![]() |
![]() |
วันใหม่![]() |
...ธรรมชาติบำบัด
ความเชื่อมั่นในศักยภาพของร่างกายตนเอง...
เชื่อไหมว่า ร่างกายนี้คือสิ่งมหัศจรรย์ มีความสามารถที่จะเยียวยารักษาความเจ็บป่วยได้ด้วยตนเองความเชื่อมั่นในศักยภาพของร่างกายตนเอง...
ถ้าเชื่อเช่นนี้ได้ ก็ให้ลองหันมามองแนวธรรมชาติบำบัดของหมอเจค็อบ วาทักกันเชรี นักธรรมชาติบำบัดชาวอินเดียใต้ ที่ใช้หนทางนี้บำบัดผู้ป่วยมาแล้วเกือบ ๓๐ ปี
ธรรมชาติบำบัด (Nature Cure) หรือ การรักษาตามธรรมชาติ (Naturopathy) คือการรักษาความเจ็บป่วย ด้วยวิธีให้ร่างกายรักษาตนเอง ผ่านกระบวนการพื้นฐานธรรมดา ๆ ของการดำรงชีวิต ทั้ง การกินอาหาร การหายใจ การใช้น้ำ และการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง
โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่ผิดปกติของเจ้าของร่างกายนั้น เช่น กินอาหารที่เป็นโทษต่อร่างกายตนเอง ใช้ร่างกายให้ทำงานมากเกินไป ทั้งเนื่องจากทัศนะที่ผิดในการดำรงชีวิต และชีวิตที่เลือกไม่ได้
อาการเจ็บป่วยคือคำเตือนจากร่างกาย บอกให้เจ้าของร่างกายนั้นได้รู้ว่า เธอกำลังทำสิ่งผิด ๆ ให้กับฉัน เธอทำให้ฉันเสียสมดุล ถ้ามากกว่านี้ หรือยังไม่ฟังฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับเธอแล้วนะ
หมอเจค็อบมองว่า "ร่างกายมีกลไกที่แสนฉลาด มีการทำงานที่เป็นระบบระเบียบ รู้ว่าจะร้องขออาหาร น้ำ การพักผ่อน อย่างไร รู้ที่จะขับของเสีย รู้ที่จะเจริญเติบโต และรู้ดีว่าจะจัดการกับปัญหาที่เกิดกับร่างกายตนเองอย่างไร จงฟังเสียงของร่างกาย เพราะร่างกายนั้นรู้ดีว่าจะซ่อมแซมเยียวยาตนเองอย่างไร อย่าขัดขวางกระบวนการทำงานของร่างกายด้วยการใช้ยาระงับอาการ"
ท่านเจ้าคุณนร (พระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต) เคยกล่าวไว้ว่า "จงอย่าฝากชีวิตไว้กับหมอและยา เพราะหมอก็ไม่ใช่เทวดา หรือผู้สัพพัญญู และยาก็ย่อมจะมีทั้งคุณและโทษ ควรพึ่งตนเองด้วยโยนิโสมนสิการ ก่อนที่จะคิดพึ่งหมอและยาเถิด"
(พระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต (ธมมวิตกโกภิกขุ) นามเดิม ตรึก จินตยานนท์ จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ รับราชการในราชสำนักสมัยรัชกาลที่ ๖ จนดำรงยศพระยานรรัตน์ราชมานิต เมื่อสิ้นรัชกาล ท่านได้อุทิศตนอุปสมบทในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ)
หมอเจเค็อบต่อต้านการใช้ยาทุกชนิด เขาบอกว่า "ทุกวันนี้เราถูกกำหนดพฤติกรรมทุกอย่างโดยบรรษัทข้ามชาติ ที่มุ่งผลิตสินค้า เพื่อเหตุผลทางธุรกิจ ยาเป็นเพียงสินค้าอีกชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับน้ำอัดลม หรือรถยนต์ มียาจำนวนมากที่ประกาศเลิกใช้ไปแล้วในสหรัฐอเมริกาเพราะก่อให้เกิดโรคอื่นตามมา แต่ยังคงใช้รักษาคนไข้กันอยู่ในประเทศไทย และประเทศอินเดีย...ไม่มียาชนิดไหนที่ไม่ก่อให้เกิดโรคต่อเนื่อง...