![]() |
![]() |
ข้าวฟ่าง![]() |
เท่านั้นเอง พริกหวานก็ส่งเสียงร้องไห้จ้า.... " โฮโฮโฮ... แม่ช่วยด้วย มีดแทงขา ตายแล้วต้องตายแน่เลย ไส้ไหลแล้ว โฮๆๆๆ " น้ำตาที่ไหลพรากๆเพราะความตกใจกลัว ทำให้หน้าตานั้นดูมอมแมมยิ่งนัก
พี่ชายรีบดึงมีดออก เห็นเลือดไหลมันจุกแล้วหน้าซีด ปากสั่น " ผมไม่ได้แกล้ง ผมไม่ได้แกล้ง.."
แม่กับพ่อ แล้วก็พี่น้องทุกคนวิ่งมากันหมดบ้าน พี่ชายหน้าตาซีดเผือด แม่ตีพี่ชายไม่นับ
" นี่นี่...ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนจะขว้างมีดออกไป" จากนั้นก็อุ้มพริกหวานเข้าบ้านมาทำแผล
สวนมะพร้าวแห่งนี้เป็นสนามฝึกความแม่นยำของเหล่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ทุกวันจะมีกลุ่มเด็กๆที่พยายามมาประลองยุทธกัน ด้วยกันพุ่งมีดจักตอกอันคมกริบไปปักติดต้นมะพร้าว แค่นั้นก็ถือว่า เป็นกีฬาที่ได้แสดงฝีมือสำหรับพวกเขาแล้ว พี่พริกยักษ์ เป็นพี่ชายคนโตและเป็นลูกรักของแม่ในความคิดของพริกหวาน หรือว่าพริกหวานคิดไปเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เคยมีอยู่ปีหนึ่งที่พี่ชายคนโตได้ขึ้นเทศนาธรรม ทุกคนที่บ้านชื่นใจที่ฟังพี่ชายเทศน์เพราะว่าพี่ชายเพิ่งบวชไม่นาน แต่หลวงพ่อให้ขึ้นเทศน์แล้ว แม่ยิ้มแป้นหน้าบานตลอดเวลาที่ฟังเทศน์
พริกหวานคิดว่า แม่คงรักพี่ชายคนนี้ที่สุด ไม่รู้จะรักมากกว่าทุกคนหรือเปล่า? แต่ไม่เคยเห็นแม่ด่าว่าพี่ชายสักครั้งเลย แล้วพี่ชายก็ดุมาก ๆ ด้วย ไม่มีน้องคนไหนกล้าเถียงสักคน เพราะถ้าพี่โมโหเมื่อไหร่จะต้องโดนไม้เรียวไปตาม ๆ กัน มีครั้งเดียวที่แม่ตีพี่ชาย เหตุเกิดเพราะความผิดของพริกหวานเอง
วันนั้นพี่ชายกำลังขว้างมีดจักตอกของยายอยู่ในสวนมะพร้าว เป็นการฝึกความแม่นยำ พี่จะขว้างปักต้นมะพร้าวได้ทุกครั้ง พริกหวานไปแอบดูอยู่ แล้วคิดว่า ตัวเองจะวิ่งได้เร็วกว่ามีด จึงวิ่งตัดหน้ามีดอย่างตั้งใจเพื่อพิสูจน์ความเร็ว แถมยังแอบคิดในใจว่า...ฉันต้องวิ่งได้เร็วกว่าเจ้ามีดเล่มกระจ้อยร่อยนั่น
พริกหวานไม่ได้โกรธพี่ชายเลย เพราะรู้ว่าเป็นความผิดของตัวเอง แต่แอบดีใจที่ขาเจ็บเพราะว่า แม่จะมีของดี ๆ พิเศษกว่าคนอื่นให้คนไม่สบาย เดินไม่ได้ "คราวนี้แหละ.. ของชอบจะมีให้กินทุกวัน" พริกหวานพูดกับตัวเอง และแอบยิ้มให้ตัวเองที่ช่างกล้าหาญเสียจริงๆเลยเรา
และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ พริกหวานได้กินอาหารพิเศษจนขาหายเป็นปกติ และเหล่านี้จะเป็นเหตุผลที่พริกหวานถูกอกถูกใจ และเต็มใจที่จะป่วยทุกครั้งทีเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พ่อกับแม่ก็ไม่อยากเห็นลูกคนไหนป่วยอยู่ดี แม้พริกหวานจะขี้โรคแต่ไม่เคยที่จะงอแงเวลากินยาเลยสักครั้ง ความขี้โรคที่ได้มาทำให้พริกหวานเข้มแข็งและอดทนมากขึ้น และไม่เคยรู้สึกกลัวความเจ็บไข้ได้ป่วยที่เกิดขึ้นสักครั้ง
