![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
...ฉันเกิดและโตไม่ทันยุคสะพายกระดานชนวนไปโรงเรียน แต่ทันได้พกเหรียญสลึงและเหรียญบาท ดำปิ๊ดปี๋ ใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนไปซื้อขนมกิน เวลาเดินรีบ ๆ มันจะกระทบกันดังกรุ๋กริ๋ง ๆ อยู่ในก้นกระเป๋า...
ฉันเกิดและโตไม่ทันยุคสะพายกระดานชนวนไปโรงเรียน แต่ทันได้พกเหรียญสลึงและเหรียญบาท ดำปิ๊ดปี๋ ใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนไปซื้อขนมกิน เวลาเดินรีบ ๆ มันจะกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง ๆ อยู่ในก้นกระเป๋า ทำให้อุ่นใจ บางคนเอาสายยางรัดไว้ กันมันร่วง อดได้กินขนมสมัยนั้นเส้นหมี่ผัดซอสมะเขือเทศสีแดงแจ๊ด โรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นเป็นเส้นยาว ๆ และถั่วงอก ห่อกับใบตองห่ามแดดสีเหลืองเข้ม ห่อละ ๑ สลึง สมุดปกอ่อน ๒๐ หน้ากระดาษ ราคา ๑ สลึง ยางลบที่ส่งกลิ่นหอมน่ากินเหมือนกลิ่นลูกกวาด ก็แท่งละ ๑ สลึงเหมือนกัน
โรงเรียนของฉันมีรูปทรงคล้ายศาลาวัดหลังเก่า ๆ สังกะสีบนหลังคาโดนสนิมกัดกร่อนเป็นสีน้ำตาลเข้ม แลเห็นเด่นชัดไปแต่ไกล ฝาสี่ด้านกั้นด้วยซี่ไม้ไผ่สานลายลูกแก้ว ปกป้องนักเรียนไม่ให้โดน แดด ลม ฝน กล้ำกรายมาต้องหลายรุ่นแล้ว มีคุณครูผู้ชายหน้าตาดุ ๆ สอนอยู่คนเดียวตั้งแต่ชั้น ป.๑ ยัน ป.๔ บ้านของคุณครูอยู่ห่างจากโรงเรียนราว ๆ ๑ กม. และส่วนมากคุณครูจะมาถึงโรงเรียนหลังเด็กนักเรียนแทบทุกวัน พอมาถึงก็คว้ากระดิ่งทองเหลืองบนโต๊ะของท่านสั่นรัว เสียง กริ้ง ๆ ๆ บาดลึกเข้าลูกหู พวกเด็กนักเรียนที่วิ่งเล่นกันอยู่ตามที่ต่าง ๆ ก็จะกรูกันมาเข้าแถวที่หน้าเสาธง
กระดิ่งแรกเป็นการเตรียมตัว ใครที่วิ่งเล่นมาเหนื่อย ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะวิ่งไปล้างหน้าล้างตาชำระเหงื่อไคลให้สะอาดสดชื่นได้ที่ท่าน้ำหลังโรงเรียน แต่พอกระดิ่งสองก็ต้องมาเข้าแถวและจัดแถวให้เป็นระเบียบเรียบร้อย... เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง ชาย-หญิง ตามลำดับชั้นเรียน
ตอนนั้นฉันกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๓ ในแถวของฉันมีเด็กผู้ชายอยู่ทั้งหมด ๖ คน ฉันตัวเล็กกว่าเพื่อน จึงได้รับเกียรติให้ยืนหัวแถว ถัดจากฉันไปทางซ้ายมือ เป็นแถวนักเรียนหญิงชั้น ป.๓ เหมือนกัน มีอยู่ทั้งหมด ๓ คน เด็กหญิงรัชนี ผอมขี้มูกโป่ง ตัวเล็กกว่าฉัน ได้รับเกียรติให้ยืนหัวแถวเท่าเทียมกับฉัน พอถึงเวรนักเรียนชั้น ป.๓ ทำกิจกรรมหน้าเสาธง ฉันกับรัชนีจะเป็นผู้ออกไปเชิญธงไตรรงค์ขึ้นสู่ยอดเสา เด็กชายประพัฒน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าชั้น จะขึ้นเพลงชาติและนำบทสวดมนต์ไหว้พระ
และในขณะนั้น จะเป็นเพราะฉันเป็นคนผอมและตัวเล็กหรือย่างไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้ฉันเป็นคนขี้หนาวอย่างแปลกประหลาด โดยเฉพาะยามเช้าที่น้ำค้างจับชุ่มอยู่บนยอดหญ้าขาวโพลน มันช่างหนาวเหน็บและเหน็บหนาวเข้ากระดูกดำ จนบางครั้งฉันถึงกับคางสั่น กรามทั้งสองข้างบดกระทบกันดังกราว ๆ ตลอดเวลา แม้แต่จะอายน้ำไปโรงเรียน ฉันก็แทบจะยอมโดนเฆี่ยนแทนการอาบน้ำอยู่ทุกวี่วัน
เช้าวันนั้นไม่รู้ประพัฒน์ซึ่งเป็นหัวหน้าชั้นเรียนของฉันนึกบ้าอะไรขึ้นมา พอมาถึงโรงเรียนเขาก็ชวนฉันไปเล่นน้ำคลองที่ท่าน้ำหลังโรงเรียนทันที
เล่นน้ำคลอง!!!
