![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
..."เงินเดือนออกแล้ว โว้ว.ว.ว.ว... " "เฮ้ย!!! ไอ้แว่น ...ร้านไหนดีวะ" "ไว้ก่อนๆ....เดี๋ยวขอเคลียร์พระเจ้าก่อน" "โอ้โฮ....มึงยกให้เป็นพระเจ้าเลยหรือวะ"...
"เงินเดือนออกแล้ว โว้ว.ว.ว.ว... ""เฮ้ย!!! ไอ้แว่น ...ร้านไหนดีวะ"
"ไว้ก่อนๆ....เดี๋ยวขอเคลียร์พระเจ้าก่อน"
"โอ้โฮ....มึงยกให้เป็นพระเจ้าเลยหรือวะ"
"หึ้ย.ย.ย...กูก็พูดประชดไปงั้นแหละ"
ทุกๆวันที่ 30,31 มันเป็นวันแห่งความสุขของมนุษย์เงินเดือนอย่างผม เพราะวันนี้ จะเป็นการต่อลมหายใจของอีกหลายๆชีวิตในครอบครัว ให้ได้ยืดอกสูดอากาศเข้าปอดได้อย่างเต็มอิ่มไปอีกหนึ่งเดือน มีความสุขครับกับวันนี้...แต่ก็จะมีทุกข์นิดหน่อยที่ปนมากับความสุขอย่างหลีกเสียมิได้ กับการจัดสรรการใช้จ่ายให้พอดิบพอดี เพื่อเงินที่ได้มานั้นอยู่ครบวาระเดือนชนเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการนำเงินในอนาคตมาใช้ จากที่มีทุกข์แค่เบาะๆ อาจกลายมาเป็นทุกข์แบบหนักๆได้ในภายหลัง หากไม่มีการวางแผนการใช้เงินให้ดีๆ
"เงิน" เข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมและครอบครัวมากเหลือเกิน มากซะจนจะทำเป็นแกล้งเมิน ไม่ใส่ใจกับมันคงไม่ได้ เคยนั่งถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งเหมือนกันว่า เรามีชีวิตอยู่..และอยู่..แล้วก็อยู่..มาจนทุกวันนี้เพื่ออะไรกันแน่? เพื่อตัวเราเอง เพื่อพ่อแม่ เพื่อลูกเมีย นั่นน่ะสิ...จริงๆแล้วเราอยู่และทำเพื่อใครกัน หือ.. หรือเพื่อเงินวะ? ใช่แล้ว!!! นี่ล่ะตัวชี้เป็นชี้ตายของผมและอีกค่อนโลก
แรกเริ่ม "เงิน" ถูกกำหนดขึ้นมาโดยสังคมก็คือพวกเราหัวดำหัวแดงหัวเหลืองนี่ล่ะ แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่เรากำหนดติ๊งต่างสมมุติมันขึ้นมา กลับกลายมาเป็นเจ้านายยืนเบ่งอวดอำนาจอยู่บนหัวของเราไปซะนี่ ชีวิตของผมกำลังโดนบีบโดนขีดเส้น ก็จากสิ่งที่คนกำหนดมันขึ้นมาเอง ครอบครัวพ่อแม่ผมเป็นชาวนาปีหนึ่งๆปลูกข้าวได้มากมาย ข้าวในนามีกินไปได้ทั้งชาติไม่เดือดร้อน แต่พวกผมก็เอาข้าวมาขายแลกเงิน เพื่ออะไร? ทำไม ? ความสุขของผมและครอบครัวอีกทั้งกิจกรรมหลายๆอย่างที่ทำแล้ว เกิดความอบอุ่นในครอบครัวต้องใช้เงินเป็นตัวนำทั้งนั้นเลย คนส่วนใหญ่จึงให้มันอยู่บนหัว ผมว่าเงินกับความสุข เดินคู่ไปด้วยกันในหลายๆเรื่อง เพียงแค่หลากหลายเหตุการณ์ที่สร้างความสุขต้องพึ่งเงินเดินนำหน้าอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ถ้ามีเงินแต่ไม่รู้จักใช้ ประโยชน์ที่เกิดจากเงินก็จะด้อยค่าลงทันที
เมื่อเงินเดือนผมที่ได้มามันแค่กะตี๊ดเพียงหยิบมือเดียว เพื่อปากท้องตัวเอง เพื่อพ่อแม่ เพื่อลูกเมีย หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ผมจำต้องเต็มใจยอมรับว่าเงินเป็นปัจจัยแรกที่สำคัญ เพราะเงินมันคือสิ่งที่ใช้นำไปซื้อปัจจัยสี่ เงินนำมาซึ่งอาหารการกิน เงินนำมาซึ่งยารักษาโรค เงินนำมาซึ่งเสื้อผ้าได้ห่มคลุมกาย เงินนำมาซึ่งบ้านและที่อยู่อาศัย และอีกหลายๆอย่างที่พึงมีตามระดับชั้นสังคมของแต่ละคน ผมไม่สามารถปลูกผัก เลี้ยงไก่ ทอผ้า หรือสร้างบ้านได้เองเหมือนในสมัยยุคก่อน
ผมยังต้องการปัจจัยสี่ที่ยุคสมัยนี้ ต้องแลกมาด้วยเงินล้วนๆ ตั้งแต่ผมเกิดมาก็รู้จักการใช้เงินในการแปรสภาพเปลี่ยนเป็นความสุข หากต้องการเสื้อผ้ามาสวมใส่ หรือต้องการอุปกรณ์ในการศึกษาเล่าเรียนก็ต้องใช้เงิน คุณครูก็พร่ำบอกพร่ำสอนและเคี่ยวเข็ญอยู่ตลอดเวลา "ว่าตั้งใจเรียนนะเด็กๆ เวลาโตขึ้นมาเรียนจบออกมาจะได้มีอาชีพการงานที่ดีดี มีรายได้มากมากมีเงินเยอะๆ จะได้อยู่อย่างสบายไม่ต้องลำบาก"
ปกติแล้วผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่จัดการเรื่องการเงินได้ดีพอใช้เลยทีเดียว ใช้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว ตรงนี้ผมถือเป็นก้อนที่สำคัญที่สุด จะขาดตกบกพร่องไม่ได้เป็นอันขาด ต้องไม่ให้เดือดร้อนกันทุกคน เพราะจะทำให้ความมั่นคงในครอบครัวสั่นคลอนได้ ส่วนญาติมิตรผมต้องระวังการใช้เงินจุดนี้ให้เป็นกรณีพิเศษ ไม่อย่างนั้นแล้วหนี้สินจะเกิดขึ้นได้จากส่วนนี้ เพราะรายรับที่น้อย การใช้จ่ายในการสังสรรค์เข้าสังคม การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของผมต้องมีขีดจำกัด ผมเชื่อและรู้สึกตัวเองอย่างนั้น
ผมรู้และสามารถวางแผนใช้จ่ายได้สมดุลทุกๆเดือน การใช้จ่ายเงินของผมที่ทำงานกินเงินเดือน จะใช้จ่ายมากในช่วงต้นเดือน รายจ่ายประจำที่ต้องส่งให้ทางบ้าน ทั้งจ่ายหนี้เก่า หนี้ใหม่ ไหนจะให้รางวัลค่าเหนื่อยกับตัวเอง พอปลายเดือนก็ต้องมาอยู่อย่างประหยัด เป็นวัฏจักรที่วนเวียนอยู่แบบนี้ ปีแล้วปีเล่า แต่สิ่งที่ผมไม่รู้ก็คือ ผมมองหรือเห็นคุณค่าเงินเหมือนกันกับคุณผู้อ่านหรือเปล่า ผมมองว่าเงินคือพระเจ้าที่สามารถประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นจริงได้ดังฝัน ในทางกลับกันคุณอาจมองว่าเงินคือสิ่งที่ซื้อความสุขไม่ได้ทุกอย่างเสมอไป
