![]() |
![]() |
อุทธิมันตา![]() |
...ใครก็ตามที่สามารถเขียนภาพได้ดีกว่า ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเดินทางตามครรลองของเขาหรือเธอ...
กามเทพกับพู่กัน-------------------
แปลจากเรื่องสั้น "Cupid and the Paint-Brush" โดย P.G. Wodehouse
ผู้ประพันธ์: พี. จี. วู๊ดเฮาส์
ผู้แปล: อุทธิมันตา
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
มาร์โจรีนั่งอยู่ใต้ต้นซีดาร์ที่สนามลอนเทนนิส สำหรับผมแล้วดูเหมือนว่าการใช้เวลาในช่วงเช้านี้ให้ดีที่สุด ก็คือการเดินไปที่นั่นและนั่งที่ใต้ต้นซีดาร์ที่สนามลอนเทนนิสนั้นด้วยเช่นกัน
"อรุณสวัสดิ์ครับ" ผมเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเดินไปหาเธอ ผมได้เจอเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่คำว่า "อรุณสวัสดิ์" มันช่างเป็นคำจูงใจเข้าบทสนทนาได้ดีเยี่ยมเสียจริง
"อรุณสวัสดิ์ค่ะ" มาร์โจรีเอ่ยตอบ เธอคั่นหน้าหนังสือที่เธอกำลังอ่านอยู่ด้วยนิ้วมือ และพยายามสร้างภาพให้ผมรู้สึกว่าเธอนั้นไม่ว่าง แต่ก็ยังพอจะเจียดเวลาให้ผมได้ซักสองนาที ถ้าผมมีอะไรบางอย่างที่สำคัญเป็นพิเศษจะพูด
ผมปฏิเสธที่จะสนับสนุนท่าทีอันไร้เหตุผลแบบนี้ ผมก็เลยดึงเอาหนังสือจากเธอมาอย่างละเมียดละไมแต่จริงจัง วางมันลงบนสนามหญ้าให้ไกลออกจากเอื้อมมือของเธอ แล้วก็เริ่มต้นอรัมภบท
"มาร์โจรีครับ" ผมกล่าวขึ้น
จากการที่ต้องเล่นบทบาทของจูเลียทคู่กับบทโรมีโอของผมอยู่บ่อยครั้ง [1] มาร์โจรีก็เลยติดนิสัยกับการอ่านใจผม ซึ่งในหลายต่อหลายครั้ง ผมเห็นว่ามันช่างอีหลุกขลุกขลักเสียจริงๆ
"ฉันน่าจะทำให้คุณอนาถใจ" เธอกล่าวขึ้น
"ไม่ต้องหรอกครับ" ผมบอกอย่างสุภาพ "เพราะนอกเหนือจากนี้แล้ว คุณกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ทำให้ผมอนาถใจ?"
"คุณไม่รู้เลยว่าฉันเป็นยังไง...จริงๆนะ...ไม่งั้นคุณก็คงไม่..."
"เพียรพยายามหรือครับ? แต่ว่าไปแล้วผมก็ควรจะนะครับ ผมรู้ดีมากว่าคุณซะอีกกว่าอะไรมันดีสำหรับคุณ คิดดูเถอะครับว่าผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแค่ไหน เราสองคนเป็นคู่สร้างคู่สมกันนะครับ"
มาร์โจรีแสดงท่าทีนึกไตร่ตรอง
"พูดมาเถอะครับ" ผมเสริมต่ออย่างสนับสนุน มาร์โจรีกับผมรู้จักกันมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กชายน้อยในชุดทหารเรือ
"เดี๋ยวคุณก็คงจะเกลียดขี้หน้าฉันในอีกไม่กี่ปี" เธอเอ่ยขึ้น
"ผมว่าเมื่อถึงตอนนั้น คุณอาจจะพิสมัยผมอย่างสุดเสน่หาขนาดคุณเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำนะครับ ผมน่ะเป็นเหมือนรสชาติพิเศษที่ถ้าได้ลิ้มลองแล้วซักครั้ง รับรองว่าไม่มีได้ลืมเลือนครับ"
"คุณก็รู้นี่ว่าแค่นี้น่ะมันไม่ได้...จริงๆเลยนะ"
"งั้นขอผมถามหน่อยเถอะว่าทำไมถึงไม่ได้ล่ะครับ? ผมหวังว่าเราน่าจะจัดการเรื่องนี้โดยไม่ต้องมีการโต้แย้งกัน ผมไม่ชอบที่จะถกเถียง"
"ฉันก็ไม่ชอบค่ะ"
"ถ้าอย่างั้นเถียงทำไมล่ะครับ? เห็นชอบกับผมเถอะ...แล้วทุกอย่างก็จะได้รับอภัยโทษ"
"คุณยังจะฟุ้งซ่านอยู่อีกรึเปล่าถ้าฉันจะบอกอะไรบางอย่างกับคุณ?"
