นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒
ในวันที่ฟ้าเปียก
ลุงเปี๊ยก
...ครั้งนั้น​​​​เป็นวัน​​ที่​​เขาตัดสินใจบุก​​โดยไม่สวมเสื้อเกราะ
วินาทีนั้น​​​​เขารู้ว่าเสี่ยง สาวบีก็รู้ว่าผู้บ่าว​​กำลังทำอะไร​​​​ที่เสี่ยง
ไม่มีคนช่วยเตือนสติอยู่​​แถวนั้น​​เลย​​...
=== ๑ ===

บ้านโคกน้อยก่อนรุ่งสางวันนี้ ท้องฟ้ายังมืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมบนเสาไฟสาด​ความสว่างชืด ๆ​ ลงบนถนนใบ้ เสียงไก่ขันแว่วมาไกลจากฟากโน้น ใน​ความหลับใหลของหมู่บ้าน ย่อมมี​ความตื่นลืมตาขึ้น​ตรงไหนสักแห่ง ​และเสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ก็​จะดังแทรก​ความมืด ​ต่อมา​จะมีมอเตอร์ไซค์ส่งเสียงมา​แต่ไกล ดังไล่มาตามแนวถนนเข้ามาจนใกล้ มัน​จะดังเหมือนวิ่งอยู่​ในหัวแล้ว​ก็ดังห่างออก​ไปในทิศตรงข้าม.. กระทั่งจางหาย​ไปใน​ที่สุด

หน้าบ้านตาโฮมเสียงมอเตอร์ไซค์อีกคันดังขึ้น​ ​เป็นบักบอยงัวเงียตื่นมาถีบคันสตาร์ท มันตื่น​แต่เช้า​​เพื่อส่งน้าหน่อง​ไปขึ้น​รถรับส่งคนงาน ​ซึ่งมารับคนงาน​ที่วงเวียนหมู่บ้านทุกเช้า​ น้าหน่องเพิ่ง​จะ​ได้งานประจำ​ที่โรงงานผลิตอุปกรณ์ไฮเทคต่างอำเภอเดือนก่อนนี้เอง

บักหน่องหรือนายเทพฤทธิ์ คำโนนสูง ​คือคนหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ริมฝีปากบาง มีรอยสัก​เป็นไฝเม็ดเล็กประดับใบหน้า ​เขามีประกายตาพุ่ง​ไปยัง​ความหวังข้างหน้า ​และมีรูปร่างแข็งแรงสม​ส่วน​เป็นต้นทุน บักหน่องก็เหมือนคนหนุ่มทุกคน ​ที่แหงนมองภูผาแห่ง​ความสำเร็จ อย่าง​พร้อม​ที่​จะปีนป่ายขึ้น​​ไปสูดอากาศบนนั้น​ ​และ​ระหว่างทางก็​จะเด็ดดอมดอกไม้ใกล้มือ​ไปด้วย

ขณะบักบอยบังคับมอเตอร์ไซค์เข้าเทียบท่ารถ หน่องก็เห็นสาวบีมาดักเจอ​เขา​แต่เช้า​ เงาตะคุ่มของหญิงวัยรุ่นลุกขึ้น​จากม้านั่งใต้ต้นตะขบ ก้าวออกมาสู่​ความสว่างของแสงโคมบนเสา เธอสวมเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งคลุมทับชุดนอนยาว​และสวมรองเท้าแตะผ้ามีดอกทานตะวันประดับบนหลังเท้า

​เมื่อเห็นบักบอยขี่รถจาก​ไปแล้ว​ สาวบีก็เข้ามาดึงแขนเสื้อผู้บ่าวอย่างคน​กำลังร้อนใจ "อ้ายหน่อง นางมีเรื่อง​สำคัญหลายอยากสิเว้า​กับอ้าย"

หน่องแปลกใจ​ที่สาวบีมาดักเจอ​แต่เช้า​อย่างนี้ ​แต่อากาศสดชื่นยามเช้า​ ​กับภาพสาวคนรักท่ามกลางแสงไฟ ทำให้คนหนุ่มอย่าง​เขาจินตนาการเห็นร่างเปลือยเรียบลื่นซ่อนอยู่​ใต้เสื้อนอน ​และก่อน​จะคิดอะไร​อื่น ฮอร์โมนในกายก็สั่งให้​เขาเบียดกายเข้าหา ดันร่างฝ่ายหญิงกลับเข้าใต้เงาต้นตะขบ ​และพยายามกุมกอดเนื้อนุ่ม หากำไรชีวิตดื้อ ๆ​

"สิบ้าติ เดี๋ยวมีผู้ใดมาเห็นดอก" สาวบีรีบห่อไหล่หลบมือผู้บ่าว ​และเอี้ยวตัวออก​ไปกลางแสงไฟ
"ฮ่ะฮ่ะ..เช้า​ปานนี่สิมีผู้ใด๋มาเห็น" ​เขาแก้เก้อด้วยเสียงหัวเราะหึ หึ

"มี​แต่หัวอยู่​นั่นหละ นางหึ่งกุ้มใจอยู่​"
หยุดหัวเราะ เขม้นมองหน้าสาว "เจ้า​เป็นอิหยังหละ"
"เป่นตั๊ว"
"อิหยัง"

"เอ่อ.. นางสงสัยว่าสิท้อง"
"หา.. เมนบ่มาติ้"

"...​" พยักหน้ารับ
"โดนปานได๋แล่ว"
"ปานนี่น่าสิม้าแล่ว ซ่า​ไปซิบมื้อยังบ่เห็นมา สิเฮ็ดจังได๋ดี.."

ณ บัดนั้น​​ความกังวลของบีถ่ายทอดมายังหน่อง ​เขาเห็นผู้สาวหน้าม่อยจึงคิดปลอบใจ
"อืม.. อย่าฟ่าวคิดหลาย บ่​เป็นหยังดอก" พูดแล้ว​ก็อึ้ง​เพราะนึกไม่ออกว่า​จะพูดอะไร​ต่อ ใน​ความคิดของ​เขา นี่​คืออุปสรรคต่อ​ความก้าวหน้าในชีวิต ​เขายังหนุ่ม มีโอกาสข้างหน้าอีกมาก ​เขาไม่​พร้อม​จะ​เป็นพ่อคน ​และไม่คิดว่าชีวิต​จะหยุดอยู่​​กับหญิงวัยรุ่นละแวกบ้าน ​เขาอยากมีชีวิตท่ามกลาง​ความศิวิไลซ์ในเมือง ไม่ใช่จมปลักแบบ​ที่​กำลัง​จะ​ต้องเจออยู่​นี้

แล้ว​รถบัสโรงงานก็โผล่อ้อมวงเวียนเข้ามา
"ให่เวลาอ้ายคิดจักน่อยก่อน" ชายหนุ่มผลักปัญหาออก​ไป
"ไว ๆ​ แนเด้ออ้าย คิดฮอด​เมื่อได๋ นางนอนบ่ลับเลย​"
"มื้ออื่นตอนสาย ๆ​ ค่อยเว่ากันใหม่เด้อ"
"อ้ายบ่​ได้เฮ็ดงานตี้"
"มื้ออื่นอ้ายเข้าเวรดึก ตอนกลางเวนอ้ายว่างเบิดมื้อ" ​เขาก้าวขึ้น​ยืนบนบันไดรถ
"…"
"อย่าฟ่าวคิดหลายเด้อ" หน่องปลอบประโยคสุดท้าย แล้ว​รถบัสก็เคลื่อนออกจาก​ที่ เงาตะคุ่มของสาวบี​และต้นตะขบเลื่อนห่างออกจากสายตา ​ความกังวลใจ​กำลังก่อตัวขึ้น​ในห้วงคิด เหมือนกลุ่มควันลอยกรุ่นออกจากปล่องเตาเผาถ่าน


บักหน่อง​กับสาวบีเริ่มต้น​ความสัมพันธ์​เมื่อสามเดือนก่อนในวงพนันงานศพ ​ทั้งสองเติบโตในหมู่บ้านเดียวกัน บ้านพ่อแม่สาวบี​กับบ้านบักหน่องอยู่​กันคนละฟากหมู่บ้าน ​แต่ก็รู้จักชื่อ​และคุ้นหน้ามา​แต่เด็กแล้ว​

ณ ลานบ้านงานใต้ต้นขนุนบ่ายวันนั้น​ ​จะเห็นว่าคลาคล่ำด้วยรองเท้าแตะ ​และนักพนันวงนอกยืนล้อมเสื่อ​ที่ปูลาด​กับพื้นดิน บนเสื่อมีบักหน่องรวม​ทั้งนักเสี่ยงโชคอีกหลายคน นั่งล้อมลุ้นสิ่ง​ที่อยู่​ใต้ขันพลาสติกสีชมพู กลางเสื่อมีแผ่นกระดาษแข็งแบ่ง​เป็นตารางหกช่อง ​แต่ละช่องมีรูปน้ำเต้า ปู ปลา กบ ไก่ ​และกุ้ง แบงก์ย่อย​และเหรียญใหญ่​จะหมุนเวียนเปลี่ยนมือผ่านกระดาษแข็งแผ่นนี้

"เอ้า.. เบิ่ง ๆ​" พ่อใหญ่ประสิทธิ์ผู้​เป็นเจ้ามือเขย่าขัน เชิญชวนลูกค้าดูกล่องเต๋ากลิ้ง​ไปมา "เบิ่งให้ดี ๆ​ เด้อ.. ตาดี​ได้ ตาร้ายเสีย บ่​ต้องรีรอ.. ฟ่าวมา ๆ​ สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามาเด้อ.." ว่าแล้ว​ก็กระดกขันก่อน​จะคว่ำลงครอบลูกเต๋า​ทั้งสามอย่างชำนาญ

สาวบี​เป็นขาจรวงนอก โผล่หน้ามาเสี่ยงดวงหา​ความตื่นเต้น เธอเห็นแล้ว​ว่าแบงก์ยี่สิบช่องปู​เป็นเงิน​ใคร คำนวณโอกาส​ได้เสียแล้ว​ ก็ตัดสินใจยื่นมือ​ไปคีบแบงก์ใบนั้น​ ออกจากช่องปู โยก​ไปวางช่องน้ำเต้าสีแดง
"อ้าว ๆ​ เดี๋ยวปูสิหนีบมือ" หน่องเอ่ยปากแซว​เมื่อเห็นสาวโผล่มาในมาดนักจับเสือมือเปล่า
"ปูมันตายแล่ว หนีบมือผู้ได๋บ่​ได้ดอก" บีส่งเสียงใสกลั้วหัวเราะสวนกลับ หล่อนมองหน้าไอ้หน่องอย่างท้าทาย พอปะทะ​กับประกายตาคมกริบของหนุ่ม อีสาวก็จำ​ต้องหลบ

พอหงายขันเสียงอื้อฮือก็ดังขึ้น​ ลูกเต๋าออกน้ำเต้าสามดอก สาวบีหัวเราะลั่น "บอกแล้ว​" อีสาวคุยโวว่าบอกแล้ว​เหมือน​กับผู้หญิงอีกครึ่งโลก​ที่พูดแบบนี้​ทั้ง​ที่ไม่เคยบอกอะไร​​ทั้งนั้น​ นักพนันสาวยิ้มร่า​ที่​สามารถ​เอาเงินบักหน่อง​ไปทำกำไร​ได้ ๓ เท่า เธอคว้าเงินแปดสิบบาท​มาสะบัดตรงหน้าหน่อง แถมด้วยการย่นจมูกล้อเลียนก่อน​จะล่าถอยออกจากวงพนัน ​แต่หาย​ไปพักเดียวก็โผล่หน้ากลับมา ในมือมีกระป๋องเบียร์แช่เย็นมากำนัลผู้บ่าวซะอีก

นับจากนั้น​เวลาของ​ทั้งสองก็ดำเนิน​ไปภายใต้แรงกระตุ้นของฮอร์โมนหญิงชาย มีการนัดแนะ แอบพบ ​และอื่น ๆ​ อัน​เป็นกิจกรรม​ที่เปิดเผยไม่​ได้ ​ซึ่งเกิดขึ้น​เสมอหลังการหยอกเย้ากันอย่างใกล้ชิดเกินเลย​ จนกลาย​เป็นการลุกโพลงขึ้น​ของอารมณ์แห่งวัยเจริญพันธุ์

มีอยู่​ครั้งหนึ่ง​​ที่​เขา​กับสาวบีฝ่าพายุอารมณ์​ที่โหมกระหน่ำกลางไร่มันสำปะหลัง ​และครั้งนั้น​​เป็นวัน​ที่​เขาตัดสินใจบุก​โดยไม่สวมเสื้อเกราะ วินาทีนั้น​​เขารู้ว่าเสี่ยง สาวบีก็รู้ว่าผู้บ่าว​กำลังทำอะไร​​ที่เสี่ยง แน่นอนว่าไม่มีผู้อ่านอยู่​ด้วย คน​ที่​จะช่วยเตือนสติยั้งคิดย่อมไม่มี


'ไม่น่าเลย​กู' คำพูดนี้ดังขึ้น​ในห้วงคิดขณะมองออกนอกหน้าต่างรถบัส ต้นไม้ข้างทางมองเห็น​เป็นเงาตะคุ่มเลื่อนไหลผ่านสายตาตาม​ความเร็วของเครื่องยนต์ ไอ้หน่องนั่งเบาะริมหน้าต่าง สายลมเย็นปะทะใบหน้า รถบัสจอดรับคนงานตลอดรายทาง ​และแวะรับคนงานผู้หญิงกลุ่มสุดท้าย​ที่ครบุรี ฟ้าสางแล้ว​​ความเขียวของต้นไม้เผยตัวให้เห็นกลางแสงเรื่อเรืองของท้องฟ้า รถบัสออกวิ่งตะบึงต่อ​ไป บนถนน​ที่มองเห็นว่ามันคดเคี้ยว​และแคบลงข้างหน้า รถ​จะวิ่งเข้า​ไปใกล้​และขยาย​ความแคบให้กว้างขึ้น​​ได้เอง แล้ว​เจ้า​ความแคบข้างหน้าก็​จะคดเคี้ยวทอดยาวหนี​ไปอีก

ไอ้หน่องนั่งฟังเสียงเครื่องยนต์​ที่ชะลอ​ความเร็ว​เพื่อเข้าโค้ง ​เขาวางหัวลงบนพนักมองสิ่ง​ที่อยู่​ข้างหน้าอย่างไร้​ความหมาย พอคนขับกดคันเร่งพารถทะยานออกจากโค้ง พวงมาลัยดอกมะลิ​ที่แขวนหน้ารถก็แกว่ง​ไปมา มองเห็นการแกว่งไกวแล้ว​ไพล่คิดถึงการพลิ้วสะบัดของชายประโปรงคุณอรพินท์ ผู้จัดการสาว​ที่สวยเหมือนนางฟ้า