นักกินอุดมการณ์หลายๆคน กล่าวว่า มีเงินมากมาย ก็มีความทุกข์ มีเงินน้อย ก็มีความทุกข์ เฮ้ย!!! แล้วตกลงอย่างไหนมันคือความพอดีวะเนี่ย ใช่แล้วครับ ถ้าหากถามถึงความพอดี ในเมื่อคนเรามีหลายๆอย่างที่แตกต่างกัน จุดของความพอดีของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน แต่ความพอดีของผมมันอยู่ตรงที่ครอบครัวไม่เดือดร้อน ลูกได้เรียนหนังสือตามความเหมาะสม มีเงินเก็บสำรองไว้บั้นปลายของชีวิต
เงิน คือ อะไร?? ผมคงไม่ค้นหาคำตอบให้มันปวดหัวสมองหรอก ผมรู้แต่ว่าทุกวันนี้เงินเป็นหัวใจหลักสำคัญของการดำรงชีวิตของผมค่อนข้างมาก และของมนุษย์ทุกชนชั้นบนโลกใบนี้ ถ้าผมไม่มีเงินหรือเงินมันขาดกระเป๋า มันจะทำให้ผมเกิดความทุกข์เกิดความเซ็ง ความเบื่อหน่ายต่อชีวิต ถ้าวันไหนผมไม่ได้พกเงินติดตัวออกจากบ้าน มันทำให้ผมมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ผมไม่สามารถทำสิ่งใดๆได้เลย ก้มดูตัวเองมันช่างไร้ค่าสิ้นดี ดังนั้นไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ จะมากหรือน้อย ขอเพียงแค่ให้ได้มีติดตัวออกมาจากบ้านบ้างนิดหน่อยก็ยังดี ไม่มีเงินเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณจะรู้ซึ้งถึงคุณค่าของมัน ไม่เชื่อลองวันใดคุณพี่ออกจากบ้าน แล้วลืมกระเป๋าตังค์ เอ้า!!!ไม่ลืมก็ได้ แต่วันนี้ในกระเป๋าเงินคุณพี่ไม่มีตังค์ซักบาท มีแต่บัตร เอ ที เอ็ม แต่ให้ตายเหอะ ในบัตรก็ไม่มีตังค์ ถามตัวเองหรือยังว่าคุณจะออกจากบ้านไปทำอะไร
มือที่ไม่เคยขาดเงิน เมื่อเวลามันขาดหายไปคุณพี่ก็จะได้รู้ทันทีว่าขาดเงินใช้เนี่ย มันน่าหงุดแค่ไหน? เมื่อยามที่ผมไม่มีเงิน ผมจะมีอาการเศร้าเอาดื้อๆ มันรู้สึกเบื่อไปหมด ไม่อยากพบหน้าใคร ไม่อยากไปอยู่ในแวดวงของเพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่ญาติพี่น้อง และหากเป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเกิดอาการของโรคซึมเศร้า ในที่สุดเราก็จะท้อแท้สิ้นหวัง และหาทางกล่าวโทษโชคชะตา ดินฟ้าอากาศไปเรื่อยเปื่อย โดยที่เคยหันมามองและโทษที่ตัวเองเลย
มีคนถามผมว่า ทำงานมาตั้งนานเป็นมนุษย์เงินเดือนมาตั้งหลายปี จนมีครอบครัว แล้วมีเงินเก็บออมอยู่เท่าไหร่ เรื่องอะไรผมจะบอก ผมก็ถามกลับมั่งซิ แล้วคุณล่ะมีบ้างหรือเปล่า? คำตอบของเขามันก็เป็นคำตอบเดียวกับผม "วันๆเงินยังไม่ค่อยพอใช้จะให้เหลือออมได้อย่างไรกัน" ด้วยความสะเปะสะปะของตัวผมเอง ที่มีหนี้สินตั้งแต่ยังวัยหนุ่ม นั่นเพราะว่า ในวัยหนุ่มโสด ผมสำมะเลเทเมาเที่ยวเตร่ ชนิดเป็นตัวยืนทีเดียว จนมาแต่งงานก็มีแต่ตัวโดดๆมาแบบเดี่ยวๆ ผมก็อยากมีบ้านให้ลูกเมียอยู่อาศัย อยากมีรถ อยากมีทีวี อยากได้ตู้เย็น เหมือนคนทั่วๆไป ความจริงจะพูดไป ก็น่าเศร้าที่ผมทำตัวเหมือนเห่อตามสังคมที่ค่อนข้างจะให้ค่านิยมไปยังความร่ำรวย ทำให้ผมต้องอยู่ในสังคมที่อิงกับวัตถุมากเกินไป เพื่ออะไรล่ะ? ก็เพื่อทำให้ตัวเอง " ดูดี " ในสายตาของผู้อื่นก้เท่านั้นเอง
จะมีคนสักกี่คนกันเล่าเอย ที่จะเห็นถึงคุณค่าของเงินอย่างถ่องแท้และแน่จริง คนบางคนไม่ว่าวัยหนุ่มวัยสาวยันวัยแก่ บางคนทำงานหนักแทบตายชัก เพื่อที่จะได้มีเงินเยอะๆ ตรากตรำตระหนี่ถี่เหนียวมาทั้งชีวิตนั้น สุดท้ายตายไปเงินที่หามาได้ก็มิอาจนำไปใช้ได้ คนบางคน...อย่างผมนี่ไงครับ ทำไปใช้ไป เงินเก็บก็ดันไม่มีกับเขาอีก เกิดวันหนึ่งพอใกล้ตาย ดันป่วยเป็นโรคขึ้นมากะทันหัน ซ้ำร้ายมันดันซวยไปเป็นโรคที่ต้องใช้เงินในการรักษาจำนวนเยอะเข้าไปอีก ทำไงดีล่ะที่นี้ ไม่มีเงินรักษาตัวเอง ตายห่ากันพอดี นี่ไงล่ะผมถึงบอกว่าเงินมันกุมชะตาและกำหนดชีวิตของผมและครอบครัวอยู่
เมื่อเงินมีไม่มากพอ ไอ้โน่นไอ้นี่ก็อยากได้ไปหมด การกู้หนี้ยืมสินของผมก็เริ่มขึ้น กู้ที่ไหนก็ผ่านฉะลุยทุกที่ แต่ก็ใช่ว่าการเป็นหนี้จะเลวร้ายเสมอไปนะครับ ผมมีบ้านจากการกู้ ผมมีรถจากการกู้ เครื่องใช้อื่นอีกมากมายก็มาจากการใช้เครดิต บัดนี้ผมได้นำเงินในอนาคตมาใช้แล้ว แต่การเป็นหนี้ตามระบบนั่นคือการเป็นคนมีเครดิตนะจะบอกให้.....(เหอ เหอ) แต่ควรใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น เมื่อกู้เขามาแล้วก็ต้องจ่ายคืนตามกำหนดและตามจำนวนที่ใช้ แต่ผมไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซิครับ ผมเคยสงสัยว่า ทำไม?สถาบันทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือนอนแบงก์ จึงปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าได้แบบชนิดที่ไม่กลัวจะถูกชักดาบ หรือเบี้ยวหนี้กันเลยหรือไง