"เป็นไปไม่ได้หรอกครับ"
"จริงๆแล้วมันไม่ใช่คุณหรอกนะคะที่ฉันคัดค้าน แต่เรื่องแต่งงานนั่นต่างหาก...ยังไม่ก่อน" วลีสุดท้ายนั้นถูกเติมเข้ามาเพียงแค่เป็นสายพันธุ์ของคำอธิบายเพิ่มเติม
"อ้า...นี่มันก็คือการยินยอมนะครับ อย่างงี้เรื่องการขอแต่งงานของผม...แสดงว่าคุณก็รับไว้พิจารณาใช่ไหมครับ?"
"ฉันนึกไว้แล้วเชียวว่ามันต้องทำให้คุณได้ใจ"
"ไม่เลยครับ แค่ความอิ่มเอิบใจตามปกติเท่านั้นเอง คุณคัดค้านอะไรเกี่ยวกับนามธรรมของการสมรสครับ? บอกข้อเสียที่สุดให้กับผมเถอะ หรือว่าคุณคือผู้หญิงกำลังมุ่งมั่นอยู่กับอุดมการณ์?"
"จะว่าไปแล้ว ฉันก็คิดว่าฉันเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ ฉันอยากจะลองเขียนภาพดู"
"แต่ว่า..."
"ฉันนึกแล้วว่าคุณต้องพูดขึ้นมาว่าแต่ อย่าทำเป็นแกล้งไม่รู้ไปหน่อยเลย ฉันก็หมายถึงเขียนภาพจิตรกรรมนั่นแหละค่ะ คุณไม่น่าจะบิดเบือนความหมายของคนอื่น...มันช่างเป็นอุปนิสัยที่ไม่ดีเอาซะเลย คุณช่วยกรุณาส่งหนังสือของฉันมาทีได้ไหมคะ?"
ผมจงใจเลื่อนไอ้เจ้าหนังสือตัวปัญหาออกไปให้ไกลกว่าเก่าด้วยเท้าของผม เพราะคำขอร้องของเธอในขณะนี้มันก็แค่เรื่องนอกประเด็น ผมก็เลยไม่สนใจมันเท่าไหร่
"คุณช่วยกรุณาคืนหนังสือของฉันมาด้วยค่ะ"
"ไม่ครับ คุณไม่สามารถที่จะทำกิจกรรมเขียนภาพต่อไปเมื่อคุณได้กลายมาเป็นภรรยาของผมแล้วหรือ?"
"ไม่ได้ค่ะ เพราะฉันอาจจะเกิดอาการขี้เกียจขึ้นมา"
"เราก็ทำกิจกรรมงานศิลป็ด้วยกันก็ได้นี่ครับ ผมเองก็เป็นศิลปินที่มีข้อดีแบบไม่ธรรมดาเหมือนกัน"
"คุณน่ะหรือคะ?"
"แน่นอนสิครับ งั้นคุณก็ไม่ได้เห็นบทวิจารณ์จากบรรดาหนังสือพิมพิ์ต่างๆเกี่ยวกับภาพเขียนของผมที่สถาบัณราชบัณฑิตศิลป์ล่ะสิเนี่ย?"
