![]() |
![]() |
naddyswiss![]() |

พ่อโหน่งเป็นชายไทย สูงประมาณ 165 ซม. ผิวดำ มีเชื้อสายอิสลาม ปู่ของโหน่งเป็นอิสลามค่ะ เป็นแขกอยู่แถวบ้านครัว เจริญผล นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมแอนดี้ลูกชายของดิฉันหน้าออกแขก จมูกโด่งและผิวสีแทน มาจากบรรพบุรุษนี่เอง
ถ้าใครเจอนามสกุลโหน่ง หัสตานนท์ จะรู้เลยว่าเค้าเป็นอิสลามกันหมด ยกเว้นแต่ครอบครัวของโหน่งที่ไม่ได้เป็น เพราะว่าปู่อยู่กะย่าของโหน่งซึ่งเป็นคนพุทธ แล้วปู่ก้อได้จากโลกไปตอนที่พ่อได้แค่เพียงสิบปี พ่อจึงต้องย้ายตามย่าไปเรื่อย
ถ้ากล่าวถึงคุณย่าแล้ว ย่าเคยอยู่ในรั้วในวังมาก่อนค่ะ อาจกล่าวได้ว่าย่าท่านถูกอบรมมาแบบสาวชาววัง ไม่รู้จะมีใครเชื่อหรือเปล่าว่า คุณทวดผู้ชายของโหน่งชื่อหลวงอัศวแพทย์เลยทีเดียว ตอนแรกโหน่งก้อไม่รู้หรอก เผอิญไปเห็นที่โกสฐ์ของคุณทวดที่วัดราชสิทธารามน่ะก้อเลยได้ทราบบรรพบุรุษนิดหน่อย แต่ย่าน่ะท่านก้อเหมือนชีวิตหักเห หนีออกจากวังมาใช้ชีวิตของท่านแล้วก้อได้มีสามีอยู่นอกรั้วนอกวัง ย่าเป็นคนที่ตำราโบราณเรียกว่ากินสามีน่ะค่ะ ย่ามีสามีกี่คนเค้าก้อต้องมีอันเป็นไปทั้งนั้น รวมถึงปู่ที่เป็นพ่อของพ่อโหน่ง อยู่กันได้สิบปีท่านก้อตาย
หลังจากปู่เสียย่าก้อพาพ่อไปทำมาหากิน อาชีพของย่าคือขายเนื้ออบ ย่ามีลูกติดมากะสามีเดิม สองคนศักดิ์ก้อเป็นลุงของโหน่ง ตอนหลังลุงโหน่งก้อได้เสียชีวิตไปหมดแล้วนะคะ คนนึงเสียด้วยโรคมะเร็ง อีกคนเหมือนเสียด้วยโรคหัวใจวายค่ะ
ย่ามีอาชีพขายเนื้ออบอยู่แถวสนามหลวงแล้วก้อได้พบรักกะ ปู่จุ๊ย ซึ่งมีลูกติดมาหนึ่งคน ชื่อป้าเป้า ซึ่งย่าก้อเลี้ยงป้าเป้ามาพร้อมๆกะพ่อเนื้องจากอายุเท่าๆกับพ่อโหน่ง แต่สุดท้ายปู่จุ๊ยก้อเสียชีวิตอีก แต่ย่าก้อยังเลี้ยงป้าเป้ามานะคะ
ส่วนพ่อโหน่งได้รับการศึกษาจนถึง มศ. สามค่ะ สมัยนั้นถือว่าโก้มากนะคะ แล้วพ่อก้อโชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากน้าชายของพ่อซึ่งเป็นทหารเรือ ให้เข้าทำงานที่กรมอู่ทหารเรือ เป็นเวลาก้อนานกว่า 30 ปีแล้วค่ะ
ชีวิตพ่อก้อใช้ชีวิตเหมือนเด็กชายคนหนึ่งทั่วไป พ่อเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้นและไม่ยอมใคร จนทำให้พ่อไม่ค่อยถูกกะพ่อเลี้ยงตัวเอง รวมถึงลูกติดของปู่จุ๊ยด้วย ตอนพ่อเริ่มเข้าวัยรุ่นในซอยบ้านเก่าที่เราอยู่ แถวพรานนก ยาเสพติดก้อเยอะ การพนัน มีแต่อบายมุขค่ะ แต่พ่อโหน่งเหมือนจะเป็นเด็กบ้านแตกกลับไม่เคยยุ่งสิ่งเหล่านั้นเลย
