![]() |
![]() |
ลุงเปี๊ยก![]() |
วินาทีนั้นเขารู้ว่าเสี่ยง สาวบีก็รู้ว่าผู้บ่าวกำลังทำอะไรที่เสี่ยง
ไม่มีคนช่วยเตือนสติอยู่แถวนั้นเลย...
บ้านโคกน้อยก่อนรุ่งสางวันนี้ ท้องฟ้ายังมืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมบนเสาไฟสาดความสว่างชืด ๆ ลงบนถนนใบ้ เสียงไก่ขันแว่วมาไกลจากฟากโน้น ในความหลับใหลของหมู่บ้าน ย่อมมีความตื่นลืมตาขึ้นตรงไหนสักแห่ง และเสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ก็จะดังแทรกความมืด ต่อมาจะมีมอเตอร์ไซค์ส่งเสียงมาแต่ไกล ดังไล่มาตามแนวถนนเข้ามาจนใกล้ มันจะดังเหมือนวิ่งอยู่ในหัวแล้วก็ดังห่างออกไปในทิศตรงข้าม.. กระทั่งจางหายไปในที่สุด
หน้าบ้านตาโฮมเสียงมอเตอร์ไซค์อีกคันดังขึ้น เป็นบักบอยงัวเงียตื่นมาถีบคันสตาร์ท มันตื่นแต่เช้าเพื่อส่งน้าหน่องไปขึ้นรถรับส่งคนงาน ซึ่งมารับคนงานที่วงเวียนหมู่บ้านทุกเช้า น้าหน่องเพิ่งจะได้งานประจำที่โรงงานผลิตอุปกรณ์ไฮเทคต่างอำเภอเดือนก่อนนี้เอง
บักหน่องหรือนายเทพฤทธิ์ คำโนนสูง คือคนหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ริมฝีปากบาง มีรอยสักเป็นไฝเม็ดเล็กประดับใบหน้า เขามีประกายตาพุ่งไปยังความหวังข้างหน้า และมีรูปร่างแข็งแรงสมส่วนเป็นต้นทุน บักหน่องก็เหมือนคนหนุ่มทุกคน ที่แหงนมองภูผาแห่งความสำเร็จ อย่างพร้อมที่จะปีนป่ายขึ้นไปสูดอากาศบนนั้น และระหว่างทางก็จะเด็ดดอมดอกไม้ใกล้มือไปด้วย
ขณะบักบอยบังคับมอเตอร์ไซค์เข้าเทียบท่ารถ หน่องก็เห็นสาวบีมาดักเจอเขาแต่เช้า เงาตะคุ่มของหญิงวัยรุ่นลุกขึ้นจากม้านั่งใต้ต้นตะขบ ก้าวออกมาสู่ความสว่างของแสงโคมบนเสา เธอสวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งคลุมทับชุดนอนยาวและสวมรองเท้าแตะผ้ามีดอกทานตะวันประดับบนหลังเท้า
เมื่อเห็นบักบอยขี่รถจากไปแล้ว สาวบีก็เข้ามาดึงแขนเสื้อผู้บ่าวอย่างคนกำลังร้อนใจ "อ้ายหน่อง นางมีเรื่องสำคัญหลายอยากสิเว้ากับอ้าย"
หน่องแปลกใจที่สาวบีมาดักเจอแต่เช้าอย่างนี้ แต่อากาศสดชื่นยามเช้า กับภาพสาวคนรักท่ามกลางแสงไฟ ทำให้คนหนุ่มอย่างเขาจินตนาการเห็นร่างเปลือยเรียบลื่นซ่อนอยู่ใต้เสื้อนอน และก่อนจะคิดอะไรอื่น ฮอร์โมนในกายก็สั่งให้เขาเบียดกายเข้าหา ดันร่างฝ่ายหญิงกลับเข้าใต้เงาต้นตะขบ และพยายามกุมกอดเนื้อนุ่ม หากำไรชีวิตดื้อ ๆ
"สิบ้าติ เดี๋ยวมีผู้ใดมาเห็นดอก" สาวบีรีบห่อไหล่หลบมือผู้บ่าว และเอี้ยวตัวออกไปกลางแสงไฟ
"ฮ่ะฮ่ะ..เช้าปานนี่สิมีผู้ใด๋มาเห็น" เขาแก้เก้อด้วยเสียงหัวเราะหึ หึ
"มีแต่หัวอยู่นั่นหละ นางหึ่งกุ้มใจอยู่"
หยุดหัวเราะ เขม้นมองหน้าสาว "เจ้าเป็นอิหยังหละ"
"เป่นตั๊ว"
"อิหยัง"
"เอ่อ.. นางสงสัยว่าสิท้อง"
"หา.. เมนบ่มาติ้"
"..." พยักหน้ารับ
"โดนปานได๋แล่ว"
"ปานนี่น่าสิม้าแล่ว ซ่าไปซิบมื้อยังบ่เห็นมา สิเฮ็ดจังได๋ดี.."
