![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
...คอมพิวเตอร์(computer) สำหรับผมแล้วยังใหม่และยังเป็นสิ่งที่ต้องพยายามเรียนรู้ต่อไปอย่างไม่รู้จบ หรือไม่ก็เล่นจนมันสะอิดสะเอียนกันไปข้าง หน้าที่การงานที...
คอมพิวเตอร์(computer) สำหรับผมแล้วยังใหม่และยังเป็นสิ่งที่ต้องพยายามเรียนรู้ต่อไปอย่างไม่รู้จบ หรือไม่ก็เล่นจนมันสะอิดสะเอียนกันไปข้าง หน้าที่การงานที่ต้องทำบีบบังคับให้ผมต้องฝืนใจที่จะต้องใช้มัน โดยที่เราไม่เคยมีพื้นฐานในด้านนี้มาก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แม้จะเคยผ่านเคยเห็นตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนเทคนิค ด้วยความที่ไม่ค่อยใส่ใจใคร่รู้ เบือนหน้าหนีซะด้วยซ้ำ จบออกมาเปลี่ยนงานก็หลายที่ ทั้งงานหลวงและเอกชน จนปัจจุบันทำงานอยู่บริษัทหนึ่งที่จังหวัดสมุทรสาคร ทำมาตั้งแต่เป็นพนักงานจนเดี๋ยวนี้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน มีลูกน้องต้องควบคุมดูแลปี 2545 เจ้านายสั่งคอมพิวเตอร์ให้กับทุกแผนก จากเดิมที่มีใช้กันอยู่แค่ฝ่ายบัญชีการเงินสองสามเครื่อง สั่งเข้าพรวดเดียวยกชุดจำนวน 60 เครื่อง ผมเองใช้คอมพ์.ไม่เป็นเลย ทางบริษัทก็เอามาให้ เพราะเป็นนโยบายของผู้บริหารหัวสมัยใหม่ที่จะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน เพื่อให้ทันโลกทันสมัยประมาณนั้น แล้วใครล่ะ? จะสอนเรา หรือว่าจะนั่งๆมองๆลูบๆคลำๆ ให้มันซึมซับเข้าสู่สมองเอง เมื่อเจ้านายให้มาแล้ว จะปล่อยให้มันตั้งขวางหูขวางตาอยู่ทำไมล่ะ
"ยกออกไป..ใช้ไม่เป็น"
โต๊ะลูกน้องอีกคนที่มีโต๊ะขนาดใหญ่ ก็เลยให้ใช้คอมพ์ไปเลย 2 ตัว พอเสร็จงาน ว่างๆก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เหลือบไปเห็นลูกน้องมันเปิดอะไรสักอย่างที่หน้าคอมพ์.เป็นภาพหน้าจอสีเขียวๆ แล้วก็มีไพ่ ย้ายไปย้ายมา
แรกๆก็เฉยๆ แต่พอหลายๆวันเข้าก็เริ่มเห็นว่าไอ้เจ้าเพื่อนคนข้างมันก็เปิดแบบเดียวกันเป็นไพ่เหมือนกัน พากันนั่งเงียบกริบ ดูเหมือนตั้งใจทำงาน แต่สายตาผมก็เหลือบมองลูกน้องอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะถูกพวกมันยกไหล่ยกหัวบังไม่ให้ผมเห็นว่ากำลังเปิดอะไรกันอยู่ แต่ก็ทำได้ไม่นานหรอก หัวกับไหล่มันก็ห่อกลับมายังท่าสบายเหมือนเคย
ด้วยความอยากรู้มาหลายวันแล้วว่า รูปไพ่ที่เห็นเปิดกันอยู่บ่อยๆน่ะ..มันคืออะไร เพราะใจผมก็คิดแต่เพียงว่า..ไพ่คือสิ่งที่ผิดกฎหมาย แถมยังมาเล่นในเวลาทำงานอีก อย่างนี้มีเฮ ต้องกำราบกันหน่อย
"คงเดช สุรัตน์ สองคนเล่นอะไรกัน..ขอดูหน่อยซิ"
"กะ..เกมไพ่ครับหัวหน้า"
