![]() |
![]() |
สะพานกระดาษ![]() |
...วันห้า ได้บันทึกถึงลูกมาห้าครั้งแล้วในเวลาไม่นาน ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยได้ทำมาอย่างน้อยก็สามปีย้อนหลัง สิ่งหนึ่งที่พ่อสังเกตได้คือคนเราเมื...
วันห้าได้บันทึกถึงลูกมาห้าครั้งแล้วในเวลาไม่นาน ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยได้ทำมาอย่างน้อยก็สามปีย้อนหลัง สิ่งหนึ่งที่พ่อสังเกตได้คือคนเราเมื่อมุ่งมั่นที่จะทำอะไรสักอย่างมันก็จะทำได้ นี่เอาพ่อเองเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่มุ่งมั่นว่าจะพยายามบันทึกถึงลูกให้เสมอต้นเสมอปลาย พ่อก็หาเวลามาบันทึกจนได้ แม้จะไม่ต่อเนื่องตลอดทุกวัน แต่ก็ทำได้เป็นระยะไม่ขาดหายไปเลย เรียกว่าเป็นสิ่งที่ดีต้อนรับปีใหม่ พ่อเคยได้ฟังวิทยาการพูดสมัยเข้าอบรมการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเมื่อหลายปีก่อนว่า คนเราสามารถทำอะไรต่อเนื่องกันอย่างน้อยหกเดือนโดยไม่ลำบาก เก็บเงินอย่างต่อเนื่องกันหกเดือนเพื่อทำอะไรสักอย่างที่ฝันอยากทำ ทำงานสองแห่งทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อสร้างฝันให้เป็นจริงได้ยาวนานถึงหกเดือน หรือการออกกำลังกายเพื่อให้ตัวเองมีสุขภาพดีอย่างต่อเนื่องหกเดือน พูดรวม ๆ ก็ว่าหกเดือนทุก ๆ คนพอทำอะไรที่คิดว่ายาก ๆ ได้ทั้งนั้น หากนานกว่านี้ก็อาจนานไป กลายเป็นทนไม่ได้ รับไม่ไหว พ่อเองตั้งใจว่าหากหกเดือนมันผ่านไปได้ก็ถือว่าพ้นเขตอันตราย เพราะมั่นใจว่าหากทำหกเดือนได้ก็ต้องทำเดือนที่เจ็ดได้ เดือนต่อ ๆ ไปก็ควรทำได้ เพราะเคยทำมาแล้วทีละเดือนไป
ความต่อเนื่องหรือเสมอต้นเสมอปลายนี้ดูแล้วก็คล้ายมันอืดอาดเชื่องช้า แต่ลูกรู้ไหมว่าต้นปาล์มใหญ่หลังบ้านเรามันก็อาศัยความอืดอาดเชื่องช้านี้แหละจึงกลายมาเป็นต้นไม้สวยประดับบ้านให้ดูร่มรื่น ชีวิตคนเราบางทีก็เร่งด่วนไม่ได้ทุกอย่างไป ต้องค่อย ๆ สานต่อผ่านวันเวลาจึงจะเข้าที่ แม่ชอบไว้ผมยาว ลูกรู้หรือเปล่าว่าผมแม่ไม่ได้ยาวข้ามคืน กว่าจะมีผมสวยวันนี้แม่ก็ต้องนอนทับมันนานหลายเดือน แม้พ่อจะบันทึกถึงลูกได้เพียงห้าฉบับ แต่ทุกครั้งที่ได้บันทึกก็เกิดความมั่นใจขึ้นมาว่าจบบันทึกนี้แล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน เป็นแรงจูงใจให้หาเวลามาบันทึกถึงลูกอีก เรื่องที่ถูกต้องดีงามซึ่งเคยทำไว้มันก็หนุนนำให้ทำยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก คล้ายนักยกน้ำหนัก วันนี้ยกได้ห้าสิบกิโลกรัม อาทิตย์หน้าต้องยกได้ห้าสิบเอ็ดกิโลกรัม ไม่นานให้หลังก็กลายเป็นนักยกน้ำหนักระดับโลก นี่คือปาฏิหาริย์แห่งความเสมอต้นเสมอปลาย