![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
หวานก็ไม่หวาน เค็มก็ไม่เค็ม !
"มันแปร่งเหมือนน้ำเยี่ยว" ตาหนวงวิจารณ์
"แต่ฉันว่ารสชาติ คล้ายน้ำหวานจาก" ตาเหล็กออกความเห็น เพราะเมื่อเลยปากคลองที่แยกไปทางขวามือ ก่อนจะออกไปสู่ทะเล ก็จะมีกอจากใบเรียวแหลมขึ้นอยู่เต็มสองฝั่ง ถึงเวลาที่กอจากเหล่านั้นจะออกดอกออกลูก มันก็ทอดงวงอ่อนยื่นออกมาก่อนเหมือนงวงตาล เจ้าของสวนจากบางเจ้าก็ปาดปลายงวงของมันด้วยมีดปาดตาล เพื่อรองรับน้ำหวานไว้เคี่ยวน้ำตาลขายเหมือนตาลตะโนดเช่นกัน แต่ในส่วนที่กันไว้ทำน้ำขาวหรือน้ำกะแช่นั้น รสชาติน้ำหวานจากจะสู้น้ำหวานตาลไม่ได้
"ไม่รู้ล่ะ!" ตาภพว่า "พรุ่งนี้เราไปปล้นนาตาเขียวไร ฉันรับรองน้ำขาวเพียบ"
"เออว่ะ" ตาหนวงพยักหน้าเห็นด้วย "รายนั้นน้ำหวานชกเพียบแปล้ที่เดียวแหละ"
ชกเป็นพืชตระกูลปาล์ม มองไกล ๆ คล้ายต้นมะพร้าว ชอบขึ้นอยู่ตามเชิงเขาในป่าลึก โดยเฉพาะป่าดงดิบด้านทิศตะวันออกของบ้านชายทุ่ง มีอยู่ชุกชุม
กรรมวิธีการทำน้ำตาลชก น้ำตาลตะโนด หรือน้ำตาลจาก ใช้วิธีเดียวกัน รวมทั้งกรรมวิธีหมักน้ำขาวหรือกะแช่ให้ดื่มเข้าไปแล้วเมาจนลิ้นไก่หดสั้นนั้นด้วย ใช้ส่วนผสมสูตรเดียวกัน และเมื่อหมักจนได้ที่แล้ว รสชาติของมันก็ฝาดขื่นราวกับเบียร์ พวกลูก ๆ ของตาเขียวไรที่ขึ้นไปหักร้างถางพงทำไร่ทำสวนกันอยู่ที่ป่าแห่งนั้น มีความชำนิชำนาญในการทำน้ำกะแช่ถ้วนทั่วกันทุกคน
เพลานั้นชายวัยห้าสิบล่วงทั้งสาม กำลังนั่งเหลาหวายสานสาแหรกเตรียมใช้งานในวันพรุ่งกันอยู่ที่ใต้เนินไทร ริมคลองบางหลู ที่ตรงนั้นเป็นโคกสูง เตียนโล่ง กิ่งไทรแผ่ขยายบดบังแสงแดดร่มรื่นเย็นสบาย พวกเขาสุมไฟกองเล็ก ๆ สำหรับไล่ริ้นยุงไว้กองหนึ่ง กลิ่นหัวมันสำปะหลังที่โยนเข้าไปหมกไว้ในกองไฟโชยกรุ่นขึ้นมาหอมฉุย
"อยู่บนดินเหมือนกัน หัดปลูกกินเองเสียบ้าง..."
เสียงตำหนิติเตียนของนายยกโฮ่-จีนบ้าบ๋าวัยเดียวกับชายทั้งสาม ล่องลอยมาในอากาศ ตาหนวงยักคิ้วเพริบ ๆ ขณะบิหัวมันร้อน ๆ และเป่าลมใส่พรู ๆ ก่อนจะส่งเข้าปากเคี้ยวกลืน
"ระวังปากพอง" ตาภพพูดหยอกตาหนวง
"ฉันกลัวติดคอมากกว่า หิ หิ " ตาหนวงพูดพลางหัวเราะลอดซี่ฟันหลอออกมาเสียงแหลม มวนยาใบจากสอดไส้กัญชาที่ทัดไว้กับใบหูข้างขวาทำท่าจะร่วงหล่น... "ไม่ว่าจะหยิบสมบัติชิ้นไหนของหลวงยกโฮ่ใส่ปาก มันให้เหนียวหนืดติดคอไปเสียทุกคำ"
"หัวมันหมกที่กำลังเคี้ยว... หรือว่าไก่รุ่นตัวนั้น?" ตาเหล็กแหย่เพื่อนคู่หู
ตาหนวงมองเพื่อนตาขุ่น พร้อมกับด่าให้ว่า
"กินแล้วคาย ระวังติดคุกหัวโต!"