ตอนแรกๆแกไม่มีเงินจะเช่าบ้านอยู่เอง คือไปไม่รอด พ่อเลยไปเดินตามหลวงตาวัดลครทำ ก้อคือเป็นเด็กวัดนั่นเอง บ้านก้อไม่ต้องเช่า ข้่าวก้อไม่ต้องซื้อ พ่อบอกว่าเป็นไปได้ที่พ่อไปอยู่วัด อยู่กะพระก้อเลยได้รับการอบรม ทำให้เค้าเหมือนมีพ่อไปในตัว
พ่อก้อยังใช้ชีวิตเป็นเด็กวัดจนกระทั่งได้งานที่กรมอู่เป็นจริงจัง พ่อเลยกราบลาไปหาเช่าบ้านอยู่เล็กๆกะเพื่อนค่ะ อยู่แถวหลังตลาดบางกอกน้อย ที่นั้นเองพ่อได้มาเจอกะ นางฟ้าของเค้า คุณปราณี แม่ดิฉันเองค่ะ
หลังจากพ่อได้ย้ายมาอยู่ที่หลังตลาดตอนนั้นพ่ออายุได้ 26 ปีค่ะ พ่อเค้าก้อตามหารักแท้ไปทั่ว จนได้มาเจอคนที่ใช่ ผู้หญิงอะไรเอวเป็นเอว ก้นเป็นก้น พอเคยบอกว่าไม่ชอบผู้หญิงแบบขี้ก้างเหมือนสมัยนี้ที่สาวๆนิยม ผอมเหมือนไม้เสียบลูกชิ้น แม่คงเป็นผู้หญิงในเสป๊คพ่อละมั๊ง พ่อถึงได้หลงรักแม่นักหนา
แม่เคยเล่าให้ฟังว่า แม่เลี้ยงของแม่นั้น อยากให้หลานของเค้าที่ชื่อหญิงได้กะพ่อ เพราะว่าเห็นพ่อทำงานกรมอู่ แต่พ่อไม่ชอบเพราะคนชื่อหญิงไม่ทำงานบ้าน เอาแต่สวย งานบ้านไม่แตะ และสกปรก คือพ่อไม่ใช่คนสะอาดอนามัย แต่พ่อชอบคนที่เป็นแม่บ้านแม่เรือน
สุดท้ายพ่อก้อเลือกแม่มาเป็นคู่ครองแต่พ่อไม่ได้ตบแต่งแม่แต่อย่างใด เพราะว่าพ่อไม่รวยเลย ส่วนแม่โหน่งถือว่าฐานะไม่ได้รวย หรือจน เพราะยายโหน่งขายข้าวแกงอยู่แถววัดมหาธาตุ ก้อมีเงินพอตัวอยู่แล้วยายก้อมีที่มีทางอยู่เหมือนกัน (แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว)
พ่อไปสู่ขอ ผูกข้อไม่ข้อมือกันแล้วก้อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาพอๆกับที่พ่อทำงานที่กรมอู่ ตอนที่แม่เจอย่าของโหน่ง แม่เค้าจำย่าโหน่งได้ เพราะแม่ชอบไปซื้อเนื้ออบป้าปลั่ง(คุณย่า)กิน แม่บอกว่าอร่อยมากที่สุด ตอนนั้นย่าขายชิ้นละบาทเดียว ตอนนี้จะหาทานได้ไหมหนอ เนื้ออบชิ้นละบาท
พ่อเริ่มต้นชีวิตกะแม่ จนแม่ได้ตั้งท้องพี่ชายโหน่งคนโต ตอนนั้นพ่ออาศัยอยู่ที่บ้านยาย ซึ่งอยู่แถวบางใหญ่ตอนนั้นเป็นแต่สวนและท้องร่องนะคะ ไม่เจริญเหมือนตอนนี้ แล้วพ่อก้อไปทำงานที่กรมอู่ โดยเรือหางยาว