ผมอยากได้บ้านธนาคารก็ให้บ้านผม ผมอยากได้รถ ธนาคารก็ให้รถผม นี่ล่ะมั๊งครับ ที่เขาว่าใช้เงินต่อเงิน ดอกผลคือกำไร ซึ่งถ้ามองในแง่ดี การที่ธนาคารให้ผมกู้ง่ายๆได้เงินเร็วๆแบบนี้ ผมก็จะได้นำสินเชื่อ(เงิน)ก้อนนี้เอาไปใช้ได้เลย ไม่ต้องรอเก็บจากเงินเดือนแต่ละเดือน ซึ่งมันคงนานและนานมากกว่าจะได้เงินก้อนใหญ่แบบนี้ ดังนั้นในเมื่อสถาบันปล่อยเงินกู้ ชนิดที่ไม่กลัวถูกชักดาบ และมันก็ง่ายแสนง่าย ผมจึงเป็นผู้กู้ที่ย่ามใจกู้กันแบบไม่ลืมหูลืมตา ท้ายที่สุดก็เข้าทำนอง หมุนจนเซถลาหัวทิ่มคะมำมีหนี้ท่วมหัว
เมื่อชักหน้าไม่ถึงหลัง มันก็ต้องมีหยุดมีค้างจ่ายเป็นธรรมดา ใบทวงหนี้ส่งมาเป็นระลอกๆ โทรตามแบบเทกระหน่ำซัมเมอร์เซล ส่วนไหนสำคัญเช่นบ้าน รถ ผมก็เจรจาผ่อนจ่ายขั้นต่ำ ซึ่งมันก็ยังไม่สามารถทำให้ชีวิตดีขึ้นมาเลย นานเข้าค้างชำระบ่อยครั้งเข้า ทำให้เครดิตเริ่มเสียและหนี้ก็สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกข์นะครับ...เวลาถูกธนาคารตามทวงหนี้ หลับก็ไม่เป็นสุข กินก็ไม่ค่อยจะอร่อย เงิน....แล้วก็เงินตัวเดียวเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้ผมหลุดวังวนแบบนี้ไปได้
ผมมักคิดเสมอว่า มีเงินเยอะเข้าไว้ก่อนแล้วจะมีความสุขอย่างแน่นอน ถามว่าผมคิดผิดไหมที่คิดอย่างนี้ ผมก็จะตอบให้ตัวเองได้เลยว่า "มันก็ไม่ผิดหรอก" เพราะเมื่อผมมีเงิน ผมก็สามารถนำไปใช้หนี้บัตรเครดิต ส่งค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และซื้อสิ่งต่างๆที่ตัวเองต้องการ การที่ผมมีความอยาก...อยากมีเงินมากๆไม่ได้แปลว่าผมฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเห่อวัตถุนิยมตามยุคสมัย ผมมีความพอเพียงอยู่ในตัว แต่คำว่า "พอเพียง" ของผมก็ไม่ได้แปลว่าห้ามรวยนี่ครับ แต่ในขณะเดียวกัน การตีความของคำว่าพอเพียง อย่างไม่ระมัดระวังก็จะทำให้หลายๆคน ไม่ตระหนักถึงพลังและอำนาจของการมีเงินเช่นกัน การที่เรามีพอแล้วในวันนี้ นั่นไม่ได้รับประกันว่ามันจะเพียงพอสำหรับวันใดวันหนึ่งในวันข้างหน้ามิใช่หรือ
เมื่อหลายๆอย่างมันบีบรัดเข้ามาจนกลายเป็นความเครียดที่หนักขึ้น เคยกันบ้างไหมครับเมื่อความเครียดมันอยู่ตัว เกินที่สมองมันจะคิดอะไรออก มันจะมืดตื้อมืดตึ่บไปหมด
"ลาออกงาน....หนีหนี้ไปเลยซิวะ"
เหอ..เหอ..เป็นไงครับความคิดผม เมื่อทางที่จะหาเงินเพิ่มมันตัน แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะถ้าทิ้งงานจะไปทำอะไรกินล่ะไอ้แว่น ที่อีสานบ้านเกิดมันไม่มีงาน ที่จะให้เงินเดือนมากเท่าเมืองหลวงเลย เดินวนเป็นเสือติดจั่น วิ่งพล่านเหมือนหนูติดกรง ยังไงยังงั้นเลยล่ะ จนตัวเองเหนื่อยล้าเป็นคำรบที่สอง
"ฆ่าตัวตายแม่งเลยมั๊ย"
อันนี้ขู่ตัวเองเล่นๆครับ ผมหันมาพึ่งเหล้าหนักขึ้น เงินก็ไม่พอใช้หนักเข้าไปอีก จนมาเริ่มคิดได้เมื่อร่างกายมันแย่ ลูกๆก็เริ่มโต ขืนยังดื่มเหล้าเมาหยำเปแบบนี้ คงได้อดตายกันทั้งบ้านแน่ ผมตัดสินใจเลิกเหล้าเด็ดขาด จากนั้นก็ขายรถ เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อเงินน่ะซิ เอามาปิดเอามาอุดรอยรั่ว แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่หมดซะทีเดียว ยังมีไหลซึมมาเป็นพักๆ เสียรถไปคันถามว่าเสียดายไหม
"หึ..เฉยๆ"
ผมคิดแต่เพียงว่า ให้ตัวเองและครอบครัวอยู่รอด ถ้าไม่โชคร้ายเกินไป เมื่อไหร่ที่ผมมีเงิน ผมจะซื้อใหม่อีกครั้งก็ได้
"ช่างมันเถอะวะของนอกกาย ไม่ตายหาใหม่"
สังคมสมัยปัจจุบันนี้ เป็นสังคมของยุควัตถุนิยม มีความอยากได้ใคร่มี ไม่เคยมีคำว่าเพียงพอ ผมเองก็ยังไม่พอ ทั้งที่จริงแล้วผมควรใช้ชีวิตตามหลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มักจะย้ำกันหนักย้ำกันหนาว่าต้องรู้จักพอเพียง ผมมีความรู้สึกว่า การใช้ชีวิตทุกวันนี้ของผม และอีกหลายๆล้านคนในประเทศไทยมันยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าผมมีเงินมาก ชีวิตก็จะสะดวกและสบายขึ้นทันที ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้อยากมี มันก็จะรวดเร็วได้มาสมดั่งใจปรารถนา บางครั้งเมื่อนึกถึงคนสมัยก่อนรุ่นปู่ย่าตายาย ที่คนสมัยก่อนโน้น.น.น!!!!... พวกเขาไม่ได้ยกย่องเทิดทูนเงินไว้ขึ้นเหนือหัวเหมือนคนสมัยนี้ พวกเขาไม่ได้รวย แต่เขาก็มีความสุขได้ ไม่มีเงินพวกเขาก็มีเพื่อนได้ตั้งมากมาย
ผิดกับคนสมัยนี้ ความสุขต้องแลกมาด้วยเงินตรา เพื่อนฝูงเยอะเยอะก็จริง แต่ก็ล้วนแล้วซึ่งเพื่อนกินทั้งนั้น หาความจริงใจก็ยากเหลือหลาย แม้ความเป็นจริงเหล่านี้ ผมและทุกคนรู้กันดีอยู่ แต่ผมก็หยุดไม่ได้กับการดิ้นรนแสวงหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นทำได้ หลายคนต้องยอมเสี่ยงที่จะเสียเงินเพื่อต่อเงิน ลงทุนจำนองนาไร่ ออกไปหาเงินจากเมืองนอก ซึ่งจะได้เงินมากกว่าอยู่เมืองไทย เห็นไหมล่ะว่าเงินเป็นสุดยอดปารถนาของหลายๆคน จะมีใครบ้างไหมหนอ???...ที่เห็นเงิน แล้วร้องยี้ๆ
