![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
...กราบเท้าแมที่่เคารพรัก ต่อจากคราวที่แล้วที่ผมได้บอกแม่ว่า ผมเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้แล้วนะ ซึ่งมันก็มามีเอาตอนที่ผมมีอายุได้สามส...
วันที่ 27 มิถุนายน 2552กราบเท้าแม่ที่่เคารพรัก
ต่อจากคราวที่แล้วที่ผมได้บอกแม่ว่า ผมเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้แล้วนะ ซึ่งมันก็มามีเอาตอนที่ผมมีอายุได้สามสิบสามพอดี แม่ว่าแก่ไปไหม? จดหมายฉบับนี้ผมต้องเขียนภาษาอังกฤษลงไปด้วย เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับยุคสมัยใหม่ ถ้าแม่อ่านไม่ออก ก็ให้หลานอ่านให้ฟังนะ ส่วนที่แม่เคยโทรมาคุยเรื่องเพลาๆเรื่องเหล้า ผมก็กำลังคิดๆอยู่ ผมอยากจะเล่าถึงโลกอินเตอร์เน็ตของผมให้แม่ฟัง ผมรู้ว่าแม่ต้องคิดว่าผมบ้าแน่ๆเลย ที่จะคุยเรื่องสมัยใหม่ให้ฟัง ทำไงได้ครับผมชอบเขียน ซึ่งแม่เองก็รู้ว่าผมชอบเขียนไม่ชอบโทร เอาน่ะครับ ยังไงแม่ก็ทนๆอ่านนะ
ผมรู้จักโลกออนไลน์อย่างหลวมๆ แต่พยายามทำความรู้จักกับมันอย่างจริงจัง ผมเล่นอินเทอร์เน็ตอย่างคนที่ยังใหม่ด้วยความไม่ค่อยรู้ แต่ก็ด้วยความที่อยากรู้ของผม จึงพยายามที่จะคลิ้ก คลิ้กแล้วก็คลิ้ก ซึ่งก็ยังหาจุดหมายของการคลิ้กเข้าเว็บต่างๆยังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ว่าเพื่ออะไร ผมมีความรู้สึกเพียงแค่ว่ามันคืออินเทอร์เน็ตเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี ดีกว่านั่งขีดๆเขียนๆ บนโต๊ะทำงานให้หมดไปวันๆ เมื่อรู้สึกเหนื่อยหน่ายจากงานที่ทำ ผมก็คลิ้ก! ว่างก็คลิ้ก! เข้าอินเตอร์เน็ต เพียงแค่ให้ได้รู้ว่าเราใช้และเล่นมันเป็น เว็บโป๊ถูกแวะเวียนเข้าไปวันละหลายรอบ จนเจอแต่ความซ้ำๆแต่ก็ไม่ได้เบื่อ ผมเวียนวนอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆซ้ำไปซ้ำมาอยู่เป็นเดือน เพราะผมถือว่านี่เป็นธรรมชาติของผมและผู้ชายอีกหลายๆคน
จนวันหนึ่ง ความเครียดที่ตามหลอกหลอนผมมาได้สักระยะหนึ่งก่อนหน้านั้น มันได้ถาโถมถี่ยิบเข้ามาหา บัตรเครดิตที่ผมรวบรวมสั่งสมดั้นด้นกวาดต้อนมาครอบครองได้เกือบสิบใบ เหมือนมีชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในตอนแรกที่พิชิตมันมาได้ แต่ความหายนะกำลังจะบังเกิด ปลายปี 2548 เมื่อการเงินของผมสั่นคลอน สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อันเนื่องมาจากรัฐบาลมัวแต่ผลัดเปลี่ยนเล่นเก้าอี้ดนตรีกัน มนุษย์เงินเดือนอย่างผม ที่รายได้ส่วนหนึ่งมันขึ้นอยู่กับยอดขายสินค้าในแต่ละเดือน ได้รับผลกระทบอย่างหลีกไม่ได้ ใบทวงหนี้จากหลากหลายสำนักกฎหมาย ดาหน้าทยอยวิ่งเข้ามาหาไม่หยุดหย่อน เสียงมือถือดังสั่นไม่ว่างเว้น
เครียด.ด.ด. ครับ ผมเกิดอาการเครียดที่ค่อยๆสั่งสมจนหนักอึ้ง ความสนุกในการทำงานในแต่ละวันเริ่มลดน้อยถอยลง จนกลายเป็นความเบื่อหน่าย
ก่อนกลับเข้าห้องเช่าในเย็นวันนั้น ผมจอดรถเครื่องแวะร้านขายของชำเล็กๆหน้าปากซอย ที่มีคนเดินเข้าเดินออกมากหน้าหลายตา แม้ไม่เคยได้พูดคุยกัน แต่ก็ดูเหมือนกับว่าพวกเราคุ้นเคยกัน นั่นก็เพราะได้เห็นผ่านกันทุกวันที่ร้านขายของชำแห่งนี้ ขี้เมาวัยลุงเจ้าประจำที่ผมจำได้ดีแต่ไม่สนิทนัก เพราะบ่อยครั้งที่ผมเคยนั่งดวดเหล้าและตบยุงด้วยกันกับแก แกยึดม้าหินอ่อนตัวกลมสีเขียวหน้าร้าน ส่งเสียงตะโกนเชิญชวนผมเหมือนทุกครั้ง ผมรับมิตรภาพของแกมาหนึ่งจอก เป็นเหล้าขาวดีกรีหนักอันร้อนผ่าวเมื่อตกถึงท้อง ก่อนขอตัวกลับห้องเช่าที่อยู่ท้ายซอย เหล้าแสงโสมหนึ่งแบนถูกยื่นมาแลกเปลี่ยนกับเงินแปดสิบบาทของผม พออ่านถึงตรงนี้ผมเชื่อแน่เลยว่า แม่คงได้แต่ส่ายหัวกับพฤติกรรมของผม ผมไม่ได้ติดเหล้านะครับ แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะหยุดหรือเลิกตอนนี้
วันนี้ผมอยากดื่มคนเดียว อยากเมาคนเดียว ก็เหมือนหลายๆครั้งที่ผมเคยทำ ผมอาบน้ำชำระร่างกายอย่างลวกๆ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมือสองรุ่นเก่ายี่ห้อซัมซุง ที่ผมซื้อเอาไว้เพื่อหอบเอาไปให้ลูกๆที่โคราช ถูกเปิดก่อนหน้านั้น ผมเปิดเหล้าแสงโสมโดยไม่ต้องปรุงแต่งให้เสียเวลา ก่อนกระดกลงท้องอย่างสาใจ บลูธูทเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ผมเดินหาซื้อมาตลาดนัดสามแยกกระทุ่มแบน ด้วยราคาหนึ่งร้อยบาท เหล้าที่เปิดเมื่อครู่เริ่มถูกเร่งกระดกไหลหลงคออย่างกระชั้น ผมกะว่าวันนี้ จะนั่งดื่มเหล้าเข้าอินเทอร์เน็ต