ณ บัดนั้นความกังวลของบีถ่ายทอดมายังหน่อง เขาเห็นผู้สาวหน้าม่อยจึงคิดปลอบใจ
"อืม.. อย่าฟ่าวคิดหลาย บ่เป็นหยังดอก" พูดแล้วก็อึ้งเพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรต่อ ในความคิดของเขา นี่คืออุปสรรคต่อความก้าวหน้าในชีวิต เขายังหนุ่ม มีโอกาสข้างหน้าอีกมาก เขาไม่พร้อมจะเป็นพ่อคน และไม่คิดว่าชีวิตจะหยุดอยู่กับหญิงวัยรุ่นละแวกบ้าน เขาอยากมีชีวิตท่ามกลางความศิวิไลซ์ในเมือง ไม่ใช่จมปลักแบบที่กำลังจะต้องเจออยู่นี้
แล้วรถบัสโรงงานก็โผล่อ้อมวงเวียนเข้ามา
"ให่เวลาอ้ายคิดจักน่อยก่อน" ชายหนุ่มผลักปัญหาออกไป
"ไว ๆ แนเด้ออ้าย คิดฮอดเมื่อได๋ นางนอนบ่ลับเลย"
"มื้ออื่นตอนสาย ๆ ค่อยเว่ากันใหม่เด้อ"
"อ้ายบ่ได้เฮ็ดงานตี้"
"มื้ออื่นอ้ายเข้าเวรดึก ตอนกลางเวนอ้ายว่างเบิดมื้อ" เขาก้าวขึ้นยืนบนบันไดรถ
"…"
"อย่าฟ่าวคิดหลายเด้อ" หน่องปลอบประโยคสุดท้าย แล้วรถบัสก็เคลื่อนออกจากที่ เงาตะคุ่มของสาวบีและต้นตะขบเลื่อนห่างออกจากสายตา ความกังวลใจกำลังก่อตัวขึ้นในห้วงคิด เหมือนกลุ่มควันลอยกรุ่นออกจากปล่องเตาเผาถ่าน
บักหน่องกับสาวบีเริ่มต้นความสัมพันธ์เมื่อสามเดือนก่อนในวงพนันงานศพ ทั้งสองเติบโตในหมู่บ้านเดียวกัน บ้านพ่อแม่สาวบีกับบ้านบักหน่องอยู่กันคนละฟากหมู่บ้าน แต่ก็รู้จักชื่อและคุ้นหน้ามาแต่เด็กแล้ว
ณ ลานบ้านงานใต้ต้นขนุนบ่ายวันนั้น จะเห็นว่าคลาคล่ำด้วยรองเท้าแตะ และนักพนันวงนอกยืนล้อมเสื่อที่ปูลาดกับพื้นดิน บนเสื่อมีบักหน่องรวมทั้งนักเสี่ยงโชคอีกหลายคน นั่งล้อมลุ้นสิ่งที่อยู่ใต้ขันพลาสติกสีชมพู กลางเสื่อมีแผ่นกระดาษแข็งแบ่งเป็นตารางหกช่อง แต่ละช่องมีรูปน้ำเต้า ปู ปลา กบ ไก่ และกุ้ง แบงก์ย่อยและเหรียญใหญ่จะหมุนเวียนเปลี่ยนมือผ่านกระดาษแข็งแผ่นนี้
"เอ้า.. เบิ่ง ๆ" พ่อใหญ่ประสิทธิ์ผู้เป็นเจ้ามือเขย่าขัน เชิญชวนลูกค้าดูกล่องเต๋ากลิ้งไปมา "เบิ่งให้ดี ๆ เด้อ.. ตาดีได้ ตาร้ายเสีย บ่ต้องรีรอ.. ฟ่าวมา ๆ สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามาเด้อ.." ว่าแล้วก็กระดกขันก่อนจะคว่ำลงครอบลูกเต๋าทั้งสามอย่างชำนาญ
สาวบีเป็นขาจรวงนอก โผล่หน้ามาเสี่ยงดวงหาความตื่นเต้น เธอเห็นแล้วว่าแบงก์ยี่สิบช่องปูเป็นเงินใคร คำนวณโอกาสได้เสียแล้ว ก็ตัดสินใจยื่นมือไปคีบแบงก์ใบนั้น ออกจากช่องปู โยกไปวางช่องน้ำเต้าสีแดง
"อ้าว ๆ เดี๋ยวปูสิหนีบมือ" หน่องเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นสาวโผล่มาในมาดนักจับเสือมือเปล่า
"ปูมันตายแล่ว หนีบมือผู้ได๋บ่ได้ดอก" บีส่งเสียงใสกลั้วหัวเราะสวนกลับ หล่อนมองหน้าไอ้หน่องอย่างท้าทาย พอปะทะกับประกายตาคมกริบของหนุ่ม อีสาวก็จำต้องหลบ
พอหงายขันเสียงอื้อฮือก็ดังขึ้น ลูกเต๋าออกน้ำเต้าสามดอก สาวบีหัวเราะลั่น "บอกแล้ว" อีสาวคุยโวว่าบอกแล้วเหมือนกับผู้หญิงอีกครึ่งโลกที่พูดแบบนี้ทั้งที่ไม่เคยบอกอะไรทั้งนั้น นักพนันสาวยิ้มร่าที่สามารถเอาเงินบักหน่องไปทำกำไรได้ ๓ เท่า เธอคว้าเงินแปดสิบบาทมาสะบัดตรงหน้าหน่อง แถมด้วยการย่นจมูกล้อเลียนก่อนจะล่าถอยออกจากวงพนัน แต่หายไปพักเดียวก็โผล่หน้ากลับมา ในมือมีกระป๋องเบียร์แช่เย็นมากำนัลผู้บ่าวซะอีก
นับจากนั้นเวลาของทั้งสองก็ดำเนินไปภายใต้แรงกระตุ้นของฮอร์โมนหญิงชาย มีการนัดแนะ แอบพบ และอื่น ๆ อันเป็นกิจกรรมที่เปิดเผยไม่ได้ ซึ่งเกิดขึ้นเสมอหลังการหยอกเย้ากันอย่างใกล้ชิดเกินเลย จนกลายเป็นการลุกโพลงขึ้นของอารมณ์แห่งวัยเจริญพันธุ์
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขากับสาวบีฝ่าพายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำกลางไร่มันสำปะหลัง และครั้งนั้นเป็นวันที่เขาตัดสินใจบุกโดยไม่สวมเสื้อเกราะ วินาทีนั้นเขารู้ว่าเสี่ยง สาวบีก็รู้ว่าผู้บ่าวกำลังทำอะไรที่เสี่ยง แน่นอนว่าไม่มีผู้อ่านอยู่ด้วย คนที่จะช่วยเตือนสติยั้งคิดย่อมไม่มี