ในฐานะช้างเท้าหน้า ผมจะหละหลวมกับการใช้เงินไม่ได้เป็นอันขาด ผมเสียรถไปแล้ว แต่ผมจะไม่ยอมเสียบ้าน เพราะอีกไม่กี่ปีมันก็เป็นของผมและลูกเมีย เอาน่ะ...คิดใหม่ทำใหม่ (เอ..คุ้นๆแฮะประโยคนี้) ผมเริ่มจดบันทึกรายรับรายจ่าย เพื่อจะได้ทราบว่าในแต่ละเดือนผมจะมีเงินเท่าไหร่ ใช้ไปแล้วเท่าไหร่ และจะต้องใช้ไปกับอะไรอีกบ้าง แม้กระทั่งใส่บาตรแต่ละครั้งผมก็คิดและจดบันทึกเช่นกัน ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้ผมควบคุมการใช้เงินของตัวเองได้ในแต่ละเดือน
ผมเริ่มเพลาๆเรื่องเหล้าเรื่องหวย เมื่อกลับมาดูผลรวมตรงส่วนนี้ ผมเสียเปล่าไปรวมๆเป็นเงินก็ห้าพันกว่าบาททุกเดือน ห้าพัน!!!! ถูกต้องครับห้าพัน อาจจะดูนิดเดียว เมื่อเทียบกับชั้นชนนักบริหาร เมื่อผมเริ่มห่างๆได้ เอาวะเฮ่ย...เริ่มมีเงินติดค้างกระเป๋าบ้างแล้วนิดหน่อย กัดฟันเลิกเหล้าเลยครับ เห็นผลทันตาเลยในเดือนแรก อ๋อ...แท้ทีจริงแล้วผมไม่เคยมองสำรวจตัวเองเลยตั้งแต่ทีแรก มัวแต่มานั่งโทษโชคชะตาดินฟ้าอากาศอยู่ได้เป็นสิบๆปี ท้องฟ้าเริ่มเปิดกว้างและสดใสอีกครั้งสำหรับผม
ทุกๆวันกับชีวิตประจำวันผมและทุกๆคนต้องมีเรื่องใช้จ่ายอยู่เสมอ สำหรับผม รายรับจะมีเข้ามาก็แค่ครั้งเดียว นั่นก็คือตอนสิ้นเดือน ผมเห็นค่าใช้จ่ายจิปาถะ ลอยเวียนวนอยู่ในหัวสมอง มันโผล่เข้าวินมาก่อนเลย ทั้งๆที่รายรับยังต้วมเตี้ยมๆตามหลังมาอย่างอืดๆ
"ท้อไหมจ๊ะ"
"เฮ้ย.. ท้อซิวะ"
บางครั้งก็นึกน้อยใจใน โชคชะตาที่เกิดมาจนไปหน่อย แต่ก็สู้นะ ก็แค่พยายามมองคนมีน้อยกว่า เรา ลำบากกว่าเรา แย่กว่าเรา เอ้อ!!! มันก็ทำให้มีกำลังใจเป็นพักๆได้เหมือนกันแฮะ แต่อย่าไปมองมัน ไอ้พวกที่สูงกว่ารวยกว่าเรา ไม่งั้นมีหวังได้ทดท้อห่อเหี่ยวเฉาตายกันพอดี
พอมีเงิน ผมก็เก็บบ้างใช้บ้าง ฟุ้งเฟ้อบ้างตามแต่โอกาส พอเงินหมดผมจึงค่อยลุกขึ้นมาหาใหม่ ตอนนี้ผมยังพอมีแรงทำงานและหาเงินได้คล่องก็คงไม่มีปัญหา แต่ต่อไปไม่ใช่จะโชคดีไปตลอดอาจมีช่วงที่ผมต้องตกยากบ้างล่ะ แล้วทีนี้ผมก็จะไม่มีเงินเก็บสักบาท คุณคิดว่าผมจะทำอย่างไรดี ชีวิตของผมจึงมีเงินเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งถ้าใครบอกว่าเงินซื้อคนไม่ได้ ผมขอเถียงหัวชนฝาเลยซิเอ้า!! ก่อนที่พ่อหลวงรัชกาลที่ 5 จะทรงประกาศเลิกทาส ทาสทุกคนล้วนถูกซื้อมาด้วยเงิน ใช่เอาช้างม้าวัวควายแลกมาซะที่ไหน หากอยากหลุดจากการเป็นทาส ก็ต้องหาเงินมาไถ่ถอน แม้แต่ทุกวันนี้ก็เถอะ ทาสเลิกไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่อยากเป็นทาสอยู่ อำนาจเงินมันยั่วยวนให้อยากคลานเข้าไปเป็นทาสรับใช้ผู้มีเงิน ประท้วงกันเหยงๆนั่นก็เพราะเงินทั้งนั้น ลองไม่มีเงินดูซิ จะมีไอ้หน้าไหนไหมเอ่ยอยากเสี่ยงตายแบบนั้น
เวลาเราไม่มีเงิน เพื่อนๆมันก็ขยาดกลัว กลัวเรายืมเงินมั่งล่ะ กลัวโน่นกลัวนี่ หากคบกับไอ้หมอนี่ กูหมดตูดแน่ๆ ในทางกลับกันถ้าเรามีเงิน ใครๆก็ชอบเรา อยากคบหาเป็นเพื่อนเรา ดังนั้นเงินมันสามารถซื้อคนได้ ไม่เชื่อลองบอกเพื่อนสิว่า เฮ้ย...กูไม่มีเงิน กูหมดตัวแร๊ะ กูล้มละลายว่ะ เดี๋ยวก็รู้เองว่า เงินมันสำคัญหรือเปล่า? ปัญหาใหญ่สุดในชีวิตคนคือปัญหาด้านการเงิน คนเราถ้าลองมีความมั่นคงด้านการเงินแล้วล่ะก็ จะเริ่มคิดเรื่องอื่นๆ ที่ไร้สาระ เอ...เล็บเรานี่มันไม่สวยเลย หน้าตาเราก็ไม่ค่อยเต่งตึง นั่งดูต้นไม้ที่ปลูกไว้ได้เป็นวันๆ นั่นละคือคนที่การเงินมันอยู่ตัว
"กัดก้อนเกลือกิน" ผมเคยเชื่อในเรื่องนี้ เอาว่ะ!!! ถึงมันจะเค็มก็ช่างมัน คนมันรักกันซะอย่าง ถึงจะเค็มมันก็ต้องมีความหวานชื่นบ้างแหละ นั่นคือตอนที่โลกของผมและภรรยายังเป็นสีชมพู หันซ้ายหันขวามองหน้าแลหลัง ก็ชมพูไปหมด ตอนนั้นชีวิต คิดแต่เรื่องรัก รัก ไม่รัก รัก ไม่รัก นั่งเด็ดกลีบกุหลาบจนเกลื่อนกระจายไปทั่วพื้น กลีบสุดท้าย ดันตก ไม่รัก แต่เมื่อคนมันรักอะไรก็ขวางไม่อยู่แล้วล่ะเว๊ย!!! พอเวลาผ่านไปครอบครัวเติบโตขึ้น ภาระก็มากขึ้น เกลือมันก็ยังยึดมั่นในความเค็มของมันไม่เคยเปลี่ยน แต่ภาวะทางความคิดจากสีชมพูเริ่มเปลี่ยนไป
เรื่องของความรัก...ผมว่ามันหมดยุคนั่งกัดก้อนเกลือกินแล้วล่ะ จะทนลำบากตรากตรำด้วยกันได้ก็แค่ในช่วงแรกๆ แต่พอนานๆไป ปัจจัยหลายๆอย่างในครอบครัว ต้องพึ่งเงินเป็นหลัก เพราะเงินมันก็จะมาพร้อมกับเหตุผลอีกร้อยแปดพันอย่าง มันจะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตคู่มากขึ้น คนเราเมื่อมีความรักมันมักจะอยู่เหนือเหตุผลอื่นใด แม้กระทั่งเรื่องเงินก็จะถูกมองข้ามไป แต่เมื่อได้ลองใช้ชีวิตจริงๆของคนสองคนแล้ว ผมกับภรรยาจึงได้เห็นว่า "เฮ้ย!!! รักมันกินไม่ได้นี่หว่า??" เพราะการใช้ชีวิตมันจะต้องพึ่งพาปัจจัยสี่เป็นหลัก ตอนนั้นเงินคือพระเจ้าเลยหรือเปล่า มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่เมื่อเงิน มันสามารถทำให้ผมหลุดพ้น ปัญหาช่วงคับขันได้บางช่วงของชีวิตที่กำลังสร้างครอบครัว คู่ใดที่ไม่เคยผ่านความลำบาก คงเข้าใจรสชาติได้ยากกับจุดนี้