ชีวิตที่ต้องไปใช้ชีวิตอยู่บ้านแม่ยายไม่ได้งดงามและสวยหรูหรอกค่ะ ยายโหน่งเค้าก้อไม่ใช่คนปากร้ายอะไรมากนะคะ แต่ว่ามีเหตุการณ์นึงที่พ่อพาแม่ย้ายออกมาจากบ้านยาย มีอยู่ว่า ยายไปเล่นไพ่มาแล้วเสียไพ่อารมณ์ไม่ดี แกสังให้แม่โหน่งมูลข้าวเหนียวไว้ให้ พอยายมาแม่เอามาให้ยายกิน เหมือนข้าวเหนียวมูลด้านหน้ามันแห้ง เหมือนมันโดนลม ก้อแค่เกลี่ยออกก้อไม่แข็งแล้ว แต่ยายเสียไพ่มาก้อโมโหมาก ด่าทอแม่เสียเป็นยกใหญ่ว่า "ทำข้าวเหนียวไม่ได้เรื่อง ทีหาผัวหาได้" มันเป็นเวลาที่พ่อได้ยินพอดี รู้สึกน้อยใจแม่ยายมันทันใดค่ะ
พ่อโมโหที่ได้ยินยายพูดแบบนี้ คือการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่มักเป็นเช่นนี้แหละค่ะ กระทบกระทั่งกันได้ แต่พ่อก้อได้พาแม่หอบผ้าหอบผ่อน รวมทั้งพี่ชายโหน่งยังแบเบาะมาที่บ้านย่าโหน่งตรงพรานนก แม่ก้อยอมมากับพ่อ ด้วยเหตุผลว่า ก้อแม่รักพ่อนี่ลูกแม่เลยตามเค้ามา
ตอนนั้นพ่อไม่มีเงินเลย มีอยู่แค่ 2.50 บาท พ่อมาอยู่บ้านย่า แต่ย่าเค้าก้อจนน่ะ บ้านเค้าก้อมีแต่หลานๆเต็มไปหมด พ่อเลยต้องพาแม่ และพี่ชายโหน่งไปอยู่เรือนกล้วยไม้ เมื่อก่อนย่าเลิกขายเนื้ออบ มาเพาะกล้วยไม้ขายที่สนามหลวง ลองจินตนาการถึงเรือนกล้วยไม้นะคะ มันไม่ใช่บ้านนะคะ ต้องไปหาแผ่นไม้อัดมานอนกัน ข้างใต้มันคือน้ำเน่าเรานี่เองค่ะ ตอนแรกแม่ก้อรับไม่ได้เหมือนกัน เพราะบ้านยายไม่ได้หรูหรา แต่ก้อไม่ยากจนขนาดนี้
แต่แม่ก้อต้องยอมรับที่จะอยู่แบบนั้น พ่อก้อไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากย่ามากนักเพราะพ่อก้อเห็นว่าย่าลำบากเช่นกัน ไหนจะต้องดูหลานๆ ลูกๆของลุงเป็นโขยงเลยค่ะ
มีอยู่ครั้งนึงตอนนั้นพ่อจนมาก ขนาดว่าแมวมันคาบไก่มาจากเพื่อนบ้าน พ่อไปตีแมวเพื่อเอาไก่มากินกะแม่น่ะค่ะ ข้าวที่บ้านเรากินช่วงนั้นก้อเป็นข้าวหักปลายๆน่ะค่ะ เพราะมันจะถูกมาก บางทีพ่อกะแม่ไม่มีอะไรจะกิน แต่พอย่าถามพ่อว่า " ไอ้แดงมึงกินข้าวหรือยัง" พ่อก้อจะบอกไปว่ากินแล้วแม่ แล้วพ่อก้อเอาไม้จิ้มฟันมาทำเป็นว่าแคะฟันทั้งๆที่ไม่ได้กินอะไรเลย แม่ก้อใช้ชีวิตค่อนข้างอดๆอยากกะพ่อ จนยายตามมาหาแม่ ยายทนไม่ไหวที่เห็นแม่อยู่ที่มันไม่ได้เรียกว่าบ้านเลยสักนิด แต่แม่ก้อปฏิเสธยายไป แล้วก้อทนใช้ชีวิตแบบนั้นมากับพ่อโหน่ง
จนกระทั่งพ่อได้งานพิเศษตอนเย็น เป็นคนขับรถตุ๊กตุ๊ก แบบวินน่ะค่ะ รับส่งผู้โดยสาร วังหลังสายใต้ ตอนนั้นพ่อมีรายได้ดีมากค่ะ มากจนที่ว่า พี่ชายโหน่งเป็นเด็กสลัมที่มีของเล่นมากที่สุดในซอย