'ไม่น่าเลยกู' คำพูดนี้ดังขึ้นในห้วงคิดขณะมองออกนอกหน้าต่างรถบัส ต้นไม้ข้างทางมองเห็นเป็นเงาตะคุ่มเลื่อนไหลผ่านสายตาตามความเร็วของเครื่องยนต์ ไอ้หน่องนั่งเบาะริมหน้าต่าง สายลมเย็นปะทะใบหน้า รถบัสจอดรับคนงานตลอดรายทาง และแวะรับคนงานผู้หญิงกลุ่มสุดท้ายที่ครบุรี ฟ้าสางแล้วความเขียวของต้นไม้เผยตัวให้เห็นกลางแสงเรื่อเรืองของท้องฟ้า รถบัสออกวิ่งตะบึงต่อไป บนถนนที่มองเห็นว่ามันคดเคี้ยวและแคบลงข้างหน้า รถจะวิ่งเข้าไปใกล้และขยายความแคบให้กว้างขึ้นได้เอง แล้วเจ้าความแคบข้างหน้าก็จะคดเคี้ยวทอดยาวหนีไปอีก
ไอ้หน่องนั่งฟังเสียงเครื่องยนต์ที่ชะลอความเร็วเพื่อเข้าโค้ง เขาวางหัวลงบนพนักมองสิ่งที่อยู่ข้างหน้าอย่างไร้ความหมาย พอคนขับกดคันเร่งพารถทะยานออกจากโค้ง พวงมาลัยดอกมะลิที่แขวนหน้ารถก็แกว่งไปมา มองเห็นการแกว่งไกวแล้วไพล่คิดถึงการพลิ้วสะบัดของชายประโปรงคุณอรพินท์ ผู้จัดการสาวที่สวยเหมือนนางฟ้า
..วันนั้นเขาถูกเรียกไปช่วยยกของ มีตั้งกระดาษถ่ายเอกสารต้องการจัดเก็บบนสำนักงาน ผู้จัดการสาวคนสวยที่ขาวเหลือเกินคนนั้นกำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่ข้างโต๊ะทำงาน เขาหอบห่อกระดาษสี่ตั้งผ่านไปด้านหลังของหล่อน คุกเข่าบนพื้นพรม บรรจงยัดห่อกระดาษลงชั้นล่างสุดของตู้เอกสาร วันนั้นคุณอรพินท์สวมกระโปรงพลิ้วสั้นเหนือเข่า สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวแนบลำตัว หน่องกำลังแอบมองด้านหลังของช่วงขาเรียวแสนสวย แล้วจู่ ๆ เจ้าของขาก็หมุนสะโพกและเขย่งตัวขึ้นหยิบแฟ้มห่วงจากชั้นบนของตู้ ชายกระโปรงผ้าพลิ้วไหวสีน้ำเงินลายขาวนั้นสะบัดแทบว่าจะเฉียดจมูกเขา
ผู้จัดการสาวมัวจดจ่อกับการคุยงาน หารู้ไม่ว่าการหมุนสะโพกอย่างเร็วคราวนั้น ทำให้ไอ้หนุ่มแห่งบ้านโคกน้อยถูกน็อคเอ๊าท์กลางอากาศ ภาพความพลิ้วไหวของชายกระโปรง กับความขาวของขาอ่อนที่ลึกหายไปใต้กระโปรงบานวันนั้น ถูกเรียกกลับมาฉายซ้ำในจินตนาการเช้าวันนี้ บักหน่องเหม่อมองพวงมาลัยดอกมะลิที่แกว่งไปมาอย่างงงงวย หน้าตาเขาตอนนี้เหมือนนักมวยที่กลับมาเมาหมัดน็อคเอ๊าท์อีกครั้งหนึ่ง
=== ๒ ===
ใกล้เวลาแปดนาฬิกา ประตูรั้วหน้าโรงงานสัญชาติญี่ปุ่นก็เลื่อนเปิดออกด้วยรอกไฟฟ้า จากหน้าต่างอาคารสำนักงาน หญิงสาวซึ่งเป็นผู้จัดการโรงงาน กำลังมองขบวนรถบัสที่วิ่งมาจ่อท้ายกันยาวเป็นกิ้งกือยักษ์ เธอเห็นมันกำลังเคลื่อนตัวเลี้อยผ่านประตูเข้ามาในบริเวณ เมื่อหัวขบวนผ่านประตูเข้ามาได้ เจ้ากิ้งกือก็แยกโบกี้รถไฟของมันออกจากกัน
เมื่อรถหยุดบนลานซีเมนต์ มนุษย์งานก็ทะลักออกมาจากรถบัสทุกคัน อรพินท์มองเห็นกองทัพคนงานเหมือนฝูงมดกำลังเดินตามกันไปยังอาคารโรงงานทั้ง ๓ แห่ง บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆฝนนั้น บัดนี้เกิดมืดคลึ้มลง แล้วสายฝนก็โปรยปรายลงมา ฝูงคนงานแตกฮือแผ่กระจายไปใต้ชายคาตึก และหายวับไปจากลานซีเมนต์ไม่เหลือหลอ
อรพินท์รักฤดูฝน ความทรงจำในวัยเยาว์ผุดขึ้นมาทุกครั้งที่คิดถึงฝน หล่อนยิ้มให้กับสายพิรุณและผุดภาพกลุ่มเด็กหญิงจอมแก่นขี่จักรยานกลางสายฝน เส้นผมเปียกแนบแก้ม และการได้ระเบิดเสียงหัวเราะ เธอไม่เคยลืมความสนุกที่ตากฝนจนหนาวเยือก, ริมฝีปากสั่น พร้อมกับเห็นฝ่ามือตัวเองขาวซืด และมีท้องนิ้วเหี่ยวย่นแบบผู้ชรา