***********************************************************
ปีที่แล้วฝนเริ่มตกตั้งแต่ปลายเมษา กระทั่งล่วงเข้าตุลา พฤศจิกา ก็ยังลงเม็ดไม่สร่าง เลยกลายเป็นปี "ฝนยาว หนาวสั้น" อีกปีหนึ่ง แต่กระนั้น-เมื่อสิ้นฝน-ต้นหนาว ในยามพลบค่ำก็ยังพอมีจิ้งหรีดกรีดปีกส่งเสียงแหลม ท้าทายพวกเด็ก ๆ ให้จุดตะเกียงแก๊สออกไปส่องหากันอย่างสนุกสนานหลงเหลืออยู่บ้าง
แสงไฟตะเกียงแก๊สของเด็กชาย ๓ คน ไข่นุ้ย เจ้าพริ้ง เจ้าชน สาดส่องไปตามพื้นหญ้าชุ่มน้ำค้างชายทุ่ง กอข้าวทอดรวงอร่ามอยู่กลางผืนนาแลเป็นทิวราง ๆ ภายใต้แสงดาวกระพริบพรายอยู่บนฟ้ายามพลบค่ำ ลมหนาวโชยแผ่วมาทางทิศเหนือ โยกส่ายไผ่หนามริมนา เบียดเสียดกัน ส่งเสียงออดแอดสั่นพลิ้วราวเสียงดนตรี
ทว่าสายลมนั้นก็มิอาจสร้างความเหน็บหนาวให้กับพวกเด็ก ๆ ทั้งสามคนได้เลย
กระบอกทองเหลืองบรรจุถ่านแก๊สซึ่งเหน็บไว้กับเข็มขัดลูกเสือที่สะเอวของไข่นุ้ยร้อนฉ่าราวกับหินรมไฟ เด็กชายถือแฉงตะเกียงที่ต่อท่อยางขนาดนิ้วก้อยมาจากกระบอกอันนั้น จับนิ่งตรงตัวจิ้งหรีดที่กำลังหมอบซุ่มอยู่ตรงปากรูของมัน พร้อมกับค่อย ๆ ย่อเข่านั่งยอง ๆ ลงช้า ๆ พอได้จังหวะมืออีกข้างก็ตะปบลงไปตรงตัวมัน
เด็กชายรู้สึกปวดจี๊ดที่ปลายนิ้วมือ เพราะโดนเงี่ยงแหลมคมราวมีดโกนตรงขายาว ๆ ของมันตำเข้าแผลหนึ่ง
"พวกสูทำอะไรกัน มืดค่ำแล้วยังไม่กลับบ้าน!?"
"โหละจิ้งหรีด- -ไม่เห็นหรือ!! พวกตานั่นแหละไปไหนกันมา มืดค่ำแล้วยังไม่นอน ฮา ฮา"
"อ้อ! ไอ้ไข่นุ้ย--นึกว่าใคร..." ตาพบและสหายทั้งสองเดินขาไขว้เป็นเลขแปดเข้าใกล้พวกเด็ก ๆ "ได้มากไหม ให้กูไปคั่วเกลือแกล้มเหล้าขาวสักกำมือ"
เจ้าพริ้งชูขวดขาวพร้อมกับเอาแฉงไฟแก๊สส่องให้ดู จิ้งหรีดตัวเป็น ๆ ครึ่งขวดตะเกียดตะกายดิ้นขลุกขลักอยู่ข้างใน
"ทั้งหมดนี้ --สามบาท"
ตาเหล็กหัวเราะ แหะ ๆ ก่อนหันไปทางตาพบ
"พรุ่งนี้ค่อยจ่าย-ใช่ไหมหลวงพบ?"