..วันนั้น​​เขาถูกเรียก​ไปช่วยยกของ มีตั้งกระดาษถ่ายเอกสาร​ต้องการจัดเก็บบนสำนักงาน ผู้จัดการสาวคนสวย​ที่ขาวเหลือเกินคนนั้น​​กำลังยืนพูดโทรศัพท์อยู่​ข้างโต๊ะทำงาน ​เขาหอบห่อกระดาษสี่ตั้งผ่าน​ไปด้านหลังของหล่อน คุกเข่าบนพื้นพรม บรรจงยัดห่อกระดาษลงชั้นล่างสุดของตู้เอกสาร วันนั้น​คุณอรพินท์สวมกระโปรงพลิ้วสั้นเหนือเข่า สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าแขนยาวแนบลำตัว หน่อง​กำลังแอบมองด้านหลังของช่วงขาเรียวแสนสวย แล้ว​จู่ ๆ​ เจ้าของขาก็หมุนสะโพก​และเขย่งตัวขึ้น​หยิบแฟ้มห่วงจากชั้นบนของตู้ ชายกระโปรงผ้าพลิ้วไหวสีน้ำเงินลายขาวนั้น​สะบัดแทบว่า​จะเฉียดจมูก​เขา

ผู้จัดการสาวมัวจดจ่อ​กับการคุยงาน หารู้ไม่ว่าการหมุนสะโพกอย่างเร็วคราวนั้น​ ทำให้ไอ้หนุ่มแห่งบ้านโคกน้อยถูกน็อคเอ๊าท์กลางอากาศ ภาพ​ความพลิ้วไหวของชายกระโปรง ​กับ​ความขาวของขาอ่อน​ที่ลึกหาย​ไปใต้กระโปรงบานวันนั้น​ ถูกเรียกกลับมาฉายซ้ำในจินตนาการเช้า​วันนี้ บักหน่องเหม่อมองพวงมาลัยดอกมะลิ​ที่แกว่ง​ไปมาอย่างงงงวย หน้าตา​เขาตอนนี้เหมือนนักมวย​ที่กลับมาเมาหมัดน็อคเอ๊าท์อีกครั้งหนึ่ง​


=== ๒ ===

ใกล้เวลาแปดนาฬิกา ประตูรั้วหน้าโรงงานสัญชาติญี่ปุ่นก็เลื่อนเปิดออกด้วยรอกไฟฟ้า จากหน้าต่างอาคารสำนักงาน หญิงสาว​ซึ่ง​เป็นผู้จัดการโรงงาน ​กำลังมองขบวนรถบัส​ที่วิ่งมาจ่อท้ายกันยาว​เป็นกิ้งกือยักษ์ เธอเห็นมัน​กำลังเคลื่อนตัวเลี้อยผ่านประตูเข้ามาในบริเวณ ​เมื่อหัวขบวนผ่านประตูเข้ามา​ได้ เจ้ากิ้งกือก็แยกโบกี้รถไฟของมันออกจากกัน

​เมื่อรถหยุดบนลานซีเมนต์ มนุษย์งานก็ทะลักออกมาจากรถบัสทุกคัน อรพินท์มองเห็นกองทัพคนงานเหมือนฝูงมด​กำลังเดินตามกัน​ไปยังอาคารโรงงาน​ทั้ง ๓ แห่ง บนท้องฟ้า​ที่เต็ม​ไปด้วยเมฆฝนนั้น​ บัดนี้เกิดมืดคลึ้มลง แล้ว​สายฝนก็โปรยปรายลงมา ฝูงคนงานแตกฮือแผ่กระจาย​ไปใต้ชายคาตึก ​และหายวับ​ไปจากลานซีเมนต์ไม่เหลือหลอ

อรพินท์รักฤดูฝน ​ความทรงจำในวัยเยาว์ผุดขึ้น​มาทุกครั้ง​ที่คิดถึงฝน หล่อนยิ้มให้​กับสายพิรุณ​และผุดภาพกลุ่มเด็กหญิงจอมแก่นขี่จักรยานกลางสายฝน เส้นผมเปียกแนบแก้ม ​และการ​ได้ระเบิดเสียงหัวเราะ เธอไม่เคยลืม​ความสนุก​ที่ตากฝนจนหนาวเยือก, ริมฝีปากสั่น ​พร้อม​กับเห็นฝ่ามือตัวเองขาวซืด ​และมีท้องนิ้วเหี่ยวย่นแบบผู้ชรา

ฝนขาดเม็ด​เมื่อยามสาย อรพินท์ออกเดินตรวจตรา​ความเรียบร้อย​ประจำวัน มีสมศรีเลขานุการคนสนิทเดินมา​เป็น​เพื่อน ทุกคน​จะเห็นเธอยิ้มแย้มทักทายคนงาน ​เพราะเคยทำงานระดับปฏิบัติการมาก่อนเธอจึงเข้าใจ​และปฏิบัติต่อเหล่าคนงานอย่างเหมาะสม ผู้จัดการสาวคนนี้​เป็น​ที่รักของทุกคน คนงานผู้หญิงมองเธออย่างหญิงต้นแบบ ขณะ​ที่คนงานผู้ชายมองเธอเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ ​แต่ทุกคนก็รู้ว่าภายใต้​ความสวย​และอ่อนหวาน อรพินท์ยัง​เป็นเจ้านาย​ที่เข้มงวดคนหนึ่ง​

"สมศรี ให้คนมาย้ายถังน้ำดื่มพวกนี้ให้พ้นจากริมทางเดินให้หมด" เธอสั่งการ "ย้าย​ไปชิดผนังด้านหลังดีกว่าปล่อยให้เกะกะตรงนี้"
"ค่ะ​" สมศรีนึกภาพว่า​ต้องเคลียร์พื้น​ที่ริมผนังด้านหลังก่อน
"โทรหาพ่อค้ารับซื้อของเก่า บรรดากล่องกระดาษกองใหญ่ตรงนั้น​​ต้องถูกกำจัด​ได้แล้ว​" อรพินท์สั่งราว​กับ​ได้ยินสิ่ง​ที่เลขาของเธอ​กำลังคิด ​ถ้าอรพินท์​เป็นนางฟ้าจริง ๆ​ เธอก็​เป็นนางฟ้า​ที่ถี่ถ้วน ​และเข้มงวด​ที่สุดคนหนึ่ง​ เจ้านายญี่ปุ่นสอนเธอว่า "​ความสะอาด ​เป็นจุดเริ่มของระเบียบวินัย ​และระเบียบวินัย​เป็นจุดกำเนิดของประสิทธิภาพ" แน่นอนว่าอรพินท์เชื่อในสิ่ง​ที่ถูกสอน

ทางเดินปูนขัดมันทอด​เป็นแนวยาวริมผนังสะท้อนแสงจ้าจากประตูทางทิศใต้ มองเห็นภาพเงาดำของคนงานคนหนึ่ง​​กำลังลากจูงลังวัตถุดิบเข้ามาใกล้ หีบกระดาษแข็ง​และม้วนสายไฟขนาดใหญ่เคลื่อนมาบนล้อเลื่อนกระจายน้ำหนัก บักหน่องแห่งบ้านโคกน้อยนั่นเอง ​เขาเห็นนางฟ้าใส่ชุดกระโปรงชุดสูทสีกรมท่าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนอยู่​​กับเลขาฯ ครึ้มใจว่าเพิ่ง​จะคิดถึงก็​ได้เห็นหน้า

"นายเทพฤทธิ์ มาตรงนี้หน่อย​" สมศรีกวักมือเรียก
​เขารู้สึกเหมือน​ได้เดินหมากเข้าฮอร์ส ยืดอกเขย่งตัวบนรองเท้าผ้าใบเดิน​ไปหาทันที ​ความ​ที่มัวคิด​แต่เรื่อง​นางฟ้าผู้เลอโฉม ทำให้​เขามองไม่เห็นว่าผู้เรียก​คือสมศรี ​เมื่อเคลื่อนตัวมาถึงระยะใกล้ ​เขาก็ส่งประกายตามองลึกเข้า​ไปในลูกตาดำของนางฟ้า ในใจก็บริกรรมคาถาเมตตามหานิยม ตาม​ที่เคยจดจำท่องไว้จากอาจารย์​ที่สักไฝเสน่ห์
"ผู้จัดการมีอะไร​​จะ​ใช้ผมเหรอครับ​" หน่องพูดไทยชัดทุกคำไม่มีคำลาวปน
"เอ่อ.. ขอบคุณค่ะ​ ถังน้ำพวกนี้มันอาจเกะกะทาง ช่วยย้ายให้หน่อย​นะคะ​" อรพินท์ตอบคำคนงานหนุ่ม ​และหัน​ไปมองตาสมศรี
"​ได้เลย​ครับ​ผู้จัดการ ​จะให้ย้าย​ไปตรงไหนล่ะครับ​"
สมศรี​ได้จังหวะพูดบ้าง "​เอา​ไปเรียงชิดผนังด้านนอกให้หมดเลย​นะคะ​" ​และหยอดคำ "นายเทพฤทธิ์ มีน้ำใจจริง ๆ​ ขอบใจมาก"
"ครับ​ ครับ​ เรื่อง​ซำนี้ บ่ยากดอกครับ​" ยกมือเกาท้ายทอย​เพราะเผลอพูดคำลาวออกมา

ขณะ​ที่ผู้จัดการสาว​กำลังออกเดินต่อ บักหน่องรีบฉวยโอกาสสร้าง​ความจดจำให้อีกฝ่าย "​ถ้าผู้จัดการมีอะไร​ให้ทำอีก บอกเทพฤทธิ์​ได้เลย​นะครับ​" ​เขายืดอกพูดเสนอตัวชัดแจ้ง จนอรพินท์​ต้องหันมายิ้มรับ หน่องมองรอยยิ้มของนางฟ้า​ที่ส่งมาถึง​เขา ​และลง​ความเห็นว่า​เป็นยิ้ม​ที่สวยหวาน​และยั่วยวน​ที่สุดในโลกใบนี้

"​ไปกันเถอะสมศรี" อรพินท์พูด​กับเลขาฯแล้ว​หมุนตัวเดินออกจากบริเวณนั้น​ สมศรีหรี่ตามองหน้าหน่องก่อน​จะสาวเท้าเดินตามนาย​ไป ​ส่วนบักหน่องก็เกร็งข้อมือยกถังน้ำดื่มขนาด ๒๐ ลิตร เดินตัวเอียงเข้า​ไปเก็บด้านหลัง ​พร้อม​กับคิดลำพองใจว่าคาถามหาเสน่ห์ของ​เขา​ใช้​ได้ผลอีกแล้ว​


ถึงตอนเ​ที่ยงอรพินท์มีลูกค้ามารับ​ไปทานข้าวข้างนอก ​ส่วนบักหน่อง​กำลังหาจังหวะปรึกษาบักวี ​เพื่อนรุ่นพี่​ที่สนิทสนมกันในโรงอาหาร ​เขาสั่ง​กับข้าวสองอย่างมาวางบนโต๊ะ​ที่มีม้ายาวขนาบสองข้าง แล้ว​เดิน​ไปคดข้าวจากหม้อไฟฟ้าขนาดยักษ์​ที่กองสวัสดิการหุงไว้ให้กินฟรีเดินกลับมา บักวีซื้อเกาเหลาเลือดหมูมาสมทบอีกอย่าง แล้ว​​ทั้งสองก็เริ่มมื้ออาหารกลางวันท่ามกลาง​ความเสียงช้อนส้อมกระทบจาน ​และการพูดคุยจอแจของคนงาน​ทั้งหลาย

"​เมื่อคืนผีสามขาอาละวาดอีกแล้ว​เว่ย" บักวีเล่าข่าวซุบซิบ​เป็นประเดิมก่อน​จะตักต้มเลือดหมูซดโฮก
"​ใคร​กับ​ใครละคราวนี้" ไอ้หน่องถามเนือย
"พวกทางเค ๒ บักพจน์มันบอกว่ายืนซดกันในห้องน้ำผู้หญิงฝั่งนู้น ตอนตีหนึ่ง​กว่า ๆ​"
"ใช่ยัยแก้มยุ้ยคนสวยอ๊ะเปล่า"
"เฮ่ย ไม่ใช่หรอก อีหล่านั่นไม่มีทางกล้าหาญชาญชัยแบบนั้น​ ฟังว่า​เป็นรุ่นใหญ่ผัว​ไปนอกซด​กับไอ้สโตร์ตูดปอด ไอ้เหี้ยนี่มันโชคดีจริงๆ​ ​ได้แอ้มของฟรีประจำ" บักวีอิจฉาผี
"ไม่​ต้อง​ไปอิจฉา​เขาเลย​ ทั่นเองก็ฟาด​ไปสองแล้ว​ไม่ใช่เหรอ ผมน่ะอยาก​เป็นผี​จะแย่อยู่​แล้ว​"
"ฮ่า ๆ​ หาไม่​ได้ก็ชักว่าว​ไปก่อนสิวะ กูเห็นมึงว่าง​เป็นไม่​ได้ หยิบหนังสือโป๊แล้ว​หายหัว​เป็นประจำ"
"แหม.. ทั่นก็พูดเกิน​ไป" บักหน่องลากเสียง "ว่า​แต่ไอ้สองเล่มนี้มันเก่าแล้ว​นะ ​เอาเล่มใหม่มาอีกจิ"
​ที่แท้บักวีนะแหละ​​เป็นคน​เอาหนังสือโป๊มาทิ้งไว้บนซอกด้านหลังชั้นวางวัสดุ "เออ.. ไว้​จะ​เอามาให้" รุ่นพี่ส่ายหัวยิ้มให้​กับ​ความหื่นของ​เพื่อนรุ่นน้อง หรือว่ามนุษย์ผู้ชายมันคิด​เป็น​แต่เรื่อง​แบบนี้

อิ่มแล้ว​​ทั้งสองเดินทอดน่องมาสูบบุหรี่ใต้ชายคาโรงวัสดุ ฝนขาดเม็ด​ไปพักใหญ่แล้ว​ แนวต้นโกสนริมทางเดินถูกฝนชะจนดูสีสดกว่าเดิม อากาศสดสะอาด​และสว่างไสว จังหวะนี้เอง​ที่ไอ้หน่องเอ่ยปากขอคำปรึกษาเรื่อง​​ที่ทำให้​เขากังวลใจตั้งแต่เช้า​ หลังจากเล่า​และโดนแซวว่า​เป็นผีไร่มัน บักวีก็ให้คำปรึกษาสม​กับ​ความนับถือ​ที่​เขา​ได้รับ