ฝนขาดเม็ดเมื่อยามสาย อรพินท์ออกเดินตรวจตราความเรียบร้อยประจำวัน มีสมศรีเลขานุการคนสนิทเดินมาเป็นเพื่อน ทุกคนจะเห็นเธอยิ้มแย้มทักทายคนงาน เพราะเคยทำงานระดับปฏิบัติการมาก่อนเธอจึงเข้าใจและปฏิบัติต่อเหล่าคนงานอย่างเหมาะสม ผู้จัดการสาวคนนี้เป็นที่รักของทุกคน คนงานผู้หญิงมองเธออย่างหญิงต้นแบบ ขณะที่คนงานผู้ชายมองเธอเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ แต่ทุกคนก็รู้ว่าภายใต้ความสวยและอ่อนหวาน อรพินท์ยังเป็นเจ้านายที่เข้มงวดคนหนึ่ง
"สมศรี ให้คนมาย้ายถังน้ำดื่มพวกนี้ให้พ้นจากริมทางเดินให้หมด" เธอสั่งการ "ย้ายไปชิดผนังด้านหลังดีกว่าปล่อยให้เกะกะตรงนี้"
"ค่ะ" สมศรีนึกภาพว่าต้องเคลียร์พื้นที่ริมผนังด้านหลังก่อน
"โทรหาพ่อค้ารับซื้อของเก่า บรรดากล่องกระดาษกองใหญ่ตรงนั้นต้องถูกกำจัดได้แล้ว" อรพินท์สั่งราวกับได้ยินสิ่งที่เลขาของเธอกำลังคิด ถ้าอรพินท์เป็นนางฟ้าจริง ๆ เธอก็เป็นนางฟ้าที่ถี่ถ้วน และเข้มงวดที่สุดคนหนึ่ง เจ้านายญี่ปุ่นสอนเธอว่า "ความสะอาด เป็นจุดเริ่มของระเบียบวินัย และระเบียบวินัยเป็นจุดกำเนิดของประสิทธิภาพ" แน่นอนว่าอรพินท์เชื่อในสิ่งที่ถูกสอน
ทางเดินปูนขัดมันทอดเป็นแนวยาวริมผนังสะท้อนแสงจ้าจากประตูทางทิศใต้ มองเห็นภาพเงาดำของคนงานคนหนึ่งกำลังลากจูงลังวัตถุดิบเข้ามาใกล้ หีบกระดาษแข็งและม้วนสายไฟขนาดใหญ่เคลื่อนมาบนล้อเลื่อนกระจายน้ำหนัก บักหน่องแห่งบ้านโคกน้อยนั่นเอง เขาเห็นนางฟ้าใส่ชุดกระโปรงชุดสูทสีกรมท่าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนอยู่กับเลขาฯ ครึ้มใจว่าเพิ่งจะคิดถึงก็ได้เห็นหน้า
"นายเทพฤทธิ์ มาตรงนี้หน่อย" สมศรีกวักมือเรียก
เขารู้สึกเหมือนได้เดินหมากเข้าฮอร์ส ยืดอกเขย่งตัวบนรองเท้าผ้าใบเดินไปหาทันที ความที่มัวคิดแต่เรื่องนางฟ้าผู้เลอโฉม ทำให้เขามองไม่เห็นว่าผู้เรียกคือสมศรี เมื่อเคลื่อนตัวมาถึงระยะใกล้ เขาก็ส่งประกายตามองลึกเข้าไปในลูกตาดำของนางฟ้า ในใจก็บริกรรมคาถาเมตตามหานิยม ตามที่เคยจดจำท่องไว้จากอาจารย์ที่สักไฝเสน่ห์
"ผู้จัดการมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ" หน่องพูดไทยชัดทุกคำไม่มีคำลาวปน
"เอ่อ.. ขอบคุณค่ะ ถังน้ำพวกนี้มันอาจเกะกะทาง ช่วยย้ายให้หน่อยนะคะ" อรพินท์ตอบคำคนงานหนุ่ม และหันไปมองตาสมศรี
"ได้เลยครับผู้จัดการ จะให้ย้ายไปตรงไหนล่ะครับ"
สมศรีได้จังหวะพูดบ้าง "เอาไปเรียงชิดผนังด้านนอกให้หมดเลยนะคะ" และหยอดคำ "นายเทพฤทธิ์ มีน้ำใจจริง ๆ ขอบใจมาก"
"ครับ ครับ เรื่องซำนี้ บ่ยากดอกครับ" ยกมือเกาท้ายทอยเพราะเผลอพูดคำลาวออกมา
ขณะที่ผู้จัดการสาวกำลังออกเดินต่อ บักหน่องรีบฉวยโอกาสสร้างความจดจำให้อีกฝ่าย "ถ้าผู้จัดการมีอะไรให้ทำอีก บอกเทพฤทธิ์ได้เลยนะครับ" เขายืดอกพูดเสนอตัวชัดแจ้ง จนอรพินท์ต้องหันมายิ้มรับ หน่องมองรอยยิ้มของนางฟ้าที่ส่งมาถึงเขา และลงความเห็นว่าเป็นยิ้มที่สวยหวานและยั่วยวนที่สุดในโลกใบนี้
"ไปกันเถอะสมศรี" อรพินท์พูดกับเลขาฯแล้วหมุนตัวเดินออกจากบริเวณนั้น สมศรีหรี่ตามองหน้าหน่องก่อนจะสาวเท้าเดินตามนายไป ส่วนบักหน่องก็เกร็งข้อมือยกถังน้ำดื่มขนาด ๒๐ ลิตร เดินตัวเอียงเข้าไปเก็บด้านหลัง พร้อมกับคิดลำพองใจว่าคาถามหาเสน่ห์ของเขาใช้ได้ผลอีกแล้ว
ถึงตอนเที่ยงอรพินท์มีลูกค้ามารับไปทานข้าวข้างนอก ส่วนบักหน่องกำลังหาจังหวะปรึกษาบักวี เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันในโรงอาหาร เขาสั่งกับข้าวสองอย่างมาวางบนโต๊ะที่มีม้ายาวขนาบสองข้าง แล้วเดินไปคดข้าวจากหม้อไฟฟ้าขนาดยักษ์ที่กองสวัสดิการหุงไว้ให้กินฟรีเดินกลับมา บักวีซื้อเกาเหลาเลือดหมูมาสมทบอีกอย่าง แล้วทั้งสองก็เริ่มมื้ออาหารกลางวันท่ามกลางความเสียงช้อนส้อมกระทบจาน และการพูดคุยจอแจของคนงานทั้งหลาย
"เมื่อคืนผีสามขาอาละวาดอีกแล้วเว่ย" บักวีเล่าข่าวซุบซิบเป็นประเดิมก่อนจะตักต้มเลือดหมูซดโฮก