"เรามีตางค์" ตาพบว่า
ท่ามกลางความมืดขมุกขมัวใต้แสงดาว ตาพบเปิดกล่องยาสูบควานหาเงินเหรียญที่ซุกอยู่ใต้เส้นใยใบยาได้เหรียญสลึงดำปี๋มาสี่เหรียญ
เด็กพริ้งส่องไฟดู ร้องเว้ย "บาทเดียว-ไม่ขายหรอก"
"ลูกไอ้พร้อม... มึงอย่าใจดำกับคนแก่" ตาพบคร่ำครวญเสียงเศร้า ๆ แล้วทำท่าจะชวนพรรคพวกเดินจากไป
ทุ่งนายามนั้นเงียบวังเวง มีแต่เสียงจิ้งหรีดกรีดปีกร้องดังอยู่ไกล ๆ สลับกับเสียงลำไม้ไผ่เบียดสีพลิ้วแผ่วเป็นครั้งคราว
ไข่นุ้ยเปิดปากหาวหวอด
"ให้ไปเถอะ!" เขาบอกเพื่อน
"แล้วเราแบ่งกันคนเท่าไหร่" เจ้าพริ้งถาม
"พวกมึงสองคนแบ่งกันคนละห้าสิบตังค์ไม่ต้องเผื่อกู"
********************************************************
"คุณครูครับผมมาขออนุญาตพาเด็กชายไข่นุ้ยกลับบ้าน"
"อ้าว-มีอะไรหรือนายณรงค์" คุณครูขมวดคิ้ว เบิกตามองอดีตลูกศิษย์เหนือกรอบแว่นด้วยความสงสัย เพราะนายณรงค์ ก็คืออาของเด็กชายไข่นุ้ยนั่นเอง
"โจรปล้นนาครับ จะมาพาไข่นุ้ยไปช่วยขนของมาทำอาหารเลี้ยงพวกเขาครับ"
"คุณครูครับ ผมขออนุญาตไปช่วยนายไข่นุ้ยด้วยคนครับ" เด็กชายพริ้ง ชูพุ่ม ลุกขึ้นยืนตรงพร้อมชูมือเสนอตัว
"ผมด้วยครับ"
"ผมด้วยครับ"
"..."
เสียงขออนุญาตเสนอตัวดั่งลั่นทั่วชั้น ป. ๔ คุณครูมองลอดแว่นไล่ไปทีละคน....
"นายพริ้ง นายสุชน นายวสันต์" คุณครูเอ่ยชื่อเด็กชายร่างกำยำทีละคนอย่างแช่มช้า "ครูอนุญาตให้ไปช่วยนายไข่นุ้ยได้ แต่ต้องกลับมาถึงโรงเรียนก่อนโรงเรียนเลิก ห้ามไปขึ้นต้นไม้ ห้ามเล่นน้ำคลอง... จำไว้นะ ใครฝ่าฝืนและครูสืบรู้ทีหลัง..."
"สิบทีครับ" เสียงแหลม ๆ เสียงหนึ่งสอดขึ้นจากชั้นเรียน
คุณครูยิ้มละมัยอยู่ในใบหน้าและหันไปทางอดีตลูกศิษย์ซึ่งยืนรอหลานอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียน "ดูแลหลานให้ดี ๆ"
"ครับ-คุณครู"
ระหว่างทางเจ้าพริ้งพูดกับอาของไข่นุ้ยว่า "เมื่อคืนพวกผมออกส่องจิ้งหรีด เจอตาหนวงกับตาพบ ...แล้วก็ตาเหล็กด้วย ยังนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน-มืดค่ำ-พวกแกไปทำอะไรแถวนั้น?"