"ไม่ค่ะ แล้วคุณล่ะได้เห็นรึเปล่า?"
"ไม่ครับ แต่นั่นก็เพราะว่าไม่ได้มีรูปภาพอย่างที่ว่า แต่ว่างานจิตรกรรรมเนี่ย เป็นเกมที่คนสองคนสามารถเล่นได้นะครับ คุณรู้ไหมว่าตัวย่อของชื่อผมคืออะไร?...อาร์. เอ. ครับ" [2]
"แล้วไงคะ?"
"แล้วไง...ถ้านั่นไม่ใช่ลาง...แล้วอะไรจะเป็นลางครับ? คุณบอกผมมาทีเถอะ นี่...มาร์โจรีครับ....ผมว่าเราลองมาพนันกันสนุกๆดีกว่า เราต่างคนจะเขียนภาพส่งให้กับสถาบัณราชบัณฑิตศิลป์กันในปีนี้ และใครก็ตามที่สามารถเขียนภาพได้ดีกว่า ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเดินทางตามครรลองของเขาหรือเธอ (ผมว่าคงจะไม่ใช่เธอซะมากกว่า) ในเรื่องนี้"
"ใครจะเป็นกรรมการตัดสินคะ?"
"เราก็ไปเกี้ยวพาราสีทาบทามท่านประธาน แล้วขอความคิดเห็นส่วนตัวของท่าน แต่คุณต้องไม่ลงชื่อของคุณบนภาพนะครับ พวกสมาชิกของสถาบันราชบัณฑิตศิลป์เนี่ย...คุณก็รู้...ว่าพวกเขาต้องลงมติตัดสินเข้าข้างสุภาพสตรีโดยที่ไม่ได้ดูภาพอีกเป็นครั้งที่สองด้วยซ้ำ ตกลงนะครับ"
"ก็ได้ค่ะ ถึงแม้มันจะออกบ้าบอซะหน่อย"
"บ้าบอ! คุณครับ...นี่มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับผมเชียวนะครับ ผมอยากจะบอกคุณแค่นี้แหละ ตอนนี้คุณก็กลับไปอ่านไอ้หนังสือไร้สาระของคุณต่อเถอะครับ ผมได้เสียความสนใจของคุณไปแล้ว"
มาร์โจรีจากไปในวันรุ่งขึ้น แต่อีกสองอาทิตย์ต่อมาผมก็เจอเธอที่ในเมือง ผมกำลังเดินลงบันไดมาจากคลับ และทางคนของเราสองคน ด้วยเหตุบังเอิญอันน่ามหัศจรรย์ ดันเกิดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
"ภาพเขียนของคุณก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วครับ?" ผมถามขึ้น "โดยส่วนตัวแล้วผมนั้นเลือกเขียนภาพในเชิงสัญลักษณ์เปรียบเทียบครับ ผมตั้งชื่อภาพนี้ว่า การรอคอย ครับ"
"แหวกแนวดีนะคะ"
"จริงเหรอครับ? เรื่องสร้างสรรค์แบบแหวกแนวเนี่ยเรียกว่าเป็นงานอดิเรกของผมเลยนะครับ รูปนี้ผมตั้งใจจะโชว์สาวน้อยผู้งดงามที่แต่งกายด้วยชุดเรียบร้อยสีขาว ยืนอยู่บนสะพานเก่าแก่ โดยที่เธอนั้นหันหลังให้กับทิวทัศน์อันงามหยดย้อยของช่วงตะวันยอแสงในไสตล์ของเทอร์เนอร์ [3]"
"งั้นหรือคะ แล้วมันเกี่ยวกันยังไงกับชื่อของภาพคะ?"