"ใครกับใครละคราวนี้" ไอ้หน่องถามเนือย
"พวกทางเค ๒ บักพจน์มันบอกว่ายืนซดกันในห้องน้ำผู้หญิงฝั่งนู้น ตอนตีหนึ่งกว่า ๆ"
"ใช่ยัยแก้มยุ้ยคนสวยอ๊ะเปล่า"
"เฮ่ย ไม่ใช่หรอก อีหล่านั่นไม่มีทางกล้าหาญชาญชัยแบบนั้น ฟังว่าเป็นรุ่นใหญ่ผัวไปนอกซดกับไอ้สโตร์ตูดปอด ไอ้เหี้ยนี่มันโชคดีจริงๆ ได้แอ้มของฟรีประจำ" บักวีอิจฉาผี
"ไม่ต้องไปอิจฉาเขาเลย ทั่นเองก็ฟาดไปสองแล้วไม่ใช่เหรอ ผมน่ะอยากเป็นผีจะแย่อยู่แล้ว"
"ฮ่า ๆ หาไม่ได้ก็ชักว่าวไปก่อนสิวะ กูเห็นมึงว่างเป็นไม่ได้ หยิบหนังสือโป๊แล้วหายหัวเป็นประจำ"
"แหม.. ทั่นก็พูดเกินไป" บักหน่องลากเสียง "ว่าแต่ไอ้สองเล่มนี้มันเก่าแล้วนะ เอาเล่มใหม่มาอีกจิ"
ที่แท้บักวีนะแหละเป็นคนเอาหนังสือโป๊มาทิ้งไว้บนซอกด้านหลังชั้นวางวัสดุ "เออ.. ไว้จะเอามาให้" รุ่นพี่ส่ายหัวยิ้มให้กับความหื่นของเพื่อนรุ่นน้อง หรือว่ามนุษย์ผู้ชายมันคิดเป็นแต่เรื่องแบบนี้
อิ่มแล้วทั้งสองเดินทอดน่องมาสูบบุหรี่ใต้ชายคาโรงวัสดุ ฝนขาดเม็ดไปพักใหญ่แล้ว แนวต้นโกสนริมทางเดินถูกฝนชะจนดูสีสดกว่าเดิม อากาศสดสะอาดและสว่างไสว จังหวะนี้เองที่ไอ้หน่องเอ่ยปากขอคำปรึกษาเรื่องที่ทำให้เขากังวลใจตั้งแต่เช้า หลังจากเล่าและโดนแซวว่าเป็นผีไร่มัน บักวีก็ให้คำปรึกษาสมกับความนับถือที่เขาได้รับ
"เรื่องแบบนี้ จะผลีผลามตัดสินใจลำพังไม่ได้นะเว้ย" บักวีพูดสอนในฐานะอาวุโสกว่า หนีบก้นบุหรี่สูบอีกครั้งก่อนโยนทิ้งลงพื้น "ต้องดูท่าที และถามความเป็นไปได้กับฝ่ายผู้หญิงเขาก่อน"
"บีเขาเชื่อฉันหมดแหละ บอกยังไงก็น่าจะได้" หน่องขยี้ปลายเท้าดับก้นบุหรี่ให้แอ็ดไวเซอร์ของเขา
"อย่ามั่นใจนัก เรื่องนี้มันเกี่ยวกับศีลธรรมในใจด้วย ต้องแน่ใจว่าจะไม่ไปทำให้เขารู้สึกว่า เอ็งเป็นพวกใจบาปหยาบช้า"
"แล้วฉันจะทำยังไงได้มั่ง"
"ข้าว่าควรจะคิดให้ดีนะหน่อง ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พอจะพูดจากับผู้ใหญ่ได้หรือเปล่า?" บักวีหยุดหรี่ตามองเพื่อนรุ่นน้อง "ไอ้เรื่องทำแท้งอะไรนั่น จะพูดได้ก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเท่านั้น"
"ฉันก็รู้น่า.. " หน่องรีบออกตัว "ก็ถามเผื่อไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องทำจริง ๆ จะได้รู้ว่าต้องทำยังไง"
"แล้วอยากรู้อะไรมั่ง"
"เอ่อ.. ไม่รู้สิ ฉันจะต้องรู้อะไรมั่งล่ะ" หน่องไม่รู้กระทั่งว่าต้องรู้อะไรมั่ง "อย่าง.. ต้องไปติดต่อใครที่ไหน เอ่อ.. ว่าแต่มันมีอันตรายไหม และต้องใช้เงินมากหรือเปล่า" ไอ้หน่องเอ่ยถึงความสับสนของเขาออกมาตรง ๆ
บักวีมองเห็นความอ่อนโลกของเพื่อนรุ่นน้อง ก็เกิดเห็นใจ "เอาเป็นว่าเรื่องนี้เอ็งไม่ต้องห่วง ถ้าจำเป็นต้องทำจริง ๆ ฉันจะให้หลวยเค้าช่วยติดต่อให้เอง" บักวีพูดถึงเมียที่ทำงานอยู่สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (พีดีเอ) "ที่นั่นเขาเป็นองค์กรการกุศลมีหมอเก่ง ๆ และไม่ต้องเสียเงินเยอะแยะอะไรเลย"
เสียงออดบอกเวลาดังยาว บักวีเดินไปกดน้ำจากคูลเลอร์น้ำดื่มแล้วพูดต่อ "ฉันอยากให้หน่องหาทางคุยกับพ่อแม่ผู้หญิงมากกว่า ต้องคิดว่าเด็กเขาอยากมาเกิด นี่อาจเป็นเทวดาส่งมาบอกให้เอ็งรู้.. ว่าได้เวลาเป็นพ่อคนแล้ว"
ตกเย็นฝนก็กลับมาตกอีก อรพินท์กับสมศรีออกตรวจงานรอบบ่ายและติดฝนอยู่ใต้หลังคาโรงเก็บวัสดุมาเกือบชั่วโมงแล้ว หล่อนชะโงกตัวออกไปตรงช่องประตู เฝ้าดูความหนักเบาของสายฝนสองสามครั้ง ละอองฝนปลิวตามลมปะทะใบหน้า หลังมือและตลอดท่อนขาที่อยู่นอกอาภรณ์ปกปิดกาย พร้อมกับประพรมความชื้นลงบนเส้นผม