ซดเหล้ากำลังจะร้อนคอ..และไหลรื่น ทันใดนั้น..เสียงสั่นของมือถือที่วางอยู่บนโทรทัศน์สีสิบสี่นิ้วดังครืดครืด ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นแม่ที่โทรมาแต่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ภรรยาสุดที่รักและลูกๆที่คิดถึงก็ไม่ใช่ หากแต่เป็นเสียงใสหวานของใครบางคนที่ผมไม่รู้จัก แค่เสียงตอบรับสายผมก็รู้ได้ทันทีได้เลยว่า เสียงหวานๆใสๆน่าฟังของเธอคนนี้ ต้องมาพร้อมกับแบกภูเขาลูกใหญ่อีกลูกที่หนักอึ้งมาวางทับผมอีกเป็นแน่ ซึ่งลูกก่อนหน้านี้ผมกำลังจะทลายด้วยน้ำสุรา และกำลังจะพอทุเลาเบาบางลงมานิดหนึ่งแล้ว สองนาทีผ่านไปผมเจรจาอย่างพลิ้วไหวและนิ่มนวลที่สุด หลายๆคำถามจากเธอสรุปโดยรวมๆแล้ว ช่วงที่กำลังเพลิดเพลินเพราะฤทธิ์สุราแบบนี้ ผมตอบได้ง่ายมากกับทุกๆคำถาม นั่นคือ "ตอนนี้ผมยังไม่มีเงินครับ" จะว่าไปแล้วผมเองก็รู้สึกอายอยู่เหมือนกันนะแม่ ที่พูดออกไปได้แค่นั้น แต่มันก็....ได้แค่นั้นจริงๆ
เมื่อแน่ใจว่าคงไม่เสียงเข้ามารบกวนแน่แล้ว ผมยกเหล้ากระดกลงคอต่อ ว่าจะไม่เครียดมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดและหวังไว้ ใจหนึ่งก็อยากปิดห้อง แล้วกลับลงไปนั่งร่วมวงกับลุงที่หน้าปากซอย แต่ก็ไวกว่าความคิดมือถือเจ้ากรรมก็ดังขึ้นอีก เป็นการโทรมาเตือนแจ้งการชำระบัตรอีกเจ้า ใบหน้าที่เริ่มมึนชาจากฤทธิ์สุรามากขึ้น ผมก็สามารถตอบได้แบบง่ายๆอีกตามเคย เหมือนเจ้าแรก “ครับ ครับ ผมจะพยายาม” ก่อนจะวางสายจากกันไป ทิ้งไว้ซึ่งความเซ็งให้กับผม ที่เร่งกระดกจนพร่องไปครึ่งแบน
ผมเดินวนไปมาระหว่างประตูห้องกับโต๊ะคอมพิวเตอร์เตี้ยๆ สลับแหงนมองเพดานเป็นครั้งคราว ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ผมอึดอัด แต่มันก็เริ่มคลายลงเมื่อน้ำเหล้ามันวาบหายลงคอไปอีกหนึ่งอึก ผมตัดสินใจลงนั่งที่หน้าจอ พัดลมตั้งโต๊ะจ่อหน้าผมปลิวกระเซิง ผมเข้าผ่านเวบกูเกิ้ล เปิดภาพโป๊ดูอย่างเลื่อนลอยไร้อารมณ์ ไม่ถึงห้านาทีผมก็เบื่อ เสียงโทรทัศน์ที่เปิดไว้เป็นเพื่อน ก็ดูน่ารำคาญ แต่ผมก็ต้องเปิดมันทิ้งไว้อย่างนั้น ผมกลับมาที่กูเกิ้ลอย่างไม่รู้จะทำอะไร
ผมลองพิมพ์ตามที่สมองมึนๆผมคิดอยู่ตอนนี้ "เบื่อการทวงหนี้" ผมพิมพ์ค้างได้แค่นั้น ด้วยกำลังคิดอยู่ว่าจะพิมพ์ต่อว่าอย่างไรดี ระบบค้นหาของกูเกิ้ลก็ฉับไวแสนรู้ ขึ้นพรืด ด้วยความมึนจากฤทธิ์เหล้า เมาส์ถูกกดค้นหาอย่างไม่ตั้งใจ รายการลิงค์ขึ้นมายาวเฟื้อยหลายหน้า ผมไล่อ่านจนมาสะดุดที่ลิงค์ของเว็บหนึ่ง “คอนซูเมอร์ไทย” เป็นของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในหมวดของเว็บบอร์ดของคนยิ้มสู้หนี้ ที่เกิดจากการตามทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นบอร์ดที่พึ่งเปิดตัวชมรมได้ไม่นาน ผมตั้งใจและเปิดอ่านหลายๆกระทู้ที่โชว์อยู่
จากการไล่อ่านเนื้อหาแบบผ่านๆประมาณสิบนาที ผมเกิดความชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เดียวดาย เพราะมีหลายๆคนที่เป็นเหมือนผม เหล้าถูกยกพรวดด้วยความฮึกเหิม ที่กำลังก่อเกิดขึ้นในใจ ผมอ่าน...แล้วก็อ่านอย่างจริงจังอีกครั้ง จนอยากจะร่วมถามในกระทู้แต่ก็ไม่ได้ เพราะผมยังไม่มีอีเมล์ที่ต้องใช้ในการกรอกข้อมูล การเข้าเป็นสมาชิกร่วมถามในบอร์ด จึงเป็นอันว่าต้องหยุดไว้แค่นั้น ด้วยเหตุผลที่ผมไม่มีความรู้เรื่องอีเมล์เลย วันนั้นเกือบห้าทุ่มที่ผมขลุกอยู่ในบอร์ดนั้น ผมอ่านแล้วก็พยายามจำด้วยสมองที่กำลังมึนเมา และคล้ายๆกับว่าความเมาจะบอกให้ผมเลิกอ่านเถอะ นั่นล่ะผมจึงหยุดและเข้านอนตอนเกือบๆเที่ยงคืน
ผมรู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะ ทันทีที่ลืมตาตื่นตอนเช้ามืด ความสดชื่นปลอดโปร่ง ไร้ซึ่งวี่แววของความกระปรี้กระเปร่า มันเป็นอาการเมาค้างที่เกิดกับผมอยู่บ่อยๆ หากจะให้นับครั้งก็คงไม่ได้ เพราะผมจะดื่มแทบทุกวัน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมในขณะนั้นจะพาไป เมื่อคืนผมดื่มและก็หลับลงได้ง่ายๆสบายๆด้วยความเมา แต่ก็ตื่นขึ้นมาด้วยความปวดหนึบที่หัวจนไม่อยากทำงาน ซึ่งต่อมา ความขี้เกียจและอาการเมาค้าง ก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งผมได้ ผมต้องฝืนยันกายลุกขึ้นอาบน้ำไปทำงานอย่างจำใจ