"เรื่อง​แบบนี้ ​จะผลีผลามตัดสินใจลำพังไม่​ได้นะเว้ย" บักวีพูดสอนในฐานะอาวุโสกว่า หนีบก้นบุหรี่สูบอีกครั้งก่อนโยนทิ้งลงพื้น "​ต้องดูท่าที ​และถาม​ความ​เป็น​ไป​ได้​กับฝ่ายผู้หญิง​เขาก่อน"
"บี​เขาเชื่อฉันหมดแหละ​ บอกยังไงก็น่า​จะ​ได้" หน่องขยี้ปลายเท้าดับก้นบุหรี่ให้แอ็ดไวเซอร์ของ​เขา

"อย่ามั่นใจนัก เรื่อง​นี้มันเกี่ยว​กับศีลธรรมในใจด้วย ​ต้องแน่ใจว่า​จะไม่​ไปทำให้​เขารู้สึกว่า​ เอ็ง​เป็นพวกใจบาปหยาบช้า"
"แล้ว​ฉัน​จะทำยังไง​ได้มั่ง"

"ข้าว่าควร​จะคิดให้ดีนะหน่อง ไหน ๆ​ เรื่อง​ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว​ พอ​จะพูดจา​กับผู้ใหญ่​ได้หรือเปล่า?" บักวีหยุดหรี่ตามอง​เพื่อนรุ่นน้อง "ไอ้เรื่อง​ทำแท้งอะไร​นั่น ​จะพูด​ได้ก็ต่อ​เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว​เท่านั้น​"
"ฉันก็รู้น่า.. " หน่องรีบออกตัว "ก็ถามเผื่อไว้ก่อน ​ถ้าจำ​เป็น​ต้องทำจริง ๆ​ ​จะ​ได้รู้ว่า​ต้องทำยังไง"

"แล้ว​อยากรู้อะไร​มั่ง"
"เอ่อ.. ไม่รู้สิ ฉัน​จะ​ต้องรู้อะไร​มั่งล่ะ" หน่องไม่รู้กระทั่งว่า​ต้องรู้อะไร​มั่ง "อย่าง.. ​ต้อง​ไปติดต่อ​ใคร​ที่ไหน เอ่อ.. ว่า​แต่มันมีอันตรายไหม ​และ​ต้อง​ใช้เงินมากหรือเปล่า" ไอ้หน่องเอ่ยถึง​ความสับสนของ​เขาออกมาตรง ๆ​

บักวีมองเห็น​ความอ่อนโลกของ​เพื่อนรุ่นน้อง ก็เกิดเห็นใจ "​เอา​เป็นว่าเรื่อง​นี้เอ็งไม่​ต้องห่วง ​ถ้าจำ​เป็น​ต้องทำจริง ๆ​ ฉัน​จะให้หลวยเค้าช่วยติดต่อให้เอง" บักวีพูดถึงเมีย​ที่ทำงานอยู่​สมาคมพัฒนาประชากร​และชุมชน (พีดีเอ) "​ที่นั่น​เขา​เป็นองค์กรการกุศลมีหมอเก่ง ๆ​ ​และไม่​ต้องเสียเงินเยอะแยะอะไร​เลย​"

เสียงออดบอกเวลาดังยาว บักวีเดิน​ไปกดน้ำจากคูลเลอร์น้ำดื่มแล้ว​พูดต่อ "ฉันอยากให้หน่องหาทางคุย​กับพ่อแม่ผู้หญิงมากกว่า ​ต้องคิดว่าเด็ก​เขาอยากมาเกิด นี่อาจ​เป็นเทวดาส่งมาบอกให้เอ็งรู้.. ว่า​ได้เวลา​เป็นพ่อคนแล้ว​"


ตกเย็นฝนก็กลับมาตกอีก อรพินท์​กับสมศรีออกตรวจงานรอบบ่าย​และติดฝนอยู่​ใต้หลังคาโรงเก็บวัสดุมาเกือบชั่วโมงแล้ว​ หล่อนชะโงกตัวออก​ไปตรงช่องประตู เฝ้าดู​ความหนักเบาของสายฝนสองสามครั้ง ละอองฝนปลิวตามลมปะทะใบหน้า หลังมือ​และตลอดท่อนขา​ที่อยู่​นอกอาภรณ์ปกปิดกาย ​พร้อม​กับประพรม​ความชื้นลงบนเส้นผม

ออดสัญญานเปลี่ยนกะดังยาว ไอ้หน่องเงยหน้าจาก​ความคร่ำเคร่งในมือ มอง​ไปรอบ ๆ​ ข้างนอกฟ้ามืดครึ้มตั้งแต่ห้าโมงเย็น สายฝนโปรยปรายเหมือนไม่มีวันหมดสิ้น​ไปจากฟ้า อากาศเย็น​และชื้น​ไปหมด ​เขาโยนหนังสือโป๊กลับ​ไปยังซอกของมัน กระโดดลงพื้นตระเตรียมขึ้น​รถกลับบ้าน

ขณะเดิน​ไปกดคูลเลอร์น้ำดื่ม ​เขาก็เห็นคุณอรพินท์​กำลังยืนกอดอกอยู่​คนเดียวใต้แสงไฟ รีบก้มลงทำทีผูกเชือกรองเท้า​และคิดคำพูดทักทาย ในใจก็บริกรรมคาถาบ่มเสน่ห์พัลวัน พอเงยหน้า​กำลัง​จะทัก สมศรีก็ถือร่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาเสียก่อน

"อ้าว นายเทพฤทธิ์ มาอยู่​ตรงนี้ตั้งแต่​เมื่อไร" สมศรีร้องทัก​พร้อม​กับส่งร่มอีกคันให้เจ้านาย อรพินท์หันมาเห็นไอ้หน่องก็ใจหายวาบ ร้องสำทับว่า

"นั่นสิ มาแอบอยู่​ตรงนี้ทำไม"
เหตการณ์พลิกผัน ไอ้หน่องกรอกตามองสาวสำนักงาน​ทั้งสอง​ไปมา

"ปล่าวครับ​ ผม​ได้ยินเสียงออดก็เดินออกมาเตรียมตัวกลับบ้าน"
หน้าตาเหรอหราของหน่องทำให้​ทั้งสองสาวเบาใจ

"แล้ว​เข้า​ไปทำอะไร​ในซอกนั่น" สมศรีซัก
"…" หน่องอ้าปากคิดในใจซวยแล้ว​

"ช่างเถอะ" เสียงคุณอรพินท์ตัดบท แล้ว​ดึงมือสมศรีพากันกางร่มออก​ไปจากบริเวณนั้น​
บักหน่องเป่าลมออกจากปาก ลุกขึ้น​ยืนมองวิมานฉิมพลี​ที่หายวับ​ไปต่อหน้าต่อตา


=== ๓ ===

ถนนในหมู่บ้านทอดตัวนิ่งเหมือนทุกเช้า​ ไอ้แต้มหมาขาเป๋นอนเฝ้าอณาเขตกลางถนนของมันเฉยอยู่​ ตาพันค่อย ๆ​ ย่างมารอใส่บาตร​พระหน้าร้านป้านาง แกอายุ​จะเก้าสิบแล้ว​หลังเริ่มงอ ในมืออุ้มกล่องข้าวเหนียว มีผ้าขะม้าลายตารางพาดใหล่ สมาชิกรอ​พระเช้า​นี้ มีนางเดือน นางเนียน ยายบานเช้า​ นางแห้ง ​และไอ้หน่อง

"​เป็นอิหยังมื้อนี่ ​คือ​ได้มาใส่บาตรแต๊เซ่า" พ่อใหญ่พันทักไอ้หน่อง
"ข้อยก็อยาก​ได้บุญนำ หละพ่อใหญ่"
"เอ้อ.. ดีแล่วล่ะหล่า เฮ็ดบุญดุดุ สิ​ได้ อยู่​ดีมีแฮงเด้อ"

​เมื่อคืนหน่องนอนไม่หลับ ในภวังค์หลับ ๆ​ ตื่น ๆ​ ​เขาฝันว่าตัว​เป็นงูใหญ่ต่อสู้​กับนกยักษ์แย่งชิงผู้หญิงเปลือยอก ​และ​เขาพ่ายแพ้ ถูกฆ่าตายกลางทะเล ​ความฝัน​ที่เหมือนจริง​และประสบการณ์​ความตาย​ที่เผชิญ ทำให้​เขาตื่นขึ้น​มาใส่บาตรในวัน​ที่ตื่นสาย​ได้ หลังใส่บาตร​เขาโทรหาสาวบี ​และขี่รถเครื่อง​ไปรับ​ที่หัวมุมถนนตาม​ที่นัดแนะไว้

"มื้อคืนฝันบ่ดี" ​เขาชวนคุยขณะขี่รถเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย
"ฝันเห็นอิหยังอ้าย" สาวบีนั่งซ้อนท้ายเกาะเอวหนุ่มคนรักย้อนถาม
หน่องเล่า​ความฝันให้ฟัง บีจึงชวน​เขาย้อน​ไปตลาดหาซื้อปลา​เป็น​ไปปล่อย​ที่อ่างเก็บน้ำหลังเขื่อน หลังจากปล่อยปลาดุกตัวย่อม ๑๐ ตัวลงน้ำ ​และมองเห็นมันว่ายหาย​ไปใน​ความลึกของเขื่อน หน่องก็สบายใจขึ้น​ ​เขาลุกขึ้น​จากชายน้ำ หันมามองสาวบีในชุดกางเกงขาสาม​ส่วนเสื้อยืดรัดรูปมีเชิ้ตผู้ชายแขนยาวคลุมทับ นึกดีใจ​ที่ชีวิต​เขาแวดล้อมด้วยผู้หญิงน่ารัก ​และปรารถนาดีต่อ​เขาอยู่​เสมอ

"อ้ายสิ​ไปเว่า​กับพ่อนางดีบ่" หน่องหยั่งน้ำใจสาวคนรัก
บี​ได้ฟังก็นิ่ง​ไปอึดใจหนึ่ง​ พอ​ได้คิดก็น้ำตาไหลพูดออกมาว่า "นางอยากสิบอก ให้อิแม่ฮู้ก่อน พอพ่อฮู่แล่ว ค่อยเบิ่งว่าสิเฮ็ดจั้งใดต่อ​ไป" หล่อนรู้ว่า​ได้ทำให้พ่อแม่​ต้องเสียใจ ​และอนาคตเรื่อง​เรียน​ต้องยกเลิก​ไปด้วย

หน่องเห็นน้ำตาก็รู้สำนึกว่า​ได้ก่อเรื่อง​ให้​ต้องเดือดร้อนกันจริง ๆ​ ​เขาดึงร่างบีมาปลอบใจ
"บ่​ต้องร้องไห้ดอกนาง อ้ายอยู่​นี่แล้ว​ บ่​ต้องย่านอิหยัง อ้ายสิปกป้องนางเอง มีอิหยังเกิดขึ้น​ เฮาสิต่อสู้​ไปนำกัน" ​เขาพูดออก​ไป​โดยอัตโนมัติเหมือนตัวละครในบทภาพยนตร์ พูดจบแล้ว​​เขาเพิ่ง​จะรู้สึกตัวว่า​ได้พูดคำมั่นอะไร​ออก​ไปบ้าง หน่องกระชับวงแขนกอดสาว​พร้อม​กับฝัง​ความกังวลอย่างใหม่ลงในอก หน่องเอ๋ย..เอ็ง​จะทำ​ได้อย่าง​ที่ปากพูดออก​ไปหรือเปล่า?

ฝ่ายสาวบี​ได้ยินผู้บ่าวเอ่ยปากรับผิดชอบเต็ม​ที่ ก็ปักใจลงมั่น​กับ​เขาหมดหัวใจ ​ความรู้สึกนึกคิดของเด็กสาววัยคะนองเติบโต​เป็นหญิงสาวเต็มวัยตั้งแต่บัดนั้น​ หล่อน​พร้อมเดินหน้า​ใช้ชีวิตคู่​กับหนุ่มคนรักทันที มือปาดน้ำตาออกจากพวงแก้ม แล้ว​หล่อนก็เริ่มคิดกะเกณท์ว่า​จะเล่าเรื่อง​ผู้บ่าว​ทั้งหมดให้แม่ฟังเย็นวันนี้ พอถึงวันรุ่งขึ้น​พ่อก็คง​จะเรียกตัว​ไปพูด ก็​จะถือโอกาสนั้น​นัดหมายผู้บ่าวให้พาผู้ใหญ่​ไปพูดจา​กับพ่อให้​เป็นเรื่อง​ราวถูก​ต้องตามประเพณี

"คิดว่ามื้ออื่นตอนสวย ๆ​ อ้ายสิ​ต้องพาผู้ใหญ่​ไปเว่า​กับอีพ่อ" เธอประเมินสถานการณ์
ฝ่ายหน่องดูเหมือนยังปรับตัวไม่ทัน พอรู้ว่า​ต้องพาตาโฮม​ไปพูดจา​กับพ่อเฒ่าก็ชักอึกอัก ​โดยไม่รู้ตัว​เขาคลายอ้อมกอดสาว ถอนตัวออกห่าง บักหน่องกลอกตาทำหน้างง แล้ว​พูดผลัดออก​ไปอย่างไร้เหตุผล "​เป็นจักมื้อฮื้อ ​ได้บ่"

สาวบีเห็นหน้างงของว่า​ที่สามีก็พยายามอธิบาย "นางคิดว่า อิแม่สิบอกอิพ่อคืนนี้ แล่วมื้ออื่น นางสิ​ต้องโดนเอิ้น​ไปถาม อ้ายสิ​เอาจังใด๋ นางสิบอกว่าอ้ายสิพาผู้ใหญ่มาเว่าเอง ซั่นรอ​ไปฮอดมื้ออื่นอีก นางย่านอิพ่อบ่ยอม ​เพราะว่าเรื่อง​จังซี่ ซั่นไทบ้านฮู่ เพิ่นสิเว้าพื่น​เอา​ได้"

บักหน่องรู้ตัวแล้ว​ว่า ​จะอย่างไรวันนี้เรื่อง​​ต้อง​ไปถึงตาโฮม ​และ​เขาก็​ต้องทนหูแฉะฟังพ่อบ่นด่าว่า​เขาอีกตามเคย ​เอาวะ เรื่อง​มาจนถึงป่านนี้แล้ว​ ลูกผู้ชายกล้าทำก็​ต้องกล้ารับผิดชอบ ​เมื่อคิด​ได้ ท่าทีของ​เขาก็ขยับมาอยู่​ในทาง​ที่เหมาะสม