**

พี่เรียนจบปวส. ก็ไปหากู้ยืมเงินคนอื่นเพื่อไปทำงานใช้แรงงานจะได้มีเงินมาให้แม่ พี่บอกอย่างนั้น แล้วตอนที่พี่ไปต่างประเทศ พริกหวานก็ตัวเล็กนิดเดียวอยู่เลย จำได้แต่หน้าดุๆของพี่ชายนั่นแหละ
พริกหวานตื่นเต้นจนแทบระงับเอาไว้ไม่อยู่ ประเทศนี้ก็ไม่เคยมา ใครก็ไม่รู้จัก เงินก็มีติดตัวไม่มาก ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เก่งมาก พูดได้น้อย ฟังก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่ด้วยความที่อยากให้พ่อและพี่น้องมีความสุข พริกหวานตัดสินใจขึ้นเครื่องบิน ตามคนที่ทำงานและครอบครัวที่เขาไปทำธุระ อย่างน้อยในเครื่องบินก็มีคนรู้จักนะ ถึงจะนั่งห่างกัน แต่มองเห็นกันอยู่....
เครื่องบินตกหลุมอากาศหลายครั้ง พริกหวานเห็นคนในเครื่องบินอธิษฐานถึงพระเจ้าของเขากันหมด เลยนั่งลงอธิษฐานตามเขาบ้าง เกือบจะเปลี่ยนไปนับถือพระเจ้าบนเครื่องบินซะแล้ว การอยู่บนเครื่องบินวันแรกไม่นำความรื่นรมย์มาให้เลย มีแต่ความกลัวมากๆเท่านั้นเอง และเป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดบนอากาศสำหรับพริกหวาน
ที่สนามบิน....พริกหวานเกือบออกจากด่านที่เขาตรวจไม่ได้ เพราะไม่มีเงินในประเทศเขาเลย แถมพริกหวานก็เป็นเด็กสาวที่เขาคิดว่า จะมาทำอาชีพไม่ดีในบ้านเมืองของเขาอีก ดีที่มีตั๋วกลับเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ไปหาพี่ชายแน่ พริกหวานนั่งแท็กซี่ไปตามที่อยู่ที่พี่ชายเคยให้ไว้ ลองโทรหาแล้ว พี่บอกว่า จะมารับ
....แล้วพี่ก็มาจริงๆ มากับพี่สะใภ้ด้วย พริกหวานกลัวพี่ชายจะจำพริกหวานไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่รู้ว่า พริกหวานเองจะจำพี่ชายได้ไหม? พี่พาไปบ้านที่เหมือนไม่ใช่บ้าน เพราะมันเป็นตึกสูงๆ มีเป็นสิบๆชั้น ห้องนั้นห้องเดียว มีคนอยู่ ๗ ชีวิต เรียงรายตั้งแต่เปิดประตูห้องเข้าไป จนถึงหน้าห้องครัวเลย
ทำไมพี่ดูลำบากกว่าเราหละ...เมืองนอกเป็นอย่างนี้หรือ?
บ้านเรามีสวนให้วิ่งตั้งกว้าง แต่นี่ที่นั่งคุยยังไม่มี ต้องไปยืนคุยกันนอกระเบียง ห้องน้ำเล็กมาก ที่กดชักโครกอยู่เหนือหัวเพื่อประหยัดน้ำ อันนี้พี่เป็นคนบอกพริกหวาน
เสื้อผ้าตากระโยงระยางขึ้นไปเหนือหัว ไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะเสื้อหรือกางเกง ทั้งหมดแม้แต่ถุงเท้าก็นอนมองอยู่เหนือหัวเรา ยังไม่นับชุดชั้นในนั่นอีกด้วย ที่เมืองไทยบ้านนอกของเรา เสื้อผ้าผู้หญิงไม่มีสิทธิตากสูงกว่าผู้ชาย เขายกให้ผู้ชายเป็นคนพิเศษอยู่เสมอ ห้ามปนกันด้วย....