"เออ-ก็พวกขี้เมาสองสามคนนั่นแหละเป็นหัวโจก"
อาของไข่นุ้ยพูดกับพวกเด็ก ๆ แล้วชวนกันเร่งเดิน
********************************************************************
มุมหนึ่งของท้องนาทุ่งบางหลูเวลานั้น ถ้าหากใครสักคนบินได้ และบินขึ้นไปมองลงมาจากมุมสูง ก็จะเห็นผืนนาของตาเขียวไรทอดราบอยู่ในวงล้อมของป่าละเมาะต่ำเตี้ยสองด้าน คือด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือ ส่วนทิศตะวันตกเป็นลำคลอง และทิศใต้เป็นสวนผลไม้โบราณร่มรื่น ล้อมรอบอาณาบริเวณบ้านเรือนไม้หลังใหญ่ ซึ่งภายในบริเวณบ้านหลังดังกล่าว บัดนี้เกิดสรรพเสียงเจี๊ยวจ๊าวจอแจดังลั่นไปหมด
นายยกโฮ่หาบสาแหรกใส่ข้าวของพะรุงพะรังเดินผ่านรั้วบ้านเข้ามา พร้อมกับพวกเด็ก ๆ และอาของเขาที่มาจากโรงเรียนก็เดินไปถึงพร้อมกันพอดี
"พวกเอ็งเอาของพวกนี้ ขึ้นไปบนเรือน" นายยกโฮ่พูดขึ้น หลังจากวางหาบและกวักมือเรียกพวกเด็ก ๆ เข้าไปหา "ตาจะเลยไปในนา เผื่อมีอะไรขาดเหลือจะได้ช่วยกัน..."
ไข่นุ้ยและเพื่อนทั้งสามยกมือไหว้ชายชรา พร้อมกับช่วยกันหยิบฉวยพืชผักสำหรับต้มแกง กระทั่งกล้วยน้ำว้าสุกเหลือง และท่อนหยวกกล้วยที่ปอกเปลือกขาวนวลน่ากินจากในสาแหรกคู่นั้นหอบหิ้วขึ้นไปบนเรือน
ตาเขียวไรปู่ของไข่นุ้ยนอนไอขลุก ๆ อยู่บนเสื่อ เมื่อเห็นพวกเด็ก ๆ หอบข้าวของเดินผ่าน แกก็ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง ชายชราโดนโรคถุงลมโป่งพองเล่นงาน หายใจเหนื่อยหอบจนตัวโยน
"ไข่นุ้ย-เดี๋ยวกลับมาหาปู่หน่อยนะ"
เด็กชายได้ยินปู่ร้องสั่ง ก็รีบหิ้วข้าวของไปส่งให้พวกแม่ครัวแล้วถลันกลับมาที่ปู่ของเขาโดยเร็ว
"มีอะไรหรือปู่"
"เอ็งไปเอาเสื้อยืดเก่า ๆ ของปู่แบ่งให้เพื่อนผลัดเปลี่ยนกันเสียก่อน ประเดี๋ยวเสื้อนักเรียนสกปรก"
"ไม่ต้องหรอกครับ" เด็กชายวสันต์พูดกับปู่ไข่นุ้ย "พวกผมถอดเสื้อแขวนไว้ที่นี่ครับ"
" เรอะ! ฮา ฮา" ชายชราวัยเจ็ดสิบกว่า ๆ กระเถิบนั่งพิงฝา สายตาจ้องมองพวกเด็ก ๆ ด้วยความเอ็นดูรักใคร่
"ประเดี๋ยวเสร็จงานแล้วกลับมาหาปู่อีกนะ"
"ครับปู่"
ว่าแล้วพวกเขาทั้งสี่ก็จัดแจงถอดเสื้อนักเรียนไปแขวนไว้ที่เขากวาง ซึ่งตอกยึดอยู่กับฝาเรือนอีกด้านหนึ่ง แล้วก็ชวนกันมุ่งลงไปนา
ระหว่างทางพวกเขาสงสัยว่าใครคือหัวหน้าโจร
"น่าจะเป็นตาวาด" ไข่นุ้ยพูดกับเพื่อน ๆ
"แสดงว่า ตาพบ ตาหนวง ตาเหล็ก ที่พวกเราเจอแกเมื่อคืน คงเที่ยวเดินนัดแนะใครต่อใครให้มาปล้นนาในวันนี้แน่เลย" พริ้งพูด "เพราะสามคนนั้นมักไปซ่องสุมกินน้ำหวานเมาที่บ้านตาวาดอยู่ประจำ ตาวาดจึงขอแรงพวกแก"
ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น เป็นกิจกรรมรื่นเริงส่วนหนึ่งของชาวนาชาวไร่ในท้องถิ่นชนบท ที่พวกเด็ก ๆ เรียนรู้และซึมซับได้ดี การอุกนาหรือการปล้นนา หมายถึงการนัดแนะระดมกันไปเก็บเกี่ยวรวงข้าวที่สุกเหลืองอยู่ในไร่นาของเจ้าหนึ่งเจ้าใด โดยมิได้แจ้งให้เจ้าตัวได้รู้เสียก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อหวังเอาความอีหลุกขลุกขลักและความชุลมุนวุ่นวายของที่ผู้ถูกปล้น ซึ่งต้องวิ่งวุ่น กับการจัดหาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงรับรอง เป็นสิ่งบันเทิงใจและสนุกสนานไปตามเรื่องตามราว กระทั่งเผลอ ๆ บางคราว-หัวหน้าโจรเสียอีกที่ต้องตกเป็นฝ่ายว้าวุ่นให้เป็นที่ตลกขบขัน เมื่อถึงคราวซวยไปปล้นโดนเจ้าของไร่นาที่กำลังตกอับเข้าโดยบังเอิญ...