"อืม.. ​เอาจั้งซั่นกะ​ได้ ตอนบ่ายอ้ายสิบอกพ่อไว้ก่อน"
"ดีแล้ว​ พ่อของอ้าย​จะ​ได้ฮู่ไว้"
"มื้ออื่นนางก็นัด​กับพ่อเลย​ อ้าย​กับอิพ่อสิ​ไป ตาม​ที่นางนัด"

ตกลงกัน​ได้อย่างนั้น​สาวบีก็ดีใจยิ้มออกมา​ได้ ​ความเต็มอิ่มในใจบังเกิดขึ้น​ จึงอยาก​จะเข้าใกล้แนบกายหาไออุ่น นางคว้ามือผู้บ่าวมาบีบ เอนตัวเข้าหา​และส่งยิ้มให้

​ได้รับสัญญานทำนองนี้บักหน่อง​จะเข้าใจ​ได้ทันที ​เขาดันร่างเข้าหา​และโอบกอดฝ่ายหญิงไว้ ท่ามกลางธรรมชาติริมเขื่อน วิวด้านหลัง​เป็นเวิ้งน้ำขนาดใหญ่ ถัด​ไปไกลลิบ​เป็นแนวภูเขาล้อมรอบ บนท้องฟ้ามีเมฆฝนปกคลุมคลึ้มอยู่​

สัมผัสทางร่างกายของสองหนุ่มสาวย่อมส่งกระแส​ความรู้สึกกระหวัด​ไปยังเรื่อง​ราวอยากรู้อยากเห็นดั้งเดิมของมนุษย์ ​ทั้งสองกึ่งเดินกึ่งจูงกัน​ไปนั่งบนโขดหินอันลับตา ​และเฝ้าถ่ายเทอุณหภูมิแก่กันผ่านทางผิวสัมผัสทุกทาง​ที่แตะ​ต้องกัน​ได้ วิญญาน​ความอยากรู้เริ่มซุกซนแหวกผ่านสิ่งห่อหุ้มต่าง ๆ​ จน​ทั้งสองแทบว่า​จะไม่สนใจ​กับสิ่งใดในโลกใบนี้อีกแล้ว​

ท่ามกลาง​ความชุลมุนไร้เสียงบนโขดหินนั้น​ บนท้องฟ้าเมฆฝนก็ปั่นป่วน มีการปะทะกันของประจุไฟฟ้า​และการควบกล้ำ เกิดการกลั่นตัว​เป็นหยดน้ำ หยาดลงมา​เป็นม่านฝนหนาทึบ ปกปิดเรื่อง​ราว​ส่วนตัวของคน​ทั้งสอง ให้พ้นจากสายตาของคนอ่านอย่างน่าเสียดาย


=== ๔ ===

บ่ายสามโมง ฝนขาดเม็ด​ไปนานแล้ว​ ท้องฟ้าโปร่ง​และอากาศสดใส สรรพสิ่งมองเห็นกระจ่างตา ​เป็นยามบ่าย​ที่สงบสุขอีกวันหนึ่ง​ของชาวบ้านโคกน้อย ยกเว้น​ที่บ้านตาโฮม ​เพราะไอ้หน่องเพิ่ง​เอาพายุเข้า​ไปหมุนติ้วอยู่​ในบ้านเดี๋ยวนี้เอง

"จังไรแท้ งานการกะเพิ่งสิเฮ็ด ยังเก็บเงินบ่​ได้ มึ้ง​ไปเฮ็ด​เขาจั้งซี่ เดือดร้อนกันหมดเฮือน" เสียงตาโฮมโพล่งออกมาตาม​ที่ไอ้หน่องคาดไว้ล่วงหน้าไม่มีผิด

"ค่อย ๆ​ แนพ่อ ไทบ้าน​เขาบ่​ได้หูแตก เดี๋ยวกะฮู่เรื่อง​กันเบิด" หน่องพยายามพูดเรื่อย ๆ​ ​เขา​กำลังนั่งรีดเสื้อฟอร์ม​ที่​จะใส่​ไปทำงานตอนเย็น

"สิย่าน​เขาเว่าพื่นเฮ็ดหยัง ตอนมึง​กำลัง​เอากัน กะ​คือบ่​ได้ย่านเทวดาฟ้าดิน" ตาโฮมมีภาษาพูดฉูดฉาดเสมอ "แล้ว​บัดนี่ สิเฮ็ดจั้งได๋ล่ะ"

"อิพ่อกะ​ไปเว่า​กับพ่อ​เขาแน ฟังก่อนว่า​เขาสิ​เอาจังได๋"
"​เขาสิ​เอาเลือดหัวมึงออกนั่นแล่ว ลูกสาว​เขากว่าสิเลี้ยงใหญ่ปานนี้ ลองคิดเบิ่ง ซั่นอีหล่าแบมใหญ่​เป็นสาว แล้ว​มีใผ๋มาเฮ็ด​กับมันแบบนี้ มึงสิฮู่สึกจั้งได๋" ตาโฮมยกตัวอย่างหลานสาวอายุเพิ่ง​จะแปดขวบ

"ซั่นอิพ่อ บ่ยอม​ไปเว่าให้ข่อย ข่อยสิให้บี​ไปเฮ็ดแท้ง ดีบ่ล่ะ"

ตาโฮม​ได้ยินลูกชายคนเล็กพูดออกมาอย่างนั้น​ก็โกรธ​เป็นริ้วขึ้น​มาทันที
"บักห่า นั่นมึงใซ่ปากหือส้นตีนเว่า" ยัวะจนปากคอสั่น "​ไป​เอา​ความคิดซัวซัวจั้งซี่มาจากไส กูบ่เคยสอนมึง บ่​ได้ย่านบาปกรรม สิกินหัวมึงเลย​ตี้"

ยายนีนั่งผ่าไหลอยู่​ด้านนอก เงี่ยหูฟังอยู่​ตลอด ​ได้ยินน้ำเสียงสั่นก็รู้ว่าผัวโมโหแล้ว​ ​แต่บักหน่องดูเหมือน​จะยังไม่รู้เหนือรู้ใต้

"พ่อกะ​ไปเว่าให้ข่อยแน" ไอ้หน่องพูดบังคับพ่อหน้าตาเฉย แล้ว​ก็คว้าผ้าขะม้าเดินเข้าห้องน้ำ​ไป

อีกฟากนึงของหมู่บ้าน สาวบี​กำลังกดโทรศัพท์มือถือเบอร์ผู้บ่าว​และกดปุ่มเรียกออก สัญญานเชื่อมต่อดังสั้น หยุด ​และถูกโอนเข้าโหมดฝากข้อ​ความ เธอฟังเทปจน​ได้สัญญานให้บันทึก จึงกดตัดสายทิ้ง​ไป นึกสงสัยว่าอ้ายหน่องมัวทำอะไร​อยู่​ เธอกำสองมือตอกเบา ๆ​ บนเข่าแล้ว​กดเรียกซ้ำอีกที

บักหน่อง​กำลัง​ใช้ขันตักน้ำราดตัวโครม ๆ​ อยู่​ในห้องน้ำ โทรศัพท์มือถือชื้น​เพราะโดนฝน​เมื่อเช้า​ ​เขาจึงถอดแบตออก วางผึ่งลมไว้ตั้งแต่ตอนกลับเข้าบ้าน หลังจากส่งบีแล้ว​​เขากลับมางีบหลับ ตื่นมาก็รีดเสื้อผ้าเตรียมตัว​ไปทำงานกะกลางคืน

ตาโฮมยังหงุดหงิดเดินพล่านอยู่​ในบ้าน ​แม้​จะ​เป็นฝ่ายผู้ชาย​ที่ยังไงก็ไม่มีเสียเปรียบ ​แต่เฒ่าจ่อยพ่อของสาวบี​เป็นคน​ที่ตาโฮมรู้จักดี แกรู้ว่าเรื่อง​​ที่​จะพูดจากัน​จะไม่ใช่เรื่อง​ง่าย ยิ่งมีเหล้าเข้าปากด้วยแล้ว​ เฒ่าจ่อย​จะออกนักเลงจนอาจมีเรื่อง​มีราวกัน​ได้ง่าย ๆ​ ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจลูกชายตัวเอง ช่างหาเรื่อง​เดือดร้อนมาให้ชนิดไม่​ได้ดูตาม้าตาเรือเลย​

พอออกจากห้องน้ำ ตาโฮมก็ถึงตัวตวัดหลังมือฟาดโครมเข้าให้ตรงบ้องหูขวา "นี่ มัน​ต้องโดนซัดแบบนี่" ไอ้หน่องเห็นพ่อโกรธมากขนาดนั้น​ก็กลัว ก้มหน้านิ่งอยู่​
ยายนีนั่งมองอยู่​เห็นตาโฮมลงไม้ลงมือ ก็รีบเข้า​ไปดึงมือผัวไว้

"บ่​ต้องมาห้ามเลย​" ตาโฮมหันมาดุเมีย "กูบ่​ได้ฆ่ามันจั๊กหน่อย​ สิสั่งสอนให้มันฮู่สำนึก"
แกสะบัดมือพรืด ยายนีเกาะมือผัวไม่ทันระวัง พอโดนสะบัดก็หงายหลังก้นกระแทกพื้น ตาโฮมเห็นเมียเจ็บยิ่งโกรธใหญ่ "บักลูกจังไร เห็นบ่ พาฉิบหายกันเบิดแล่ว"

บักหน่องเห็นพ่อดุแม่เสียงดัง ​และทุกคนวุ่นวาย​เพราะตัว ก็ถึง​กับน้ำตาตก วิ่ง​ไปประคองแม่ร้องไห้ "ข่อยขอโทษ ๆ​" รู้สึกผิด​ที่​เอาเรื่อง​เดือดร้อนเข้ามาในบ้าน ตาโฮมเห็นลูกชายร้องไห้รู้สำนึก ก็ค่อยคลาย​ความโกรธ เดินเข้า​ไปฉุด​ทั้งลูกชาย​และเมียขึ้น​มาประคองไว้​ทั้งสองคน

พายุลูกย่อม ๆ​ ใต้หลังคาบ้านตาโฮม​เป็นเรื่อง​ไม่จำ​เป็น​ต้องเกิดขึ้น​เลย​ เย็นวันนั้น​ก่อน​ที่หน่อง​จะขึ้น​คร่อมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์​ที่บักบอยรอ​ไปส่ง​ที่วงเวียน ​เขาหยิบโทรศัพท์มือถือมาประกอบแบต ​เมื่อเปิดเครื่องก็พบว่ามีข้อ​ความฝากไว้ ๑ ข้อ​ความ เขียนว่า

"บ่​ต้องเฮ็ดอิหยัง เมนมาแล้ว​"

 

F a c t   C a r d
Article ID A-3307 Article's Rate 6 votes
ชื่อเรื่อง ในวันที่ฟ้าเปียก
ผู้แต่ง ลุงเปี๊ยก
ตีพิมพ์เมื่อ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๒
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องสั้น
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๘๔๖ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๒๐ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๒๙
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : ลุงเปี๊ยก [C-16333 ], [115.67.159.33]
เมื่อวันที่ : 29 ก.ย. 2552, 09.12 น.

ใน​ที่สุดเรื่อง​สั้นของไอ้หน่องก็ถูกโพสต์ด้วยชื่อ "ในวัน​ที่ฟ้าเปียก" การเขียนเรื่อง​นี้สอนให้รู้หลายอย่าง อย่างแรก​คือ บทสนทนา ​จะเขียนออกมา​ได้​ต้องลุกขึ้น​เผชิญหน้า​กับมันตรง ๆ​ ไม่มีทางอื่น ดีหรือไม่ดีก็​ต้องเขียนมันออกมาให้​ได้

อีกเรื่อง​หนึ่ง​​ที่​ได้รู้ ​คือการเขียนเรื่อง​ให้มันจบลงให้​ได้ ​เป็นเรื่อง​สำคัญ​ที่สุดของนักเขียน ​เพราะสิ่ง​ที่หมกมุ่นลงมือทำนับเดือนนั้น​ ​ถ้าไม่​สามารถทำให้มันจบ​ได้ มัน​จะกลาย​เป็นขี้กองใหญ่ ​ซึ่งไม่​ได้ประโยชน์​กับ​ใครเลย​ ดังนั้น​ ​ถ้า​จะเขียน..ก็​ต้องทำให้มันจบ

ขอบคุณ​ที่แวะมาอ่าน ​และเหมือนเคยครับ​ ยินดีให้ติ ​และยินดีรับคำแนะนำทุกประการ
โปรด​ใช้ปังตอสับฉับ ๆ​ ลุงเปี๊ยกรออยู่​บนเขียงแล้ว​จ้า...​. ขอบคุณอีหลี

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : ลุงปิง [C-16334 ], [58.10.216.229]
เมื่อวันที่ : 29 ก.ย. 2552, 14.20 น.

...​ในวัน​ที่ฝนซาหลังฟ้าเปียก
เรื่อง​ลุงเปี๊ยกเรียกคะแนน​ได้แน่นปั๋ง
จับตอนคล่องว่องไวไม่รุงรัง
หักมุมยังดังเป๊าะหัวเราะครืน

...​สรุปว่าน่าอ่านงานเรื่อง​สั้น
เริ่มเข้าขั้นบันเทิงสำเริงรื่น
ภาพงานศพพบพนัน​กับขวัญยืน
ดูกลมกลืนผืนนาน้อยข้อยอ่านเพลิน...​



​เอา​ไปเลย​ครับ​...​

เรื่อง​นี้เข้าท่า..เยี่ยมครับ​ สม​กับ​ที่รอคอย

ทำให้​สามารถมองเห็นภาพชีวิตชนบทในยุคนี้

​และสื่อคำพูดคำจา ภาษาถิ่นของคนพื้นบ้านแถวนั้น​..​ได้ชัดเจนดีครับ​...​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๓ : ลุงเปี๊ยก [C-16335 ], [111.84.107.88]
เมื่อวันที่ : 29 ก.ย. 2552, 18.48 น.

^
^ ลุงปิงมัวเกรงใจ จึงมี​แต่คำชม ​กำลังเรียนรู้จึงอยาก​ได้คำแนะนำมากกว่าครับ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๔ : pilgrim [C-16336 ], [124.121.117.191]
เมื่อวันที่ : 29 ก.ย. 2552, 22.20 น.

มาจอง​ที่อ่านจ้า

ตอนนี้ยุ่งนิดหน่อย​ แล้ว​​จะมาอ่านแบบตั้งใจอีกทีนะลุงเปี๊ยก

มาให้​กำลังใจก่อนจ้า

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๕ : add [C-16337 ], [117.47.198.242]
เมื่อวันที่ : 29 ก.ย. 2552, 22.22 น.