"หญิงสาวเธอก็กำลังรอชายหนุ่มผู้ซึ่งเธอจงรักภักดีมีใจให้ไงครับ ตอนนี้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ภาพ แต่ว่าในมุมหนึ่งของผืนผ้าใบจะมีร่างของเทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งสำหรับผู้ชมที่มีไหวพริบอันเฉียบแหลมนั้น จะมองออกได้ทันทีเลยว่านี่คือ เทพบุตร "เฟม" [4] เทพเจ้าแห่งชื่อเสียงกิตติศัพท์ ผู้ซึ่งป่าวประกาศการมาเยือนของเขาด้วยโน๊ตดนตรีเพียงไม่กี่ตัวจากแตรของเขา สีหน้าที่มุ่งมั่นแต่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจตามธรรมชาตินั้นเปล่งประกายบนใบหน้าของหญิงสาวผู้โสภา"
"ฉันว่าก็คงอย่างที่คุณบอกไว้ล่ะนะคะ"
"แล้วภาพเขียนของคุณไปถึงไหนแล้วล่ะครับ มันจะออกมาเป็นรูปอะไร?"
"ฉันกำลังเขียนภาพวิวทิวทัศน์ค่ะ"
"มีรูปของสิ่งอื่นด้วยรึเปล่าครับ?"
"ก็มีวัวอยู่ตัวหนึ่งที่อยู่ในมุมหนึงของภาพ"
"ไม่มีอย่างอื่นอีกเหรอครับ"
"ไม่มีค่ะ"
"งั้นผมก็รู้สึกมั่นใจหน่อยครับ ในขณะที่ท่านประธานกำลังเลือกระหว่างคุณภาพของรูปวิว ท่านคงจะจำหญิงสาวผู้งดงามของผมได้ ผมจินตนาการเห็นท่านในตอนนั้น ใบหน้าของท่านเนี่ยบอกถึงความชื่นชมอย่างเต็มเปี่ยมเลยครับ"
"จริงเหรอคะ?"
"ใช่สิครับ ตอนนี้เห็นทีว่าในกรณีแบบนี้ คุณอยากจะถอนตัวออกจากการแข่งขัน แล้วก็ยอมรับความเป็นเหนือกว่าของผมไหมครับ?"
"ฉันไม่มีทางทำอย่างงั้นหรอกค่ะ เพราะฉันไม่เชื่อว่าคุณจะเขียนภาพได้เลยแม้แต่น้อย ฉันไม่เชื่อว่าคุณสามารถทำงานจิตรกรรมได้"
"สวัสดีครับ มิสโซเมอร์วิลล์" ผมกล่าวตอบ "หลังจากที่คุณพูดออกมาแบบนั้นแล้วเนี่ย คุณคงไม่คิดว่าผมยังจะสนทนาปราศัยกับคุณอยู่นะครับ นี่ครับ...เรามาถึงหน้าบ้านของคุณแล้ว ผมก็ขอลากสังขารอันบาดเจ็บของผมกลับโดยรถม้าละกันนะครับ"
วันส่งผลงานมาถึงแล้วก็ผ่านไป และในรุ่งเช้าของวันหนึ่ง ผมแวะไปที่บ้านโซเมอร์วิลล์และขอพบมาร์โจรี พ่อบ้านคิดว่าเธอนั้นอยู่ที่ห้องนั่งเล่น คนอื่นๆในครอบคร้วนั้นออกไปข้างนอกกันหมด แตทว่าเธอนั้นขอหยุดอยู่กับบ้าน เขาถามว่าเขาควรไปบอกเธอมั๊ยว่าผมมาหา ผมบอกไปว่าคงไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศว่าผมมาหรอก ผมจะไปที่ห้องนั่งเล่นเอง
ผมเคาะที่ประตูเป็นระยะๆในช่วงเวลาสี่สิบห้านาที (อาจจะไม่นานขนาดนั้นด้วยซ้ำ) แล้วก็เข้าไปข้างใน ตอนแรกห้องมันดูว่างเปล่า แต่แล้วผมก็เห็นร่างที่อ่อนปวกเปียกอยู่บนเก้าอี้โซฟา นั่นคือมาร์โจรี และเธอก็กำลังร้องไห้ ผมสามารถทนอะไรๆได้หลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมไม่สามารถทนเห็นได้ก็คือมาร์โจรี่ร้องไห้ เธอลุกตัวขึ้นเมื่อผมเข้ามา และก็พยายามกลบเกลื่อนร่องรอยด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ไม่ค่อยจะสมประกอบเอาซะเลย
"ผมเคาะแล้วนะครับ" ผมเอ่ยบอก "มาร์โจรีครับ บอกผมมาเถอะครับว่าคุณเป็นอะไร ภาพเขียนของคุณโดนปฏิเสธหรือครับ?"