หลังจากที่พ่อย้ายจากบางใหญ่มาอยู่สลัมได้สี่เกือบห้าปี โหน่งก้อได้เกิดมาบนโลกใบนี้ค่ะ
พอพ่อเริ่มมีลูกสองคนทำให้พ่อต้องใช้เงินมากขึ้น บวกกลับรถตุ๊กตุ๊กเริ่มมีคนขับกันมากขึ้น แล้วพ่อเป็นคนไม่เคยเก็บเงินเลย มีสิบบาทใช้สิบบาท เลยเป็นจุดหักเหที่ว่าตอนโหน่งเกิดมาบ้านเราก้อไม่ค่อยมีเงินสักเท่าไหร่ บวกกลับพ่อไปรับประกันเพื่อนที่ทำงานเค้ากู้เงินหลวงไป แล้วเพื่อนคนนี้ก้อหนีหนี้ไป พ่อก้อต้องรับใช้เค้าไปจนบ้านเราก้อเริ่มที่จะระส่ำระส่ายอีกรอบ
ตอนที่โหน่งได้สองขวบแม่ก้อเลยออกไปทำงาน เป็นภารโรงที่โรงเรียนนิลประพันธ์ ก้อพอทำให้มีคนช่วยเหลือบ้านเพิ่มอีกหนึ่งคน ส่วนย่าก้อเป็นคนเลี้ยงโหน่งมา พี่ชายเข้าโรงเรียนแล้วตอนนั้น
พ่อเป็นข้าราชการประจำ เลยทำให้พวกโหน่งโชคดีที่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าเทอม และรักษาพยาบาลได้ฟรีจนถึง ม. 6
โหน่งกะพี่ชายได้เรียนโรงเรียนเอกชนจนถึงป. 6 เพราะว่าหลวงออกให้สำหรับเรียนเอกชนได้ถึง ป. 6 พ่อบอกว่าอยากให้โหน่งเรียนที่ดีๆ มีภาษาอังกฤษ โหน่งจำได้ว่าโหน่งพูดภาษาอังกฤษได้ตอน 8 ขวบ ตอนนั้นพูดกับคนอเมริกันที่เป็นลูกติดของเพื่อนพ่อ ตอนนั้นพูดคำแรกว่า How are you, my name is Nadda. เลยคิดพันธ์มาตอนได้สามีฝรั่งซะนี่
พ่อจะคอยสอนเสมอว่า ลูกพ่อน่ะจนไม่มีเงินทองอะไร ถ้าลูกมีโอกาสเรียนแล้วไม่เรียนอย่ามาเสียใจภายหลังนะ โหน่งก้อฟังคำพ่อสอนอันนี้เสมอมา แล้วโหน่งก้อมีปณิธานในหัวว่า โหน่งต้องเอาปริญญามาให้พ่อหนึ่งใบแล้วโหน่งก้อเอามาให้พ่อจนได้ค่ะ
ตลอดเวลาที่โหน่งเป็นเด็กนั้น โหน่งจะมีพ่อเหมือนเพื่อนกะโหน่งเลย พ่อเป็นคนที่เล่นกะโหน่งสนุกที่สุด ตอนโหน่งเข้าโรงเรียนพ่อจะเป็นคนพาไปโรงเรียน ตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน พ่อจะต้องพาโหน่งไปทานข้าวก่อนไปโรงเรียน รวมถึงชุดนักเรียนที่โหน่งและพี่ใส่ก้อเป็นพ่อนั่นแหละนั่งรีดให้ตอนเช้าทุกเช้าค่ะ เพราะว่าแม่เค้าไปทำงานที่โรงเรียนตั้งแต่ตีห้า เรื่องการดูแลลูกๆก่อนไปโรงเรียนทุกเช้าก้อคือพ่อโหน่งทำทั้งสิ้น