ด้วยความที่ผมเพิ่งเรียนรู้โลกอินเทอร์เน็ตใหม่ๆ เว็บไซต์ ที่น้องๆแนะนำมากมายหลากหลายเว็บไซต์ ผมจำได้และใช้บริการก็แค่ google ที่เดียวเท่านั้น คุณประโยชน์ของอีเมล์ ผมก็พึ่งจะมาทราบเอาในภายหลัง เพราะแรกๆ ด้วยความคึกคะนองเมื่อเจอโลกใหม่ในขณะนั้น ผมคล่องและถนัดท่องเว็บสำหรับผู้ใหญ่เสียเป็นส่วนมาก จึงไม่ใคร่ใส่ใจกับความรู้ด้านอื่นๆเลย จนมาเจอเว็บบอร์ดของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งความต้องการที่จะเข้าเป็นสมาชิกมีมากเกินจะรอ
ผมได้รับการแนะนำอีเมล์แบบจริงจังจากน้องๆที่ทำงาน จึงได้รู้ว่า E-mail หรือ Electronics Mail คือ ไปรษณีย์ระบบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นบริการที่ใช้รับส่งข้อความ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มีโครงสร้างของบริการคล้ายกับจดหมายทั่วๆไป เหมือนที่ผมเขียนส่งมาให้แม่นี่ล่ะ ที่ส่งทางไปรษณีย์ แต่อีเมล์เป็นระบบสื่อสาร ผ่านระบบ มีการระบุชื่อที่อยู่ของผู้รับและผู้ส่ง หัวข้อเรื่อง เนื้อความ อีกทั้งยังสามารถแนบไฟล์ข้อมูลอื่นๆ ซึ่งอาจเป็นไฟล์เอกสาร ไฟล์ภาพ ไฟล์วิดีโอ หรือไฟล์เสียงมากับอีเมล์ได้อีกต่างหาก อือ... เป็นไงครับแม่ คุณสมบัติที่คนสมัยใหม่เขาพากันเรียกว่า “อีเมล์”
ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ครั้งแรกของการมีอีเมล์ หลายๆที่ถูกแนะนำให้ผมเลือก ท้ายที่สุดผมก็ได้ฟรีอีเมล์ของ yahoo เป็นของตัวเอง และทดลองใช้รับส่งระหว่างน้องในที่ทำงาน ความสนุกและตื่นเต้นต้องหยุดลงและหายไปชั่วครู่ใหญ่ เมื่อสาวเสียงใสที่ผมไม่ปรารถนาใคร่อยากได้ยิน เธอโทรเข้ามาอีกครั้งในตอนสาย จากการเจรจาพาทีที่ดูราบเรียบ ถ้อยทีถ้อยอาศัยในช่วงแรกๆ นานเข้า ผมเริ่มถูกเธอค่อนขอดขบแขวะ เมื่อผมยังคงพูดแต่คำเดิมๆ ผมเริ่มที่จะไม่อายกับการแก้ตัวผัดผ่อนหนี้ของผม เมื่อสาวเสียงใสดุจนางฟ้า กลับกลายเป็นนางมารใจร้ายได้ในภายหลัง ผมทำงานอย่างสะเปะสะปะ จากเสียงใสๆผลัดเปลี่ยนมาเป็นเสียงห้าว จากนั้นก็เป็นเสียงแก่ๆ ทยอยโทรเข้าไม่ขาดระยะ จากช่วงสายๆจนเกือบบ่าย แม้กระทั่งเที่ยงวันกลางวงข้าวก็ไม่มีเว้น
อาการเมาค้างของผมหายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายกลับสู่สภาพปกติเมื่อตอนบ่ายโมง ผมกลับเข้ามานั่งประจำโต๊ะทำงานอีกครั้ง แอร์เย็นๆช่วยให้สมองผ่อนคลายลงได้พอสมควร ผมมุดเข้าไปโลกอินเทอร์เน็ตอีก สมัครสมาชิกของชมรมคนยิ้มสู้หนี้เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2549 เพียงแค่นาทีแรกที่ลงมือโพสต์ไป ผมได้รับความรู้สึกมากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับผม ทุกๆครั้งที่โพสต์ข้อความหรือกระทู้ของผมลงไป ผมจะคอยตามติดตลอด และจะรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนาน และชุ่มชื้นใจมากเมื่อมีคนเข้ามาพูดคุยในกระทู้ของผม โดยในวันแรกผมยอมรับว่าติดงอมกับการถามตอบพูดคุยผ่านกระทู้ และรู้สึกว่าชอบเอามากๆ
จากคนที่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายเลยแม้แต่นิดเดียว ผมก็ได้รู้จากการหมกมุ่นอยู่ที่เว็บบอร์ดแห่งนี้ ผมได้รู้ว่าคดีแพ่งกับคดีอาญาต่างกันอย่างไร และก็ได้รู้ข้อกฎหมายอีกหลายๆข้อ ผมได้รับรู้ว่ามีการทวงหนี้จากสำนักงานกฎหมาย การพูดจาดูถูกลูกหนี้ที่ไม่ได้มีเพียงผมคนเดียวที่เจอกรณีแบบนี้ สำนักงานกฎหมายส่วนใหญ่จะเล่นนอกเกม ในสภาวะที่กะท่อนกะแท่นทางการเงินของผม ผมเริ่มมีข้อมูลในการปลดหนี้ตามสภาพที่ตัวเองเป็นอยู่ บัตรใบไหนที่ผมพอจะควบคุมได้ผมก็พยายามส่งตามปกติ แต่มีอยู่หลายรายที่ผมยอมปล่อยและอดทนกับการทวงถามที่มีหลากหลายรูปแบบ มือถือที่ผมใช้ถูกเปลี่ยนเบอร์เป็นว่าเล่น
หนึ่งปีกับเว็บบอร์ดที่ทรงคุณค่าแห่งนี้ เป็นหนึ่งปีที่ทำให้ผมแข็งแกร่ง ไม่ใช่แข็งแกร่งทางการเงินนะครับ หากแต่ผมมีความเคยชินกับการถูกตามทวงหนี้นั่นเอง จนกลายเป็นความชินชา นั่นล่ะคือสิ่งผมบอกว่าตัวเองแข็งแกร่ง แต่จะว่าไปแล้ว หากจะบอกว่าตัวเองหน้ามึนหน้าด้าน อันนี้ก็น่าจะใช่ จริงๆแล้วการตามทวงของสำนักงานกฎหมายเมื่อเปลี่ยนมือกันไป พวกเขาก็ใช้แต่รูปแบบเดิมๆในการตามทวง นี่ละที่ผมบอกว่ามันแกร่งเพราะความชินชา จากการเล่นนอกเกมของสำนักงานทวงหนี้อยู่เรื่อย