เช้า ๆ อย่างนี้นะหรือ? บ้าไปได้ ก็ฉันเพิ่งเกือบจะได้ลิ้มรสไม้เรียวของย่ามาหยก ๆ ฐานงอแงไม่ยอมอาบน้ำก่อนมาโรงเรียน...
"ไม่เอาโว้ย หนาวจะตาย"
ฉันรู้สึกขนพอง
"กูจะให้มึงขี่แพ" ประพัฒน์คะยั้นคะยอเป็นคำรบสอง
แพ!!
ฉันนึกวาดภาพของมันอยู่ในใจ ถ้าเป็นแพของพ่อที่กลางป่าดงดิบโน้นละก้อ มันน่าจะลงไปถ่อเล่นจังเลย แต่พ่อบอกว่า แค่ไม้ค้ำถ่อฉันก็ยกไม่ไหว ต้องรอให้โตอีกหน่อยถึงจะถ่อแพของพ่อได้...
"แล้วเมื่อถึงตอนนั้นพ่อก็จะรับผมมาอยู่ด้วยกันที่บ้านไร่แห่งนี้ใช่ไหมครับ"
ฉันแอบถามพ่ออยู่ในใจ ขณะรู้สึกขอบตาทั้งสองข้างกำลังร้อนผะผ่าว เมื่อรู้ตัวว่าถึงเวลาที่พ่อจะต้องพาฉันกลับจากบ้านไร่ไปส่งที่บ้านย่า เพื่อให้อยู่เรียนหนังสือที่นั่นอีกแล้ว
"คุณครูตีตายเลย"
ฉันพูดกับประพัฒน์ ซึ่งตอนนั้นมันหาเพื่อนเล่นน้ำคลองได้แล้ว ๒ คน มี มนัส กับ สุชน นักเรียนชั้น ป.๓ ด้วยกัน
"ว่าแต่มึงอย่าไปฟ้องคุณครูก็แล้วกัน"
ว่าแล้วพวกมันก็ปร๋อไปที่ท่าน้ำ แก้ผ้าชุดนักเรียนกองไว้บนตลิ่ง แล้วพากันกระโดดตูม ๆ ลงไปในคลอง
ฉันอยากเห็นแพที่ประพัฒน์บอก จึงวิ่งตามไปในที่สุด
วันนั้นเป็นวันข้างแรมต้น ๆ น้ำทะเลหนุนขึ้นมาในลำคลองตั้งแต่ตอนหัวรุ่ง ดันน้ำจืดที่ไหลเรื่อยเฉื่อยมาจากป่าดงดิบให้ย้อนกลับขึ้นไปทางเหนือ ทำให้น้ำในคลองหลังโรงเรียนในขณะนั้นเอ่อท้นขึ้นมาจนเกือบปริ่มขอบตลิ่ง เจ้าสามคนนั้นชวนกันเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน และพยายามที่จะพิชิตแพไม้ไผ่ที่ผูกยึดอยู่กับโคนต้นไม้ริมคลองแห่งนั้นเสียให้ได้ ด้วยการพยายามจะป่ายปีนขึ้นไปอยู่บนแพ แต่ทว่า, แม้พวกมันจะพยายามสักเท่าไหร ๆ ก็ไม่สำเร็จสักที เพราะแพลำนั้นเป็นแพเก่า ตะไคร่น้ำจับเขียวพืดไปหมด ไม่รู้ใครเอามาผูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่ได้ย่างกรายมาที่ท่าน้ำแห่งนี้หลายวันแล้ว จึงไม่ได้เห็นมันมาก่อน
ฉันยืนมองไปจากขอบตลิ่งริมคลอง ก็เห็นว่า เหลือกำลังที่พวกมันสามคนจะพิชิตแพนั้นได้ เพราะตะไคร่น้ำที่จับเขียวเป็นพืด เมื่อเปียกน้ำมันก็ลื่นจนจับไม่อยู่... และทันใดนั้นเอง ประพัฒน์-ซึ่งทำท่าว่าจะเป็นผู้พิชิตได้สำเร็จเป็นคนแรก ก็เกิดหมดแรงเอาดื้อ ๆ สองมือที่กำลังไขว่คว้าลำแพ ลื่นไถลหายหลังร่วงตูมลงน้ำ จมมิดไปใต้ท้องคลอง เจ้าเพื่อนสองคนที่เล่นน้ำอยู่ด้วยกันใกล้ ๆ ก็ไม่เฉลียวใจว่าประพัฒน์จะตกน้ำ
ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ครั้นเห็นประพัฒน์จมหายไปนานผิดสังเกต ก็ชักใจเสีย... พอเห็นมันโผล่ขึ้นมาแวบ ๆ ครั้งแรก ห่างจากแพลำนั้นไปตามกระแสน้ำที่ไหลย้อนไปทางเหนือราว ๆ สามวา ก่อนที่มันจะจมมิดลงไปอีก ก็รู้สึกตกใจ และกลัว... ยิ่งเห็นมันพยายามชูแขนขึ้นมากวักมือขอความช่วยเหลือ ใบหน้าที่โผล่พ้นน้ำขึ้นนิด ๆ แสดงอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาสองข้างเถลือกถลนเหมือนคนกำลังจะขาดใจตาย ฉันจึงไม่รีรอ และรีบตัดสินใจทันที
ด้วยความลืมตัว เพราะมัวแต่คิดที่จะช่วยชีวิตเพื่อนให้รอดตาย ฉันจึงตัดสินใจกระโดดตูมลงไปในคลองทั้ง ๆ ที่สวมชุดนักเรียนอยู่ พร้อมตะโกนบอกเพื่อนอีกสองคนนั้นว่า
"เฮ้ย ไอ้พัฒน์จมน้ำ ช่วยกันเร็ว"
วันนั้น นอกจากฉันและเพื่อน ๆ จะโดนคุณครูหวดก้นเสียคนละครึ่งโหล ฐานฝ่าฝืนกฎระเบียบ แอบไปเล่นน้ำคลองโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉันก็ยังต้องทนหน้าด้านนั่งแก้ผ้าเรียนหนังสืออีกครึ่งวัน กว่าชุดนักเรียนที่เอาไปผึ่งแดดจะแห้ง ไม่กล้ากลับไปเปลี่ยนชุดใหม่ที่บ้าน เพราะถ้าขืนกลับไปก็มีหวังได้เจอไม้เรียวรอบสองแน่
ก็เพิ่งจะโดนไม้หวายเส้นเท่านิ้วก้อยของคุณครูมาหยก ๆ จะให้ไปโดนเรียวมะขามของย่าเข้าอีก... ไม่เอาโว้ย-ทนหน้าด้านเอาดีกว่า
บัดนี้วันเวลาแห่งวัยเยาว์ได้ล่วงเลยมาเกือบ ๕๐ ปีแล้ว ฉันกับเพื่อน ๆ ก็กำลังจะย่างเข้าสู่วัยแก่เฒ่าด้วยกันทั่วทุกคน คุณครูท่านอายุยืน เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย... สิริอายุได้ ๙๒ ปี พวกฉันและลูกศิษย์รุ่นอื่น ๆ ทั้งใกล้และไกล ซึ่งบางคนไปทำงานมีครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด เมื่อรู้ข่าวก็มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพของท่านกันทั่วหน้า
และภายในงาน ถึงแม้จะโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์ในการจากไปของครูบาอาจารย์ ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของพวกเรา จะมีการสำรวมสงบกายวาจาอย่างสงบเสงี่ยม หากแต่เมื่อนาน ๆ จะได้เจอหน้าค่าตาพูดคุยและสอบถามทุกข์สุขกันสักครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะถือโอกาสสุมหัวกันเท้าความหลัง... โดยเฉพาะเรื่องที่ฉันต้องทนหน้าด้านนั่งแก้ผ้าเรียนหนังสือในวันนั้น เมื่อเอ่ยถึงมันทีไร ก็มักจะชวนให้แตกแขนงลุกลามไปสู่เรื่องอื่น ๆ ที่มันเปิ่น ๆ ขำ ๆ ให้ได้หัวเราะกันงอหงายไปเสียทุกคราว
"ไม่มีวันนั้นอีกแล้วนะ- -ไข่นุ้ย"
"อือ..."
ฉันพยักหน้าแล้วรีบก้มมองพื้น
ไม่ใช่อะไรหรอก น้ำตามันจะไหล--อายเพื่อน
******************************************
เมื่อวันที่ : 12 ก.ค. 2553, 20.08 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...