โอ้โฮ ฝีมือลุงเปี๊ยกก้าวรุดหน้า ​เป็นคนละคนเลย​นะนี่ ​ทั้งสำนวนโวหาร บทสนทนา ​และมุมจบของเรื่อง​ ​ต้องเรียกว่า​ใช้​ได้ดีเลย​ทีเดียวเชียวแหละ​

ข้อติติงข้อแรกก็​คือ ขอให้ลุงเปี๊ยกตรวจคำทุกคำอีกครั้งหนึ่ง​ ​ทั้งภาษา​ที่บรรยาย ให้ถูก​ต้องครบถ้วนตามพจนานุกรม อย่างเช่น คำว่า
ภาพยนต์ ​เป็น ภาพยนตร์
คราคร่ำ ​เป็น คลาคล่ำ
คล่อม ​เป็น คร่อม ​เป็นต้น
*เขียนไม่เหมือนกัน ​คือเขียน น็อคเอ้าท์ 1 ​ที่ ​และ น็อคเอ๊าท์ อีก 1 ​ที่

​ส่วนคำพูดภาษาอิสานนั้น​ ก็คง​ต้องถามคนท้องถิ่น ไม่แน่ใจว่า คำว่า "เด้อ" นั้น​ ​เขาออก​เป็นเสียงโทหรือว่าเสียงตรี หรือว่าอาจ​ใช้​ทั้งสองเสียงแล้ว​​แต่อารมณ์

​ส่วนตอนจบของเรื่อง​​ต้องถือว่า​เป็นมุมจบ​ที่ดี ​แต่​ความรู้สึกของคนอ่าน(คนนี้) คิดว่าน่า​จะดึงเรื่อง​​ไปให้ยุ่งเหยิงยิ่งกว่านี้​คือให้​ไปถึงพ่อแม่ของสาวบีจนเรื่อง​อีรุงตุงนัง​ไปหมด ​และในตอน​ที่นายหน่อง​กำลัง​จะหมดอาลัยตายอยากว่า เรื่อง​รักสนุกๆ​​กำลังกลาย​เป็นเรื่อง​ทุกข์ถนัด ก็พลันเหลือบ​ไปเห็นข้อ​ความในมือถือว่า "บ่​ต้องเฮ็ดอิหยัง เมนมาแล้ว​"

ข้อ​ที่น่าชมเชย(ก็​ต้องมีด้วยจริงไหม?)ก็​คือ การบรรยายเรื่อง​ราว​ใช้ภาษา​ได้สละสลวยเห็นภาพ​ที่ดี ​และ​ใช้ชื่อเรื่อง​แฝงนัย​ได้ดี "ในวัน​ที่ฟ้าเปียก" (นี่​เป็นข้อดีของภาษาไทย ​ที่มีระดับของ​ความเข้าใจ​เป็น​ไปตามขั้นของวัย หรือ ขั้นของ​ความแก่แดด) ​แต่ไม่รู้ว่าลุงเปี๊ยกตั้งใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ​แต่​ถ้าตั้งใจน่า​จะให้ฉาก​ที่ลืมเสื้อเกราะ​เป็นฉาก​ที่มีฝนตกด้วย ​(ฮ่า ฝนมัน​จะตกมาก​ไปรึเปล่า ตก​ทั้งเรื่อง​​ไปเลย​)

บทสนทนา​ที่ลุงเปี๊ยกเคยคิดว่า​เป็นข้ออ่อนของตนเอง ว่าตนเองไม่​สามารถเขียน​ได้นั้น​ บัดนี้ลุงเปี๊ยกก็​ได้ลบล้างคำสาปนั้น​​ไปเรียบร้อย​แล้ว​ ลุงเปี๊ยกเขียนบทสนทนา​ได้ดีมากทีเดียว

สรุปว่า "ลุงเปี๊ยกแจ้งเกิดแล้ว​วววววว...​...​...​...​.

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๖ : Rotjana Geneva [C-16338 ], [193.134.193.5]
เมื่อวันที่ : 30 ก.ย. 2552, 00.54 น.

เข้ามาจอง​ที่อีกคนคน ​และ​จะ​ไปเตรียมลับบังตอ ไม่​ได้สับลุงเปี๊ยกนะ ​แต่​จะเตรียม​ไปตัดดอกไม้มาโปรยให้ลุงนะ (เอ๊ะ ตัดดอกไม้​ต้อง​ใช้บังตอเชียวหรือ)

ดีใจจังเลย​ค่ะ​ ​ได้เห็นเรื่อง​สั้นจากลุง ชอบใจมากตรง​ที่ลุงบอกว่า​ต้องเผชิญหน้า​กับมัน เขียนให้เสร็จ

ขอรจ​ไปตั้งหลักนิดนึงแล้ว​​จะมาอ่านอย่างละเลียดค่ะ​

รจก็แอบเขียนเรื่อง​ไว้ ยังไม่ไ้ด้ลงเลย​ ​แต่​เป็นเรื่อง​เล่าตามเคย



ด้วย​ความระลึกถึงค่ะ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๗ : ลุงเปี๊ยก [C-16340 ], [115.67.188.240]
เมื่อวันที่ : 30 ก.ย. 2552, 08.42 น.

คำ​​ที่ทักว่าเขียนผิด ​​ได้เข้า​​ไปแก้แล้ว​​ครับ​​ ขอบคุณป้าแอ๊ด ผมน่า​​จะโดนไม้บรรทัดตีมือ​​เพราะพจนานุกรมก็ตั้งอยู่​​เบ่อเริ่มข้าง ๆ​​ นี่เอง ไม่รู้จักตรวจดูเสียก่อน

ชื่อเรื่อง​​ในวัน​​ที่ฟ้าเปียก เพิ่งตั้งตอน​​จะโพสต์นี่เองครับ​​ ​​ความหมายซ่อนนัยตาม​​ที่คุณแอ๊ดเอ่ยถึง ​​เป็นจินตนาการบริสุทธิ์ของผู้อ่าน​​โดยแท้ ​​แต่ก็ทำให้ผมฉุกคิดตามว่า ยังมีเสน่ห์ของภาษาไทยในแง่มุมนี้ ​​ที่นักเขียน​​สามารถหยิบมา​​ใช้ปรุงเรื่อง​​ให้ดีขึ้น​​​​ไปอีก​​ได้

​​ความลึกซึ้งทางภาษา​​ที่สื่อ​​ได้ตามระดับอายุ หรือ​​ความแก่แดด​​ที่คุณแอ๊ดพูดถึงนั้น​​ ทำให้ผมนึก​​ไปถึงประโยคเด็ด ​​ที่นักเขียนรุ่นเก๋าไม่แน่ใจว่า​​จะ​​เป็นสิงห์สนามหลวง หรือคนอื่น (จำ​​แต่ประโยค ดันไม่จำเจ้าของคำ -- เฮ้อ.. อีตาลุง) เขียนชื่นชม​​เมื่อเห็นไรขนบาง ๆ​​ บนแขนสาวว่า "..ปริมณฑลยังงามถึงปานนี้ ราชธานี​​จะงามสักเพียงไหน"

ก็คิด​​ไปถึงนู่นเลย​​ครับ​​ แง่ม ๆ​​

ขอบคุณเจ๊พิลฯ ​​และคุณรจฯ ​​ที่มาเยือน​​และจอง​​ที่ไว้..
​​ต้องกลับมาแนะนำให้ผมด้วยนะ ไม่งั้น​​จะทวง..

สำหรับท่านอื่น​​ที่แวะมาอ่าน ขอบคุณอีกครั้ง​​ที่ยอมอ่านจนจบ ​​และโปรดจ่ายค่าอ่านด้วย แฮ่ ๆ​ ก็ด้วยการเคาะแป้นแสดง​​ความเห็นให้ผมด้วยน่ะครับ​.. ไม่​​ต้องบอกว่าชอบหรือไม่ก็​​ได้ อยากรู้ว่าคิดอย่างไรมากกว่าเด้อ...​​.

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๘ : วนิดา เจียมรัมย์ (กลิ่นดิน) หรือ เก๋: ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ [C-16343 ], [58.9.95.154]
เมื่อวันที่ : 01 ต.ค. 2552, 18.44 น.

​ความคิดแรกยามข้าพเจ้าอ่านชื่อเรื่อง​นี้ รู้เลย​แอบยิ้มในใจว่าเรื่อง​มีฉากเลิฟซีนแน่ ๕๕๕๕ ตะตาดี​กับการอ่าน คาดเดา​ได้ว่าเรื่อง​​จะประมาณไหน ใจแอบทะลึ่งตึงตังตามประสาผู้หญิง​ที่ไม่​ได้​เป็นผ้าพับเรียบ ประสาคน​ที่เติบโตมา​กับพี่ชายถึง๕ คน เกริ่นนำเข้าเรื่อง​ก็เตะตาให้อยากอ่านด้วย​ความตื่นเต้นเร้าใจในจินตนาการของภาษา​ที่​แม้ไม่บอกตรงๆ​ นี่แหละ​เสน่ห์ของการให้คนอ่านมี​ส่วนร่วมทางจินตนาการ การแทรกปรัชญาชีวิตในทุกพล๊อต ทำให้เห็นวิถีวัฒนธรรมของคนอีสานร่วมสมัย ​ที่​กำลังปะทะกัน​ระหว่างของเก่า​กับการเปลี่ยน​ไปแห่งยุคสมัย

มีคำใหม่เกิดขึ้น​บ้างพอประปราย​ได้​เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของผู้เขียน เด่นข้อมูลในการเขียนสังเกต​ได้จากการ​ใช้การบรรยาย​ที่ทำให้เห้นพล๊อตเรื่อง​ชัด​แต่ไม่นิ่งดิ้น​ได้ไม่ตายตัว แจ๋วมาก​เพราะทำยาก ​เพราะเห็นพล๊อต​เป็นธีม เห็นมุมมอง มี​ความขัดแย้งสลับกันของตัวละครเนื้อเรื่อง​ ฉากเหตุการณ์มีเยอะ นำ​ไปสู่การให้เห็นภาพ ​เป็นเหตุผล​ที่มาของพล๊อต มีการให้เห็นการกระทำของตัวละคร​ได้ดี อ่านแล้ว​ทำให้รู้สึกเข้าใจตัวละคร​แต่ละตัว เห็นเล่ห์กลของผู้เขียน ​ที่ทำให้ผู้อ่านตกอยู่​ในกลนั้น​จากตอนจบ ​เพราะ​สามารถกระตุ้น​ความคิดใหม่ๆ​​ได้ดี ​แม้เรื่อง​​จะลูกทุ่งผสมลูกกรุงแบบร่วมสมัย

จบแบบคาดไม่ถึง​ซึ่ง​เป็นเรื่อง​​ที่ยาก ​และดันจบแบบไม่จบยิ่งเขียนยากใหญ่ ​เพราะทำให้เกิด​ความคิดต่อ​กับเรื่อง​​ที่จบไม่ลงสำหรับผู้อ่าน ​แต่จบแบบดื้อๆ​สำหรับผู้เขียน ถึง​แม้​จะขำ ​แต่ทำให้คิดอยากต่อว่าน่า​จะมีภาคต่อ​ไป อิอิ ​แต่ผู้เขียนผลิกมากทำให้คาดเดาตอนจบไม่​ได้ในแบบ​ที่คาดว่าน่า​จะ​เป็น ​แต่ผู้เขียนนำเสนอ​อีกมุมหนึ่ง​เฉยเลย​ จึงรู้สึกว่า​​เป็นกล ​และเห็นชั้นเชิงการเขียน​ที่​สามารถ

​และบางครั้งการเขียนก็​ต้องใส่​ความรู้สึกตอนเขียนด้วยให้มาก ​เพราะการเขียนตาม​ความรู้สึกสำคัญมากกว่าการพยายามเขียนตามพจนานุกรม ​เพราะ​เป็นการดึงพลังแรงงานสมองออกมามาก จึงเหนื่อยมากกว่าการ​ใช้แรงงานปลูกต้นไม้ หรือทำอะไร​หนักๆ​​ใช้แรงเยอะๆ​ การหยุดเฉยๆ​ของตอน "จบแบบไม่รู้จบ" ไม่มีสรุปเรื่อง​ จึงทำให้รู้สึกเหมือนเนื้อเรื่อง​ไร้​ความรู้สึกตอนจบ ​แต่จบแบบ​จะมีการเริ่มต้นใหม่​ที่ตื่นเต้นดี

​ความพยายามด้านภาษาอีสาน​ที่​ใช้​แม้ผู้เขียนมักบอกว่าตนไม่ถนัด ​แต่อยู่​​กับ​ความ​เป็นอีสาน​และอยากพูด​เป็น มองว่าภาษาอีสาน​เพราะ มองภาษาอีสานในแง่บวก ไม่ดูถูกดูแคลน จึงเห็นถึง ​ความปรารถนาของผู้เขียน​ที่กล้าดี ​ซึ่ง​เป็นเรื่อง​สำคัญมาก ​เพราะหากไม่มีตรงนี้ก็คงไม่เขียนเรื่อง​นี้ให้ข้าพเจ้า​และหลายคน​ได้อ่านเล่นยามว่าง ​ที่ไม่ใช่สาระ​แต่มีสาระ จึงขอบคุณหลายเด้ออ้าย

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๙ : กลุ่นดิน คนธรรมดา [C-16344 ], [58.9.95.154]
เมื่อวันที่ : 01 ต.ค. 2552, 18.49 น.

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๐ : กลิ่นดิน สู่ กลุ่นดิน : วนิดา เจียมรัมย์ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒เพลา ๑๘.๔๑ [C-16345 ], [58.9.95.154]
เมื่อวันที่ : 01 ต.ค. 2552, 19.41 น.

ระยะเวลาชีวิตประสบ แรงปราถนาสำคัญไซร้ แรงใจสำคัญร่วม แรงกายสำคัญเหตุ แรงสมองสำคัญผล แรงอารมณ์สำคัญแท้ พบผันแปรพลังจิต สุ-จิ-ปุ-ลิ แห่งศาสตร์ศิลป์ชีวิตมิชีวาสมลาย สู่ ศาลานกน้อยกลอยใจ

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๑ : ลุงเปี๊ยก [C-16346 ], [115.67.62.217]
เมื่อวันที่ : 01 ต.ค. 2552, 21.06 น.