เมื่ออยู่นานเข้าจากสมาชิกธรรมดา ผมก็เริ่มได้รับความเชื่อมั่นจากสมาชิกรุ่นใหม่ๆ จนถูกจัดว่าเป็นกูรูเป็นผู้รู้ จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายหรอก เพียงแต่ว่าผมเป็นคนจำแม่น และก็อยู่มานานเท่านั้นเอง เพราะยังมีอีกมายหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่รู้ แต่ก็พยายามกระเสือกกระสนอยากรู้ไปหมด
ผมเริ่มรู้สึกโอ่พองตัวเองที่มีคุณชื่นชม ในแต่ละวันผมจะเพลิดเพลินไปกับการอ่านและแจมกระทู้ หากวันไหนที่ผมไม่ได้เข้าเว็บบอร์ด หรือเข้าบอร์ดไม่ได้ ผมจะรู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวาย ต่อให้ดูเว็บโป๊ฆ่าเวลามันก็ไม่หาย แม้กระทั่งรู้ทั้งรู้ว่าบอร์ดหยุดปรับปรุง ผมก็ยังไม่วายที่จะคลิ้กเข้าไปเปิดดู ผมไม่ได้อยากเข้าไปทำตัวเป็นผู้รู้หรือตอบปัญหาให้กับใครๆถึงขนาดนั้น จนผมเริ่มแน่ใจแล้วว่า อาการที่เกิดขึ้นกับผมแบบนี้ ผมสรุปเอาเองว่าผมติดบอร์ด ติดการอ่านถามตอบผ่านกระทู้นั่นเอง
วันหนึ่งด้วยความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของผม เมื่อผมคิดว่าตัวเองเก๋าบอร์ด มีใครคนหนึ่งมาโพสต์และใช้คำพูดขัดหูขัดตา ผมจะสวนกลับทันที โดยไม่ต้องยั้งคิด ครั้งแรกที่ผมถูกล็อกกระทู้จากผู้ดูแลระบบ ผมรู้สึกโมโหจนด่ากราดไปทั่วบอร์ด ผมเกิดความรู้สึกน้อยใจและไม่อยากอยู่บอร์ดแห่งนี้อีกแล้ว แต่ผมก็ยังเข้าไปอ่านอยู่ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรและบวกกับความเซ็งที่กระทู้ตัวเองถูกล็อกและก็ลบทิ้งไป ผมเหลือบไปเห็นลิงค์เพื่อนบ้านที่กระพริบอยู่แถบข้างๆ ซึ่งผมก็เห็นมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยคลิ้กเข้าไปเลยสักที
ผมคลิ้กเข้าเว็บบอร์ดของโทรโข่ง โดยที่ไม่รู้หรอกว่าเป็นบอร์ดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร แต่ก็คลิ้กเข้าไป อย่างไม่หวังผล ผมหลบจากบอร์ดที่มีพื้นสีส้มที่ผมเห็นจนชินตา โผล่เข้าสู่บอร์ดใหม่ที่มีแบกกราวด์เป็นโทนสีน้ำเงิน เนื้อหาของบอร์ดจะเน้นที่การร้องเรียนเป็นหลัก ชื่นชมก็มี คุยสัพเพเหระก็เพียบ ผมเข้าสมัครเป็นสมาชิกของเว็บโทรโข่ง ด้วยชื่อล็อกอินว่า “จองจำ” ที่ผมใช้ชื่อนี้ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าหนี้บัตรเครดิตของผมยังไม่มีวี่แววที่จะทุเลาเบาบาง เหมือนตัวเองถูกจองจำเวียนวนเดินเป็นวัวพันหลักอยู่ จึงใช้ชื่อนี้มันเสียเลย
ที่นี่เป็นบอร์ดเพื่อนบ้านของคอนซูเมอร์ไทย เน้นเรื่องของการร้องเรียนเป็นหลัก เช่นผู้บริโภคร้องเรียนผู้ขายถึงคุณภาพสินค้าที่ไม่ค่อยประทับใจ ประชาชนตาดำๆร้องเรียนการให้บริการที่แย่ๆจากหน่วยงานของรัฐ การตามหาคนที่สูญหายก็มีการตั้งกระทู้ตามหากันที่นี่ แม้กระทั่งปัญหาหัวใจเรื่องของความรักที่ละเอียดอ่อน ก็สามารถแลกเปลี่ยนทรรศนะกันได้ที่นี่ ผมจึงคิดว่าที่นี่มีอะไรที่เป็นประโยชน์หลากลายดีทีเดียว สมาชิกแต่ละท่านก็ช่วยกันถามตอบอย่างดูครึกครื้น วันรุ่งขึ้นและวันต่อๆมา ผมได้ตั้งและเลือกที่จะเข้ามาที่บอร์ดโทรโข่งนี้ก่อนทุกครั้ง แล้วค่อยแวบตัวเองเข้าไปยังบอร์ดคอนซูเมอร์ไทยในภายหลัง
จากที่ติดแค่บอร์ดแรกคอนซูเมอร์ไทยบอร์ดเดียว ผมเพิ่มบอร์ดโทรโข่งมาอีกเป็นแห่งที่สอง ดังนั้นทุกๆวัน เว้นวันอาทิตย์ ผมจะเข้าไปสำแดงโวหารเที่ยวแจมกระทู้ของเพื่อนๆตามแต่ความอยากและความเหมาะสม ของหัวข้อกระทู้ที่ได้เห็น จนผมเริ่มคิดว่าตัวผมเองไม่ใช่น้องใหม่แล้วนั่นแหละ ผมถึงกล้าที่จะแซวกล้าที่จะพูดเล่นกับเพื่อนๆสมาชิกท่านอื่นๆ
หนึ่งเดือนต่อมาที่บอร์ดโทรโข่ง สมาชิกของบอร์ดหลายๆคนก็คงรู้ด้วยว่า ภายในระยะเวลาที่ผมเข้าบอร์ดมา นายจองจำเป็นสมาชิกที่กวนส้นเท้าเข้าขั้นใช้ได้ทีเดียว
แล้วอยู่ๆก็เหมือนมีสายฟ้าฟาดหล่นมากลางหัว ผมเกิดหมางใจและทะเลาะกับสมาชิกในบอร์ด จนถูกบล็อกห้ามเข้าใช้บอร์ด ซึ่งผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องมันมาจากสาเหตุอะไร