จากนั้นจึงทราบเหตุผลว่า พี่ทำไมถึงกลับบ้านไม่ได้ พี่มาทำงานนาน มาแต่งงานกับพี่สะใภ้ โชคดีที่พี่ไม่มีลูก และสิ่งสำคัญคือพี่ป่วยมาเป็นปีแล้ว พี่เป็นมะเร็งปอด พี่บอกว่า อยากจะรักษาที่นี่ เพราะหมอเขาดี ทุกวันนี้พี่ก็รักษาอยู่
ร่างกายผ่ายผอมของพี่ที่เห็นกับผลค้างเคียงของการรักษาด้วยเคมีบำบัด ทำให้พี่ผมร่วง ตัวเหลือง กินอาหารไม่ได้ พี่อยากกลับเมืองไทย คิดถึงทุกคนมาก แต่กลับไม่ได้ เพราะพี่ใช้สวัสดิการการรักษาที่นี่ พี่ร้องไห้หลายครั้ง ตลอด ๑๒ วันที่พริกหวานอยู่บ้านพี่พริกยักษ์ ได้ดูแลทำอาหารไทยที่พี่ชอบให้พี่กินเป็นครั้งแรกในชีวิต พี่ขอให้ช่วยดูยาดีๆที่จะรักษาพี่ที่เมืองไทย.....แล้วพี่จะกลับมา
พริกหวานกลับมาได้เดือนกว่าๆ ได้บอกทางบ้านว่าพี่ป่วย ได้ติดต่อพี่อยู่บ้าง หลังจากนั้นพริกหวานก็ตัดสินใจที่จะไปนุ่งขาว-ห่มขาว ถือศีลที่วัด เพื่อเอาบุญให้พี่พริกยักษ์ที่รัก พอคิดได้ก็ทิ้งภาระหน้าที่ไปเลย ไปอยู่วัด ๓ เดือน พี่พริกยักษ์ก็จากไปอย่างสงบที่รพ.ในต่างประเทศนั่นเอง
พี่สะใภ้ส่งข่าวมาบอก...และนำกระดูกของพี่พริกยักษ์มาส่งให้พริกหวานที่ต่างจังหวัด แล้วก็บินกลับโดยไม่ขอเจอญาติพี่น้องหรือพ่อ
วันนั้น...พริกหวานไปรับกระดูกพี่พริกยักษ์ที่บรรจุกล่องไม้สี่เหลี่ยม แล้วเอาไปฝากที่วัดก่อนจะเอาขึ้นรถทัวร์กลับไปที่บ้านเกิด สัมผัสแรก...ของพริกหวานรับรู้ได้ว่า พี่พริกยักษ์กลับมาเมืองไทยแล้ว เขาส่งสัญญาณบอกให้รู้
พริกหวานคิดว่า...พี่คงคิดถึงทุกคนมากเหมือนกัน แต่เมื่อสังขารมันทรมาน พริกหวานก็อยากให้พี่ละสังขารนี้ไป และดีใจที่พี่ไม่ทรมานอีก แม้จะเสียใจมาก แต่มันเป็นความเสียใจที่รู้สึกดี เพราะพี่พริกยักษ์ พ้นทุกข์เสียที เพราะตลอดเวลาที่เห็นพี่พริกยักษ์ ๑๒ วันพี่เขาทรมานมาก กินไม่ได้-นอนไม่หลับ
แต่พี่ก็ต้องทนอยู่ ไปโรงพยาบาลตั้งหลายรอบในรอบ ๑๒ วันแต่พี่ไม่เคยบ่นว่า ไม่อยากอยู่ แค่เครียดเวลาเจ็บปวดมากๆ ไม่เคยเห็นพี่ยิ้มตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่น พี่พยายามพาไปดูนั่นนี่ ทั้งที่เดินไม่ค่อยไหว ยังจำแววตาสุดท้ายที่พี่มาส่งที่สนามบินได้ดี ทั้งที่พี่เองเป็นคนป่วย
ถึงวันนี้พริกหวานคิดว่าพี่คงได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว และมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ไม่เจ็บป่วยทุกข์ทรมานเหมือนชาตินี้ ภพใดชาติใดที่บุญสัมพันธ์ของเราถึงกัน เราคงได้เกิดเป็นพี่น้องกันอีก
...การเกิด แก่ เจ็บและตายของคนเราเป็นเรื่องธรรมดา พี่พริกยักษ์ ได้ใช้ชีวิตที่ได้เกิดมากอย่างสมบูรณ์แล้ว พริกหวานคิดว่า พริกหวานต่างหากที่ยังพร่องอยู่ เพราะยังไม่ได้ตาย แต่เกิดมา มีอายุเพิ่มขึ้นทุกวัน และป่วยไข้ตามสังขารร่างกาย
จนถึงวันนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว พี่พริกยักษ์ยังคงมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของเรา เพราะไม่มีใบมรณะบัตรมาแจ้งเขา พริกหวานไม่รู้หรอกว่า...จะทำอะไรกับตรงนี้ได้บ้าง


แว้บหนึ่ง...สายตาเหลือบมองเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆเตียง จับมือพริกหวานเอาไว้ มืออีกข้างก็ลูบไล้เส้นผม ได้ยินเสียงเบามาก...ที่พร่ำเรียก "พริกหวานคนดี พริกหวานคนดีๆๆๆ....."