ออดสัญญานเปลี่ยนกะดังยาว ไอ้หน่องเงยหน้าจากความคร่ำเคร่งในมือ มองไปรอบ ๆ ข้างนอกฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่ห้าโมงเย็น สายฝนโปรยปรายเหมือนไม่มีวันหมดสิ้นไปจากฟ้า อากาศเย็นและชื้นไปหมด เขาโยนหนังสือโป๊กลับไปยังซอกของมัน กระโดดลงพื้นตระเตรียมขึ้นรถกลับบ้าน
ขณะเดินไปกดคูลเลอร์น้ำดื่ม เขาก็เห็นคุณอรพินท์กำลังยืนกอดอกอยู่คนเดียวใต้แสงไฟ รีบก้มลงทำทีผูกเชือกรองเท้าและคิดคำพูดทักทาย ในใจก็บริกรรมคาถาบ่มเสน่ห์พัลวัน พอเงยหน้ากำลังจะทัก สมศรีก็ถือร่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาเสียก่อน
"อ้าว นายเทพฤทธิ์ มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร" สมศรีร้องทักพร้อมกับส่งร่มอีกคันให้เจ้านาย อรพินท์หันมาเห็นไอ้หน่องก็ใจหายวาบ ร้องสำทับว่า
"นั่นสิ มาแอบอยู่ตรงนี้ทำไม"
เหตการณ์พลิกผัน ไอ้หน่องกรอกตามองสาวสำนักงานทั้งสองไปมา
"ปล่าวครับ ผมได้ยินเสียงออดก็เดินออกมาเตรียมตัวกลับบ้าน"
หน้าตาเหรอหราของหน่องทำให้ทั้งสองสาวเบาใจ
"แล้วเข้าไปทำอะไรในซอกนั่น" สมศรีซัก
"…" หน่องอ้าปากคิดในใจซวยแล้ว
"ช่างเถอะ" เสียงคุณอรพินท์ตัดบท แล้วดึงมือสมศรีพากันกางร่มออกไปจากบริเวณนั้น
บักหน่องเป่าลมออกจากปาก ลุกขึ้นยืนมองวิมานฉิมพลีที่หายวับไปต่อหน้าต่อตา
=== ๓ ===
ถนนในหมู่บ้านทอดตัวนิ่งเหมือนทุกเช้า ไอ้แต้มหมาขาเป๋นอนเฝ้าอณาเขตกลางถนนของมันเฉยอยู่ ตาพันค่อย ๆ ย่างมารอใส่บาตรพระหน้าร้านป้านาง แกอายุจะเก้าสิบแล้วหลังเริ่มงอ ในมืออุ้มกล่องข้าวเหนียว มีผ้าขะม้าลายตารางพาดใหล่ สมาชิกรอพระเช้านี้ มีนางเดือน นางเนียน ยายบานเช้า นางแห้ง และไอ้หน่อง
"เป็นอิหยังมื้อนี่ คือได้มาใส่บาตรแต๊เซ่า" พ่อใหญ่พันทักไอ้หน่อง
"ข้อยก็อยากได้บุญนำ หละพ่อใหญ่"
"เอ้อ.. ดีแล่วล่ะหล่า เฮ็ดบุญดุดุ สิได้ อยู่ดีมีแฮงเด้อ"
เมื่อคืนหน่องนอนไม่หลับ ในภวังค์หลับ ๆ ตื่น ๆ เขาฝันว่าตัวเป็นงูใหญ่ต่อสู้กับนกยักษ์แย่งชิงผู้หญิงเปลือยอก และเขาพ่ายแพ้ ถูกฆ่าตายกลางทะเล ความฝันที่เหมือนจริงและประสบการณ์ความตายที่เผชิญ ทำให้เขาตื่นขึ้นมาใส่บาตรในวันที่ตื่นสายได้ หลังใส่บาตรเขาโทรหาสาวบี และขี่รถเครื่องไปรับที่หัวมุมถนนตามที่นัดแนะไว้
"มื้อคืนฝันบ่ดี" เขาชวนคุยขณะขี่รถเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย
"ฝันเห็นอิหยังอ้าย" สาวบีนั่งซ้อนท้ายเกาะเอวหนุ่มคนรักย้อนถาม
หน่องเล่าความฝันให้ฟัง บีจึงชวนเขาย้อนไปตลาดหาซื้อปลาเป็นไปปล่อยที่อ่างเก็บน้ำหลังเขื่อน หลังจากปล่อยปลาดุกตัวย่อม ๑๐ ตัวลงน้ำ และมองเห็นมันว่ายหายไปในความลึกของเขื่อน หน่องก็สบายใจขึ้น เขาลุกขึ้นจากชายน้ำ หันมามองสาวบีในชุดกางเกงขาสามส่วนเสื้อยืดรัดรูปมีเชิ้ตผู้ชายแขนยาวคลุมทับ นึกดีใจที่ชีวิตเขาแวดล้อมด้วยผู้หญิงน่ารัก และปรารถนาดีต่อเขาอยู่เสมอ
"อ้ายสิไปเว่ากับพ่อนางดีบ่" หน่องหยั่งน้ำใจสาวคนรัก
บีได้ฟังก็นิ่งไปอึดใจหนึ่ง พอได้คิดก็น้ำตาไหลพูดออกมาว่า "นางอยากสิบอก ให้อิแม่ฮู้ก่อน พอพ่อฮู่แล่ว ค่อยเบิ่งว่าสิเฮ็ดจั้งใดต่อไป" หล่อนรู้ว่าได้ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ และอนาคตเรื่องเรียนต้องยกเลิกไปด้วย
หน่องเห็นน้ำตาก็รู้สำนึกว่าได้ก่อเรื่องให้ต้องเดือดร้อนกันจริง ๆ เขาดึงร่างบีมาปลอบใจ
"บ่ต้องร้องไห้ดอกนาง อ้ายอยู่นี่แล้ว บ่ต้องย่านอิหยัง อ้ายสิปกป้องนางเอง มีอิหยังเกิดขึ้น เฮาสิต่อสู้ไปนำกัน" เขาพูดออกไปโดยอัตโนมัติเหมือนตัวละครในบทภาพยนตร์ พูดจบแล้วเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าได้พูดคำมั่นอะไรออกไปบ้าง หน่องกระชับวงแขนกอดสาวพร้อมกับฝังความกังวลอย่างใหม่ลงในอก หน่องเอ๋ย..เอ็งจะทำได้อย่างที่ปากพูดออกไปหรือเปล่า?