​ต้องขอบคุณคุณวนิดาจากเฟซบุ๊ค​ที่กรุณาแวะมาอ่าน ​และให้​ความเห็นจนผู้เขียนรู้สึกตัวพอง (ไม่​ได้หมายถึงโดนน้ำร้อนนะครับ​ แง่ม ๆ​) ด้วย​ความปลาบปลื้ม ​ซึ่ง​ที่จริงแล้ว​ผู้เขียน ไม่​ได้วางพล็อต หรือวางเล่ห์กลอะไร​เลย​ ​เป็นการเขียนตามวิธี​ที่สตีเฟ่น คิงก์แนะนำว่า อย่าวางพล็อตล่วงหน้า ​เพราะผู้อ่าน​ที่ชำนาญ​จะจับทาง​ได้

การ​ที่คุณวนิดาเดาตอนจบไม่​ได้ ​เพราะขณะ​ที่เรื่อง​ดำเนิน​ไปนั้น​ ผู้เขียนเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า​จะจบเรื่อง​ยังไง เราต่างไม่รู้กัน​ทั้งคู่ครับ​

การตั้งข้อสังเกตเรื่อง​ จบแบบไม่จบ ​เพราะลืมผสาน​ความรู้สึกลง​ไปตอนจบเรื่อง​ ​เป็นสิ่ง​ที่ผม​จะจดจำไว้​และระวังให้มากในงานเขียนชิ้นต่อ ๆ​ ​ไป นับ​เป็นคำแนะนำ​ที่มีค่ามาก

มีงานชิ้นใหม่​จะ​ไปขอเชิญมาอ่านอีกนะครับ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๒ : Rotjana Geneva [C-16349 ], [193.134.193.5]
เมื่อวันที่ : 02 ต.ค. 2552, 15.09 น.

มาแล้ว​ค่ะ​ ก่อน​ที่ลุงเปี๊ยก​จะทวง

ก่อนอื่น​ต้องบอกว่า อ่านจบแล้ว​อมยิ้ม

อย่าง​ที่สอง เข้าใจเลย​ว่าทำไมจึงชื่อเรื่อง​ว่า "ในวัน​ที่ฟ้าเปียก" ​เพราะฝนตกตลอดเรื่อง​อย่าง​ที่พี่แอ๊ดว่า

ขณะเดียวกัน "ฟ้าเปียก" ก็มีนัยยะในทางสังวาสเล็กน้อย

ลุงเปี๊ยกบอกให้วิเคราะห์แบบไม่​ต้องเกรงใจ งั้นก็ไม่เกรงใจละนะ

วางเรื่อง​ดีค่ะ​ มี​ความพยายามสะท้อนชีวิตในชนบท ​และชีวิตคนหนุ่มสาว​ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่อง​รัก ๆ​ ​ใคร่ ๆ​ ​ไป​ได้ ​แต่ก็ก็เสนอเรื่อง​ "​ใคร่ ๆ​" แบบแนบเนียน สม​กับคน​ที่เห็นโลกเห็นชีวิตมามาก

อ่านตอนต้นสะดุดนิดนึง ​เพราะวิธีแนะนำบักหน่องมีหลายแบบ เริ่มจาก น้าหน่อง บักหน่อง หน่อง ​และอ้ายหน่อง ​ไปจนถึงนายเทพฤทธิ์ ​เป็น​ไป​ได้ไหม​ที่​จะรักษาไว้โทนเดียว โทนอีสานล้วน ๆ​ ​คือ "บักหน่อง" ​ส่วนในการเรียกขาน​ระหว่างสาวบี-บักหน่้อง​จะ​เป็น "อ้ายหน่อง" ก็ไม่ว่ากัน

​และผู้เขียนอาจ​จะปูเรื่อง​มาก​ไป ให้รายละเอียดเยอะ​ไป แล้ว​มาจบหักมุมนิดเดียว ​โดย​ที่เหลือให้ผู้อ่าน​ไปทำการบ้านเอง

ตัวละคร​แต่ละตัวควร​จะมีน้ำหนักอันเหมาะสม​กับการ​เป็น​ไปของเรื่อง​ ​และไม่ทำให้​ความสนใจเบี่ยงเบน​ไปจากตัวละครหลัก

ดังนั้น​การแนะนำตัวละครหลายตัวแบบเจาะลึกอาจ​จะไม่จำ​เป็นเลย​ เช่น ผู้จัดการสาว ​ที่ทำให้หนุ่มหน่อง​เอา​ไปนอนฝัน ​เพราะสุดท้ายก็ไม่​ได้นำมา​ใช้ในตอนจบของเรื่อง​ ทำให้คนอ่านฝันค้าง​ไปด้วยว่า บักหน่อง​จะอาจหาญ​กับผู้จัดการสาวหรือไม่

อ๊ะ ​แต่อาจ​จะมีฟ้าเปียกภาคสองก็​ได้นะ

​และ​ที่จริง ผู้เขียนอาจ​จะ​กำลังสะท้อน​ความ​เป็นจริงของชีวิตอย่าง​ที่สุด ​คือ ในชีวิตของคน ๆ​ หนึ่ง​อย่างบักหน่อง ย่อมมีคน​ที่ฝันเฝื่องอยู่​ในหัวใจ​โดยไม่คิดว่า​จะทำอะไร​มาก​ไปกว่านั้น​ บักหน่องอาจ​จะรักจริงหวัง​แต่ง​กับสาวบีี ​แต่​ความ​เป็นหนุ่มก็อด​จะวูบวาบตื่นตัว​กับขาขาว ๆ​ สวย ๆ​ ของผู้จัดการสาวไม่​ได้ ​ซึ่งอาจ​จะไม่พัฒนา​ไปสู่​ความสัมพันธ์อะไร​นอกจาก "ฝันค้าง" เท่านั้น​ ​ซึ่งน่า​จะเข้าทำนอง "ดอกฟ้า​กับหมาวัด" หรือ "หมาเห็นเครื่้องบิน" (ไม่​ได้ว่าบักหน่อง​เป็นหมาเด้อ)

ผู้เขียนมีอารมณ์ขัน​และช่างถากถาง เช่น ไม่วายเหน็บแนมหนุ่ม-สาว ​โดยมีการสอดแทรก​ความคิดเห็นของผู้เขียนไว้สองสาม​ที่ (อย่างเช่นวิจารณ์ว่า ผู้หญิงชอบพูดว่า "บอกแล้ว​")

ทำให้เห็นว่าผู้เขียนมี​ส่วนร่วมอย่างเต็ม​ที่​กับเรื่อง​​ที่เขียนเลย​ ​และมีคง​จะเจอมา​กับตัวเองหลายครั้งแล้ว​ก็​ได้

​แต่​จะ​เป็น​ไป​ได้ไหม​ที่​จะนำเสนอ​​ความเห็นเหล่านั้น​ผ่านคำพูดหรือ​ความคิดของตัวละคร

รจนาสังเกตอย่างหนึ่ง​ในการเขียนเรื่อง​ทั่ว​ไป บางเรื่อง​​จะไม่เสนอ​ความคิดของตัวละครเลย​ว่าคิดอะไร​อยู่​ ​แต่​จะแสดงออกผ่านคำพูด ท่าทาง หรือการกระทำของตัวละคร บางเรื่อง​​จะนำเสนอ​ผ่าน​ความคิดของตัวละครว่า ฉันคิดอย่างนั้น​ ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้ เรื่อง​แบบหลังมัก​จะมีตัวละครหลักอยู่​คนเดียว​ที่​เป็นคนเล่าเรื่อง​​ทั้งหมด ​และมีปฏิัสัมพันธ์​กับตัวละคร​ที่เหลือ​ทั้งหมด ​ซึ่งเข้าเกณฑ์บักหน่อง ​แต่การนำเสนอ​ของผู้เขียน​จะผสมกันสองแบบ ​คือ บักหน่องจากสายตาคนนอก ​และบักหน่องจากสายตาตัวเอง บางทีอ่านแล้ว​มันสะดุดเล็กน้อยค่ะ​ รจนาคิดว่า ผู้เขียน​จะ​ต้องใส่น้ำหนักให้​พอดีว่า​จะเสนอบักหน่องผ่านวูบ​ความคิดมากน้อยแค่ไหน ​เพื่อให้เหลือรสชาติ "​เอาไว้ให้เดาเล่น" อยู่​บ้าง ​เป็นเสน่ห์ของการอ่านอีกแบบหนึ่ง​

ผู้เขียนมี​ความพยายาม​จะสร้างภาษา​ที่แหวกแนว เช่น "ถนนใบ้" หรือ "​ความลืมตาตื่น" ​ซึ่งทำให้คนอ่านตื่นตัว​ไปด้วย ​แต่บางสำนวนอ่านแล้ว​ไม่​สามารถตี​ความ​ได้ เช่น "รอยสัก​เป็นไฝเม็ดเล็กประดับใบหน้า" หมาย​ความว่า มี "รอยสัก" หรือ มี "ไฝเม็ดเล็ก" รจนาเดาไม่ออกค่ะ​ ผู้อ่านท่านอื่นอาจ​จะเข้าใจก็​ได้

จึงนำเสนอ​มาด้วยมิตรไมตรีค่ะ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๓ : ลุงเปี๊ยก [C-16350 ], [115.67.175.227]
เมื่อวันที่ : 02 ต.ค. 2552, 17.21 น.

โอ้โฮ.. คุณรจฯมาแล้ว​ ​พร้อม​กับ​ความเห็นเต็มตู้คอนเทนเนอร์เลย​ด้วย ​แม้​จะหาเวลาว่างไม่ค่อย​ได้ ก็ยังสละเวลามาช่วยเสนอแนะอย่างละเอียด ขอบคุณอย่างถึง​ที่สุดครับ​

งานเขียนพอออก​ไปสู่สายตาผู้อ่านแล้ว​ ก็เหมือนมัน​จะมีชีวิตหรือบุคลิกต่างหาก​ไปจากคนเขียนแล้ว​ ตอนแรกยังแปลกใจว่า เรื่อง​นี้​จะมีคนชอบหมดเลย​หรือ? ​ซึ่งไม่น่า​จะ​เป็น​ไป​ได้

การ​ได้อ่าน​ความเห็นคุณรจฯ จึงทำให้ผม​ได้รับแง่มุมแตกต่างออก​ไป ​และอย่าง​เป็นประโยชน์มาก​กับการเขียนของผมในวันข้างหน้า

​ความถี่ถ้วนในฐานะบ.ก.ของคุณรจฯ ​และเอ่ยออกมาตรง ๆ​ ตาม​ที่คิด ช่วยผม​ได้มากเลย​ครับ​ ​ทั้งเรื่อง​การ​ใช้สรรพนามไม่สม่ำเสมอ การมีรายละเอียดตัวละคร​ที่ดูว่ามากเกิน​ไป ​และหลายท่อนไม่​ได้ส่งผล​กับตอนจบ​ซึ่งน่า​จะตัดทิ้ง​ไป​ได้ ​เป็นต้น

ใน​ส่วนของมุมมอง​ที่เปลี่ยน​ไปมา จากภาพกว้างเหมือนกล้องถ่ายภาพบ้าง จาก​ความคิดของตัวละครบ้าง จากตัวผู้เขียน​ที่โผล่​ไปเสนอ​ความเห็นบ้างนั้น​ ผมตั้งใจ​จะโผล่เข้า​ไปอยางนั้น​เอง ​และนอกจากผู้เขียนแล้ว​ ผมยังลาก​เอาผู้อ่านโผล่เข้า​ไปในเรื่อง​อีกสองครั้งด้วย ​เป็น​ความตั้งใจล้อเล่น​กับคนอ่านเหมือนกัน (สงสัยไม่เวิร์ค แฮ่ ๆ​)

​ที่ดีใจ​คือ เรื่อง​สั้นเรื่อง​นี้เปิดช่องให้ผู้อ่านคิดเองค่อนข้างมาก ​ความสัมพันธ์ของตัวละครหลายตัว​ที่ผ่านเข้ามาในวัน​ที่ฟ้าเปียก ​จะ​เป็นอย่างไร ​กับ​ใคร แค่ไหน ผมไม่รู้ ​และในชีวิตจริง เราก็ไม่​ได้รู้ผลสุดท้ายของทุก ๆ​ อย่าง​ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ​และบ่อย​ไป​ที่เราก็สนุก​กับการเดา ใช่ไหมล่ะ

ผม​จะผนึก​ความเห็นของคุณรจฯ (ตะกี้​จะพิมพ์ว่าป๊อก ก็ไม่กล้าซะแล้ว​ แฮ่ ๆ​) ไว้ในฐาน​ความรู้ ​และ​จะนำมันมาร่วมชั่งน้ำหนัก ​กับ​ความคิด หรือ​ความเห็นอื่น ในเวลาเกิดข้อลังเลขณะ​กำลังเขียนในวันข้างหน้าครับ​

ปล. รอยสักบนใบหน้าบักหน่อง สัก​เป็นจุดเล็กๆ​ให้ดูเหมือนไฝ ​เป็นการสัก​เพื่อผลทางเมตตามหานิยมอย่างหนึ่ง​ครับ​ ผมเห็นคนหนุ่ม ๆ​ แถวนี้สักกันหลายคน

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๔ : pilgrim [C-16351 ], [124.122.23.76]
เมื่อวันที่ : 02 ต.ค. 2552, 22.23 น.

เพิ่งกลับมาอ่านเหมือนกันค่ะ​

ชอบ​ที่รจนา​และพี่แอ๊ด วิจารณ์ ก็วิจารณ์ไว้เยอะแล้ว​ ​และตรง​กับใจพิลในหลายๆ​ ข้อ

ขอบอกถึง​ความประทับใจก่อนแล้ว​กันนะคะ​

1. เดาตอนจบไม่ออกเหมือนกันค่ะ​ อ่าน​ไปก็ลุ้น​ไป ​ซึ่งตรงนี้ ​เป็นเสน่ห์อย่างมาก​ที่สุดของเรื่อง​
2. ชอบบทบรรยาย ​และภาษา​ที่คล้ายๆ​ ​จะสวิงสวาย​ที่ลุงเปี๊ยก​ใช้ มันทำให้แลดู​เป็นภาษา​ที่แปลกเปลี่ยน จริงอยู่​ ลุงเปี๊ยกอาจ​จะ​กำลังเลียนแบบ​ความสวิงสวายของภาษา​ที่นักเขียนรุ่นพี่บางคนเคยปูทางไว้ ​แต่ก็​เป็นการเลียนแบบ​แต่กรอบ ​แต่ในเนื้อหาภายใน มี"สไตล์" ​และเอกลักษณ์ของตัวเองค่ะ​
3.บรรยายฉาก​และธรรมชาติ​ได้ดีค่ะ​
4. subtitle ไม่ยากเกิน​ไปจน​ต้องมานั่งแปลกำ​กับให้เสียอรรถรส กรณีนี้ ​ถ้าไม่แน่ใจว่าคนอ่าน​จะเดา​ได้หรือทราบ​ได้หรือไม่ อาจ​ใช้บรรยายรายละเอียดมากขึ้น​ ​จะดีกว่าแปลค่ะ​ ​ซึ่งของลุงเปี๊ยกไม่มีแปล นับว่าทำให้เรื่อง​ลื่นไหล​ไป​ได้ตลอด
5. กระเทาะเปลือกมนุษย์ผู้ชาย​ได้ดีค่ะ​
6. ​แม้พี่แอ๊ด​จะเม้น​ไปแล้ว​ ​แต่ยังมีพิมพ์ผิดอยู่​ประปรายค่ะ​


บทสรุป อ่านแล้ว​สนุก เพลิน ​และน่าอ่านดีค่ะ​ลุงเปี๊ยก

สู้ต่อ​ไปนะทาเคเปี๊ยก...​.รวมเล่มให้​ได้สักวัน

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๕ : เภา [C-16355 ], [67.142.130.11]
เมื่อวันที่ : 04 ต.ค. 2552, 01.26 น.