"ฮึย.ย.ย..เล่นเกม..มาเล่นในเวลางานได้ไง..เหลืออีกตั้งสิบนาทีกว่าจะเที่ยง"
"แก้เครียดน่ะครับหัวหน้า"
"มันจะเครียดอะไรกันนักหนาว้า..พวกเอ็ง"
"โห...หัวหน้าคร้าบ.บ.บ...นั่งจ้องหน้าคอมพ์นานๆมันก็เครียดได้นะครับ"
"เออ..เออ..เออ..คลายเครียดก็คลายเครียด..ข้ายังไม่ได้ด่าพวกเอ็งซะหน่อย"
"ก็แค่ถามดูเฉยๆว่าเล่นอะไร..เห็นตั้งท่าเอาจริงเอาจังกันเชียว"
"เฮ้ย..แล้วมันเล่นยังไงวะ"
"เล่นแบบนี้ครับหัวหน้า...ฉอดๆ...ฉอดๆ....ฉอดๆ....ฉอดๆ"
เกมที่ลูกน้องของผมของเปิดเล่นกันคือ เกมไพ่ solitaire และการเล่นเกมนี้ล่ะครับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมกับคอมพิวเตอร์ต้องทำความรู้จักกัน เพื่อให้เกิดความสนิทสนมกันมากๆขึ้น
เที่ยงของวันนั้น ผมสั่งให้ลูกน้องทั้งสองช่วยกันย้ายคอมพิวเตอร์กลับคืนโต๊ะผมดังเดิม โดยมี ลูกน้องสองคนนี้ล่ะ คือ ครูสอนคอมพ์ของผม เวลาพักเที่ยงของทุกวัน หรือแม้แต่เวลางานผมก็แว้บเข้าไปเล่น ใหม่ๆผมจะให้ลูกน้องจัดการเปิดเครื่องให้ทุกวัน ส่วนเกมก็ให้ลูกน้องจัดวางไอคอนไว้ที่หน้าจอ เวลาเปิดเล่นจะได้ง่ายขึ้น อะไรก็ตามที่ลองได้ทำครั้งแรกมักจะไม่ง่าย มือที่วางลงจับเม้าส์ ถูกวางลงเหมือน เหมือนตะครุบกบกลางทุ่งนายังไงยังงั้นเลย เม้าส์ถูกกำแน่นเปรี๊ยะ ห้องแอร์ต่อให้เย็นเฉียบก็ช่วยเม้าส์ไม่ได้ มือที่กำไว้แน่นทำให้เหงื่อที่ฝ่ามือมันเริ่มซึม แผ่นรองเม้าส์สีเหลี่ยมเท่ากระดาษเอ 4 พื้นที่ไม่เพียงพอต่อการเลื่อนขยับเพื่อให้ลูกศรที่หน้าจอตรงเป้าหมาย
เมื่อสายตาถูกบังคับให้จับจ้องที่ลูกศร มือที่ต้องทำการเลื่อนเม้าส์มันจะเป็นยังไง ผมก็ไม่ได้สนใจ เลื่อน...ที่จริงก็ไม่น่าจะเรียกว่าเลื่อนเม้าส์ แต่มันเป็นการใช้มือกำอย่างแน่นแล้วก็ไถ..แถก.ก.ก.ก..ไปเรื่อยๆมากกว่า เกือบ 5 วินาทีกว่าจะเล็งเป้าหมายได้ เวลาที่จะทำการกดคลิก ไม่ว่าจะขวาหรือซ้าย ต้องปล่อยมือที่กำอยู่ แล้วใช้นิ้วชี้เพียงนิ้วเดียวจิ้มคลิกเอา หากเมาส์มันไปหยุดตรงมุมโต๊ะ ผมก็จิ้มมันตรงนั้นเลยล่ะ แล้วค่อยยกเมาส์มาวางที่แผ่นรองอีกที ก่อนที่มันจะถูกผมกำและไถไปที่ไพ่แผ่นต่อไป
ลำบากครับ...กับครั้งแรก เดินหนีไปก็หลายรอบ แต่เวลาว่างๆไม่มีอะไรทำ ก็ต้องกลับมาเล่น solitaire เหมือนเคย หัวไหล่,ต้นคอ,ข้อมือ มันเคล็ดขัดยอกไปหมด ไอ้เจ้าลูกน้องสองคนนั่นก็เทียวลุกมาดูมาถาม ว่าเล่นไปถึงไหนแล้ว ผมก็สงสัยอยู่ว่ามันเล่นคลายเครียดๆ แต่ตอนนี้ดูๆแล้ว เกมไพ่โซลิแตร์มันพาลจะพาให้ผมเครียดหนักเข้าไปอีก ผมเล่นโซลิแตร์ อย่างคนไม่เป็น ไม่ใช่ว่าเล่นเกมไม่เป็น หากแต่ผมยังใช้เม้าส์ไม่คล่อง