สัมผัสได้ว่ามีน้ำอุ่นๆหยดลงบนท่อนแขน ร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้ เหมือนถูกตรึงเอาไว้ด้วยอะไรหนักๆ ในปากก็เหมือนมีท่ออะไรค้างอยู่ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นสายระโยงระยาง เสียงตื๊ดๆของเครื่องมือสารพัด...นั่นเป็นวินาทีแรกที่ลืมตา และระลึกได้ว่า ตอนนี้ตัวเองนอนอยู่ที่รพ. แต่จำไม่ได้ว่านานแค่ไหน จากนั้นก็หลับไป
ลืมตามาอีกครั้งผู้ชายคนนี้ยังอยู่ ยังคงจับมือเอาไว้ ก้มลงใช้ริมฝีปากจรดลงที่หน้าผากเบาๆราวกับปุยนุ่น เอานิ้วมือแตะที่ริมฝีปากบางของพริกหยวก ยิ้มให้แล้วส่งเสียงเรียก...
"พริกหวานคนดี เจ็บตรงไหนบ้าง? หิวไหม อยากกินอะไร?"
"ดีใจที่สุดเลยที่พริกหวานฟื้นซะที หลับไปหลายวันแล้วนะรู้ไหม???"
และอีกหลายคำถามที่พรั่งพรูจากแววตาปิติอิ่มใจคู่นั้น
พริกหวานเริ่มลำดับเหตุการณ์ได้ว่า เมื่อก่อนที่จะมานอนตรงนี้ พริกหวานก็นั่งทำงานอยู่ในห้อง จากนั้นผู้ชายคนนี้ คนที่ดีที่สุด เดินเข้ามาบอกว่า ดึกแล้ว ....ไปนอนเถอะนะนางฟ้าที่รัก พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อก็ได้...เขาตรงเข้ามาช้อนร่างผอมบางของพริกหวานแล้วรวบไว้ในวงแขน พาไปวางลงบนเตียงนุ่มๆ ห่มผ้าให้ แล้วเดินกลับไปปิดไฟ ปิดประตู-หน้าต่าง และกลับมานอนกอดพริกหวานไว้ในอ้อมแขนทั้งคืน
รู้สึกเหมือนจะได้ยินเขาเรียกครั้งสุดท้าย..."พริกหวานตื่นๆๆๆๆๆๆๆๆ..."
ได้ยินเสียงรถพยาบาล ได้ยินเสียงคนเดินเร็วๆ หรือวิ่งก็ไม่รู้ เหมือนถูกยกไปไว้ในเตียงแคบๆ อาจจะเป็นในรถ มี "เขาคนนี้" กุมมือไว้ตลอดเวลา แล้วส่งเสียงเรียกคนดี คนดี คนดี...จนไม่ได้ยินและมองไม่เห็นอะไรอีกเลย
...พริกหวานคิด...นี่เราคงป่วยอีกแล้ว....ถึงมาอยู่รพ...