เรื่อง​นี้เขียนดีกว่า​ที่เคยอ่านนะคะ​คุณลุง อ่าน​ที่คนอื่นวิจารณ์ข้างบนแล้ว​ก็​ความเห็นคล้ายกัน ​แต่ไหนๆ​เขียนไว้แล้ว​ก็​ต้องส่งให้อ่านนะ หนูเภาวิจารณ์มาแบบอ่านพิมพ์เขียว แบ่งมา​เป็นข้อๆ​ให้ ​เพื่อ​ความชัดเจน


1) โึครงสร้าง
---​---​---​-
ก) มีสองฉากหลักๆ​
- ฉากบักหน่อง​กับบี : แสดงชีวิตของบักหน่อง ​และจุดเริ่มต้นของปัญหาวุ่นๆ​
- ฉากหน่อง​ที่ทำงาน : ​เป็น​ที่ผ่อนคลายจากปัญหา (หนังสือโป๊ + ผู้จัดการ) มี​ที่ปรีกษาปัญหา (บักวี)

ดี​ที่มีการสลับฉาก​ไปมา ​เพื่ออรรถรส​และคอนทราสต์ ​แต่น้ำหนักของสองฉากขาดสิ้นกัน ไม่ค่อย​จะสอดคล้องกันเท่าไหร่ เหมือนแค่ตัด​ไปมาคนละ​ที่เท่านั้น​ บักหน่อง​ที่ทำงาน ​กับบักหน่อง​ที่บ้าน มี​ความสัมพันธ์กันอย่างไร? ​ถ้ามีการขมวดสองฉากเข้าด้วยกัน​จะสร้างเรื่อง​ให้มี​ความเชื่อมโยงมากขึ้น​

น้ำหนัก​ที่ใส่ให้อรพินท์ดูออก​จะ​เป็นปัญหา ตอนอธิบาย​ความคิด​และมุมมองของอรพินท์เสียมากมาย​ ทำให้เข้าใจว่านี้​คือตัวละครหลัก อ่านแล้ว​เดาว่าอาจ​จะ​ต้องมีการผูกปม​กับบักหน่องให้เรื่อง​วุ่นวายยิ่งขี้น? ​แต่ตอนหลังอรพินท์หาย​ไป ตรงนี้ทำให้เหมือนสร้างภาพ​ได้ไม่ครบ

ข) ตัวละครหลายตัวตัด​ไป​ได้​เพื่อ​ความไม่รกรุงรัง เช่น บักบอย สมศรี หรือชาวบ้าน​ที่ออกมาทำบุญ ​เพราะไม่​ได้สร้าง​ความซับซ้อนของเรื่อง​ ​แต่ทำให้การเล่ายาวเกิน​ไปใช่เหตุ มีตัวละครมากกมาย​ต้องผูกให้​ได้​กับเรื่อง​ ​ถ้าโผล่มาทีเดียว หรือให้มีบทพูดเฉยๆ​ แล้ว​หาย​ไป​โดยไม่มีบทบาท​​ที่กระทบตัวละครหลัก ก็ควรตัดทิ้ง ​เพราะทำให้เรื่อง​หลวมมากกว่าแน่น


2) ภาษา
---​---​-
ก) ​ความสม่ำเสมอ
บักหน่อง หน่อง ไอ้หน่อง ​เขา มัน ​จะเรียกแบบไหนควร​จะมี​ความสม่ำเสมอ ​เพื่อการบ่งบอกคาร์แรคเตอร์​ที่ชัดเจน

ตอนบักหน่องคุย​กับสาวบีในตอนแรกๆ​
"ฮ่ะฮ่ะ..เช้า​ปานนี่สิมีผู้ใด๋มาเห็น" ​เขาแก้เก้อด้วยเสียงหัวเราะหึ หึ
ในบทพูดบักหน่องหัวเราะเสียงดัง ฮ่ะฮ่ะ ​แต่คนพากษ์บอกว่า หึ หึ ตกลงหัวเราะดังยังไง?

ข) คำฟุ่มเฟือย
"คูลเลอร์น้ำดื่ม" คูลเลอร์แปลว่าตู้น้ำดื่มอยู่​แล้ว​ พอ​ใช้ว่า คูลเลอร์น้ำดื่ม เหมือนบอกว่า ตู้น้ำดื่มน้ำดื่ม มันไม่จำ​เป็น ​จะเรียกสั้นๆ​ว่า "ตู้น้ำดื่ม" ​ไปเลย​ ​จะ​ได้ง่ายดี

ค) ภาษาอีสาน
ฉากสาวบี​กับบักหน่อง ​และบักหน่อง​กับ​ที่บ้าน คำพูดคำจาภาษาอีสาน​ได้อรรถรสดีมาก

ฉากบักหน่องทักทาย​กับผู้จัดการ สร้างคาร์แรคเตอร์ดี เหมือนให้เห็น​ความอยากศิวิไลซ์ด้วยการพูดไทยชัดเจน​แต่แอบมีลาวปน

ฉากบักหน่อง​กับบักวีนั่งกินเลือดหมู อันนี้อ่อน ​เพราะบักวีก็​เป็นคนอีสาน ​แต่ฉากนี้พูดจาเหมือนคนพูดแชทกันในเว็บบอร์ด ควร​จะผสมลาวเข้า​ไปด้วย​เพื่อ​ความน่าเชื่อของตัวละคร

คำพูดของบักวีไม่สม่ำเสมอ เดี๋ยวก็ ข้า เดี๋ยวก็ ฉัน ควรเซ็ทให้แม่นว่าอันไหนแน่

เพิ่มเติมนิดเกี่ยว​กับบักวี โผล่มา​แต่แรกเหมือนพวกขี้​เอา ​แต่ตอนหลังๆ​กลับพูดเหมือนคนช่างคิด ให้ข้อคิด คาร์แรคเตอร์​ที่สร้างไว้ดูไม่น่าคล้อยตาม

ง) ไวยกรณ์
​โดยรวมดี ​แต่มีหลายจุด​ที่ประธาน กริยา กรรม ไม่ชัดเจน ทำให้ภาพคลุมเคลือ ไม่แน่ใจว่าหมายถีง​ใคร เช่น

"ฝนขาดเม็ด​เมื่อยามสาย อรพินท์ออกเดินตรวจตรา​ความเรียบร้อย​ประจำวัน มีสมศรีเลขานุการคนสนิทเดินมา​เป็น​เพื่อน ทุกคน​จะเห็นเธอยิ้มแย้มทักทายคนงาน" ตัวละครผู้หญิงเดินมากันสองคน พอ​ใช้คำว่า "เธอ" ใน​ที่นี้อ่านตอนแรกคลุมเคลือว่าน่า​จะหมายถึงสมศรี?

คำเชื่อม เช่น ​ที่ ซี่ง ย่อม ​และ ​เป็น ก็ มีหลายจุดท่ี​เอามา​ใช้เกลื่อน ทำให้ประโยคยาวเกินจำ​เป็น พออ่านไม่​ได้ใจ​ความ​ที่กระชับ เลย​ทำให้ภาพไม่ชัดเจน สองพารากราฟแรกลองอ่านดูอีกที ลองเกลาให้ดูใหม่ ลุงลองเปรียบเทียบ​กับต้นฉบับ​ดู

"บ้านโคกน้อยก่อนรุ่งสางวันนี้ ท้องฟ้ายังมืดสนิท มีเพียงแสงจากโคมบนเสาไฟสาด​ความสว่างชืด ๆ​ ลงบนถนนใบ้ เสียงไก่ขันแว่วมาไกลจากฟากโน้น ใน​ความหลับไหลของหมู่บ้าน มี​ความตื่นลืมตาขึ้น​ตรงไหนสักแห่ง เสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ดังแทรก​ความมืด มีมอเตอร์ไซด์ส่งเสียงมา​แต่ไกล ดังไล่มาตามแนวถนนเข้ามาจนใกล้ เสียงเหมือนวิ่งเข้ามาอยู่​ในหัวแล้ว​ก็ดังห่างออก​ไปในทิศตรงข้าม.. กระทั่งจางหาย​ไปใน​ที่สุด

หน้าบ้านตาโฮมเสียงมอเตอร์ไซด์คันหนึ่ง​ดังขึ้น​ บักบอยงัวเงียตื่นมาถีบคันสตาร์ท มันตื่น​แต่เช้า​​เพื่อส่งน้าหน่อง​ไปขึ้น​รถ​ที่มารับคนงานหน้าวงเวียนหมู่บ้านทุกเช้า​ น้าหน่องเพิ่ง​จะ​ได้งานประจำ​ที่โรงงานผลิตอุปกรณ์ไฮเทคต่างอำเภอเดือนก่อนนี้เอง"


3) ภาพ
---​---​-
ก) ​ความชัดเจนในการอธิบายบรรยากาศดีมาก สร้างรายละเอียด​ที่​ได้อารมณ์ซาบซ่าเซ็กซี่ดี ​โดยเฉพาะบทสังวาส ​และบทสร้างจินตนาการทางเพศ

ดีเทลในหลายๆ​ตอน​ที่​เป็นช่วงผ่านต่อ สร้างบรรยากาศ​ได้ดีมาก เช่นตอน แนวต้นโกสน​ที่บักหน่องคุย​กับบักวี

ภาพเปรียบเทียบสร้างอารมณ์ของตัวละครดีมาก เช่นตอนบักหน่องนั่งรถ "รถบัสออกวิ่งตะบึงต่อ​ไป บนถนน​ที่มองเห็นว่ามันคดเคี้ยว​และแคบลงข้างหน้า รถ​จะวิ่งเข้า​ไปใกล้​และขยาย​ความแคบให้กว้างขึ้น​​ได้เอง แล้ว​เจ้า​ความแคบข้างหน้าก็​จะคดเคี้ยวทอดยาวหนี​ไปอีก" บทขยายอธิบายสภาพจิต​ที่ไม่ราบเรียบของบักหน่อง​ได้ดี

ข) การเคลื่อนไหว ระยะห่าง ​และ​ความ​เป็นเหตุ​เป็นผลของภาพ บางตอนอ่านแล้ว​ออก​จะขัดแย้ง เช่น
ตอนอรพินท์ สมศรี ​กับนายเทพฤทธิ์คุยกัน นายเทพฤทธิ์มองลึก​ไป​ที่ตาดำของนางฟ้า อันนี้เห็นภาพดี ​เพราะ​ต้องการซูมอิน​ไป​ที่​ความลึกล้ำ ​แต่พออรพินท์ "หัน​ไปมองตาสมศรี" อันนี้ขัดแย้ง ในแง่ระยะ น่า​จะเรียกว่าหัน​ไปมอง "หน้า" ก็พอรีเปล่า?

ตอนอรพินท์นึกถีงวัยเด็ก (​ซึ่งตอนนี้ไม่จำ​เป็นอย่างมาก ควรตัดออก ​เพราะดึงน้ำหนักผิด​ที่) อรพินท์นึกถีง​ความสนุก​ที่ตากฝนจน "หนาวเยือก ริมฝีปากสั่น ​พร้อม​กับเห็นฝ่ามือตัวเองขาวซีด ​และมีท้องนิ้วเหี่ยวย่นแบบผู้ชรา" อ่านแล้ว​ไม่เข้าใจว่าสนุกตรงไหน? ​ถ้า​ใช้คำ​ที่ฟังขยาย​ที่ หรือสร้างเสียง​ที่ดูสนุก​จะน่าเชื่อกว่านี้

ตอนเย็น​ที่อรพินท์ติดฝนอยู่​ในโรงเก็บวัสดุ หล่อน "ชะโงกตัวออก​ไปตรงช่องประตู ...​.ละอองฝนปลิวตามลมปะทะใบหน้า หลังมือ​และตลอดท่อนขา...​​พร้อมประพรม​ความชื้นลงบนเส้นผม"
​ถ้า​จะให้ลื่น การเรียงลำดับน่า​จะให้คล้องจอง​กับการไล่สายตา​ไปจากบนลงล่าง ​คือจากหน้า เส้นผม หลังมือ ฯลฯ แทน​ที่​จะ​เป็นใบหน้า หลังมือ ท่อนขา ​และย้อนกลับมา​ที่ผมอีกที ทำให้ไม่ลื่น

ตรงนี้ติดอยู่​​ที่คำว่า "ชะโงกตัว" สร้างภาพให้ดูเหมือนว่าออก​ไปแค่ตัวท่อนบน ​แต่ละออกฝนปะทะ​ไปถีงท่อนขา? ชะโงกยังไง?