ระยะเวลา 1 เดือนผมก็ยังไม่สามารถจัดเรียงไพ่ได้ครบเลยแม้แต่ครั้งเดียว เดือนที่ 2 ผมเริ่มมีชัยชนะบ้างแล้วกับการพิชิตเกมโซลิแตร์สำเร็จ เปิดเครื่องไว้ตั้งแต่เช้า ประมาณบ่ายสามโมง..มันเสร็จผมเป็นครั้งแรก เมื่อมันมีครั้งแรกแน่นอนครับครั้งที่สอง..สาม..สี่..ห้า..หกก็ตามมา สามสี่เดือนเม้าส์ถูกผมกำราบซะอยู่มือ นิ้วชี้คลิกซ้าย นิ้วกลางคลิกขวา ตอนนี้ไม่ว่าจะขวาหรือซ้าย หรืออยู่มุมไหนของหน้าจอ เป้าหมายจะเป็นไอค่อนเล็กหรือใหญ่ คราวนี้ไม่มีพลาด
สี่เดือนจากการเล่นแต่เกมโซลิแตร์อย่างเดียว จนใช้เม้าส์ได้คล่อง ผมก็เริ่มหันมาสนใจการพิมพ์เอกสาร คีย์บอร์ดคือเป้าต่อไปที่ผมจะพิชิต โดยใช้วิธีถามเอาจากลูกน้องทั้งสอง ลูกน้องทั้งสองคนของผมก็เข้าอกเข้าใจมือใหม่ที่จะหัดพิมพ์ ก็เลยหาโปรแกรมพิมพ์ดีดมาลงให้หัด ก็ทำตามบ้างไม่ทำบ้างสุดท้ายผมก็ไม่ทำตามที่เครื่องมันสอนหรอก เพราะมันเมื่อยมือ ต้องมานั่งกางมือทั้งสองข้างเกาะคีย์บอร์ดปวดเมื่อยมือจะตาย ใช้นิ้วจิ้มๆเอานี่ล่ะ จิ้มโป๊ก..จิ้มโป๊ก..ทีละตัว ทำมันอยู่อย่างนั้น แล้วอยู่ๆความคล่องมันก็สำแดงเดชขึ้นกับเรา excel,word สบาย แต่ส่วนใหญ่การพิมพ์ของผมจะถนัดพิมพ์ลง excel มากกว่า สำหรับผมใช้โปรแกรมอะไรก็ได้ขอแค่ให้งานนั้นสำเร็จผลออกมาเป็นใช้ได้
อีกเจ็ดเดือนต่อมา บริษัทเริ่มนำระบบแลน(LAN) เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ทุกๆเครื่อง แต่ยังควบคุมการต่ออินเตอร์เน็ตอยู่ เริ่มมีการเข้าไปในเครื่องคนอื่น หากเครื่องใดไม่ได้ใส่รหัสผ่านเอาไว้ คนอื่นก็เข้าไปดูข้อมูลต่างๆในเครื่องได้ จนเป็นสาเหตุให้ลูกน้องผมไปมีเรื่องกับไอ้หนุ่มแผนกอื่น เพราะบังเอิญมันเข้าไปเครื่องของชาวบ้านเขา.. แล้วไปเจอรูปถ่ายผู้หญิงที่มันแอบชอบและจีบอยู่ โพสต์ท่าอย่างสนิทสนมกับเจ้าของเครื่อง ด้วยความที่มันเป็นคนใจร้อน(เหมือนหัวหน้ามันเลย) มันก็บุกไปหาผู้หญิงคนนั้นที่แผนก จนมีปากเสียงและชกต่อยกันกับไอ้หนุ่มเจ้าของเครื่องที่นำเอารูปมาลงไว้ จนเรื่องดังกระจาย เผยแพร่ไปทั่วบริษัท
หากจะถามว่าใครผิด...ผมว่าไอ้หนุ่มนั่นผิดตรงที่ไม่เก็บรูปไว้ให้ดีกว่านี้ จะว่าไปแล้วมันก็อาจจะไม่รู้ว่าการมีระบบ LAN แล้ว ผลเสียที่ตามมามันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่มันก็สายไปซะแล้วที่จะป้องกัน ลูกน้องผมกับไอ้หนุ่มนั่นถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเวลาสิบวัน ผมก็เลยมารู้ในภายหลังว่า ระบบ Network ที่ใช้เชื่อมต่อถึงกันเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเดินส่งเอกสารตามแผนกต่างๆให้เมื่อย แต่โทษและผลเสียของมันก็มีอยู่เหมือน กัน ต่อมาภายหลังบริษัท รับและเปิดแผนกไอทีขึ้นมาอีกแผนก เพื่อมาจัดการระบบสารสนเทศ ได้ควบคุมจัดการใส่รหัสผ่านให้ทุกๆเครื่อง ของใครของมัน..กำหนดและจำกันเอาเอง