"พี่กล้า" คนพิเศษที่ดูแลพริกหวานมา ๗ ปี คอยอุ้มเข้าออกโรงพยาบาลนับครั้งไม่ถ้วน เพราะพริกหวานป่วยด้วยโรคทางกายมาหลายปี ป่วยมาเรื่อยๆจนชิน เพราะทุกๆวัน พริกหวานจะตื่นขึ้นมาเพื่อส่งรอยยิ้มให้คนรอบข้างเสมอ ทั้งที่ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา พริกหวานไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเองสบายกายเลยสักนิด แต่พริกหวานไม่เคยทุกข์ ไม่เคยแบกความเจ็บป่วยทางกายไว้ ยังคงใช้ชีวิตปกติในทุกๆวัน
ความจริงหมอบอกพริกหวานว่า โรคที่พริกหวานเป็นนั้นเขาเป็นกันมาตั้งแต่เกิดแล้ว คนที่เป็นโรคนี้เขาเสียชีวิตกันในวัยเด็ก หรือไม่ก็เติบโตมาเป็นเด็กที่มีสติปัญญาบกพร่อง จนถึงปัญญาอ่อนไปเลย แต่พริกหวาน...เป็นคนที่คงได้รับการยกเว้นจากสวรรค์กระมัง พริกหวานถึงอยู่มาได้ถึงขนาดนี้
พริกหวานเรียนจบปริญญาในระดับคะแนนสูงสุด และเป็นปริญญาที่มีดีกรีสูงสุดอีกด้วย หมอขอให้พริกหวานผ่าตัดเมื่อ ๒ ปีก่อนแต่พริกหวานให้เหตุผลว่า ยังไม่พร้อม และคิดว่า ดูแลตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง...จึงบ่ายเบี่ยงมาตลอด พริกหวานทำงานและเรียนไปด้วย ช่วยเหลือผู้คนรอบข้างเท่าที่สามารถทำได้ นอนเที่ยงคืนตื่นตีห้าในทุกวัน ยกเว้นวันที่ป่วยไข้ไม่สบาย
พี่กล้ามีโอกาสได้เข้ามาดูแลพริกหวานเต็มตัว เมื่อตอนที่ได้รับปริญญาใบที่สองในชีวิตของพริกหวานกับพี่กล้า....พี่กล้ายอมรับทุกสภาพของพริกหวาน เขาทำหน้าที่เป็นทั้งคนรัก ทั้งเพื่อน ทั้งพี่ ทั้งพ่อ เป็นคนดูแลใส่ใจมาตลอดในทุกๆวัน ทั้งที่พี่กล้าเองก็มีงานหนัก แต่พี่กล้าไม่เคยบ่น ไม่เคยแสดงความรำคาญ
เคยแต่บอกว่า ...น้อยใจที่พริกหวานเป็นคนดีเกินไป ทำอะไรให้คนอื่นมากมายจนตัวเองป่วยขนาดนี้
พริกหวานภูมิใจที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถช่วยเหลือคนอื่น ช่วยสอน ช่วยจัดการปัญหา บางครั้งอดหลับอดนอนติดกัน ๓ วัน ๓ คืนก็ยังมี พี่กล้าคนนี้นี่แหละที่นั่งเฝ้าคอยอยู่เป็นเพื่อน เสริฟอาหารบำรุงร่างกาย ร้องเพลงให้ฟัง คอยเอาเสื้อแขนยาวมาใส่ให้เวลาอากาศเย็น คอยเปิดพัดลม-เปิดแอร์เวลาร้อน
คอยบอกว่า...พักนิดนะ...มาทานอาหารก่อน ทุกๆเวลานับตั้งแต่พี่กล้าเข้ามาในชีวิต พริกหวานก็ไม่เคยต้องอยู่คนเดียว....วันไหนพริกหวานกินอะไรไม่ได้ ก็ชวนคุยเรื่อยๆแล้วก็ป้อน จนพริกหวานกลายเป็นเด็กไปเลย