เป็นบทเรียนเตือนใจว่าสิ่งน้อยค่าที่เรามองข้ามไปนั้นมันไม่ได้น้อยค่าเลย มันรวมตัวกันสานต่อเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ พ่อเองเวลามองเห็นเหรียญสลึงหล่นพื้นต้องก้มเก็บทุกครั้งไป หลายต่อหลายคนมองผ่าน แต่พ่อต้องรีบก้มเก็บ เพราะคิดว่าบาทหนึ่งหากขาดไปเพียงสลึงเดียวก็ไม่ครบบาท นี่คือความสำคัญของสลึงที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
เดือนกว่าแล้วที่ปีใหม่เข้ามาเยือน ชีวิตพ่อเป็นระเบียบขึ้น ตื่นเป็นเวลา ไปทำงานเป็นเวลา กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตก็เป็นเวลา เรียกว่ามันลงตัวอย่างที่ควรจะลง ไม่ถึงกับเป็นหุ่นยนต์หรอกนะ แต่ก็พอใจที่มันเป็นอย่างนี้ ซึ่งดีกว่าสับสนวุ่นวายจัดตารางชีวิตไม่ถูก อันที่จริงพ่อเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบอยู่กับระเบียบ เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็อยู่กับระเบียบ ต้องทำตามนั้น วันนี้อยากอยู่อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องมีกติกาอะไรมาก ไม่ถึงขนาดทำอะไรตามใจตัวเอง แต่มันก็ดีขึ้นกว่าที่แล้วมา หากจะให้ดีกว่านี้ก็ต้องเป็นว่าไม่มีกติกาอะไรเลยที่ต้องเดินตาม ตื่นเมื่อไรก็ได้ ทำอะไรเวลาไหนก็ได้ ไม่อยากนอนก็ไม่ต้องนอน ไม่อยากตื่นก็ไม่ต้องตื่น พ่อหวังว่าสักวันคงได้ทำอย่างนี้บ้าง
น้องหญิงชายสองคนไม่ค่อยทานข้าว แม่ก็หนักใจ พยายามทำอาหารจานโปรดบำรุงก็กินเฉพาะที่ถูกใจ ย้อนคิดสมัยพ่อเป็นเด็ก เราไม่มีทางเลือกเลยว่าวันนี้จะกินอะไร พ่อแม่ทำวางไว้ต้องกิน ไม่กินก็ไม่มีอะไรนอกจากนี้ให้กิน บางทีพ่อคิดว่าคนสมัยใหม่เรานี้เลี้ยงลูกตามใจมาก อยากกินอะไรก็หามาวางไว้ให้กินกัน สมัยก่อนโน้นมีอะไรก็ต้องกินกัน เลือกไม่ได้ บางทีแทบจะไม่มีอะไรมาวางไว้รอด้วยซ้ำ พ่อคิดว่าความสะดวกสบายทำให้คนเราอ่อนแอ เอาตัวรอดไม่เป็น ดิ้นรนไม่ได้ พ่อกับแม่เกิดในครอบครัวที่ยากจน ได้เห็นความลำบาก ได้เห็นการอดมื้อกินมื้อมาด้วยตัวเอง จึงเห็นความสำคัญของอาหาร เมื่อมาเห็นลูก ๆ เลือกกินแถมมีแล้วยังไม่อยากกินก็อดที่จะขุ่นเคืองใจไม่ได้ พ่อได้แต่บอกแม่ไปว่ามันคงเป็นไปตามยุคสมัยของมัน
อากาศหนาวมากช่วงนี้ พ่อก็ชินกับมันแล้ว เพราะได้เห็นมันมาร่วมยี่สิบปี อีกไม่กี่เดือนก็จะกลายเป็นอุ่นและร้อนจ้า ฤดูของดินฟ้าอากาศก็คงไม่ต่างจากฤดูของชีวิต มันไม่มีวันที่จะอยู่อย่างนั้นตลอดไป ต้องหมุนเวียน เหมือนสุขทุกข์ของชีวิตคนเรา วันนี้เบิกบานแจ่มใส สักวันข้างหน้าก็อาจพบกับความหดหู่ ถึงวันนี้หดหู่เพียงใด ก็ไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว มันต้องหมุนเวียนไปเป็นสดชื่นเบิกบานสักวัน เหมือนที่พวกเราทั้งครอบครัวเข้าใจในฤดูของอากาศ หนาวมาก็ใส่เสื้อผ้าหนาขึ้น แม้จะดูอึดอัดไปหน่อย แต่เพื่อไม่ให้เกิดความเจ็บป่วยก็ต้องทน ทนไปไม่นานมันก็จะหายหนาวแล้ว เข้าใจได้อย่างนี้เราก็จะไม่หนักใจกับฤดูกาลที่หมุนเวียมาทักทาย ไม่ยกเว้นแม้แต่ฤดูกาลแห่งชีวิต