ก่อนหน้านั้นผมเคยถูกลบกระทู้ที่ผมตั้งขึ้นมาเป็นว่าเล่นจากการโหวตของเพื่อนสมาชิก ล็อกยูเซอร์ไปสองสามครั้ง ด้วยความด้านของผมและเสียงเรียกร้องจากสมาชิกที่หลงใหลในตัวผม (ว่าเข้าไป ฮ่า ฮ่า) แต่ผมก็กลับเข้าไปใหม่ในชื่อเดิม แถมยังแสดงสันดานดิบๆเถื่อนๆออกมานับครั้งไม่ถ้วน ผมกลับเข้าไปที่ในบอร์ดโทรโข่งอีกครั้ง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยังคงยึดมั่นกับชื่อเดิม ผมตัดสินใจตั้งกระทู้ขึ้นมาอีกจากที่ถูกโหวตลบไปและเหลืออยู่ไม่กี่กระทู้ “บ้านผมหนาวแล้วครับ” ก็พูดถึงโคราชบ้านเอ็งนั่นแหล่ะแม่ ซึ่งผมเองก็คิดอยู่ว่านี่คงเป็นกระทู้ที่ธรรมดาคงมีคนเข้ามาแจมไม่กี่คนก็คงผ่านๆไป และก็เป็นอย่างที่ผมคิดและคาดเดา มีท่านอื่นๆมาแจมแล้วก็ไป
อาทิตย์หนึ่งผ่านไป เพื่อนสนิทกับผมสองคนยังคงแน่นหนึบกับกระทู้ของผม กระทู้บ้านหนาวก็เริ่มแรงแล้วก็แรงขึ้นเรื่อย พวกผมทั้งสามคนไม่สนใจใคร ซึ่งอาจจะมีคนหมั่นไส้อยู่บ้างล่ะ พวกเรายังคงคุยกันในกระทู้อย่างต่อเนื่องและเมามัน (เป็นบางครั้งครับ) เกือบเดือนที่กระทู้บ้านหนาวของผมยืนหยัดอยู่ได้อย่างหน้าไม่อาย
ผมได้เขียนชีวิตรักในวัยเรียนของผม ผ่านกระทู้นั้น มันเป็นการเริ่มต้นขีดๆเขียนๆเป็นครั้งแรก โดยมีเพื่อน ....ใช่ครับ พวกเขาคือเพื่อน ผมสัญญากับใจของผมเองว่าคนในโลกออนไลน์คือเพื่อนของผม...และเป็นเพื่อนที่พิเศษไม่ใช่เพื่อนธรรมดา
แต่แล้ว...เหมือนชะตาฟ้าออนไลน์กำหนด มีคนโหวตลบกระทู้บ้านหนาวของผม ผมเกิดบันดาลโทสะอย่างแรง แต่ก็พยายามระงับ
เรื่องที่ผมเขียนยังไม่จบ ผมน้อยใจจนถึงกับขอร้องไหว้วานให้เพื่อนๆของผมลบกระทู้ของผมทิ้งหมดเลย
สุดท้ายบอร์ดโทรโข่งก็มีอันต้องปิดลงไปในเดือนสิงหาคม 2552 สมาชิกโทรโข่งแตกกันไปคนละทิศคนละทาง ผมกับเพื่อนทั้งสองยังคงติดต่อกันเรื่อยมาทางอีเมล์ และได้มาสุมหัวจ้อกันต่อที่เว็บของสมาชิกอาวุโสท่านหนึ่งที่เปิดเว็บไซต์ไว้รองรับหลังจากที่โทรโข่งปิดตัว
โลกไซเบอร์ของผมค่อยๆดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มปีพ.ศ.2552 มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับผม คนที่หลายๆคน ในที่ทำงานมักจะบอกว่าผมเป็นคนบ้านนอกคอกนา เป็นคนที่รอนแรมจากถิ่นฐานมาไกลบ้าน ห่างแม่ห่างลูกเมีย เพื่อแสวงหาความสุขสบายให้กับอนาคตของครอบครัว
จากการได้พบเพื่อนๆบนโลกออนไลน์ ที่หลายๆคนมักจะบอกว่าเป็นโลกที่ไม่มีตัวตน เป็นโลกที่ไม่มีความจริงใจเสแสร้ง แต่ผมอยากจะบอกแม่ว่ามันไม่จริงเสมอไปหรอกครับ กับคำพูดและความเข้าใจอย่างนั้น
ทุกอย่างไม่มีอะไรที่เต็มร้อย มีขาวก็ย่อมมีดำ ไว้วันหลังผมจะเขียนมาเล่าให้แม่ฟังต่อนะครับ....ผมและครอบครัวสบายดี ไว้ว่างๆหยุดงานหลายๆวัน ผมจะกลับไปพาหลานๆไปเยี่ยมนะครับ
รักและคิดถึงแม่นะครับ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553
กราบเท้าแม่ที่เคารพรัก
วันนี้เป็นวันแห่งความรักครับ แต่ไม่ว่าจะวันไหนๆ ผมก็รักแม่เสมอและรักที่สุดครับ ขอให้แม่มีสุขภาพแข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานไปนานๆ จดหมายฉบับนี้ของผมมีบางอย่างที่อยากให้แม่ครับ ซึ่งผมเองก็อยากให้มานานแล้ว ทุกอย่างเมื่อมันมีเหตุมันก็ต้องมีผล อย่างที่ผมได้โทรบอกแม่ว่า หลังที่ผมเคยผ่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มันกลับมาปวดอีกครั้ง สาเหตุผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไรกันแน่ แรกๆมันก็เฉยๆ ตกเย็นและต่อๆมาก็เริ่มปวดหนัก จนต้องนอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเสียหลายวัน แต่นั่นมันก็ยังไม่หายขาด ผมต้องทานยา เป็นระยะๆ ประกอบกับการสวดมนต์ภาวะนาตามที่แม่แนะนำทุกเช้าเย็น จนผมคิดว่าสิ่งที่แม่เป็นห่วงและวอนขออยู่บ่อยครั้ง บัดนี้ผมคิดว่าน่าจะให้แม่ได้ ผมไม่แตะเหล้ามาได้รวมๆแล้ว....เดี๋ยวนับก่อนนะแม่ หนึ่ง สอง สาม โอ้โฮ!! เกือบๆแปดเดือนแล้วครับ
จากจดหมายฉบับที่แล้ว ผมเชื่อว่าแม่คงมึนงงกับหลายๆคำพูดของผม แต่ผมเชื่อว่ามันไม่เกินความสมารถของแม่แน่ที่จะเรียนรู้ ทำไงได้ครับแม่ มันเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ยุคนี้สมัยนี้มันไฮเทคจริงๆ ผมขอเล่าถึงเพื่อนๆและการท่องโลกออนไลน์ของผมต่อนะครับ ฉบับนี้ก็เช่นกัน ภาษาแห่งโลกเทคโนโลยียังคงต้องมีให้แม่มึนงงอยู่เหมือนเดิมครับ