ที่ศูนย์ธรรมชาติบำบัดของผม ทุก ๆ เดือนจะมีผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้ายเข้ามารับการรักษา ๘-๑๐ คน พอไปดูประวัติคนไข้ ก็พบว่าคนไข้เหล่านั้นผ่านการใช้ยาพาราเซตตามอลกันมาทั้งสิ้น ซึ่งในคู่มือใช้ยามีคำเตือนว่า ยาพาราเซตตามอลมีผลร้ายแรงต่อผู้ที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง มีผลข้างเคียงคือจะมีอาการคลื่นไส้ วิงเวียน และมีปัญหาเกี่ยวกับตับ"
หมอเจค็อบเล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันในอินเดีย รัฐบาลออกกฎหมายให้ยากลุ่มพาราเซตตามอลต้องติดคำเตือนที่ฉลากว่า การใช้ยาพาราเซตตามอลเกินขนาดจะมีผลต่อตับ ส่วนในประเทศอังกฤษนั้น สมาคมการแพทย์ได้ตีพิมพ์เอกสารระบุว่า ถ้าใช้ยาพาราเซตตามอล ๑๐-๑๕ กรัมภายใน ๒๔ ชั่วโมงอาจทำให้เกิดอาการตับและไตหดตัวอย่างรุนแรง ภายในเวลา ๓-๔ วัน สามารถเสียชีวิตได้
เขาบอกว่าเขาเคยบดยาพาราเซตตามอล ๒ เม็ดแล้วคลุกกับข้าวเพื่อดักหนู ปรากฏว่ามีผลเท่ากับยาเบื่อหนู คือหนูกินเข้าไปแล้วตายให้เห็น
หากต้องการรักษาปัญหาสุขภาพ ก็จงเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับยาและร่างกายตนเองเสีย
"ไม่มียาตัวไหนให้สุขภาพที่ดีแก่เราได้ ไม่มีหมอคนไหนรักษาอาการเจ็บป่วยได้จริง ไม่มีหนทางลัดสู่การมีสุขภาพดี มีแต่การปฏิบัติและดูแลตนเองอย่างถูกต้องเท่านั้น ร่างกายจึงจะปลอดภัยจากโรคร้าย"
โรคเรื้อรังทั้งหลาย อาทิเช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ รวมถึงมะเร็ง และอาการเจ็บป่วยร้ายแรงอื่น ๆ อีกจำนวนมาก แพทย์แผนปัจจุบันยอมรับว่ารักษาไม่หาย ได้แต่ประคับประคอง ระงับอาการเป็นคราว ๆ และเพิ่มยาขึ้นเรื่อย ๆ หรือกระทั่งต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง
ตรงกันข้าม ธรรมชาติบำบัดซึ่งมองว่าโรคเหล่านี้เกิดจากการสะสมพิษในร่างกายเป็นเวลายาวนานทั้งจากยา และอาหารที่เป็นโทษ กลับสามารถรักษาได้ถ้าหันกลับมาดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง สร้างเงื่อนไขที่ดี ให้ร่างกายได้ดูแลรักษาตนเองอย่างเต็มที่ นำสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติรอบตัวมาเป็นเครื่องมือในการเยียวยา
มีบางตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังในที่นี้ได้ เพราะได้เห็นมาเองกับตา
น้องแก้ม หญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นโรคสะเก็ดเงิน เธอทุกข์ด้วยโรคนี้มานาน วันหนึ่งเธอมารับการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติแนวหมอเจค็อบ เธอได้ใช้การอดอาหาร การพอกโคลน การล้างพิษ ภายใน ๑๕ วันอาการของเธอก็ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น เธอกลับไปทำต่อที่บ้าน และพาตัวเองมาให้เราดู วันนี้หน้าตาเธอเกลี้ยงเกลา ผิวพรรณสดใส ดูไม่ออกว่าเธอผ่านอะไรมาบ้าง