ฝ่ายสาวบีได้ยินผู้บ่าวเอ่ยปากรับผิดชอบเต็มที่ ก็ปักใจลงมั่นกับเขาหมดหัวใจ ความรู้สึกนึกคิดของเด็กสาววัยคะนองเติบโตเป็นหญิงสาวเต็มวัยตั้งแต่บัดนั้น หล่อนพร้อมเดินหน้าใช้ชีวิตคู่กับหนุ่มคนรักทันที มือปาดน้ำตาออกจากพวงแก้ม แล้วหล่อนก็เริ่มคิดกะเกณท์ว่าจะเล่าเรื่องผู้บ่าวทั้งหมดให้แม่ฟังเย็นวันนี้ พอถึงวันรุ่งขึ้นพ่อก็คงจะเรียกตัวไปพูด ก็จะถือโอกาสนั้นนัดหมายผู้บ่าวให้พาผู้ใหญ่ไปพูดจากับพ่อให้เป็นเรื่องราวถูกต้องตามประเพณี
"คิดว่ามื้ออื่นตอนสวย ๆ อ้ายสิต้องพาผู้ใหญ่ไปเว่ากับอีพ่อ" เธอประเมินสถานการณ์
ฝ่ายหน่องดูเหมือนยังปรับตัวไม่ทัน พอรู้ว่าต้องพาตาโฮมไปพูดจากับพ่อเฒ่าก็ชักอึกอัก โดยไม่รู้ตัวเขาคลายอ้อมกอดสาว ถอนตัวออกห่าง บักหน่องกลอกตาทำหน้างง แล้วพูดผลัดออกไปอย่างไร้เหตุผล "เป็นจักมื้อฮื้อ ได้บ่"
สาวบีเห็นหน้างงของว่าที่สามีก็พยายามอธิบาย "นางคิดว่า อิแม่สิบอกอิพ่อคืนนี้ แล่วมื้ออื่น นางสิต้องโดนเอิ้นไปถาม อ้ายสิเอาจังใด๋ นางสิบอกว่าอ้ายสิพาผู้ใหญ่มาเว่าเอง ซั่นรอไปฮอดมื้ออื่นอีก นางย่านอิพ่อบ่ยอม เพราะว่าเรื่องจังซี่ ซั่นไทบ้านฮู่ เพิ่นสิเว้าพื่นเอาได้"
บักหน่องรู้ตัวแล้วว่า จะอย่างไรวันนี้เรื่องต้องไปถึงตาโฮม และเขาก็ต้องทนหูแฉะฟังพ่อบ่นด่าว่าเขาอีกตามเคย เอาวะ เรื่องมาจนถึงป่านนี้แล้ว ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับผิดชอบ เมื่อคิดได้ ท่าทีของเขาก็ขยับมาอยู่ในทางที่เหมาะสม
"อืม.. เอาจั้งซั่นกะได้ ตอนบ่ายอ้ายสิบอกพ่อไว้ก่อน"
"ดีแล้ว พ่อของอ้ายจะได้ฮู่ไว้"
"มื้ออื่นนางก็นัดกับพ่อเลย อ้ายกับอิพ่อสิไป ตามที่นางนัด"
ตกลงกันได้อย่างนั้นสาวบีก็ดีใจยิ้มออกมาได้ ความเต็มอิ่มในใจบังเกิดขึ้น จึงอยากจะเข้าใกล้แนบกายหาไออุ่น นางคว้ามือผู้บ่าวมาบีบ เอนตัวเข้าหาและส่งยิ้มให้
ได้รับสัญญานทำนองนี้บักหน่องจะเข้าใจได้ทันที เขาดันร่างเข้าหาและโอบกอดฝ่ายหญิงไว้ ท่ามกลางธรรมชาติริมเขื่อน วิวด้านหลังเป็นเวิ้งน้ำขนาดใหญ่ ถัดไปไกลลิบเป็นแนวภูเขาล้อมรอบ บนท้องฟ้ามีเมฆฝนปกคลุมคลึ้มอยู่
สัมผัสทางร่างกายของสองหนุ่มสาวย่อมส่งกระแสความรู้สึกกระหวัดไปยังเรื่องราวอยากรู้อยากเห็นดั้งเดิมของมนุษย์ ทั้งสองกึ่งเดินกึ่งจูงกันไปนั่งบนโขดหินอันลับตา และเฝ้าถ่ายเทอุณหภูมิแก่กันผ่านทางผิวสัมผัสทุกทางที่แตะต้องกันได้ วิญญานความอยากรู้เริ่มซุกซนแหวกผ่านสิ่งห่อหุ้มต่าง ๆ จนทั้งสองแทบว่าจะไม่สนใจกับสิ่งใดในโลกใบนี้อีกแล้ว
ท่ามกลางความชุลมุนไร้เสียงบนโขดหินนั้น บนท้องฟ้าเมฆฝนก็ปั่นป่วน มีการปะทะกันของประจุไฟฟ้าและการควบกล้ำ เกิดการกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ หยาดลงมาเป็นม่านฝนหนาทึบ ปกปิดเรื่องราวส่วนตัวของคนทั้งสอง ให้พ้นจากสายตาของคนอ่านอย่างน่าเสียดาย
=== ๔ ===
บ่ายสามโมง ฝนขาดเม็ดไปนานแล้ว ท้องฟ้าโปร่งและอากาศสดใส สรรพสิ่งมองเห็นกระจ่างตา เป็นยามบ่ายที่สงบสุขอีกวันหนึ่งของชาวบ้านโคกน้อย ยกเว้นที่บ้านตาโฮม เพราะไอ้หน่องเพิ่งเอาพายุเข้าไปหมุนติ้วอยู่ในบ้านเดี๋ยวนี้เอง
"จังไรแท้ งานการกะเพิ่งสิเฮ็ด ยังเก็บเงินบ่ได้ มึ้งไปเฮ็ดเขาจั้งซี่ เดือดร้อนกันหมดเฮือน" เสียงตาโฮมโพล่งออกมาตามที่ไอ้หน่องคาดไว้ล่วงหน้าไม่มีผิด
"ค่อย ๆ แนพ่อ ไทบ้านเขาบ่ได้หูแตก เดี๋ยวกะฮู่เรื่องกันเบิด" หน่องพยายามพูดเรื่อย ๆ เขากำลังนั่งรีดเสื้อฟอร์มที่จะใส่ไปทำงานตอนเย็น
"สิย่านเขาเว่าพื่นเฮ็ดหยัง ตอนมึงกำลังเอากัน กะคือบ่ได้ย่านเทวดาฟ้าดิน" ตาโฮมมีภาษาพูดฉูดฉาดเสมอ "แล้วบัดนี่ สิเฮ็ดจั้งได๋ล่ะ"
"อิพ่อกะไปเว่ากับพ่อเขาแน ฟังก่อนว่าเขาสิเอาจังได๋"
"เขาสิเอาเลือดหัวมึงออกนั่นแล่ว ลูกสาวเขากว่าสิเลี้ยงใหญ่ปานนี้ ลองคิดเบิ่ง ซั่นอีหล่าแบมใหญ่เป็นสาว แล้วมีใผ๋มาเฮ็ดกับมันแบบนี้ มึงสิฮู่สึกจั้งได๋" ตาโฮมยกตัวอย่างหลานสาวอายุเพิ่งจะแปดขวบ