ผมกลับเข้าไปที่บอร์ดคอนซูเมอร์ไทยอีกครั้ง บอร์ดมีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่ แต่ก็ยังคอนเซบเดิมคือ ให้ความรู้เกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้ บางคนอาจมองว่าที่นี่สอนให้คนชักดาบ แต่ผมจะมองและคิดในแง่และมุมมองของฐานะลูกหนี้ที่อยู่ในสภาพอับมุม ยิ่งมาเจอเจ้าหนี้หรือผู้ตามทวงเล่นนอกเกมอยู่บ่อยๆ หากไม่มีข้อมูลจากที่นี่ ผมว่าลูกหนี้หลายๆคนอาจจะได้ผูกคอตายจากการตามบดบี้นอกตำราของอีกฝ่ายกันบ้างล่ะ
ผมเปิดกระทู้ขึ้นอีก ด้วยหัวกระทู้แบบเรียบๆธรรมดาๆ ว่า “เรื่องเล่าเบาๆของหลานเท้าสุระฯ” โดยที่ผมไม่ได้เขียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเป็นหนี้เหมือนสมาชิกท่านอื่นๆ หากแต่ผมเขียนชีวิตช่วงวัยหนุ่มก่อนที่จะบวชให้แม่ ผมจะเขียนเล่าพร่ำพรรณนาไปเรื่อย และนี่ผมก็ถือว่าเป็นการเขียนที่ยาวมากทีเดียว แต่นั่นก็เป็นการเขียนที่ไม่มีหลักการอะไร มันเป็นการถ่ายทอดคำพูดที่ออกมาจากสมองเสียมากกว่า แฟนคลับของบอร์ดที่นี่เค้ารู้จักผมดี ต่างก็เข้ามาคอมเม้นต์ ชื่นชมพอหอมปากหอมคอ
เพียงสามวัน ผมก็จบเรื่องเล่าที่กระทู้ของผมได้ แม่ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมผมถึงเขียนได้เร็วจัง ผมได้พิมพ์ไว้ก่อนหน้านั้นแล้วตั้งห้าหกวัน ตรวจทานคำผิดอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมดเสียทีเดียว เพราะต้นฉบับของผม เป็นสมุดงานที่สร้างขึ้นมาจากโปรแกรม Excel ไม่ใช่โปรแกรม Word ที่จะมีการตรวจสอบคำผิดให้โดยเสร็จสรรพ พึ่งมารู้เอาภายหลังว่า ตัวผมเองโง่งมอยู่ตั้งนานเรื่องการใช้โปรแกรมพวกนี้ในการพิมพ์เอกสาร เห็นไหมครับว่า คอมพิวเตอร์มันยังมีอะไรอีกหลายต่อหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ แม้จะคลุกคลีมานานแรมปี นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกของแม่คนนี้จะเก่งและรู้ไปหมดเสียทุกอย่าง
เดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็หนึ่งปีพอดี ผมดีใจสุดๆที่สามารถยกภูเขาลูกหนึ่งออกจากอกไปได้ จากทั้งหมดห้าหกลูก ผมปิดบัตรเครดิตใบแรกที่รบราวาศอกกันมานานแรมปี ด้วยยอดเงินหมื่นกว่าบาท เออ...มันรู้สึกโล่งครับกับเงินหมื่นกว่าๆที่ได้คืนหนี้เขาไป แม้จะดูเหมือนกับว่าเราเอาเปรียบที่จ้องจะหักคอเจ้าหนี้ โดยการขอลดยอดปิดแบบสะบั้นหั่นแหลก แต่เมื่อมันเกิดผลสำเร็จผมก็ดีใจครับ คิดเสียว่ามันสมเหตุสมผลต่อการบอบช้ำของหัวใจดวงน้อยมาแรมปี
มันเป็นใบแรกครับจึงต้องดีใจกับมันหน่อย เหล้า...เหล้าอีกแล้วครับ ผมฉลองให้กับการปิดบัตรใบแรกได้ ด้วยการแวะร้านขายของชำที่เดิม วันนี้ผมเลี้ยงเหล้าสีให้กับลุงเจ้าประจำ และนั่งตบยุงคุยกันจนเกือบสามทุ่ม แต่ผมก็ยังไม่ถึงกับเมามายจนป้อแป้ ผมยังพอมีสติอาบน้ำอาบท่า และนั่งดูโทรทัศน์สลับกับจิบเบียร์อีกกระป๋องต่อที่ห้องเช่า ผมคิดถึงเงินที่โอนไปปิดเจ้าหนี้ในวันนี้ แล้วกลับมานั่งมองกระปุกออมสินใบใหม่ต่อ ผมซื้อกระปุกใบใหญ่นี้มาใหม่ ด้วยหวังว่าจะเจียดเก็บไว้คืนหนี้พวกบัตรเครดิต ที่ผิดนัดที่เหลืออีกหลายใบ พร้อมกับถอนหายใจสลับกับการจิบเบียร์ไปพลางๆ
เช้าวันอาทิตย์ผมตื่นขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี แม้จะมีอาการเมาค้างอยู่ ผมก็รู้สึกโล่งและมีความสุขกับเช้านี้ ผมกระดกเหล้าที่เหลืออยู่เพิ่มความกระตือรือร้นให้กับตัวเองต่อ ความมีชีวิตชีวาของผมเริ่มขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้น ผมนึกถึงหนี้สินที่กำลังจะหมดไปมันยิ่งคึก นั่นมันก็เป็นเพียงแวบหนึ่งของความคิดผม เป็นความหวังที่เกิดขึ้นอย่างคนคิดอะไรง่ายๆ คงใช่อย่างที่แม่บอกกับผมว่านิสัยแบบนี้ไง ถึงทำให้ผมเป็นคนติดเหล้า ผมตักน้ำใส่ขันพลาสติกออกไปรดน้ำต้นไม้ที่ผมซื้อมาปลูกไว้หลังห้องอย่างอารมณ์เบิกบาน
สายของวันนั้น ผมแบกแหหิ้วเหล้าบิดรถเครื่องออกตามเพื่อนๆที่ชวนกันออกไปหาความสำราญ ด้วยการออกหาจับปลา ยังสวนผักร้างที่ข้างหลังห้องเช่า ห่างไปไม่ถึงสองกิโลเมตร เวลาผมสบายใจผมจะทำกิจกรรมหลายๆสิ่งอย่างมีความสุข วันนั้นทั้งวันผมหมดเหล้ากับการหาปลาไปถึงสองกลมแต่ผมก็ยังสบายใจ