จากนั้นหมอก็เดินจากไปพร้อมกับ มีเพื่อนรุ่นพี่เข้ามาเยี่ยม...พริกหวานได้แต่ยิ้ม เพราะคำพูดที่เปล่งออกไปกลับไม่มีเสียงดั่งที่ใจอยากจะพูด และรอยยิ้มนั้นก็คงเป็นรอยยิ้มที่แห้งแล้ง....จนกระทั่งพี่ที่มาเยี่ยมกลับไป
ได้ยินพี่กล้า บอกพยาบาลว่า..."ขอแขวนป้ายห้ามเยี่ยมให้ด้วยครับ"
ญาติแท้ๆไม่มีใครมาเยี่ยมเพราะอยู่ห่างไกลกันมาก เขามีภาระของครอบครัวเขา อีกทั้งต้องดูแลพ่อที่ป่วยมาหลายสิบปีแล้วด้วย พริกหวานขอร้องพี่กล้าทุกครั้งว่า ไม่ต้องบอกใครว่า พริกหวานป่วยมาก ไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วง
แล้วพริกหวานก็ไม่ท้อที่จะอยู่ เพื่อทำความดีในทุกๆวัน พริกหวานบอกพี่กล้าของเธอทุกครั้งว่า...เธอดีใจที่รู้ว่า ตัวเองป่วยมาก มันเป็นแรงใจที่ทำให้เธอได้ใช้ชีวิตทุกนาทีที่เหลืออยู่อย่างมีคุณภาพ ไม่ทำสิ่งไม่ดี เพราะรู้ตัวว่า คงอยู่ดูโลกได้ไม่นานจนแก่เฒ่า...พี่กล้าบอกว่า คนดีๆอย่างพริกหวานจะอยู่กับพี่กล้าไปอีกนานแสนนานนะ
พริกหวานเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัวและคนรอบข้าง ไม่มีใครรู้ว่า พริกหวานป่วยขนาดไหน แค่รู้ว่ามีโรคประจำตัวและไม่แข็งแรง
พี่กล้าคนที่กุมหัวใจของเธอไว้ ยังคงดูแลเธอสม่ำเสมอนับแต่วันแรกที่เจอกันในชั้นเรียน โดยช่วยถือกระเป๋าและหอบหนังสือให้ตอนเดินไปเรียนที่ชั้น ๔ ในขณะที่ไม่เคยมีใครทำ...พริกหวานประทับใจผู้ชายคนนี้นับแต่วันนั้น....
จนได้มาอยู่ร่วมกันจริงๆ พี่กล้ายังคงเป็นพี่กล้าคนเดิมที่ดูแล ห่วงใย ใส่ใจอยู่เสมอ เพราะพริกหวานไม่เคยนอนอยู่นิ่งๆ พริกหวานอดทนกับความเจ็บป่วยทางกายเสมอมา ใช้ชีวิตเหมือนตัวเองไม่ใช่คนป่วย ใส่ใจผู้คนรอบข้างและคอยช่วยเหลือคนที่ช่วยได้ มีสัมมาคารวะ แม้แต่ภารโรงที่มหาวิทยาลัยยังยกมือไหว้ทุกครั้งที่เจอ พริกหวานให้เหตุผลว่า...คิดถึงพ่อ ถ้าเขาเป็นพ่อของเรามาอยู่ตรงนี้ ที่เราไหว้นั้นเราไหว้ความอาวุโส และความเป็นผู้ใหญ่ที่เด็กอย่างเราสมควรเคารพ เป็นเช่นนี้มาสม่ำเสมอ
จนเมื่อร่างกายไม่ไหวจริงๆอย่างนี้นั่นแหละ ถึงจะยอมให้พี่กล้าหอบมาโรงพยาบาล
พี่กล้าบอกว่า..."ออกโรงพยาบาลคราวนี้ ไม่ให้ทำงานแล้วนะนางฟ้าที่รักของพี่ ขอร้องเหอะ ถ้ารักเขาและอยากอยู่กับเขานานๆ"
พริกหวานยิ้มรับ ตอบไปในใจว่า "พริกหวานรักและอยากอยู่กับพี่กล้าให้นานที่สุดเหมือนกัน เธอขอบคุณที่เขาดูแลเธอมาตลอดระยะเวลาที่รู้จักกัน ไม่ว่าเธอจะอยู่ตรงไหนเธอจะรักเขาตลอดไป"
พี่กล้าร้องเพลงเพราะอะไรของพี่ป้างที่เป็นเพลงโปรดให้เธอฟัง..