ผมต้องจัดการแบ่งค่าใช้จ่ายและกินอยู่ให้พอดิบพอดี โดยจะไม่บีบทางครอบครัว หากแต่ผมจะมาบีบตัวเอง ส่วนทางบ้านผมเชื่อว่าภรรยาเธอต้องอบรมลูกๆให้มีหลักในการใช้เงินอย่างเกิดคุณค่า ควบคู่ไปกับการประหยัดได้ ผมจึงไม่ได้เคร่งครัดและเข้มงวดในส่วนนี้ ผมจะคุยและบอกลูกๆอยู่เสมอว่า
"เงินมันเป็นพระเจ้าสำหรับพ่อนั่นก็เพื่อพวกเราเพื่อลูก ถ้าไม่มีลูกๆเงินก็จะเสื่อมค่าลง ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทพวกเราต้องช่วยกันประหยัด...เข้าใจมั๊ย"
และก็ไม่ลืมที่จะที่จะคอยย้ำเตือนพวกเขาทุกๆครั้ง ถึงอนาคตการเล่าเรียนของพวกเขา ว่าพ่อกับแม่น่ะ...ต้องเตรียมเงินเท่าไรสำหรับเรื่องเรียนของลูกๆ เมื่อพูดถึงเรื่องเด็ก ไม่ว่าเด็กตามบ้านนอกหรือในเมือง เด็กกับขนมและของเล่นดูจะเป็นของคู่กัน แล้วอะไรล่ะ ที่จะเป็นตัวได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ การให้เงินกับลูกๆแต่ละครั้งของผมและภรรยา แม้จะไม่เคร่งครัด แต่ก็ไม่ได้หย่อนยานถึงขนาดตามใจไปซะทุกเรื่อง บอกและพูดดีๆไม่ฟัง ก็ต้องมีดุกันนิดหน่อย ขัดใจบ้างจนงอแงน้ำตาไหล สงสารได้ครับแต่อย่าใจอ่อน
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่เข้าข่ายแบบผมแล้วล่ะก็ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าครับผม เพราะพฤติกรรมแบบนี้ ผมเชื่อว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้ และค่อยๆซึมซับวิธีการใช้เงินให้เป็นตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่ถ้าพ่อแม่คนใด เจอลูกตื้อกระทืบเท้าแหกปากร้องไห้ไม่ไหว จนต้องตัดความรำคาญด้วยการส่งเงินให้ซะจะได้จบๆ แบบนี้ล่ะลูกๆเขาจะไม่รู้คุณค่าของเงิน เพราะเมื่อเขาได้เงินมาง่าย เขาก็ยอมจ่ายไปได้ง่ายๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก โดยไม่เห็นคุณค่าของเงินที่พ่อแม่หามาอย่างยากลำบาก และมักจะเข้าใจว่าพ่อแม่ของหนูมีอยู่แล้ว!!! มีมากด้วยล่ะ เมื่อเด็กๆคิดแบบนี้ เขาอยากได้ก็ขอเอาเท่านั้น ด้วยความเป็นเด็กเขาก็จะไม่รู้ว่า พ่อแม่ต้องทำงานหนักเพื่อแลกมาซึ่งเงิน แต่ถ้าทำแบบผมใช้ถ้อยทีถ้อยอาศัย รับรองได้ผลในทางที่ดีแน่นอน ด้วยความที่เราซึ่งเป็นพ่อแม่ใครๆก็รักลูกกันทุกคน จะมีดุว่าตีบ้างก็ต้องยอมครับ ในส่วนของพ่อแม่ก็ต้องมีการสอนลูก ให้รู้ค่าของเงิน ไม่ใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย โตขึ้นแค่ปอสามปอสี่เขาก็รู้จักประหยัดเป็น
เมื่อลูกๆของผมเขารู้จักอดออมประหยัดตั้งแต่เด็ก ผมเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะมีความเข้าใจชีวิตที่ถูกต้อง เพราะในชีวิตจริงเมื่อเติบใหญ่ เขาจะพบว่า บ่อยครั้งเขาจะไม่ได้ในสิ่งที่เขาหวัง และหากเขาได้มีการฝึก จากพ่อแม่ของเขาตั้งแต่ยังเด็กอยู่ เขาก็จะสามารถรับมือกับความผิดหวังในชีวิตได้ ซึ่งได้ดีกว่าเด็กที่มาจากครอบครัว ที่พ่อแม่ปรนเปรอทุกอย่างตามที่เด็กปรารถนา และเด็กที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจแบบนี้จะไม่มีความอดทนกับความผิดหวังของชีวิตในอนาคตได้ และจะกลายเป็นเด็กที่อาจจะเข้าใจชีวิตไม่ถูกต้อง มักจะเรียกร้องเอาความสมหวังจากผู้อื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ของตัวเอง ปัญหาการลักเล็กขโมยน้อยก็จะตามมา จนกลายเป็นอาชญากรปล้นจี้ได้
เมื่อพวกเขารู้จักอดอออม ทีนี้ผมก็จะสอนพวกเขาให้รู้จักการให้บ้างล่ะ ทุกครั้งที่ผมพาพวกเขาเดินช้อบปิ้งตามตลาดนัด พวกเขาก็จะได้เห็นเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่งขอทานขอเศษเงินตามจุดต่างๆ "เศษเงิน" ผมจะสอนลูกๆว่า หากได้ชื่อว่าเป็นเงินแล้วล่ะก็ ลูกๆอย่าไปคิดว่านั่นมันคือ "เศษ" อย่างที่เคยสอนไว้ เงินทุกบาททุกสตางค์มีค่าเท่ากันหมด แต่วันนี้พวกหนูต้องรู้จักการให้ ให้คนที่ไม่มีโอกาสเหมือนเรา ผมก็จะถือโอกาสสอนให้ลูกๆรู้ว่า จริงๆแล้ว เด็กๆทุกคนใช่ว่าจะมีโอกาสไปโรงเรียน ได้เรียนหนังสือ ได้ไปเที่ยว ได้นั่งเล่นเกมสนุกๆอยู่ที่บ้าน ได้มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ ยังมีเด็กอีกมากมายหลายคนต้องทำงานหาเงินตั้งแต่พวกเขายังเล็กๆ ดังนั้นการที่ลูกมีกินมีใช้ทุกวันนี้ ก็ควรมองโลกให้กว้างขึ้น นึกถึงคนอื่นให้มากๆ รู้เอื้อเฟื้อแบ่งปันให้แก่คนอื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเรา
การใช้เงินของผมแต่ละช่วงมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนโสดก็อีกแบบออกจะสุรุ่ยสุร่ายมือเติบ พอมีครอบครัวก็เปลี่ยนไปอีกแบบจะมีแนวฟุ้งเฟ้อบ้างตามโอกาส แต่พอมีลูกการใช้เงินต้องเนี๊ยบ รอบคอบและต้องมีการวางแผนจัดการค่าใช้จ่ายล่วงหน้า ตอนนี้เหมือนผมเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต มีลูก3คน แต่นี่มันคือช่วงกลางของชีวิตมนุษย์เรา ด้วยวัยสี่สิบของผม ก็คงได้อีกสักสิบหรือยี่สิบปี ชีวิตมนุษย์เงินเดือนของผมก็ต้องปลดเกษียณ นั่นคือการคาดเดา เมื่ออนาคตในวันข้างหน้าคือความไม่แน่นอน ผมก็ต้องระมัดระวัง และรอบคอบกับการใช้เงินให้มากขึ้น