บางทีตอนเช้านะ โหน่งไม่อยากตื่นนอนตอนเช้า เวลาที่อากาศหนาว พ่อจะเอาเราขึ้นมากอดไว้บนตัก มันเป็นอะไรที่อบอุ่นมาก เวลาโหน่งกอดแอนดี้ทุกทีไว้ที่ตัก มันทำให้นึกถึงภาพที่พ่อกอดเราแบบนั้นในวัยเยาว์ รู้สึกถึงความรักของพ่อที่มีต่อเรา ในซอยบ้านเก่าที่โหน่งอยู่ โหน่งไม่เห็นมีพ่อคนไหนจะดูแลลูกของเค้าได้ดีเท่าพ่อโหน่งเลยจริงๆ
พ่อโหน่งเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากเหมือนโหน่งเนี่ยแหละ ชอบพูดตรงๆ เกลียดก้อแบบว่า พูดกันไปเลยว่าฉันเกลียดแก เป็นเหตุที่ทำให้คนไม่ชอบขี้หน้าพ่อโหน่งเอามาก แต่โหน่งก้อไม่แคร์นะ เพราะว่าพ่อของโหน่ง เค้าจะเป็นอย่างไรฉันก้อจะรักของฉันแบบนี้
ทุกครั้งที่โหน่งกับพ่อมีปากเสียงกัน พ่ออาจจะงอนโหน่งไปหลายวัน แต่โหน่งไม่เคยที่จะทำทิฐิกับพ่อเลย โหน่งจะคุยกับพ่อก่อน แม้ว่าคนผิดคือพ่อ เพราะเราอาจง้อใครตั้งมากมายในโลก ทำไมเราง้อพ่อตัวเองไม่ได้ล่ะ
โหน่งรักพ่อมาก แม่โหน่งก้อรักนะ แต่ว่าตอนเราเด็กสนิทกับพ่อมากกว่า สำหรับตัวโหน่งเองแล้ว ไม่เคยโทษพ่อแม่ว่าทำไมไม่มีอะไรให้เราบ้าง ไม่เห็นมีเงินทอง บ้าน หรืออะไรให้เราสบายเหมือนเพื่อนคนอื่น ตอนนี้รู้สึกภูมิใจที่เกิดมาได้เป็นคนที่เป็นคน
โหน่งรับปริญญาตามที่อยากทำให้พ่อแล้ว สี่ปีต่อมาโหน่งก้อได้แต่งงานกะคนที่รักโหน่ง โหน่งมีลูกน่ารักสองคน วันแต่งงานของโหน่งพ่อดีใจที่สุด การที่มีลูกสาวแล้วได้แต่งงานมันเป็นหน้าเป็นตาให้กับพ่อแม่
โหน่งหาบ้านให้พ่อแม่โหน่งได้ไปอยู่ โหน่งอยากให้พ่อกะแม่อยู่แบบสบายๆค่ะ พ่อมีความสุขที่ได้ย้ายบ้าน เพราะซอยบ้านเก่านั้นมีแต่ความเสื่อมโทรม หลานๆพ่อที่ย่าเคยเลี้ยงไว้ มาตอนนี้เค้าก้อกลับพาไม่เห็นหัวพ่อโหน่ง เค้าทะเลาะกับที่บ้าน ถึงขั้นตัดความสัมพันธ์กัน หลานพ่อส่วนใหญ่จะเป็นคนขายยาบ้าและติดคุก พวกเค้าอิจฉาที่ครอบครัวเรามีสิ่งที่ดีกว่า หลานพ่อที่ทำตัวเป็นหัวหน้าแก๊งค์วันดีคืนดี ก้อโยนขวดใส่บ้านบ้างมันแกล้งเมา
พอโหน่งแต่งงานได้ปีนึงก้อเลยหาที่ให้พ่อแม่อยู่ใหม่ทันที อยากให้พ่อสบายๆไม่ต้องฟังเสียงคนพาล พ่อย้ายบ้านใหม่ได้ไม่นาน ก้อต้องมาเจ็บป่วยลงในที่สุด บ้านที่หาไว้ให้พ่อ ต้องกลับกลายเป็นพ่อไปนอนอยู่โรงพยาบาลแทน
ทุกคืนโหน่งต้องฝันเห็นพ่อทุกคืน ไม่มีวันไหนไม่ฝัน ใจโหน่งก้อเป็นห่วงพ่อ คิดอยู่เสมอว่าตอนนี้เรามีเงินให้พ่อมากมาย ให้พ่อสบาย แต่เงินมันก้อไม่สามารถทำได้ทุกสิ่ง