ภายหลังจากมีแผนกไอที อินเตอร์เน็ตก็ถูกหยิบยื่นมาให้กับทุกๆแผนก ในส่วนของผมที่มีคอมพิวเตอร์อยู่ 3 เครื่อง และได้ลูกน้องที่รับมาแทนคนเดิม ที่ถูกสั่งพักงานแล้วก็หายเงียบไปเลย จนต้องรับพนักงานคนใหม่เข้ามาแทน เป็นหนุ่มน้อยไฟแรง จากการได้พูดคุยกันไอ้หมอนี่ท่าทางเก่งเรื่องไอทีมากพอดู ก็อาศัยลูกน้องอีกนั่นล่ะครับ ที่เป็นคนพาเข้าสู่โลกไซเบอร์หรือโลกการสื่อสารไร้พรมแดน "โลกทั้งใบมันจะถูกย่อมาอยู่ในกำมือเราเมื่อมีอินเตอร์เน็ต" ไอ้ลูกน้องคนนี้มันพูดเหมือนวิทยากรเมื่อครั้งที่มาอบรมแนะนำการใช้อินเตอร์เน็ตให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กร ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ความตื่นตาตื่นใจครั้งแรกที่ได้เห็นสีสันของเว็บไซด์ต่างๆ มันทำให้ผมต้องตัดใจและหันหลังให้กับเกมโซลิแตร์โดยสิ้นเชิง
หลายเดือนที่มองแต่หน้าจอเขียวๆ คลิกเล่นเกมไพ่จนช่ำชอง ก็ถึงคราวที่ต้องลาขาดกับมันซะที ให้น้องๆสอนเข้าเว็บนั้นเว็บนี้ อายุ 30 กว่าๆก็เพิ่งมารู้จักและสัมผัสเอาวันนี้นี่เองว่า...อินเตอร์เน็ตมันน่าตื่นเต้นเร้าใจจริงๆ ภาพเอย..เสียงเอย..สิ่งต่างๆที่เราไม่เคยรู้ เราก็ได้รู้ได้ศึกษาค้นหาเอาจากโลกออนไลน์ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ตรงเบื้องหน้า ท่าจะจริงแฮะ...ที่ว่า"แล้วโลกทั้งใบจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม"
หนึ่งปีผ่านไป..ซึ่งส่วนใหญ่การออกท่องโลกอินเตอร์เน็ตของผมจะอยู่ที่ทำงาน เพราะเวลา 8-10 ชั่วโมง จะอยู่กับการทำงาน แรกๆผมจะเสียเงินเข้าไปใช้บริการตามร้านเน็ตไปหลายตังค์อยู่เหมือนกัน และผมเองก็เชื่อว่าหลายๆคนก็อาศัยที่ทำงานเป็นที่ออกท่องออนไลน์ใครจะว่าเราเอาเวลามาใช้ส่วนตัวผมก็ยอมล่ะ เพราะน้อยครั้งที่เราจะผิดพลาดในการทำงาน ให้คิดซะว่าเจ้านายรักเราและเราก็รักเคารพเจ้านายพึ่งพาอาศัยกันไปน้อ.. จากการเข้าอินเตอร์เน็ตแทบทุกวันที่มีเวลาว่าง เริ่มรู้จักการเข้าไปถามตอบพูดคุยตามเว็บบอร์ดต่างๆ มี e-mail ใช้ส่วนตัว เพื่อนก็เริ่มเยอะขึ้น สนิทสนมกันจากการพูคุยผ่านบอร์ด ผ่านทางอีเมล เมื่อมันทำให้ผมมีความสุขทำให้คลายความคิดถึงครอบครัวที่ห่างไกลมาจึงต้องเจียดเงินที่ต้องส่งทางบ้านเดือนละนิดเดือนละหน่อย จนสามารถซื้อหาเครื่องคอมพิวเตอร์เอามาใช้เป็นของตัวเองสำเร็จ และอีกหนึ่งเครื่องก็ตามมา เป็นความตั้งใจที่อยากให้ลูกที่อยู่ต่างจังหวัดได้เล่นได้ศึกษา