ด้วยขณะกำลังสุนทรีกับบรรยากาศแบบบ้านนอกที่จากมา แล้วโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้น และก็เป็นอย่างที่ผมคิด แม้กระทั่งวันอาทิตย์ วันพักผ่อน แต่เจ้าหนี้กลับไม่พักผ่อน บัตรเครดิตที่มียอดค้างชำระอยู่ประมาณสองหมื่นแปด โทรตามให้ปิดยอดเหมือนเคย
ผมเกิดอาการหงุดหงิดและหัวเสียนิดๆ ขอตัวเพื่อนๆกับห้อง ก่อนอาบน้ำและนอนดูมวยช่องเจ็ดอย่างเซ็งๆ ผมโทรกลับหาตัวแทนเจ้าหนี้เจรจาขอลดยอดเหมือนที่เคยขอ ผมยื่นข้อเสนอไปที่ หมื่นสองพันถ้วน ถ้าหากให้ผมได้ สิ้นเดือนนี้ปิดให้เลย ทางโน้นก็รับปากจะเจรจาให้ ผมรู้สึกกระหยิ่มใจนิดๆหลังจากที่หัวเสียหน่อยๆก่อนเข้าห้อง แม้ผมจะรู้ว่าในกระปุกออมสินอาจจะมีเงินไม่ถึงหมื่น แต่อย่างน้อยๆสมองที่กำลังมึนเมาของผมก็ยังพอจะโลดแล่น ผมเริ่มนั่งเชียร์มวยอย่างออกรสชาติ ด้วยการลุกนั่ง ยึกยักลุ้นตัวไปกับภาพการแข่งขันที่ได้เห็นบนหน้าจอ
ตกบ่ายอีกวัน ฝ่ายตัวแทนเจ้าหนี้คนขยันโทรกลับมาหาผมอีกครั้ง เขาตอบรับข้อเสนอของผมครับ เอาสิ...กล้าให้ผมก็กล้าที่จะปิด ผมขอหนังสือยืนยันการให้ส่วนลด และตอบรับปากจะปิดให้ตอนสิ้นเดือน ผมเกิดความโล่งใจที่การเจรจาเริ่มสัมฤทธิ์ผลอย่างง่ายๆ
สิ้นเดือนมีนาคม 2552 ตามนัดก็มาถึง ใบยืนยันการให้ส่วนลดจากเจ้าหนี้ก็ส่งมาให้ผมเรียบร้อย ผมเอาเงินที่ได้เก็บออมและได้มาจากงานเขียน จริงๆแล้วผมรู้สึกกระดากอายอยู่เหมือนกัน ที่เรียกสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นมาว่า “งานเขียน” เพราะเมื่อเอาไปเทียบหนังสือของนักเขียนดังๆแล้ว มันเทียบกันไม่ได้เลยครับ เงินเดือนถูกเจียดและเอามาเพิ่มเติม ใบที่สองตามติดๆที่ผมสามารถปิดและคืนหนี้ได้ ครึ่งหนึ่งของการทลายภูเขาลูกนี้ มันมาจากเงินที่ได้มาจากการหัดเขียนหนังสือของผมนั่นเองครับ
ผมให้รางวัลกับตัวเองด้วยการหิ้วเหล้าขึ้นห้องเช่าอีกเหมือนเคย วันนี้ผมอยากให้ตัวเองคนเดียว ผมสบายใจแบบเงียบๆ นั่งกระดกเหล้าอ่านหนังสือ เบื่อจากอ่านหนังสือ ผมก็ดูโทรทัศน์ จบจากโทรทัศน์ ผมก็เข้าอินเตอร์เน็ต ผมเริ่มค้นคว้าค้นหาแนวทางการเขียนหนังสือทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข่าว การ์ตูน นิยาย สารพัดที่เป็นหนังสือ เข้าร้านหนังสือเมื่อไหร่ ผมจะยืนอ่านเป็นชั่วโมง หยิบเล่มโน้นจับเล่มนี้
สุดท้ายผมก็เดินออกจากร้านหนังสือโดยมีเพียงหนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียวที่ติดตัวออกมา
จากการค้นหาแนวทางการเขียนหนังสือไปเรื่อยตามอินเตอร์เน็ตของผม จนไปเจอเข้ากับเว็บสำหรับคนวรรณกรรมอยู่เว็บหนึ่ง ผมสมัครเข้าเป็นสมาชิกเหมือนที่เคยทำ เนื้อหาของเว็บจากที่ผมอยู่มาสักระยะ สมาชิกส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างจากที่อื่นๆที่มีการพูดคุยเอาสนุกสนานเฮฮา แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่ชอบนะครับ
ผมเริ่มออกสู่โลกกว้างมากขึ้น เริ่มหัดที่จะเล่นไฮไฟ เล่นเฟคบุ๊ก แม่คงจะงงอีกแล้วล่ะสิ ว่าไฮไฟ กับเฟคบุ๊กมันคืออะไร ผ่านๆไปก่อนครับ เพราะผมเองก็ยังไม่คุ้นเคยและรู้จักมันดีเลยกับสิ่งพวกนี้ จะว่าผมไม่ตั้งใจที่จะเรียนรู้พวกมันก็คงไม่ใช่ หากแต่ผมคิดว่าตัวผมคงแก่เกินไป แก่เกินที่จะเข้าไปและพูดคุยกับเด็กๆวัยรุ่น ผมจึงพยายามสนใจและหาสิ่งที่มันเหมาะสมกับอายุของผมจะดีกว่า ส่วนมากแล้วเวลาผมท่องโลกอินเตอร์เน็ต ผมจะหาเรื่องที่เกี่ยวกับการเกษตรอ่านเสียมากกว่า ผมสามารถขลุกอ่านได้ไม่เคยเบื่อเลยกับเรื่องพวกนี้ ผมคิดถึงวัยเด็กที่เห็นแม่หาบน้ำรดแปลงผัก ผมชอบดูมันโต ชอบดูมันอกดอกออกผลครับ ภาพพวกนี้มันฝังหัวผมมาตั้งแต่เด็กๆแล้วนั่นเอง
แม่คงจำได้นะครับ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2552 วันที่ผมพาลูกๆแวะไปหาแม่นั่นล่ะ วันนั้นผมรู้ว่าตัวเองเป็นลูกที่ชั่วมาก ที่ไม่ทันได้คุยกับแม่จนหนำใจเลย แต่ตัวผมเองกลับเมาแอ๋ พูดจาไม่รู้เรื่องแถมไปทำรุ่มร่ามอาเจียนใส่หน้ากุฏิหลวงพ่อเข้าให้อีก ซึ่งทั้งหมดผมมารู้เอาในภายหลังจากปากลูกเมีย ที่พากันหามผมขึ้นรถกลับโนนไทยในวันนั้น
"พ่อเมาอ้วกใส่กุฏิหลวงปู่"
"พี่น่ะพี่กินไม่ดูกำลังตัวเอง"
ผมก็ได้แค่ฉุกคิดแต่ก็ไม่ได้สำนึกอะไรมาก เพราะแม่เองก็เคยเห็นอาการเมาจนหลับของผมอยู่บ่อยครั้ง