คุณทอม ป่วยด้วยอาการเลือดออกในกระเพาะถึงขั้นหมดสติ ผ่านการบำบัดด้วยวิธีธรรมชาติ ทุกวันนี้อ้วนท้วนสมบูรณ์หน้าตาผ่องใส และไม่เคยปวดท้องอีกเลย
มีตัวอย่างอีกหลายตัวอย่าง ที่หลังจากเลิกยาแล้วใช้ธรรมชาติบำบัด ชีวิตก็เปลี่ยนไป ทั้งผู้ป่วยมะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ ไทรอยด์ ภูมิแพ้ หืดหอบ ฯลฯ
ดังนั้นจึงมีข้อห้ามหลายอย่างเมื่อมีสัญญาณเตือนจากร่างกาย หรือเกิดเจ็บป่วยขึ้น
๑. ไม่ไปหาหมอ
๒. ไม่กินอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้ทำงานซ่อมแซมเต็มที่ ไม่ต้องห่วงคอยมาย่อยอาหารอยู่
๓. ไม่กินยา
๔. ไม่ทำงาน ต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่
๕. ไม่คิดว่าคือความเจ็บป่วย ให้คิดว่าร่างกายกำลังขับพิษร้ายออก
๖. อย่าหวาดกลัว จงเชื่อมั่นในความสามารถของร่างกายตนเอง และรอคอยกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกายอย่างใจเย็นและเข้าใจ
๗. สามารถดื่มน้ำมะพร้าวได้ในบางกรณี
มีคำถามว่าธรรมชาติบำบัดมีขอบเขตแค่ไหน
คำตอบคงจะอยู่ที่ข้อ ๖ คือความเชื่อมั่นในร่างกายตนเองและใจเย็นรอ ร่วมกับการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับแนวทางการบำบัดอย่างเคร่งครัด
เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่สุดที่แนวทางนี้จะต้องฟันฝ่า เราเคยชินแต่กับการฝากร่างกายเราไว้กับหมอซึ่งเราเชื่อว่ามีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ดูแล เมื่อเราป่วยเราจะรีบไปหาหมอ ให้หมอใช้ความรู้ที่มีมารักษาร่างกายเรา หมอจะให้เราทำอะไร กินอะไร เราจะทำตาม โดยไม่เคยมีคำถาม ถ้ายังไม่หาย หมอก็มีวิธีรุนแรงกว่าเดิมมารักษาร่างกายเรา ความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความรู้ของหมอ จนกระทั่งถึงขั้นตัดอวัยวะบางส่วนทิ้ง ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่ร่างกายขาดความสมดุลอย่างถึงที่สุดในทางธรรมชาติ ต่อไปร่างกายก็จะลดความสามารถในการบำบัดตนเองลง และจะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหนื่อยล้าพ่ายแพ้อำลาไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติบำบัดก็มีข้อจำกัดของตนเอง ต้องพึ่งพาเทคนิคทางการแพทย์สมัยใหม่เข้าช่วยด้วย เพื่อตรวจหาส่วนที่เจ็บป่วยของร่างกาย หรือกรณีที่ได้รับอุบัติเหตุ มีบาดแผล หรือกระดูกหักรวมทั้งการเจ็บป่วยแบบเฉียบพลัน ก็ต้องให้การแพทย์สมัยใหม่แก้ไขก่อน แต่หลังจากนั้นขอให้ร่างกายได้ทำหน้าที่ของตนเอง
จึงอาจสรุปได้ว่า ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องพบแพทย์สมัยใหม่ ถ้าไม่จำเป็นนัก ให้ร่างกายดูแลตัวเองดีที่สุด ขอให้ถือแนวทางธรรมชาติบำบัดเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ แนวทางนี้น่าจะดีที่สุดสำหรับคนที่ยังไม่เจ็บป่วยจนถึงขั้นวิกฤติ
โดยปกติร่างกายคนเราจะขับถ่ายของเสียหรือพิษออกจากร่างกาย ๔ ช่องทาง
๑. ลมหายใจออก
๒. เหงื่อ
๓. ปัสสาวะ
๔. อุจจาระ