สองสามปีล่วงเลยผ่าน ผมเริ่มรู้(และเก่ง)มากขึ้น กับโปรแกรมหลายๆอย่าง เครื่องคอมพ์ที่อยู่ห้องพักซึ่งเป็นบ้านเช่า เป็นครูสอนเกี่ยวกับการซ่อมทดสอบกับสิ่งที่อยากรู้อยากลอง มันไม่เสียผมก็ทำให้มันเสียซะงั้น แล้วก็ทำการแก้ไขเอง บางครั้งติดขัดและคาใจไม่ได้นอนทั้งคืนก็ทำมาแล้ว มันจบและเพียงพอกับการค้นหาค้นคว้าหรือยัง ตอบได้เลยครับว่ายัง ก็เคยนั่งถามตัวเองอยู่เหมือนกันว่า อยากจะรู้อะไรให้มันมากมายไปทำไมนักวะ ชีวิตก็เท่านี้..ไม่นานก็ตายแล้ว แต่ในที่สุดก็ได้คำตอบว่า ที่ผมอยากรู้โน่นรู้นี่ก็เพราะลูกๆที่มีถึงสามคน เผื่อวันหนึ่งจะได้ตอบคำถามของพวกเขาได้บ้าง เพราะพวกเขาเกิดมาในยุคสมัยที่ไม่เหมือนกับเรา เขาเกิดมาในช่วงเวลาที่การใช้ชีวิตประจำวันต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่
"พ่อ..เปิดคอมพ์ให้หน่อย..จะเล่นเกม"
"พ่อ..เกมนี้เล่นยังไงน่ะ"
"พ่อ..เกมนี้ไม่มันส์เลย"
"พ่อ...มาเล่นเกมต่อสู้กัน..มะ"
"พ่อ...เกมนี้หนุกอ่ะ"
"พ่อ..ถ้ากลับมา..พ่อหาเกมใหม่ๆมาเล่นมั่งนะ"
"พ่อ..แผ่นเกมนี้เสีย..ซื้อมาเปลี่ยนด้วย"
"พ่อ..เกมนี้..เบื่อแล้ว.. เปลี่ยนอันใหม่"
ผมไม่เคยว่าพวกเขาหรอกครับ...เพราะผมเองก็เริ่มมาจากการเล่นเกม เด็กกับเกมผมถือว่าเป็นเรื่องปรกติครับ เล่นได้เล่นไป เบื่อเดี๋ยวก็เลิกเอง หากเล่นนานไป แม่พวกเค้า...ก็จะจัดการเอง โดยธรรมชาติของเด็ก(ผู้ใหญ่บางคน..ก็เหมือนกัน)เมื่อติดเกมแล้ว ส่วนมากจะไม่ค่อยนึกถึงเวลา ก็จะเล่นกันไปเรื่อยๆจนลืมเรื่องกินเรื่องนอน ลืมทำการบ้าน ดังนั้นภรรยาของผมที่ออกจะเด็ดขาดกับลูกจะถูกผมสั่งให้ดูแลตรงนี้ เวลาที่ผมต้องจากบ้านมาทำงาน
หากเกมบางเกมดูแล้วมันโหดมากๆ ก็ไม่สมควรที่จะให้ลูกๆเล่น อย่างเกมการต่อสู้ ไล่ยิง ไล่ฟันกันจนเลือดกระฉูด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะห้ามไม่ให้เล่นเด็ดขาด ผมจะเตือนให้บ่อยๆครั้งเมื่อเห็นลูกเล่นเกมประเภทนี้ พร้อมกับสั่งกำชับห้ามไม่ให้เล่นเกมคนเดียวนานๆ จะทำให้เกิดอาการไม่ค่อยอยากยุ่งสุงสิงกับใคร ถ้าจะเล่นก็ให้ชวนกันเล่นหลายๆคน สมควรแก่เวลาก็ไล่ให้พากันออกไปวิ่งเล่น ขี่จักรยาน เตะบอล เล่นกีฬา หรือ กิจกรรมอื่นๆที่มีแม่ของพวกเขามีส่วนร่วมกันด้วย เพราะจะทำให้ลูกเป็นเด็กร่าเริง สดใส ไม่ซึมเศร้าเมื่อคิดถึงพ่อ