"ซั่นอิพ่อ บ่ยอมไปเว่าให้ข่อย ข่อยสิให้บีไปเฮ็ดแท้ง ดีบ่ล่ะ"
ตาโฮมได้ยินลูกชายคนเล็กพูดออกมาอย่างนั้นก็โกรธเป็นริ้วขึ้นมาทันที
"บักห่า นั่นมึงใซ่ปากหือส้นตีนเว่า" ยัวะจนปากคอสั่น "ไปเอาความคิดซัวซัวจั้งซี่มาจากไส กูบ่เคยสอนมึง บ่ได้ย่านบาปกรรม สิกินหัวมึงเลยตี้"
ยายนีนั่งผ่าไหลอยู่ด้านนอก เงี่ยหูฟังอยู่ตลอด ได้ยินน้ำเสียงสั่นก็รู้ว่าผัวโมโหแล้ว แต่บักหน่องดูเหมือนจะยังไม่รู้เหนือรู้ใต้
"พ่อกะไปเว่าให้ข่อยแน" ไอ้หน่องพูดบังคับพ่อหน้าตาเฉย แล้วก็คว้าผ้าขะม้าเดินเข้าห้องน้ำไป
อีกฟากนึงของหมู่บ้าน สาวบีกำลังกดโทรศัพท์มือถือเบอร์ผู้บ่าวและกดปุ่มเรียกออก สัญญานเชื่อมต่อดังสั้น หยุด และถูกโอนเข้าโหมดฝากข้อความ เธอฟังเทปจนได้สัญญานให้บันทึก จึงกดตัดสายทิ้งไป นึกสงสัยว่าอ้ายหน่องมัวทำอะไรอยู่ เธอกำสองมือตอกเบา ๆ บนเข่าแล้วกดเรียกซ้ำอีกที
บักหน่องกำลังใช้ขันตักน้ำราดตัวโครม ๆ อยู่ในห้องน้ำ โทรศัพท์มือถือชื้นเพราะโดนฝนเมื่อเช้า เขาจึงถอดแบตออก วางผึ่งลมไว้ตั้งแต่ตอนกลับเข้าบ้าน หลังจากส่งบีแล้วเขากลับมางีบหลับ ตื่นมาก็รีดเสื้อผ้าเตรียมตัวไปทำงานกะกลางคืน
ตาโฮมยังหงุดหงิดเดินพล่านอยู่ในบ้าน แม้จะเป็นฝ่ายผู้ชายที่ยังไงก็ไม่มีเสียเปรียบ แต่เฒ่าจ่อยพ่อของสาวบีเป็นคนที่ตาโฮมรู้จักดี แกรู้ว่าเรื่องที่จะพูดจากันจะไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งมีเหล้าเข้าปากด้วยแล้ว เฒ่าจ่อยจะออกนักเลงจนอาจมีเรื่องมีราวกันได้ง่าย ๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจลูกชายตัวเอง ช่างหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ชนิดไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย
พอออกจากห้องน้ำ ตาโฮมก็ถึงตัวตวัดหลังมือฟาดโครมเข้าให้ตรงบ้องหูขวา "นี่ มันต้องโดนซัดแบบนี่" ไอ้หน่องเห็นพ่อโกรธมากขนาดนั้นก็กลัว ก้มหน้านิ่งอยู่
ยายนีนั่งมองอยู่เห็นตาโฮมลงไม้ลงมือ ก็รีบเข้าไปดึงมือผัวไว้
"บ่ต้องมาห้ามเลย" ตาโฮมหันมาดุเมีย "กูบ่ได้ฆ่ามันจั๊กหน่อย สิสั่งสอนให้มันฮู่สำนึก"
แกสะบัดมือพรืด ยายนีเกาะมือผัวไม่ทันระวัง พอโดนสะบัดก็หงายหลังก้นกระแทกพื้น ตาโฮมเห็นเมียเจ็บยิ่งโกรธใหญ่ "บักลูกจังไร เห็นบ่ พาฉิบหายกันเบิดแล่ว"
บักหน่องเห็นพ่อดุแม่เสียงดัง และทุกคนวุ่นวายเพราะตัว ก็ถึงกับน้ำตาตก วิ่งไปประคองแม่ร้องไห้ "ข่อยขอโทษ ๆ" รู้สึกผิดที่เอาเรื่องเดือดร้อนเข้ามาในบ้าน ตาโฮมเห็นลูกชายร้องไห้รู้สำนึก ก็ค่อยคลายความโกรธ เดินเข้าไปฉุดทั้งลูกชายและเมียขึ้นมาประคองไว้ทั้งสองคน
พายุลูกย่อม ๆ ใต้หลังคาบ้านตาโฮมเป็นเรื่องไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเลย เย็นวันนั้นก่อนที่หน่องจะขึ้นคร่อมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่บักบอยรอไปส่งที่วงเวียน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือมาประกอบแบต เมื่อเปิดเครื่องก็พบว่ามีข้อความฝากไว้ ๑ ข้อความ เขียนว่า
"บ่ต้องเฮ็ดอิหยัง เมนมาแล้ว"
เมื่อวันที่ : 29 ก.ย. 2552, 09.12 น.
ในที่สุดเรื่องสั้นของไอ้หน่องก็ถูกโพสต์ด้วยชื่อ "ในวันที่ฟ้าเปียก" การเขียนเรื่องนี้สอนให้รู้หลายอย่าง อย่างแรกคือ บทสนทนา จะเขียนออกมาได้ต้องลุกขึ้นเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ ไม่มีทางอื่น ดีหรือไม่ดีก็ต้องเขียนมันออกมาให้ได้
อีกเรื่องหนึ่งที่ได้รู้ คือการเขียนเรื่องให้มันจบลงให้ได้ เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของนักเขียน เพราะสิ่งที่หมกมุ่นลงมือทำนับเดือนนั้น ถ้าไม่สามารถทำให้มันจบได้ มันจะกลายเป็นขี้กองใหญ่ ซึ่งไม่ได้ประโยชน์กับใครเลย ดังนั้น ถ้าจะเขียน..ก็ต้องทำให้มันจบ
ขอบคุณที่แวะมาอ่าน และเหมือนเคยครับ ยินดีให้ติ และยินดีรับคำแนะนำทุกประการ
โปรดใช้ปังตอสับฉับ ๆ ลุงเปี๊ยกรออยู่บนเขียงแล้วจ้า.... ขอบคุณอีหลี