมายืนจ้องหน้าเรา ที่แท้ก็เจ้าเตี้ยตัวป่วนตอนเด็กนี่เอง" สารภีเอ่ยขึ้น ภายหลังที่มิตรภาพวันเก่าๆเริ่มหวนกลับมาอย่างรวดเร็ว แม้อยากจะพูดหยอกล้อเหมือนวัยเด็กก็ตามเธอก็ต้องปล่อยผ่านไป การศึกษาที่สูงขึ้น อายุที่เพิ่มขึ้น อีกอย่างความเป็นหญิงในวัยสาว ทำให้คำพูดต้องปรับเปลี่ยนไป คงพูดสุดโต่งเหมือนวัยเด็กไม่ได้
"ทึ่งในความหล่อเราน่ะสิ นี่ล่ะไอ้เตี้ยหมาตื่น ที่ใครบางคนชอบสบประมาทตอนเด็ก" ทองคูณยืดตัวตรงเอียงไหล่จนเกือบชิดตัวสารภี
"แหวะ หล่อตายล่ะ" สารภีเบ้ปากและเบือนหน้าไปทางวังเวียง ที่นั่งพิงพนักด้วยใบหน้ายิ้มๆ
"หือ...ตัวเองสวยตายเลยน๊อ แต่จะว่าไปก็แค่ดูดีขึ้นมานิดหน่อยนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเด็กตัวดำปากจัดคนนั้น" ทองคูณค่อนขอดกลับอย่างทันควัน แล้วก็ยิ้มกว้างใส่สารภี จนเหลือบไปเห็นวังเวียงที่หันมาสบตากับเขา พร้อมกับยิ้มและส่ายหัวไปมาช้าๆสองสามที
"ให้มันได้อย่านี้สิเพื่อนชั๊น ไม่ว่าตอนเล็กตอนโต เอ้อ..ว่าแต่นายหายไปทำอะไรเสียตั้งนานล่ะทองคูณ" วังเวียงถาม เพราะเห็นว่าทองคูณตั้งแต่จบปอหกเขาก็เงียบหายไปเลย
"แล้วอีกคนล่ะ ไม่อยากรู้บ้างเหรอ" ทองคูณเอ่ยหวังกระเซ้าสารภี
"จะบอกดีๆ หรือต้องให้บีบคอล่ะ" เธอทำตาดุพร้อมกับค้อนขวับเข้าให้
"ยังดุเหมือนเดิม คืองี้นะ เห็นว่าจะมีงานฉลองต้อนรับสองสาวปริญญา งั้นรวมเราเป็นคนที่สามนะ เพราะเราก็ได้มามันมาเหมือนกัน และเราก็อยากเอาใบปริญญามาใช้ที่บ้านเกิดเมืองนอนของเราด้วย" เขายืดตัวตรงอีกครั้ง รับรอยยิ้มหวานจากเพื่อนทั้งสองที่ส่งมาให้อย่างอิ่มใจ พร้อมเสียงหัวเราะร่วนของคนทั้งหมดก็ตามมา ก่อนรถสองแถวจะค่อยเลี้ยวโค้งเข้าหมู่บ้านไป
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เช้าวันหนึ่งหลังฤดูเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นลง ทองคูณควบมอเตอร์ไซด์ บิดบึ่งไปยังบ้านสารภีและวังเวียง เพื่อชวนเข้าไปเที่ยวในตัวอำเภอ แต่วังเวียงมีนัดกับครูใหญ่ที่โรงเรียน
"ไปมั๊ยสารภี" ทองคูณถามเมื่อเห็นว่าคู่หูของเธอติดธุระ
"ไปเหอะแก โตๆกันแล้วนี่ ถึงเวลาที่เราต้องแยกๆกันมั่งแล้วล่ะ" วังเวียงรบเร้าแกมผลักใสสารภี
"อือๆ งั้นนายรอฉันแป๊บนึง ขอไปหยิบหมวกกับเสื้อก่อน" สารภีเดินขึ้นก่อนจะกลับลงมาด้วย เสื้อคลุมสีชมพูหวานแหว๋ว ผมยาวสลวยที่มัดรวบถูกปล่อยผ่านหมวกแก๊ปสีแดงเพลิง เธอถูกวังเวียงกระชับกุมไหล่ให้ขึ้นนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของทองคูณ
"เที่ยวกันให้สนุกนะจ๊ะ อ้อ...อย่าไปทะเลาะกันกลางทางเสียล่ะ" วังเวียงทิ้งท้าย ฉีกยิ้มให้คนทั้งสอง
ลมหนาวพัดแรงขึ้น เมื่อรถเครื่องออกสู่ถนนลาดยาง ผมยาวสลวยของสารภี ปลิวสะบัดรับลมไปมา ตอซังข้าวที่ดูเตียนโล่งแผ่กระจายมองเห็นได้ทั่วทั้งสองข้างทาง ทองคูณใช้ความเร็วไม่มากนัก ออกจะเป็นการขี่ไปเรื่อยเอื่อยๆเสียมากกว่า
"หนาวล่ะซี"เขาถามเมื่อเห็นสารภีห่อไหล่ห่อตัว
"อือ...แล้วนายล่ะไม่รู้สึกหนาวบ้างหรือ" สารภีโล้ตัวตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"ก็หนาวนะ แต่เราก็ชอบ เราชอบหน้าหนาว เพราะหน้าหนาวกับบรรยากาศแบบบ้านนอก ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์ ถึงจะหนาวมันก็เป็นความหนาวที่มีความสุข" ทองคูณแอบเห็นรอยยิ้มสารภีที่กระจกทันทีที่เขาพูดจบ
อากาศหนาวช่วงปลายเดือนธันวาคมชวนตัวสั่นขนลุกทีเดียวเมื่อยามลมพัดมา ยิ่งด้วยเวลาที่มอเตอร์ไซด์กำลังวิ่งแบบนี้ ความเย็นเฉียบอันหนาวเหน็บสามารถสัมผัสได้อย่างเต็มๆ จนสารภีต้องเบียดตัวเองชิดทองคูณเมื่อความเร็วของรถพุ่งขึ้น ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันอีก นั่นก็อาจจะเป็นเพราะความหนาวสั่น
รถออกวิ่งฉิวไปตามถนนที่ทอดยาวสลับคดเคี้ยวอยู่บ่อยครั้ง ทำให้สารภีเบียดกระชับเข้าใกล้ทองคูณเข้าไปอีก เขาถือวิสาสะเอื้อมจับมือทั้งสองข้างที่เย็นเฉียบของเธอ ซุกเข้าในกระเป๋าเสื้อคลุมของตัวเอง ก่อนที่เธอจะเอียงหน้าและแนบซบลงพร้อมกับกอดเอวเขาอย่างแผ่วเบา
แผ่นหลังของทองคูณ แม้จะมีเสื้อคลุมตัวหนาสวมใส่ แต่เขาก็รับรู้ถึงความอบอุ่นที่เบียดแนบนั้นได้ ลมหนาวพัดกระทบใบหน้า แต่เขาไม่รู้สึกถึงความเย็นนั้นเลย
เขาอยากจะชวนเธอคุยในหลายๆเรื่อง ทั้งในอดีตและปัจจุบันรวมไปถึงอนาคต แต่เขาก็ปล่อยให้มันผ่านไป ด้วยเกรงว่าความอุ่นนั้นมันจะเขยิบห่างจนจางหาย เขาอยากเก็บความอุ่นนั้นไว้ให้นาน....และนานที่สุด
บัดนี้ทองคูณอยากให้ระยะทางจากบ้านโนนสะแกถึงตัวอำเภอบัวใหญ่มันยาวและไกลออกไปอีก เป็นร้อยเป็นพัน แทนที่มันจะเป็นแค่ ๑๕ กิโลเมตร.....เท่านั้นเอง
***T******H******E*********E*********N********D***
เมื่อวันที่ : 07 ส.ค. 2553, 08.19 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...