รุ่งเช้าอีกวันก่อนกลับเข้ากรุงเทพ ผมเกิดอาการปวดนิดๆที่หลังเมื่อก้าวขึ้นรถ และรู้สึกปวดหนักขึ้นเมื่อกลับถึงห้องพัก ผมยังไม่สำนึกกับความเจ็บปวด แต่กลับลงไปซื้อเหล้า กะเอามาคลายปวดเมื่อย มันหายครับเมื่อตอนที่เผาเมา แต่พอหายเมาต้องไปทำงาน ผมก็ยังปวดๆเสียดๆอยู่เหมือนเดิม ยาจากหมอที่คลินิกถูกกินไปสองสามวันก็ยังเหมือนเดิม เข้าวันที่สี่ผมไม่สามารถเดินอย่างคนปรกติได้ จึงตัดใจพาตัวเองเข้าโรงพยาบาล
ด้วยความโดดเดี่ยวที่นอนอยูโรงพยาบาล ผมไม่รบกวนครอบครัวไม่รบกวนแม่ที่ต้องเดินทางไกลเข้ากรุงเทพเพื่อมาเฝ้าไข้ผม ผมนึกไปสารพัด นึกถึงวันที่ผมไปหาแม่ด้วยอาการเมามาย นึกถึงสภาพตัวเองที่นั่งโก่งคออ้วกแตกใส่หน้ากุฏิหลวงพ่อ มันคงเป็นผลที่มาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นนั่นหรือเปล่า และผมก็สรุปเอาเองว่า...มันเป็นเพราะสาเหตุนั้นจริงแท้แน่นอน
สิบวันเต็มกับการนอนโรงพยาบาล ผมจึงขอหมอออกจากโรงพยาบาลทั้งๆทั้งที่ยังไม่หายดี เพื่อนๆที่มาเยี่ยมไข้ต่างล้อว่าไม่อยากเหล้าบ้างหรือ นั่นล่ะครับผมถึงนึกได้ว่าผมขาดเหล้าได้ยังไง ผมนึกถึงวันที่กลับไปหาแม่วันนั้น นึกถึงหน้าลูกเมียที่เว้าวอนให้หยุดเสียเถอะ
ผมกลับเข้าไปทำงานอย่างเจ็บๆปวดๆที่หลัง ผมเปิดเข้าโลกออนไลน์แจ้งให้กับเพื่อนๆทราบถึงการหายเงียบไปถึงสิบวันของผม เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มสวดมนต์ตามที่แม่และภรรยาของผมแนะนำ บทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกที่ว่ายาวๆ ผมก็เริ่มสวด ร่างกายผมดีขึ้นอย่างกะทันหันภายในหนึ่งเดือน และจิตใจผมเริ่มสงบมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมกลับไปนึกถึงวันที่ผมไปอ้วกใส่กุฏิพระอีกหลายครั้งๆ เข้าเดือนที่สองผมหยุดกินยา และสวดภาวนายอดพระกัณฑ์ตามปกติ ก่อนจะอธิฐานตั้งใจเลิกเหล้าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป
ผมหยุดการออกจับปลาทอดแหกับเพื่อนๆ ผมหลีกเลี่ยงการฆ่าสัตว์ทุกชนิด แม้กระทั่งยุงและมด ผมหักดิบกับสิ่งมึนเมา จนเพื่อนฝูงล้อว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ ผมก็ฟังครับกับคำสบประมาทของพวกเค้า ผมมีสติขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ลดความเป็นคนขี้โมโหลงไปได้เยอะทีเดียว ทุกครั้งที่ผมสวดมนต์ผมมีความรู้สึกว่าใจของผมนิ่งมาก ผมเริ่มห่างเพื่อนในเรื่องเหล้า แต่ก็ยังสามารถทักทายพูดคุยกันได้เหมือนเดิม ทุกวันนี้อาการปวดหลังผมดีขึ้นจนเป็นปรกติแล้ว
จากวันนั้นถึง ณ วันนี้วันที่ผมเขียนจดหมายถึงแม่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 นี่ล่ะ ผมเหลือภูเขาอีกสองลูกสุดท้าย หากหมดจากสองลูกนี้ไป ผมก็จะได้ส่งแต่ค่าบ้านอย่างเดียว ผมหวังว่าเมื่อค่าใช้จ่ายมันเบาบางลง ผมก็จะได้มีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมเยือนแม่มากขึ้น
โลกออนไลน์ของผมยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ สำหรับผมมันมีคุณมากกว่าโทษ มันเป็นโลกแห่งการแบ่งปันที่ผมได้รับ โลกสื่อสารที่หลายๆคนกลัวกันนักหนากับการหลอกลวง แต่สำหรับผมมันเป็นตัวหนังสือที่จริงใจ เป็นที่ปรึกษาที่ดีเยี่ยมในสิ่งที่ผมไม่รู้ เป็นตัวหนังสือที่มีอิทธิพลกับการดำเนินชีวิตของผม จริงแล้วๆผมอยากจะบอกกับแม่ว่า จากสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นระหว่างผมโลกอินเตอร์เน็ต ปัจจุบันผมรู้สึก (ส่วนตัว)ว่ามันยิ่งใหญ่ครับ เพราะโลกไซเบอร์มีแต่สิ่งดีดีให้กับผม
ผมเขียนมาก็มากพอควร เกรงว่าแม่จะมึนงงกับภาษาของโลกสมัยใหม่ของผม ไว้สงกรานต์ปีนี้ผมจะพาครอบครัว ไปกราบเท้าแม่อีกครั้ง แม่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงกับลูกชายขี้เหล้าคนนี้ ผมไม่ใช่คนขี้เมาอีกแล้ว
บัดนี้ผมมีความมั่นใจว่า ผมทำได้ ทำในสิ่งที่แม่เคยขอมาหลายต่อหลายครั้ง ผมกราบขอบคุณแม่สำหรับกำลังใจที่มีให้กับลูกชายคนนี้มาตลอดระยะเวลา 38 ปีของผม ไว้สงกรานต์ผมจะแวะไปกอดแม่ให้ชื่นใจอีกทีนะครับ
ด้วยความเคารพรัก
คิดถึงแม่..ครับ
ลูกอิติฯ
เมื่อวันที่ : 26 ก.ค. 2553, 10.46 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...