เงินเดือนผมถูกแบ่งเป็นเค้กสามส่วน ส่วนแรกชิ้นใหญ่สุดเป็นเงินส่งค่าบ้านค่าบัตรเครดิต ส่วนที่สองใช้จ่ายในครอบครัว ส่วนสุดท้ายเล็กสุดที่เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผมเอง โดยผมจะรวมค่าเผื่อฉุกเฉินไว้ในส่วนนี้ ส่วนค่าเล่าเรียนของลูกที่วาดหวังให้จบปริญญาตรีทั้งสามคน คงจะเริ่มเก็บได้จริงๆจังก็หลังจากหมดค่าผ่อนบ้าน ผมไม่คิดหรือหวังที่จะให้ลูกๆของผมเข้าเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเด่นดังเลย เพราะผมคงสู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหวแน่ๆ มันคงเกินกำลังของผม อีกอย่างผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เศรษฐกิจเมืองไทยก็มาเป็นแบบนี้อีก
ผมให้พวกเขาเรียนโรงเรียนประจำหมู่บ้านธรรมดาๆ ต่อมอ6ในอำเภอ ให้เขาเรียนธรรมดาไปดีกว่าจนจบชั้นมอ6 ปริญญาตรีต่อที่โคราชจบมาก็ไม่น่าจะอายใคร ผมและภรรยาต้องทำอะไรให้พอดีตัว เพราะลูกๆผมมีตั้งสามคน ทุกวันนี้ผมสอนให้ลูกๆ เข้าใจคุณค่าของเงิน วิธีการใช้เงิน และการอดออม โดยผมจะเป็นแบบอย่างให้ก่อน ผมจะบอกพวกเขาว่ากระปุกออมสินยิ่งหนักเท่าไหร่ยิ่งดี ทุกๆครั้งที่มีโอกาสแบกเป้กลับบ้านเกิด ผมจะมีของขวัญเป็นเหรียญสตางค์ ที่ผมเก็บเอาสะสมไว้ แล้วนำกลับไปแบ่งลูกๆ หยอดกระปุกออมสินของตัวเอง
คิดๆดูแล้ว....มันก็อดที่จะถอนหายใจเฮือก.ก..ใหญ่ๆไม่ได้ ยิ่งเศรษฐกิจแย่แบบนี้ ผมไม่รู้หรอกว่าอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ต้องวางแผนการเงินดีๆ โดยหลักๆ แล้วผมจะเน้นเรื่องออมก่อนเลย เหลือน้อยเหลือมาก ยัดใส่เข้าบัญชีไว้ก่อน ผมเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง ที่ค่าตอบแทนไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ดังนั้นการที่ผมจะทำอะไรแบบหวือหวาก็คงไม่ได้ มันอาจจะเสี่ยงเกินไป หากคิดจะลงทุนเพื่อหารายได้เสริมเพิ่มเติมเข้ามา ผมเริ่มปรับแนวคิดการใช้เงินมาได้ไม่กี่ปี แต่ผมก็โชคดีที่ภรรยามีแนวทางเรื่องการใช้เงินที่รอบคอบ เธอเป็นพวกที่ชอบคิดและมองสิ่งรอบๆตัวลึกซึ้ง คิดไกลล่วงหน้าไปก่อน ต่างกับผมที่เมื่อก่อนคิดแต่วันนี้กับพรุ่งนี้ ก่อนการใช้จ่ายแต่ละครั้งเธอจะคิดแล้วคิดอีกหลายรอบ อีกอย่างเธอไม่ค่อยฟุ่มเฟือย แถมใช้เงินเป็นมากกว่าผม นี่ก็ถือว่าเป็นความโชคดีของผม ที่ภรรยาสามารถคุมการคลังของผม และบริหารเงินได้เป็นอย่างดี
ครั้งหนึ่ง ด้วยความคิดที่ไม่เอาไหนของผม ด้วยคิดแต่เพียงว่า ทุกวันนี้ยังหาเงินได้ไม่พอกินพอใช้เลย แล้วเรื่องอนาคตจะคิดไปทำไม แค่เอาวันนี้ให้รอดก่อนดีกว่ามั๊ง... เมื่อหลายๆสิ่งหลายๆอย่างทำให้ผมได้คิด และคิดได้ใหม่ว่า วันนี้ผมยังมีแรงทำงาน มีสมอง คิดและบริการจัดการได้ แต่ถ้าผมยังไม่ยอมคิดออมเงินไว้เผื่ออนาคต แล้วเมื่อแก่ตัวลง สมองและร่างกายเสื่อมถอย โอกาสการได้รับการจ้างงานก็จะลดน้อยลงตามไป และถ้าวันนั้นไม่มีใครจ้างผมทำงาน ก็เท่ากับไม่มีเงินเดือนหรือรายได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นจะเอาเงินที่ไหนมากินมาใช้ให้รอดไปแต่ละวัน เรื่องอนาคตเป็นเรื่องไกลตัวก็จริง แต่ถ้าคิดไว้เสียแต่ตอนนี้ได้ ก็จะไม่สายเกินแก้
ผมระลึกไว้เสมอว่า วัฏจักรชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นผมและทุกคนต้องเผชิญกับช่วงชีวิตแก่กันทั้งนั้น แล้วทำไมเราจึงไม่คิดก่อนใช้เงินให้ดี เสียตั้งแต่วันนี้ ผมว่ามันหมดสมัยแล้วครับกับการที่เราแก่ตัวก็ต้องให้ลูกหลานเลี้ยง เพราะหาเงินเองไม่ได้ เราจึงควรมีเหตุผลในการดำรงชีวิต ถึงตอนแก่ตัวไป ผมอยากเป็นคนแก่ที่มีความสุข ไม่ต้องเป็นภาระแก่ลูกหลาน ผมไม่คาดหวังให้ลูกๆมาเลี้ยง เพราะเมื่อเขาเติบโตเขาก็ต้องครอบครัวเป็นของตัวเอง แค่พวกเขาอยู่ใกล้ๆแค่นี้ คุณพ่อคุณแม่วัยชราอย่างเราก็มีความสุขแล้วล่ะ ผมไม่ได้หวังรวยมีเงินก้อนโต แค่เพียงหวังว่าตอนแก่มีเงินเก็บนิดหน่อยยามอ่อนแรง อย่างน้อยๆตอนแก่ ผมต้องมีเงินเหลือเพียงพอ เพียงพอที่จะดำรงชีวิตได้อย่างสบาย ตอนนี้ก็ต้องบังคับตัวเองเก็บออมไปเงินก่อนเลย เหลือเท่าไหร่ค่อยใช้ ขาดเหลือหรือต้องการอะไร ค่อยกลับมานั่งทบทวนอีกที
การมีครอบครัว การมีลูก และการเป็นหนี้สอนให้ผมได้เรียนรู้ว่า การใช้จ่ายเงินให้เป็น มันสำคัญมากแค่ไหน เมื่อก่อนผมไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว ผมไม่เคยทำบัญชีรายรับรายจ่าย ผมรู้แต่ว่าอยากกินก็ซื้อ อยากเที่ยวก็เที่ยว ชีวิตวัยหนุ่มโสด เงินจึงเป็นเรื่องธรรมดา เหลือจากส่งเจือจุนพ่อแม่ นอกนั้นก็ใช้แล้วก็ใช้อย่างไม่มีจุดหมาย จนมาถึงวันนี้ วันที่ผมต้องรับผิดชอบครอบครัว คุณค่าของเงิน จึงเพิ่มทวีคุณขึ้นมาทันที ผมได้รู้ค่าของเงิน ว่าทุกบาททุกสตางค์ก็มีค่า ผมจะใช้เงินให้น้อยกว่าที่ได้รับ และมีวินัยในตัวเอง อาจมีคนที่เงินเดือนน้อยเหมือนผมส่ายหน้าพร้อมกับเอียงคอแย้งถาม