สี่ปีเข้าไปแล้ว..ที่ผมยังคงวนเวียนท่องไปในโลกอินเตอร์เน็ต เพื่อนที่ไม่เคยเห็นตัวตน บ้างก็ทยอยๆหายไป แต่ก็มีเพื่อนใหม่เข้ามาทดแทนอยู่เรื่อย คนที่หายไปเค้าคงอาจจะเบื่อ..อาจจะเหนื่อย ส่วนคนที่เพิ่งเจอ..เขาอาจจะเพิ่งโผล่มา หรือชั่วโมงบินอาจจะมากกว่าเราเพียงแต่ว่าตัวเราเพิ่งโผล่มา เมื่อกรรมลิขิตให้มาบรรจบพบกัน หลายคนพูดคุยสนทนาทำความรู้จักผ่าน"เว็บบอร์ด" ผ่าน"อีเมล"หรือการ"แชท"จนพบรักเพราะโลกออนไลน์อยู่กินมีครอบครัวที่เป็นสุขก็มีให้เห็นกันออกเกลื่อนไป แต่ก็มีชายหญิงอีกหลายๆรายที่ถูกหลอกจะด้วยความที่รู้อยู่เต็มอกถึงพิษภัยอินเตอร์เน็ต หรือด้วยความไม่รู้เท่าทัน ตรงนี้ก็ต้องใช้สติและวิจารณญาณเท่าที่มีอยู่ ของใครของมันตัดสินฟันธงกันเอาเอง
มีอยู่อย่างหนึ่งที่ต้องพูดถึงเมื่อมีการเข้าไปในโลกไซเบอร์แล้ว นั่นคือเว็บที่น่าจะเป็นอันดับ 1 ของคนทั้งโลกก็ว่าได้ คือ Google หรือ พี่กู ซึ่งดูเหมือนกลายเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ค้นหาข้อมูลที่อยากรู้ อยากชม อยากเห็น ไม่ว่าจะเกิดปัญหาหรือต้องการข้อมูลอะไร ชาวไซเบอร์ทั้งหลายใครๆ ก็จะถามพี่กูแทบทั้งนั้น เพราะไม่ว่าจะถามอะไรพี่กู ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบถามมาเล้ย!! พี่กูจะรู้เกือบทุกอย่าง จะมีอยู่อย่างเดียวที่ถามไปแล้วพี่กูตอบไม่ได้ นั่นก็คือ หวยงวดต่อไปมันจะออกอะไร
จะเห็นได้ว่าเวลาเราท่องเว็บแล้วเกิดติดปัญหา พีกูเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด แต่เมื่อเก่งเมื่อเจ๋ง สี่ตีนก็ย่อมรู้พลาดได้เหมือนกัน ข้อมูลที่รวบรวมไว้แบบผิดๆก็มีเยอะ ดังนั้นสติกับความรอบคอบของเราต้องมีอยู่เสมอ และทุกเวลาที่มุดหัวเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตผมจะระลึกไว้เสมอว่า "มีดีก็ย่อมมีเสีย..มีขาวก็ต้องมีดำ" แต่ถ้าผมจะบอกว่าพี่กู กุมระบบไว้เกือบแทบทุกด้านแล้วคงไม่ผิด ก็เลยขอชื่นชมในความฉลาดล้ำของพี่กูเกิ้ลไว้ ณ ที่นี้ แต่ในใจลึกๆก็แอบคิดอยู่ว่าพี่กูคงจะไม่พลาดท่า แต่เพราะการทำตัวเป็นเหมือน"ชูชก" ที่กินทุกอย่างที่ข้าอยากกิน สุดท้ายก็ต้องมาท้องแตกตาย เพราะความตะกละไม่รู้จักอิ่มของตัวเอง อันนี้แค่คิดนะครับไม่ได้จงใจกระทุ้งสีข้างพี่กูหรอก...แต่มันก็อาจเป็นไปได้
ห้าหกปีผ่านไป...จนพอจะประมาณขีดความสามารถของตัวเองได้ว่า จากการเที่ยวตะลอนๆไปทั่วแทบทุกมุมโลกด้วยปลายนิ้ว มันทำให้หูตาของผมกว้างขึ้น แต่ก็ใช่ว่ามันจะทำให้ผมเปลี่ยนไป ก้นบึ้งและสันดานคนท้องทุ่งของผมยังมีอยู่เต็มเปี่ยม เมื่อเล่นเน็ตมานานแม้จะไม่นานมาก มันก็ไม่เคยทำให้ผมมีความรู้สึกว่าเบื่อโลกไร้พรมแดนนี้เลย กลับยิ่งทำให้อยากศึกษาสิ่งที่ยังไม่รู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ มันไม่จบง่ายๆครับกับความรู้ หากเราอยากศึกษา ตลอดเวลา 6 ปี ผมมีเพื่อนเป็นไอ้โม่งที่คุยผ่านอากาศธาตุแบบเป็นจริงเป็นจัง เรียกว่าสนิทสนมแนบแน่น มีอยู่ไม่ถึงสิบคน ไม่ใช่ไม่มีคนคบนะครับ