แม่ปรารภว่าได้แก่ขึ้นอีกปีหนึ่งแล้ว พ่อบอกไปว่าได้เป็นคนที่ดีกว่าเก่าขึ้นมาอีกปีหนึ่ง คนเราเติบโตทางความคิดทุก ๆ ปี ไม่ว่าจะทำในสิ่งที่ถูกหรือผิด เราต่างเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากจุดนั้นมา เรียกรวม ๆ ว่าแต่ละปีเราก็มีประสบการณ์มากขึ้น ประสบการณ์นี้จะเป็นครูคอยชี้แนะแนวทางให้เราดูแลชีวิตให้ถูกต้องมากขึ้น การบ้านที่เราทำผิด ครูก็จะบอกว่าผิดและเฉลยว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้นะ นี่คือความเติบโตของชีวิตที่เราได้มีมาบางทีก็โดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อมองย้อนหลัง ทุก ๆ ปีเราเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง นักเรียนชั้นปอสองเรียนรู้มากกว่านักเรียนชั้นปอหนึ่งก็เพราะได้ทำผิดทำถูกมามากกว่านั้นเอง คงไม่ต่างกับลูกที่เก่งขึ้นกว่าปีที่แล้ว ก็เพราะลูกได้ทำการบ้าน ทำผิดทำถูกมามากกว่ารุ่นน้องนั่นเอง
สิ่งที่เห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมาคือพ่อใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น เดือนกว่าที่มีสติรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร จะทำอะไร และไม่ควรทำอะไร มันก็ผ่อนหนักเป็นเบาขึ้นได้เยอะมาก ไม่มั่วเหมือนก่อน คนเคยมั่วเมื่อเป็นระเบียบขึ้นมามันก็คล้ายพบปาฏิหาริย์ พบทางออก หูตาสว่างจ้าเหมือนโดนแสงทิพย์ ไม่ถึงกับชีวิตนี้เปลี่ยนจากขาวเป็นดำ แต่มันก็ทำท่าว่าจะดำน้อยลง ขอให้มันเป็นไปอย่างนี้ให้ต่อเนื่อง ให้ดำมันเปลี่ยนเป็นเทาๆ ก็พอแล้วไม่ต้องถึงขนาดขาวเนียนหรอก พ่อไม่อยากคาดหวังอะไรจากตัวเอง ซึ่งยอมรับว่าเป็นคนที่ยังเต็มด้วยกิเลสตัณหา จะให้ตัดขาดก็คงยากเพราะยังเป็นปุถุชน หลายต่อหลายครั้งที่พ่ออยากเป็นคนดี แต่ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา พ่อก็ต้องเดินตามหล้งมันไปเหมือนต้องมนต์ สีดำทำให้สีขาวเปื้อนง่าย ส่วนสีขาวนั้นจะทำให้สีดำกลายมาเป็นขาวเหมือนตัวเองนั้นมันยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขาอีก พูดให้ฟังง่ายก็ว่าคนเรานั้นทำดียากทำชั่วก็ง่ายเหมือนกระพริบตา
บันทึกไว้วันนี้ ให้สติพ่อและลูกพร้อม ๆ กัน
รักลูกแม่เหมือนเดิม
เมื่อวันที่ : 09 ม.ค. 2552, 05.42 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...