(๕. รอบเดือน)
ต้องไม่ขัดขวางกระบวนการเหล่านี้ ปล่อยให้ร่างกายขับออกมาให้เต็มที่ ฝึกหัดการหายใจเข้าออกยาว ๆ ลึก ๆ ให้หายใจออกมากกว่าหายใจเข้า ๑ เท่า อย่ารีบเข้าห้องแอร์เมื่อเหงื่อออก อย่ากลั้นปัสสาวะและอุจจาระ ปล่อยให้ธรรมชาติของร่างกายจัดการตัวเอง
แต่ในสถานการณ์วิกฤติ ร่างกายจะมีช่องทางพิเศษในการขับพิษ ดังนี้
๑. เป็นหวัด ไอ จาม น้ำมูกไหล
๒. อาเจียน
๓. ท้องเสีย
๔. เป็นไข้
นี่คือคำร้องของร่างกาย จงฟังร่างกายตนเองและปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง
กระบวนการบำบัดโดยธรรมชาติมีอยู่ ๓ ขั้นตอน
๑. ชำระล้าง
๒. เยียวยา
๓. ฟื้นฟู
อาหารคือสิ่งหนึ่งที่หมอเจค็อบเน้นเป็นพิเศษ เขาบอกว่า อาหารมีคุณลักษณะ ๔ ประการ คือ ชำระล้าง เยียวยา ฟื้นฟู และก่อให้เกิดพิษ
น้ำผลไม้ น้ำผักคั้น น้ำเปล่า มีคุณสมบัติชำระล้างและเยียวยา ผลไม้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและชำระล้าง ส่วนอาหารปรุงสุกนั้นมีคุณค่าทางด้านฟื้นฟูให้พลังงาน แต่ก็ก่อให้เกิดพิษได้ด้วย
น้ำมะพร้าวถือเป็นน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ อุดมไปด้วยแร่ธาตุ สะอาดและบริสุทธิ์กว่าน้ำใด ๆ ทารกสามารถดื่มแทนน้ำนมได้เมื่อมารดาเสียชีวิต มีคุณสมบัติที่ดีครบถ้วนทั้งชำระล้าง เยียวยา และฟื้นฟูร่างกาย น้ำมะพร้าว ๑ ลูก มีคุณค่าเท่าอาหาร ๑ มื้อ ทั้งร่างกายไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปย่อยให้เสียพลังงานด้วย จึงนับเป็นอาหารที่ดีที่สุดของร่างกาย
ในสภาพปกติ หมอเจค็อบแนะนำให้กินผลไม้ ๒ มื้อ เช้ากับเย็น มื้อกลางวันกินอาหารปรุงสุก เป็นหลัก กินแต่อาหารใหม่สดที่ เต็มไปด้วยพลังชีวิต ทั้งนี้มีกฎเหล็กหลายข้อในการกินดังนี้
๑. ไม่กินอาหารก่อน ๖ โมงเช้า และหลัง ๖ โมงเย็น เพราะร่างกายกำลังพักผ่อนไม่พร้อมที่จะรับอาหาร
๒. ไม่กินอาหารปรุงสุกนานกว่า ๓ ชั่วโมง ถ้าเป็นผลไม้ปอกเปลือกไม่เกิน ๓๐ นาที น้ำผลไม้ต้องดื่มทันที เนื่องจากเราต้องการพลังชีวิตจากอาหาร
๓. ไม่กินจนอิ่ม ให้กินเพียง ๑ ใน ๓ ของกระเพาะอาหาร ปล่อยเนื้อที่ว่างให้กระเพาะเคลื่อนไหวทำงานได้สะดวก
๔. ไม่ดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม อาหารหมักดอง ธัญญพืชขัดขาว น้ำตาลทรายขาว ผงชูรส อาหารทอด เนื้อสัตว์ นม ไข่ ซึ่งถือเป็นอาหารพิษ
๕. มีสมาธิเวลากิน ตั้งใจกินและเคี้ยวจนกระทั่งอาหารเป็นน้ำสามารถดื่มได้ ช่วยให้กระเพาะไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป
๖. ห้ามกินอาหารที่ผสมกันหลากหลายในแต่ละมื้อ ผักควรกินกับธัญญพืช ถ้ากินผลไม้ก็ต้องเป็นผลไม้รสเดียวกัน เพื่อถนอมกระเพาะอาหารและน้ำย่อย
๗. กินอาหารเพียง ๓ มื้อต่อวัน อาจดื่มน้ำผลไม้ระหว่างมื้อได้ ๒ ครั้ง แต่ห้ามกินอาหารระหว่างมื้อ ปล่อยให้กระบวนการย่อยอาหารทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่มีการรบกวน