หากแต่เขาถูกใจเรา..เราถูกใจเขา และคุยถูกคอ แค่นี้ก็พอแล้วครับที่จะมีไว้ แม้จะเป็นเพียงแค่ตัวอักษรจากแป้นพิมพ์ของคีย์บอร์ดผ่านมาทางอีเมล แต่ก็ได้อ่านเพื่อให้คลายทุกข์แบ่งสุขซึ่งกันและกันได้ เคยมีคนหนึ่งที่คุยกันผ่านทางเมล แรกๆก็คุยภาษาคนกันอยู่ดี มาพักหลังคุยออกนอกทาง เอ๊ะ...ทางนี้มันไม่ใช่ทางที่เราถนัดนี่หว่า..เลยเป็นสาเหตุให้ทะเลาะกันและก็เลิกติดต่อกันไปเลย จะไม่ให้ทะเลาะกันได้ยังไงครับ ก็ดันมาคุยเรื่อง "การเมือง"กับผม สุดท้ายเมื่อเห็นไม่ตรงกัน ..ก็ต้องทางใครทางมันแล้วล่ะครับ
ผมเองก็ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้ว่าโลกไซเบอร์ใบนี้สำหรับผมจะสิ้นสุดและหยุดลงเมื่อใด แต่ที่รู้ๆก็เจ็ดปีเข้าไปแล้วที่ใช้โลกสื่อสารใยแมงมุมนี้
ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของผมรวมถึงคนส่วนใหญ่อีกหลายๆล้านคน และได้เพิ่มบทบาทความสำคัญที่นับวันจะทวีคูณมากยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งโรงเรียน,หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล ,สถานีอนามัย ,วัดวาอาราม คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำเข้าไปมีบทบาทในทุกวงการอาชีพทั้งในเมืองและชนบท ทุกวันนี้หมู่เฮา..ชาวอิสาน หลายๆหลังคาเรือนเริ่มมีคอมพิวเตอร์พร้อมอินเตอร์เน็ต และกำลังจะกลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าปกติธรรมดาในบ้าน เหมือนกับเครื่องเล่นซีดี วิดีโอ วิทยุ โทรทัศน์ ไปแล้ว.
************************************************************************************
เมื่อวันที่ : 25 มิ.ย. 2553, 19.49 น.
ไม่น่าเชื่อเลยว่า เรื่องง่าย ๆ ของคนยุคใหม่ เช่น การใ้ช้คอมพิวเตอร์และการท่องโลกไซเบอร์นี้ คุณอิติฯสามารถถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจ จากประสบการณ์ตรง มีทุกแงุ่มุม และให้ข้อคิดเห็นทางสังคมได้ดีมากทีเดียว
และเล่าได้อย่างกระชับ เข้าใจง่าย ตรงใจสำหรับทุกคนที่เคยผ่านการเรียนรู้แบบเดียวกัน ใช้ภาษาได้ดี ไม่มีศัพท์แสงคอมพิวเตอร์รุงรัง
รจนาเปิดอ่านโดยไม่คาดหวังอะไร แต่พออ่านจบแล้วต้องขอปรบมือให้ค่ะ
ไม่ใช่ืเรื่องหวือหวาชวนตื่นเต้น ไม่ใช่เรื่องสั้น ไม่ใช่นิยาย เป็นการเล่าเรื่องทำนอง "รำพึงความคิด" ที่น่าอ่านเป็นอย่างยิ่ง
A star is born หรือเปล่าคะเนี่ย?