" เธอเคยถามกับฉัน ที่ฉันรักเธอ ว่าอยากจะรู้รักเพราะอะไร
กลับไปคิดไปค้น ใคร่ครวญมากมาย ไม่เจอ...คำตอบ
ที่ผ่านมานั้นไม่คิดอยากรู้ที่มา และไม่เคยหาเหตุผลใดๆ
แค่ตัวฉันเพียงรู้ ว่าเป็นสุขใจเมื่ออยู่เคียงกัน
อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล ว่าสิ่งที่ทำให้คนรักกัน
หรือเป็นเพียงรอยยิ้ม รอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ
หากจะหาเหตุผลสักคำ ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันรักเธอ
นั่นเป็นเพราะตัวฉันมาเจอ เจอสิ่งดีงาม
อาจจะฟังแล้วไร้เหตุผล ว่าสิ่งที่ทำให้คนรักกัน
หรือเป็นเพียงรอยยิ้ม รอยนั้นเมื่อวันแรกเจอ
หากจะหาเหตุผลสักคำ ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันรักเธอ
นั่นเป็นเพราะตัวฉันมาเจอ เจอสิ่งดีงาม
ตั้งแต่วันฉันพบเธอ ก็เจอแต่สิ่งดีงาม
ตั้งแต่วันฉันพบเธอ ได้เจอแต่สิ่งดีงาม"
...จากนั้นพริกหวานก็หลับไปอีกครั้งที่ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือพี่กล้ากอดเอาไว้แน่น เอาแก้มมาแนบไว้สลับกันไปมา ได้ยินเสียงพูด..."หลับให้สบายนะคนดี หลับให้สบายนะคนดี"
สัญญาณสุดท้ายแห่งสติสัมปชัญญะและโสตปราสาท ได้ยินเสียงสะอื้นของคน....ความรู้สึกเหน็บหนาวจับหัวใจจนกระดิกตัวไม่ได้ รู้สึกมีน้ำอุ่นๆหยดอยู่บนแก้มของตัวเอง มีคนอยู่ใกล้ๆมากมาย มีดอกมะลิส่งกลิ่นหอมใกล้ๆจมูก เห็นแม่,พี่พริกยักษ์ พี่พริกหยวก และน้องพริกสวนอีกครั้ง ทุกคนยิ้มแย้ม กวักมือเรียก.....
พริกหวานเดินตามแม่และทุกคนไปในที่ที่ไม่เคยไป...ก่อนหันกลับมามองที่เตียง เห็นร่างตัวเองนอนอยู่นิ่งๆบนเตียง พี่กล้ายังคงกอดและมีน้ำตาให้เห็น....
พี่กล้าร้องไห้ทำไมกันนะ เราก็หลับอยู่ตรงนี้
เห็นพี่น้องหลายคนซับน้ำตา เห็นใครอีกหลายคน เห็นดอกมะลิพวงนั้นอยู่ในมือ เห็นตัวเองนอนสงบนิ่งใบหน้าเหมือนคนหลับ
เห็นคุณหมอคนเดิมกำลังเขียนอะไรลงในกระดาษ เห็นพี่กล้าน้ำตาไหลรินอย่างต่อเนื่อง เห็นพี่น้องหลายคนกอดกันร้องไห้....
และเห็นว่าตอนนี้ไม่มีอุปกรณ์การแพทย์ใดอยู่ให้เห็นอีก พริกหวานเป็นอิสระจากพันธนาการเหล่านั้น ไม่มีท่อในปาก ไม่มีเครื่องมือใดๆส่งเสียงรบกวน....
ภาพเหล่านั้นจางลงจนในที่สุดพริกหวานมองเห็นเพียงหมอกควันขาวๆ...และรู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอย เบาสบาย......

เมื่อวันที่ : 12 ก.ย. 2552, 01.27 น.
ความจริงตั้งใจจะลงใน..คอลัมน์เรื่องสั้นคะ...แล้วกดมาไงเป็นคอลัมน์เรื่องแปลไปได้ก็ไม่ทราบคะ กำลังรอคำตอบจากคุณลุงเปี๊ยกอยู่ แก้ไขไม่เป็น...คุณลุงเปี๊ยกช่วยย้ายที่ให้หน่อยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้ามากๆคะ หรือว่าต้องทำไงเอ่ย?
ขอโทษจริงๆเลยคะ....ด้วยความอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน เลยเป็นอย่างนี้ไปได้