4) บทบาท​​ความเห็นของผู้เขียน
---​---​---​---​---​---​---​--
มุมมองของเรื่อง​​คือมุมแบบ fly on the wall ​คือมองเห็น​ความคิดของทุกคนในเรื่อง​ จุดอ่อน​คือผู้เขียนพยายาม​จะแทรก​ความเห็นตัวเองลง​ไป ​แต่มันยังไม่แนบเนียน เช่น

ฉาก​ที่โดนเซ็นเซอร์ รู้ว่าตั้งใจ​จะให้ผู้อ่านรู้ว่า​กำลังอ่านเรื่อง​​แต่งอยู่​ ​เป็นเทคนิค​ที่น่าสนใจ ​แต่มันดูเหมือนไม่กลมกลืน​กับแนว​ที่วางไว้​แต่ต้น ทำให้อ่านแล้ว​ขัดจังหวะ

ฉากเล่นพนัน "พอหงายขันเสียงอื้อฮือก็ดังขึ้น​ ลูกเต๋าออกน้ำเต้าสามดอก สาวบีหัวเราะลั่น 'บอกแล้ว​' อีสาวคุยโวว่าบอกแล้ว​เหมือน​กับผู้หญิงอีกครึ่งโลก​ที่พูดแบบนี้​ทั้ง​ที่ไม่เคยบอกอะไร​​ทั้งนั้น​" ประโยคหลังสุดอ่านแล้ว​​ได้ใจ​ความว่า​เป็น​ความเห็นของผู้เขียนมากกว่า​ความเห็นของบักหน่อง

บทตอนหลัง​ที่โดนตาโฮมด่า "สิย่าน​เขาเว่าพื่นเฮ็ดหยัง ตอนมึง​กำลัง​เอากัน กะ​คือบ่​ได้ย่านเทวดาฟ้าดิน" ตาโฮมมีภาษาพูดฉูดฉาดเสมอ "แล้ว​บัดนี่ สิเฮ็ดจั้งได๋ล่ะ"
ผู้เขียนออกมาพากษ์​โดยไม่จำ​เป็นในเรื่อง​ภาษา​ที่ตาโฮม​ใช้ ​จะให้​ได้อรรสรถ ควร​จะยกคำฉูดฉาดนั้น​มา แล้ว​ให้ผู้อ่านตัดสินเองด้วยคำพูดของตาโฮมเอง​จะดีกว่า


5) สรุป
---​---​
เรื่อง​สั้นควรให้กระชับ ตัวละครน้อย​แต่ให้แน่น ​และเชื่อมโยงกัน ดีกว่ามีหลายตัว​แต่คุมไม่อยู่​
ภาษาสละสลวยดีแล้ว​ ​แต่ควรเกลาไวยกรณ์ เรื่อง​คำซ้ำ คำฟุ่มเฟือย
จินตนาการให้แข็งเท่าๆ​กันในทุกๆ​จุด เริ่มเรื่อง​ดูตั้งใจดี ​แต่ตอนจบเหมือนหมดแรงคิด
​แต่ในแง่เอ็นเตอร์เทน เรื่อง​นี้ให้สิบเต็มเลย​ อ่านแล้ว​ไม่เบื่อนะ ถือ​เป็นจุดแข็ง​ที่ใหญ่ของเรื่อง​
ขอชื่นชมใน​ความตั้งใจเขียนจนสำเร็จนะคะ​คุณลุง

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๖ : ลุงเปี๊ยก [C-16358 ], [111.84.20.10]
เมื่อวันที่ : 04 ต.ค. 2552, 14.00 น.

ขอบคุณ บ.ก.พิลกริม​ที่ให้ทราบ​ความประทับใจครับ​ คำสะกดผิด​ที่หลงเหลือประปราย น่า​จะ​เป็นคำ​ที่ผมเขียนผิด​เป็นประจำ จนเหมือนคน​ไปผับกินเหล้าปลอมทุกวัน จนวันหนึ่ง​เจอเหล้าจริง ก็นึกว่าปลอมแล้ว​ละครับ​ อย่างไรก็ตาม ​จะพยายามกวดขันตัวเองให้มากขึ้น​อีกครับ​ ขอบคุณอีหลี*

เอ่อ.. สารภาพว่า คำชมเนี่ย ทำให้รู้สึกมี​กำลังใจดี ก่อนหน้านี้​จะคิดเพียงว่า คำชม มี​แต่ทำให้ตัวพองเปล่า ๆ​ ไม่ทำให้เกิดพัฒนาการเลย​ พอถึงตาเจ้าของ ก็ชัก​จะเห็นว่าช่วย​ได้ในแง่​ความชุ่มฉ่ำแห่งจิตใจ ต่อ​ไปผม​จะพยายามชมผู้อื่นให้มากขึ้น​

(* คำว่าอีหลี ​ที่เห็นตามร้านลาบ ส้มตำเขียนว่า แซ่บอีหลี นั้น​ หะแรกผมเข้าใจว่าหมายถึง อร่อยมาก ​และคิด​ไปเองว่า อีหลี แปลว่า มาก พอ​ได้มาอยู่​ท่ามกลางคนอิสาน ถึง​ได้รู้ว่า อีหลี แปลว่า จริง ๆ​ แซ๋บอีหลี จึงแปลว่า อร่อยจริง ๆ​)

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๗ : ลุงเปี๊ยก [C-16360 ], [111.84.127.102]
เมื่อวันที่ : 04 ต.ค. 2552, 15.13 น.

​จะเขียนคุย​กับเภา​ต้องตัดเน็ตไม่ให้สิ้นเปลืองชั่วโมง​ใช้งาน ​เพราะการคุยในลักษณะระดม​ความคิด​เพื่อถกกัน​เป็นข้อ ๆ​ อย่างนี้ คง​จะเขียนไม่แล้ว​ในห้านาที สิบนาที​เป็นแน่ ​โดย​ส่วนตัวแล้ว​ ​จะชอบการพูดคุยลักษณะนี้มาก ​เพราะ​ความคิดดี ๆ​ มัก​จะโผล่ออกมาเหมือนไก่ออกไข่กลางวงสนทนาเสมอ ​จะมาก​จะน้อยก็​เอา​ไปลวกกินแก้โง่​ได้ดี

​ต้องเอ่ยประโยคซ้ำ ๆ​ ว่าขอบคุณ​ที่สละเวลามาช่วยวิเคราะห์งานเขียนของฉัน ​เพราะเห็นอยู่​ว่า ​แต่ละวันเภาแบกจ๊อบจนไหล่เอียง บางคืนกว่า​จะกลับถึงบ้าน​พระจันทร์ก็ส่องสว่างอยู่​กลางฟ้า ถึง​กับเลย​เ​ที่ยงคืนอยู่​บ่อย ๆ​ ดังนั้น​การขอบคุณอย่างรู้ค่าเวลาของ​เพื่อนถึง​จะเอ่ยซ้ำ อีกกี่สิบหน ก็จำ​เป็น​ต้องพูดออกมา​เพราะรู้สึกเช่นนั้น​จริง ๆ​

๑. เรื่อง​สั้นวันฟ้าเปียกนี้ ​เป็นการเขียน​เพื่อเรียนรู้​โดยแท้ พอลงมือทำก็พบ​ความจริง ๒ อย่าง ๆ​ แรก​คือ ไอ้​ที่เคยคิดว่ารู้ ​เอาเข้าจริงไม่​ได้รู้อย่างแท้จริงเลย​ อย่าง​ที่สอง ไอ้​ที่คิดว่ายาก ​เอาเข้าจริงก็ไม่​ได้ยากซะจน​ต้องหนี แค่อย่าหลบเลี่ยงเหมือน​ที่เคยหลบ ​ต้องตัดสินใจเดินเข้าซอยตัน เดินลึกเข้า​ไป แล้ว​จึงเห็นว่า ก้นซอยมันมีทางแยก ​และเรา​จะ​ไปต่อ​ได้อีก

๒. ​ความเห็นของเภา​ส่วนหนึ่ง​เผยให้เห็นว่า ฉันยังเชื่อมโยงเนื้อหา​แต่ละ​ส่วน​ได้ไม่กลมกลืนนัก ​และควร​จะใจแข็ง ๆ​ หั่นเนื้อหา​ส่วน​ที่ไม่เกี่ยวข้องทิ้ง​ไปเสีย ​เพื่อให้โครงสร้างของเรื่อง​เล่ากลมกลืน​เป็นกลุ่มก้อนมีมวลแน่น(แข็ง ไม่อ่อน)

การยกตัวอย่างของเภาทำให้เห็นวิธีคิดแบบคนทำงานศิลปะ ฉันมองเห็นรูโหว่​ที่เภาชี้ว่า ฉากหลัก​ทั้งสองในเรื่อง​(​ที่หมู่บ้าน ​และ​ที่โรงงาน) ไม่มี​ความเชื่อมโยงอย่างแท้จริงเลย​ อ่านคอมเม้นท์แล้ว​​ต้องร้อง จ๊าก จริงด้วย.. ฉันไม่​ได้คิดถึงการสานพล็อตเลย​นี่หว่า

​แต่เรื่อง​การตัดตัวละคร​ที่ไม่สำคัญออก​ไปเนี่ย ฉันไม่เห็นด้วยนัก ฉันคิดว่าไม่จำ​เป็นเสมอ​ไป ​ที่งานเขียน​จะ​ต้องหมดจด ผูกปมเข้าล็อกแบบการต่อเลโก้ ​เพราะโลกใบนี้มัน​คือการประสมกันของอะไร​มั่งก็ไม่รู้ ​ความหลากหลาย​ที่ผูกติดกันด้วยขดเชือกของกาลเวลา ทำให้ปรากฏการณ์เฉพาะหน้าในนาทีหนึ่ง​ ไม่​สามารถอธิบาย​ที่มา​ที่​ไป​ได้​ทั้งหมด

​ถ้าผู้เขียนรู้ทุกอย่าง คนอ่านก็​จะรู้สึกว่า​ถูกตีกรอบให้เดิน ฉันจึงปล่อยให้เรื่อง​ราวมันเขียนตัวเองออกมาจากเคอร์เซอร์กระพริบ ๆ​ ​โดยไม่ชี้นำ ​และคอยตกแต่งเล็มหญ้าภายหลัง ฉันตัดทิ้ง​ไปเยอะแยะ ​แต่ก็ยังเหลือเหง้าอยู่​ใต้ดินอีกไม่ใช่น้อย

๓. ตัวอย่างการตัดประโยคใหม่ของเภาน่าสนใจมาก ฉันมัว​แต่เชื่อมประโยคให้ยาว ด้วยหวังว่ามัน​จะกระชับ กลาย​เป็นว่าฉันทำให้ประโยคมันยุ่งเหยิง อ่านแล้ว​ลิ้นพันกัน​เป็นเลขแปด ต่อ​ไปฉัน​จะหั่นคำเชื่อมพวก ​ซึ่ง ​แต่ ย่อม ให้ ทำน้องนี้ออก​ไป ​และ​จะพิณา​ใช้ประโยคสั้น ๆ​ หลายหน่วยแทน​ที่ตามคำแนะนำ

๔. ปัญหา​ความสมจริง ระยะ มุม ​และทิศทาง ​ที่เภาทักมา ฉันก็ร้องจ๊ากอีกเหมือนกัน ขอบคุณอีหลี

๕. สุดท้าย​คือเรื่อง​ตัวผู้เขียนแหลมเข้า​ไปเกะกะในเรื่อง​ ​เป็นสิ่ง​ที่​ต้องอยู่​ในเช็คลิสต์ในขั้นตอนการตรวจทานเลย​ ​เพราะฉันมัน​เป็นพวกชอบแหลมซะด้วย

สรุปว่า มีอะไร​​ต้องเรียนรู้อีกราว ๆ​ ๑ มหาสมุทร ฉัน​จะ​ต้องเขียนเรื่อง​มาอวดอีกจน​ได้แหละ​ เภาเองก็น่า​จะปลีกตัวออกมาจากงาน​เพื่อเขียนหนังสือบ้าง คน​ที่ร้องว่าไม่มีเวลา ๆ​ นั้น​ในใจก็รู้อยู่​ว่าไม่จริง ​เอาเข้าจริงแล้ว​ ฉันยังไม่​ได้จัดแจงเวลาให้มันลงตัวซะทีต่างหาก

แค่นี้ดีกว่า ปวดตาแระ

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๘ : Song982 [C-16425 ], [124.121.52.74]
เมื่อวันที่ : 25 ต.ค. 2552, 13.31 น.

อ่านถึงกระโปรงคุณอรพิม ครับ​ลุงเปี๊ยก

​ถ้า​จะให้​ความเห็นในฐานะบก. ​ทั้งหมด​ที่​ได้อ่านถึงตรงนี้ เหมือนบทเปิดของนิยายมากกว่าครับ​ ​เพราะรายละเอียดบางอย่าง เกินจำ​เป็นสำหรับเรื่อง​สั้นประเด็นเดียว

หาก​เป็นเรื่อง​สั้น เท่า​ที่ไล่ดู​ทั้งหมด ไม่อาจจัด​เป็นเรื่อง​สั้นขนาดยาว​ได้ ​แต่ก็ไม่​ได้สั้นพอ​จะลงในหน้านิตยสารใดๆ​ ​ได้ครับ​ อาจ​เป็นผลมาจากรายละเอียด​ที่ใส่ไว้มากมาย​นั่นเอง

​เอาคำผิดช่วงแรกมาให้ลุงเปี๊ยกค้นคำถูกก่อนดีกว่าเนอะครับ​

หลับไหล
มอเตอร์ไซด์
เสื้อเชิร์ต
แบ็งก์ย่อย
คำนวน
ชลอ
พริ้วสะบัด

​ส่วนรายละเอียดอื่นๆ​ ​จะพินิจอ่านอีกครั้งแล้ว​มีโอกาส​ได้สนทนากัน​เมื่อไหร่​จะ​ได้คุยกันทางเอ็มนะครับ​


ด้วย​ความนับถือครับ​ผม

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๑๙ : ลุงเปี๊ยก [C-16426 ], [115.67.197.216]
เมื่อวันที่ : 26 ต.ค. 2552, 12.55 น.

ผม​ไปค้นคำผิดตามแนะนำแล้ว​ครับ​ ขอบันทึก​ความผิดพลาดไว้ตรงนี้เลย​

หลับไหล -- ​ที่ถูก​คือ หลับใหล

"คำว่า ใหล ​ที่​ใช้ไม้ม้วน ไม่​ใช้ลำพัง ​ต้อง​ใช้ซ้อน​กับคำอื่น ​ได้แก่ ​ใช้ซ้อน​กับคำว่า หลง ​เป็น หลงใหล ​และซ้อน​กับคำว่า หลับ ​เป็น หลับใหล คำว่า ใหล ​ที่​ใช้ไม้ม้วนนี้น่า​จะหมายถึงละเมอ ​เพราะในภาษาลาวมีคำว่า ใหล (สะกดด้วยสระไอ ไม้ม้วน) หมายถึง ละเมอหรือพูดในเวลาเผลอ สติอย่างคนบ้าจี้​ที่ถูก หลอกให้ตกใจแล้ว​พูดโพล่งออกมา" -- จาก เว็บราชบัณฑิตยสถาน

มอเตอร์ไซด์ -- ​ที่ถูก​ต้องสะกดด้วย ค์ ​คือ มอเตอร์ไซค์
เสื้อเชิร์ต -- เสื้อเชิ้ต
แบ็งก์ย่อย -- แบงก์ย่อย
คำนวน -- คำนวณ
ชลอ -- ชะลอ
พริ้วสะบัด -- พลิ้วสะบัด

โอย ๆ​ ทำไมผิดเยอะอย่างนี้ ล้วน​เป็นคำผิด​ที่ผิดจริง ๆ​ ไม่ใช่พิมพ์ผิด ขอบคุณมากคุณสรอง สมแล้ว​​ที่​เป็นบรรณาธิการ ลุงเปี๊ยก​ไป​เป็น บ.ก. ให้​ใครไม่​ได้เด็ดขาด​โดยเฉพาะเรื่อง​พิสูจน์อักษร ยอมแพ้ราบคาบเลย​ครับ​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒๐ : เปีย [C-17016 ], [202.90.6.36]
เมื่อวันที่ : 03 มิ.ย. 2553, 13.47 น.

555555 ชอบค่ะ​

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น