"เฮ่ย...มึงทำได้จริงเรอะ"
"ได้ซิ...เพ่"
แค่ผมใช้เงินให้น้อย แค่เราไม่เป็นคนช่างเที่ยว ไม่ว่าจะเที่ยวกลางวันหรือกลางคืน ที่สำคัญต้องไม่ติดอบายมุข เหล้าบุหรี่ การพนัน เพียงเท่านี้ผมว่าก็น่าจะก้าวข้าม การตกอยู่ในสภาพใช้เงินเดือนชนเดือนไปได้ ถ้าเดือนนี้ยังเก็บเงินไม่ได้ เดือนหน้าผมก็ตั้งเป้าใหม่ พยายามแบบนี้ไปเรื่อยๆ ย่อมสำเร็จเข้าสักวันแหละ
เมื่อก่อนผมหลงใช้ชีวิตที่มันไร้ค่า ดื่มกินเที่ยว ได้เงินเดือนมา ผมไม่รู้จักการสำรองหรือเตรียมการไว้ใช้ฉุกเฉิน เพราะผมคิดว่าผมหามาใช้ได้ตลอด จนวันนี้ผมคิดได้ครับ ว่าเงินนั้นหากว่ามีแล้วแต่ไม่รู้จักใช้ให้เป็น ชีวิตผมและอนาคตของครอบครัวก็อาจจะล่มสลายลงได้ไม่วันไดก็วันหนึ่ง ซึ่งมันก็เกือบจะสาย ยังดีที่ผมมีเพื่อนสนิทที่คอยห่วงคอยเตือนผมมาตลอด จนตอนนี้ผมได้คิดแล้วครับว่า การห่วงแต่ความรู้สึกตัวเองมากกว่าคนอื่นนั้นมันไม่ดีเอาเสียเลย อย่างเรื่องเหล้าผมก็อยากจะบอกว่า ถ้าเลิกได้ผมก็อยากให้ทุกคนเลิกดื่มเถอะ เพราะถ้าเลิกได้ ผลดีอย่างมากมายที่จะวิ่งเข้าหาตัวเรา แน่นอนหนึ่งอย่างล่ะนั่นก็คือการเงินไม่สั่นคลอน สุขภาพดีๆก็จะตามมา
เงินอาจคือสิ่งที่สร้างได้ทุกอย่างและทำลายได้ทุกอย่าง เป็นได้ทั้งพระเจ้าและปีศาจร้าย เงินเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ แต่ต้องใช้มันให้เป็น ต้องให้มันอยู่ในที่ของมัน เงินจะเป็นบ่าวที่ดีถ้าเราใช้มันเป็น หากใช้มันไปในทางที่ผิดเป็นนายที่เลวได้สุดๆเหมือนกัน เมื่อใดที่ผมยังเอาเงินเป็นเป้าหมายของชีวิต เอาเงินเป็นพระเจ้า บูชาเงิน ชีวิตของผมก็จะเป็นทาสของมันไปตลอด ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงิน เพราะผมเชื่อว่า มีเงินแล้วจะมีความสุข ซึ่งนั่นเป็นการเข้าใจผิดมาตลอด จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของของผม และอีกทั้งจากชีวิตของคนอื่นๆที่ผมรู้จัก มีคนรวยมากมายที่มีความทุกข์ เครียดเพราะป่วยออดๆแอดๆ บ้างก็บ้าฆ่าตัวตาย หลายคนใช้เงินสั่งฆ่ากันตาย แม้แต่พี่น้องในครอบครัวเดียวกันก็ยังไม่เว้น เพราะเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มนุษย์ทุกคนสมหวังในแทบทุกสิ่ง และก็ทำลายได้แทบทุกสิ่งเหมือนกัน
ชีวิตในสังคมเมือง สังคมของการต่อสู้ดิ้นรน สังคมที่ผมเองอยากบอกว่า ไม่ชอบเอาเสียเลย บ่อยครั้งพยายามที่จะหลีกหนีออกมา แต่ก็ยังสลัดไม่หลุดซักที ผมยังจะต้องรีบตื่นแต่เช้า รีบอาบน้ำ แต่งตัวรีบไปทำงาน แข่งขันกันหาเงิน แข่งกันใช้เงิน ทุกอย่างดูเร่งรีบไปซะทุกอย่าง วนเวียนวกวนดูสับสน เมื่อสังคมมีแต่การแข่งขันแก่งแย่ง ผมว่าเงินยิ่งมีอำนาจขึ้นเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด แต่ผมก็ต้องฝืนเต็มใจยินดีร่วมลงแข่งขันในเกมที่สังคมกำหนดขึ้น ผมจะถือเสียว่าเกมนี้เป็นเกมที่ผมต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หากไม่มีสังคมผมก็ไม่มีงาน ถ้าไม่มีงาน ผมก็จะไม่มีเงินที่เอาไปจุนเจือครอบครัว แต่ถ้าไม่มีครอบครัว ผมก็จะไม่มีเป้าหมายในชีวิตเช่นกัน
ทุกวันนี้เมื่อผมมีเงิน ผมต้องคิดแล้วว่าควรเก็บและใช้เงินอย่างไร นึกไว้ตลอดเวลาว่า กว่าผมจะได้เงินเดือนมาแต่ละเดือน ผมจะต้องเหนื่อยยาก ต้องทำงานให้นายจ้างถึงจะได้เงินมา เมื่อผมมีงานทำจึงถือว่าโชคดี และโอกาสในการหาเงินยังเป็นของผมอยู่ ยังดีกว่าคนอื่นอีกจำนวนมาก ที่ไม่มีแม้แต่โอกาสได้เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างผม (เอ..มันน่าภูมิใจตรงไหนหว่า) ดังนั้นเมื่อผมยังต้องการเงิน ผมก็ต้องรักงานและตั้งใจลงแข่งขัน แก่งแย่ง ไขว่คว้าต่อไป หมดแรงเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที ถามตัวเองแล้วว่านี่หรือคือความสุข
"ใช่ครับ"
มันคือความสุขของผม ความสุขที่ผมต้องไขว่คว้าเอามาให้ครอบครัวที่ผมรัก แน่นอนว่า ชีวิตทั้งชีวิตของผม มันจะต้องยึดติดกับคำว่าเงินไปอีกนาน นานแค่ไหน
"ผมไม่รู้"
ผมรู้แต่ว่าหมดแรงเมื่อไหร่ "เงิน" ก็คงไม่มีความหมายแล้วสำหรับผม
นักวิชาการมักจะกล่าวว่าความสุขที่แท้จริงนั้น มันก็มีหลายอย่างหลายแง่มุมแล้วแต่ใครจะให้นิยามกันไป แต่ที่แน่ๆและที่เห็นกันอยู่ทุกๆวัน ทุกชีวิตของผู้คนในโลกต้องแข่งขัน ทั้งการงานหน้าที่ตำแหน่งงาน การยกระดับความเป็นอยู่จากชีวิตที่ไม่มีอะไรเลย ให้ก้าวขึ้นไปสู่การมีชีวิตเลิศหรู ดูเหมือนจะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้คนต้องดิ้นรน เป้าหมายที่ต้องการได้มานั่นก็คือเงิน ซึ่งเป็นค่าตอบแทน จากการออกแรงทำงาน ชีวิตคนจน คนรวย ต่างก็มีจุดยืนเหมือนกัน คนจนต้องหาให้ได้มาซึ่งเงิน เพื่อความอยู่รอด ส่วนคนที่รวยอยู่แล้ว ก็หาวิธีที่จะขยายต่อความรวยให้ได้กำไรมากยิ่งขึ้น