ธรรมชาติบำบัดนั้นที่จริงแล้วเป็นเรื่องเก่าของคนรุ่นย่ายาย(อาจรุ่นทวดของเด็กรุ่นใหม่) ส่วนการแพทย์สมัยใหม่นั้นมาทีหลัง แต่ก็เหนียวแน่นในความรู้สึกของคนรุ่นหลัง พวกเราได้ทอดทิ้งภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ แต่เชื่อในผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์ตะวันตกกันมากกว่า ถ้าเรามีโอกาสทบทวนวิธีต่าง ๆ ในธรรมชาติบำบัด ก็จะเห็นว่า เออใช่ เออใช่ ทุกทีไป หมอเจค็อบบอกว่า ธรรมชาติบำบัดเป็นเรื่องง่าย แต่เนื่องจากมันง่ายเกินไป คนจึงไม่เห็นค่าของมันและทอดทิ้งมันไป
เรื่องนี้เป็นการต่อสู้ทางแนวคิดด้วย การที่เราจะทดลองใช้ธรรมชาติมาบำบัดตนเองนั้นอาจพอมีทางทำได้ แต่ถ้ากับญาติผู้ใหญ่ของเรา หรือลูกของเรา เราจะไม่กล้าใช่ไหม นั่นเลย การต่อสู้สองแนวทาง
ตัวฉันเองค่อนข้างเชื่อแนวทางนี้ แต่ก็ยังไม่ทั้งหมด เราคงต้องได้เห็นตัวอย่างเยอะ ๆ กระมัง ถึงจะเชื่อได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าบางอย่างเราทดลองทำซ้ำแล้วซ้ำอีกกับตัวเองจนได้ผลเหมือนกันทุกครั้งแล้ว เราก็น่าจะยืนหยัดทำต่อไป รวมทั้งเผยแพร่ไปสู่คนอื่นด้วย ถ้าใครเคยใช้ธรรมชาติของร่างกายรักษาตนเองได้ผลอย่างไร ก็บอกคนอื่นอย่างนั้นไปได้
"คุณแม่ท่านหนึ่งอายุ 81 จะสบายใจถ้าได้กินยาหรือฉีดยาบ้าง"
คิดว่าถ้าท่านแข็งแรงดี ไม่เป็นโรคร้ายอะไร อายุขนาดนี้ต้องถือว่าท่านปฏิบัติตัวถูกต้องและสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติดีทีเดียว การกินยาหรือฉีดยาเป็นบางครั้งอาจทำให้ท่านสบายกายจริง ๆ ก็ปล่อยท่านเถอะ ที่จริงคนแก่สามารถใช้อาหารธรรมชาติได้ทั้งหมด เพราะปกติร่างกายท่านก็รับอาหารพวกเนื้อ หรือแป้งมากไม่ค่อยได้อยู่แล้ว อาหารหลักของท่านจะเป็นพวกผลไม้และผักใช่ไหมคะ ก็เสริมคุณสมบัติสดและใหม่ให้กับท่าน ท่านก็จะสบายตัวและอยู่กับเราได้อีกนาน
ระหว่างวันที่ ๓๑ สิงหาคม -- ๔ กันยายน ๒๕๕๑ นี้ หมอเจค็อบ วาทักกันเชรี จะเปิดอบรม "ธรรมชาติบำบัด" ที่ เสถียรธรรมสถาน www.sdswb.org
ท่านใดสนใจติดต่อได้ที่แม่ชีทัศนา หรือแม่ชีกาญจนา โทร. ๐๘ ๐๒๘๘ ๔๙๓๑ หรือติดต่อได้ที่เสถียรธรรมสถานทุกวันเวลา ๐๙.๐๐ น. - ๑๗.๐๐ น.
เข้าคอร์สเพียง 7 วัน อย่ากลัวว่าจะหิวมื้อเย็น ร่างกายกลับรู้สึกสบาย ๆ บางคนน้ำหนักอาจลด แต่บางคนก็ไม่ลด ทั้งนี้อาจมีเรื่องของบรรยากาศรวม ๆ ช่วยไว้ด้วย แต่พอกลับจากคอร์ส มาใช้ชีวิตตามปกติ โดยทั่วไปมื้อเช้าพอมีสิทธิ์เลือกได้บ้าง เพราะกินที่บ้านกันได้ แต่มื้อกลางวันกับมื้อเย็นจำต้องปล่อยตามสานการณ์ ถือหลักเพียงว่าถ้าจะต้องกินเนื้อ ก็กินแต่เนื้ออย่างเดียวไม่กินปะปนกับอาหารอื่น จะทำให้ร่างกายไม่เครียด การย่อยก็จะปกติดี
สุขภาพดีซื้อไม่ได้ แต่ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง
เมื่อวันที่ : 31 ก.ค. 2551, 08.27 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...