ในกรณีพวกโจรปล้นนาของตาเขียวไรในวันนี้ ก็สืบเนื่องมาจากบรรดาลูก ๆ ของแกทั้ง ๗-๘ คน เป็นผู้ขยันทำกิน และเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนบ้าน เพราะพวกเขานอกจากจะขยันการงานโดยส่วนตัวแล้ว งานส่วนรวมก็ไม่เคยละเว้น พวกเขาจะคอยช่วยเหลือผู้อื่นมิได้ขาด ทั้งงานไร่-งานนา หรือมงคลต่าง ๆ กระทั่งงานปลูกสร้างบ้านเรือน ก็ช่วยเหลือกันจนเสร็จเข้าอยู่อาศัยได้จึงจะเลิกรา ครั้นถึงคราวที่ผู้อื่นจะหาโอกาสทดแทนคุณกลับคืนบ้าง ภายในผืนนาแห่งนั้นจึงเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งสมมติตัวกันว่า "โจร" มายืนเก็บเกี่ยวรวงข้าวกันเนืองแน่นไปหมด
"ร้อยสิบคนพอดี" พวกเด็ก ๆ นำข่าวมาแจ้งแก่แม่ครัว ซึ่งกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่กับเรื่องข้าวปลาอาหารเลี้ยงแขก
"หา! ตั้งร้อยสิบเชียวรึ โอย-กูจะเป็นลม" สาวจาง-สาวแรกรุ่นวัยสิบเจ็ดสิบแปด ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับอาสาวของไข่นุ้ยเอามือตบหน้าผากตัวเอง ยืนตาลอย "ไอ้ไข่นุ้ย เอ็งพาเพื่อนไปหามกระทะใบบัวที่บ้านตาสุดมาที่นี่เร็ว ๆ อาจะรีบหุงข้าว"
"ไอ้พริ้ง" อาสาวของไข่นุ้ยกวักมือรั้งเจ้าพริ้งเอาไว้ "เอ็งรีบไปบอกตายกโฮ่ที่ในนาว่าให้แกกลับไปเอากล้วยน้ำว้ามาเพิ่มอีก อาจะรีบทำกล้วยบวชชี... บอกแกว่า ที่แกเอามาให้เมื่อเช้าไม่พอ"
พวกเด็ก ๆ ที่ได้รับคำสั่งต่างก็แยกย้ายกันออกไป
บ้านตาเขียวไรยามนั้นมีแต่เสียงอึกทึกครึกโครม บ้างก็ปอกมะพร้าว บ้างก็ตำเครื่องแกง หมูถูกเชือดส่งเสียงหวีดร้องมาจากใต้ร่มกระท้อนใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ชำแหละเนื้อ เสียงร้องของมันดังขึ้นชั่วอึดใจแล้วเงียบไป พวกหนุ่ม ๆ สองสามคนที่กำลังช่วยงานกันอยู่ตรงนั้นพูดคุยหยอกล้อดังโขมงโฉงเฉง
และใกล้ ๆ กันนั้น--ตรงโคนขนุนซึ่งแผ่กิ่งก้านทอดเงาร่มรื่น มีไหปากจีบสูงแค่เข่า ซึ่งเป็นไหที่พวกกุลีเหมืองแร่ในอดีตเคยใช้ดองถั่วเค็มตั้งเรียงกันอยู่สิบกว่าใบ ทั้งหมดถูกปิดฝาและคลุมทับด้วยผ้าด้ายดิบสีขาวอย่างดี แต่มิวายสิ่งบรรจุอยู่ข้างในก็โชยกลิ่นออกมาหอมฉุยชวนให้อยากลิ้มลอง...