โหน่งก้อไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พ่อจะหาย ถ้าพ่อหายจากการติดเชื้อจากการผ่าตัด พ่อก้อต้องรักษาคีโมต่ออีก ไม่รู้ว่าร่างกายพ่อจะต่อสู้ได้อีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าเรานอนๆอยู่ แล้วตื่นมาได้รับจดหมายหรืออะไรให้กลับเมืองไทยด่วนอีกเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าถ้าวันนึงเกิดอะไรไม่ดีกับพ่อแล้วเราจะได้ไปยืนอยู่กับเค้าไหม หรือเราอาจเป็นคนสุดท้ายหรือเปล่า เราทำอะไรไม่ได้เลย
ทุกวันนี้ขับรถออกไปไหน จะคอยคิดตลอดเวลาอยากให้พ่อมานั่งหน้ากับเรา แล้วพาพ่อขับรถเที่ยว เพราะพ่อเป็นคนชอบขับรถมาก พ่อชอบเป็นคนให้คำปรึกษาเรื่องรถ เราเลยอยากขับให้พ่อนั่ง แล้วถามพ่อว่าพ่อโหน่งขับรถเป็นอย่างไร เพราะที่เมืองไทยโหน่งไม่มีรถขับให้พ่อนั่ง อยากพาพ่อเที่ยวสวิส พ่อเคยพูดเสมออยากไปเมืองนอก อยากเอารูปไปอวดเพื่อนๆ พ่อยังเอารูปที่แม่มาสวิสไปให้เพื่อนเค้าดู ประหนึ่งตัวพ่อไปเอง หลายครั้งที่พ่อพูดถึงเมืองนอกเหมือนเคยไปมาแล้ว แต่ก้อมารู้ทีหลังว่าแกไปเซิร์ชหาที่กูเกิลว่าที่ๆโหน่งอยู่เป็นอย่างไร แกคงฝันว่าจะมาหาโหน่งที่สวิส โหน่งก้ออยากพาพ่อมาสวิสแทบขาดใจ แต่ความเจ็บป่วยของพ่อมันทำให้ฝันของพ่อและโหน่งไม่เป็นจริงเสียที
ตอนนี้โหน่งแค่ตั้งใจแค่ให้พ่อแข็งแรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โหน่งอยากพาพ่อมาสวิสแล้วให้โหน่งขับพารถเที่ยวสักครั้งในชีวิตโหน่ง
โหน่งเขียนเรื่องนี้เพราะตอนนี้โหน่งอยู่ในอารมณ์ที่คิดถึงพ่อมากที่สุด เพราะโหน่งฝันเห็นพ่อทุกคืน โหน่งจะปรินต์แล้วส่งเรื่องนี้ไปให้พ่ออ่านว่าโหน่งรักพ่อมากเพียงใด เรื่องเล่าเรื่องนี้โหน่งเขียนด้วยน้ำตาของคนๆหนึ่งที่คิดถึงพ่อ โหน่งทำใจในสิ่งๆที่จะเกิดขึ้น โหน่งทำใจถ้าวันนึงไม่มีพ่อแล้วโหน่งจะทำอย่างไร เพราะกลับไปเมืองไทยคราวนี้ไม่มีคนขับมอเตอร์ไซด์กับโหน่งเลย โหน่งก้อรู้สึกว่าอะไรมันแปลกๆไป โหน่งอยากนั่งมอเตอร์ไซด์ที่พ่อขับพาโหน่งล่อนไปหาของกินที่นู่นที่นี่
ชีวิตไม่แน่นอน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้ โหน่งรู้อย่างเดียวว่าอยากทำความฝันของพ่อที่จะมาสวิสให้เป็นจริงสักครั้งก้อยังดี มันอาจจะเป็นความสุขเดียวที่พ่ออยากได้ ณ ตอนนี้ก้อได้
เมื่อวันที่ : 23 ก.ค. 2551, 16.58 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...