ชีวิตของคนที่มีรายได้ต่ำดูจะมีความเครียดเข้ามารบกวนจิตใจมากที่สุด เมื่อรายได้ไม่พอรับมือกับรายจ่าย ความรับผิดชอบของพวกเขาก็ยิ่งมีมากเกือบเท่าตัว ทุกวันนี้ข้าวของแพง เงินกลายเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างต้องเงิน ความดี ความยุติธรรม ความมีพรรคพวก ความถูกต้อง เพื่อนพ้อง ต่างต้องใช้เงิน ชีวิตหลายชีวิตสุขสบายเพราะเงินมีใช้ และก็อีกหลายๆชีวิตแทบอยู่ไม่ได้เพราะไม่มีเงินใช้ เงินได้เข้ามาเป็นมหาอำนาจใหญ่บงการชีวิตของหลายๆคน บางคนถูกเงินเล่นงานจนเสียผู้เสียคนหาแผ่นดินซุกหัวนอนยังไม่ได้ ก็มีให้เห็น หากใช้เงินไปในทางที่ผิด เงินนั้นก็จะทำลายเราได้ทุกเมื่อทุกเวลา
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะไม่มีอะไรแน่นอน ใช้เงินให้เป็นประโยชน์เถอะครับ ใช้ไปเหอะ...อย่าให้คนอื่นเดือดร้อนเป็นใช้ได้ หากมีใจอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบข้างบ้างก็จะดีไม่น้อย อย่าใช้เงินเพื่อความมอมเมาคนอื่น อย่าใช้เงินซื้อความดี เพื่อให้คนอื่นยกย่องเลย จงทำดีคิดดี เพื่อความดีที่บริสุทธิ์จะได้อยู่คงทนถาวรตลอดไป
สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม เงินแค่หยิบมือ มันไม่อาจทำให้ผมประสบความสำเร็จดั่งที่คิดเอาไว้หรอกครับ เมื่อผมอยากสร้างผมก็ต้องหา ยิ่งผมเป็นคนที่ไม่เคยมีเงินมาก่อน ถึงมีแต่ก็ไม่ค่อยพอใช้ ผมก็จะพยายามเก็บเงินให้มากที่สุด ต้องดิ้นรนหา จนกลายเป็นพันธนาการผูกมัดชีวิต เพราะวันข้างหน้าจากนี้ไป โลกที่เราอยู่เป็นโลกของคนเข้มแข็ง ต้องมีจัดวางตัวเองให้ดี และระมัดระวังมากขึ้นๆ แล้วอะไรล่ะ? คือสิ่งจำเป็นที่แท้จริง มันก็อยู่ในสมองของแต่ละคนนั่นล่ะ ว่าต้องการเหมือนกันไหม ลองได้เป็นคนจนๆปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำแล้วจะรู้เองว่า คุณค่าของเงินมันช่างมีค่ายิ่งนัก ลองได้จนแบบจริงๆดูซิ แล้วจะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเลยล่ะ
การทำงานเพื่อให้ได้เงินมาแต่ละบาทนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับคนจนๆเรียนมาน้อยอย่างผม ไม่เชื่อลองไปรับจ้างแบกข้าวสารดูก็ได้ คนไม่เคยทำก็จะเจ็บไหล่ ปวดขา และอีกสารพัดอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เมื่อผมเป็นคนแบกข้าวสาร ผมก็จะรู้ได้เลยว่า เงินนี่มันช่างได้มายากจริงๆ ในทางกลับกัน หากคุณจบปริญญาเอก แค่นั่งๆมือขีดๆเขียนๆ ปากพูดนิดหน่อย ไม่ถึงชั่วโมง เงินเป็นฟ่อนก็มาอยู่ในมือคุณแล้ว
"อ๊ะ!!! มันยากตรงไหนแค่การหาเงิน"
ต่างกันไหมล่ะครับที่มาของเงิน แต่ผมก็หวัง หวังว่าสิ่งที่จะอยู่กับตัวผมได้นานที่สุดจะไม่ใช่เงิน แต่มันคือ คุณภาพของความเป็นคนของผม ที่จะต้องลูกหลานได้จดจำ กับสิ่งดีๆที่ผมทำไว้ ผมอาจจะทำอะไรเพื่อสังคมได้ไม่มาก แต่การทำดี การหาเงินในทางที่ดีสุจริต ไม่เบียดเบียนใคร ผมว่าสิ่งนี้แหละ ที่จะอยู่ติดตัวผมไปจนวันตาย
ผมว่ายุคสมัยและสังคมไทยมันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อสังคมมันเปลี่ยนไป หาเข้าไปเถอะครับเงินน่ะ ยังไงเสีย มันก็ต้องเดินคู่กันไปกับมนุษย์เราไปอีกนานแสนนาน แค่หาเงินด้วยวิธีที่ถูกต้อง ไม่คดโกงใคร ไม่หลอกลวงใคร ไม่ทำใครเดือดร้อน ทำอาชีพที่สุจริต แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ได้มาน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไร ประหยัดใช้ตามอัตภาพ ขอแค่ให้สังคมไทยเราเลิกเห็นแก่ตัว แล้วหันมาใส่ใจแบ่งปันซึ่งกันและกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและกัน เลิกทำตัวเป็นกบเลือกนาย เลิกทะเลาะกันซะเถิด
คิดดี ทำดี รู้จักพอ คือ สิ่งที่ผมอยากจะทำ เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต แต่ถ้าขาดมันไป ชีวิตมันก็เหมือนขาดอะไรหลายๆอย่าง ถึงผมจะยกย่องอานุภาพของเงิน ผมเคยสำคัญเองว่าเงิน ซื้อความเป็นคนไปจากผมได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าผมชักไม่แน่ใจตัวเอง ว่าผมตกอยู่ได้อำนาจของมันได้ขนาดนั้นเลยหรือ ผมมีความรู้สึกว่าเงินนี่มันมีอำนาจจริงๆ ก็ต่อเมื่อเราใช้มันได้เป็น ใช้ในทางที่ถูก และรู้จักใช้มัน
ในความรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจของผม มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหนือและเจ๋งกว่าเงิน นั่นคือความรู้ครับ ทรัพย์สินเงินทองอันยิ่งใหญ่ ใช้แล้วมีวันหมดไป แต่ความรู้มันจะอยู่คู่เราไปจนตาย ส่วนเงินมันจะเป็นพระเจ้าสำหรับคุณหรือไม่นั้น ใจใครใจมันครับ
********************************************************
เมื่อวันที่ : 28 มิ.ย. 2553, 13.58 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...