แน่ล่ะ ... มันคือน้ำกระแช่ที่หมักด้วยน้ำหวานชกจากในป่า ซึ่งพ่อของไข่นุ้ยและสมัครพรรคพวก ช่วยกันขนมาเตรียมไว้ตั้งแต่พอรู้ข่าวเมื่อตอนเช้า
"มึงออกมาอยู่ห่าง ๆ ไหน้ำขาวสักนิดไม่ได้หรือไร" เด็กหนุ่มมือชำแหละหมู พูดหยอกล้อเพื่อนของเขา
"ว่าแต่คนอื่น" คนที่ถูกเพื่อนล้อรีบย้อนใส่ "มึงคนเดียวล่อไปเกือบสองขันแล้วนะ"
ซึ่งที่จริง "ขัน" ที่ว่า ก็มิใช่ขันตักน้ำ หากแต่เป็นกะลามะพร้าวผ่าซีกขนาดเขื่อง ถูกนำมาขัดถูรอยสากด้วยใบข่อยจนลื่นวับจับเงา นิยมใช้รินน้ำกระแช่กินกัน เพราะมันเหมาะเจาะไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า และวันนั้นกว่าทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยก็กินเวลาเลยเที่ยง เสียงไชโยโห่ร้องของพวกโจรที่เคลื่อนขบวนมาจากในนาเพื่อหยุดพักกินข้าวมื้อเที่ยงดังลั่นหัวกระไดบ้านตาเขียวไร
ตาหนวง ตาพบ และตาหวาด-หัวหน้าโจร รำป้ออยู่ข้าง ๆ ตีนกระได
พวกเด็ก ๆ ยืนมองอยู่บนเรือน พากันหัวเราะกันคิกคัก ที่เห็นพวกผู้ใหญ่เขาสนุกสนานกัน
"ไอ้เสือ-ปล้น" ตาวาดผู้เป็นหัวโจกในงานนี้ ส่งเสียงขึ้นก่อนใคร
ตาหนวงเอามือป้องปาก " โห่ โห้ โห่ โห้ โห่ ......หิ้ว ๆ "
ตาพบรำป้อ-นัยน์ตาสองข้างปิดปรือเหมือนจะหลับ เพราะแกล่อน้ำขาวท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุเข้าไปมากแล้ว... หากแต่แกก็ยังด้นเพลงปล้นนาได้อย่างแคล่วคล่อง
พวกที่มาด้วยกันปรบมือโห่กันเกรียว...
"เฮละโล สาระพา วันนี้อุกนา-บ้านตาเขียวไร" ตาพบขึ้นเพลง
"สาระพา--สาระพาสาระพา" ลูกคู่รับ
"วันนี้อุกนา --กินหมาไหร
ถ้าแกงพุงปลา --กูไม่กิน
เหม็นไครขี้มิ้น --กินไม่ลง"
"สาระพา - - สาระพา - -สาระพา"
"ไหนเล่า-เจ้าภาพ-ออกมานี้" ตาวาด-หัวหน้าโจรร้องต่อ พร้อมปรบมือเป็นจังหวะ
" ขาดหอมดีปลี--หรือขาดไหร
ถ้าสูไม่แกงหมู -กูจะเผาเรือน
นาไร่ก็เหมือน-กูจะเผาเกลี้ยง"
ตาเหล็กรำเฉี่ยวเข้าใกล้ตายกโฮ่ และร้องสร้อยท่อนสุดท้าย
"มาแล้วเหวย มาแล้ววา พวกเราโจราจะมา-เผาเรือน"
" โห่ โห้ โห่ โห้ โห่ เห้ววววว"
ในขณะที่พวกโจรกำลังปรบมือโห่ร้อง และเต้นรำยักย้ายส่ายตะโพกกันอยู่ตรงลานบ้านอย่างสนุกสนาน พวกแม่ครัวที่แอบซุ่มอยู่บนเรือนก็กรูมาที่นอกชาน แล้วรุมกันสาดน้ำลงไป
"แกงหมูโว้ย" สาวจางว่า พร้อมสาดน้ำลงไปอีก พวกโจรแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง
"เล่นผี ๆ" ตาเหล็กเอามือลูบหน้าผากที่เปรอะน้ำ
ตาเขียวไรนั่งฟังอยู่บนเรือนหัวเราะหึ ๆ เรียกหลานชายซึ่งยืนมองพวกผู้ใหญ่เขาเล่นสนุกกันอยู่ที่ประตูให้เข้าไปหา "ไข่นุ้ยเอ็งชวนเพื่อเอาเสื่อสาดไปปูที่ใต้ถุนเลยลูก ใต้โคนมะม่วงกับโคนกระท้อนริมยุ้งข้าวบ้างก็ได้ บนเรือนคงนั่งกันไม่พอ ร้อนด้วย สู้ข้างล่างไม่ได้ลมพัดเย็นสบาย"
ไข่นุ้ยรับคำแล้วชวนเพื่อนวิ่งกรูลงไปข้างล่าง
มิช้ามินานเสื่อสาดและถ้วยจานที่ไปขอยืมมาจากหลวงพ่อที่วัด ก็ถูกลำเลียงมาปูและแจกจ่ายไปถ้วนทั่ว พวกแม่ครัวที่ทำหน้าที่ยกสำรับกับข้าว ก็นำน้ำกระแช่ใส่หม้ออลูมิเนียมยกมาเสิร์ฟเรียกน้ำย่อยกันพอประมาณ... รอไว้เสร็จงานตอนเย็นค่อยว่ากันอีกที
"พวกเอ็งไปกินข้าวกินปลากันให้เสร็จ แล้วก็กลับไปโรงเรียนได้เลย" อารงค์พูดกับไข่นุ้ยและเพื่อน "เอากล้วยบวชชีในปิ่นโตไปฝากคุณครูด้วย-อย่าลืม"
"ครับ" พวกเด็ก ๆ รับปาก
ไข่นุ้ยชวนเพื่อไปกินข้าวในครัว ซึ่งแม่และพี่น้องเพื่อนบ้านกำลังช่วยกันคดข้าวตักแกงเลี้ยงแขกอยู่พัลวัน หลังจากนั้นเด็กชายทั้งสี่ก็ชวนกันกลับโรงเรียน
ในตอนแรกเด็กชายไข่นุ้ยเป็นคนหิ้วปิ่นโตกล้วยบวชชีไปฝากคุณครู ทว่าเมื่อเดินมาได้ครึ่งทางเขากลับรู้สึกว่าปิ่นโตเถานั้นมันช่างหนักจนหิ้วแทบไม่ไหว กระทั่งในที่สุดเขาก็ยื่นให้เจ้าพริ้ง...
"กูคลื่นไส้ ว่ะ" ไข่นุ้ยบอกเพื่อน แล้วโก่งคอตั้งท่าจะอาเจียน
เพื่อนสามคนหัวร่อคิก ๆ พร้อมกับใครคนหนึ่งพูดว่า
"ไอ้เปรต กูห้ามแล้วไม่ฟัง แดกเข้าไปเกือบหมดขัน มันก็เมานะซีโว้ย ฮา ฮา"
-จบ-
เมื่อวันที่ : 17 มิ.ย. 2553, 08.54 น.
กลับมาสู่บรรยากาศท้องทุ่งนากันอีกครั้ง ด้วยสำนวนสวนเสเฮฮาของ 'พลอยพนม' มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องพอจะแนะนำเพื่อการปรับปรุงแก้ไข ก็ใคร่ขอเชิญ(เหมือนเดิม)นะครับ
ขอบคุณครับ