"ใช่ค่ะ" เสียงสะอื้นเอ่ยขึ้นมาจากเก้าอี้โซฟา
"อย่าไปใส่ใจมันเลยนะครับ เพราะเราทั้งคู่ก็เหมือนกัน..."
"ตอนนี้ฉันรู้แล้วค่ะว่ามันงี่เง่าแค่ไหนที่ฉันเคยคิดว่าตัวฉันเองสามารถทำงานจิตรกรรมได้"
ผมจับสายตาของตัวเองได้ในเงากระจก ก็เลยขยิบตาให้ตัวเองด้วยความชอบพอใจ
"มาร์โจรีครับ" ผมพูดขึ้นในขณะที่วางมือนึงของผมบนมือของเธอ "เรามาลืมเรื่องการเดิมพันอันบ้าบอนั่นดีกว่านะครับ ตอบผมเหมือนกับว่าผมไม่เคยขอคุณมาก่อน และบอกผมว่าคุณจะตกลง...ได้ไหมครับ?"
ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าถึงเวลาอันเหมาะเจาะแล้วที่ผมจะยกมือของผมออกจากมือเธอ แล้วก็เลื่อนมันไปโอบที่เอวของเธอแทน เมื่อผมทำเช่นนั้น เธอเองก็มิได้คัดค้านอะไร
"มาร์โจรีครับ พูดว่า ตกลง สิครับ"
"ตกลงค่ะ" เสียงแผ่วกระซิบเอ่ยขึ้นมาจากโซฟา
หลังจากนั้น หลายสิ่งหลายอย่างดูช่างเหมาะเจาะ และผมเองก็ทำมันไปหมด เธอเองก็ดูเหมือนว่าชอบพอกับมันซะด้วยซ้ำ
"มาร์โจรีครับ" ผมเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบกริบมาเป็นเวลานาน "คุณรู้ไหมครับว่าทำไมผมถึงมาที่นี่ในวันนี้? ผมแค่อยากให้คุณยอมรับผมถึงแม้ว่าเราจะมีเรื่องเดิมพันที่บ้าบอนั่นกัน"
"แต่คุณชนะมันค่ะ"
"ไม่ครับ มันเป็นเกมที่เสมอกัน ภาพเขียนของผมนั้นคว้าน้ำเหลวในการสร้างความประทับใจให้กับคณะกรรมการเช่นกันครับ"
"อะไรนะคะ!...คุณถูกปฏิเสธเหรอ?"
"ภาพเขียนผมถูกปฏิเสธ แต่ผมนั้นได้รับการยอมรับ...จากคุณ อย่าไปไหนนะครับ"
เธอไม่ได้เคลื่อนตัวไปไหน
อีกชั่วยามของความเงียบงันผ่านไป
"เราน่าจะลองการถ่ายภาพนะครับ" ผมเอ่ยขึ้นมาในที่สุดหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน "แชร์กล้องถ่ายรูปแล้วก็ล้างรูปออกมาจากแผ่นฟิล์มเดียวกัน"
มาร์โจรีลุกขึ้นมาทันใด
"คุณรู้ไหมคะ" เธอกล่าวขึ้น "ฉันเองก็ไม่ได้ใส่ใจมากมายอะไรกับเรื่องภาพเขียนหรอกนะคะ ฉันไม่เคยคิดยกย่องสถาบัณราชบัณฑิตศิลป์เท่าไหร่นัก คุณรู้ไหมคะว่ามันช่าง...ช่าง..."
"ใช่สิครับ...ใช่จริงๆด้วย" ผมเอ่ยตอบ ตรงไปอย่างที่ผมคิดเกี่ยวกับมันมาเสมอ "อย่าไปไหนนะครับ"
เธอก็ไม่ได้ลุกไปไหน
--จบบริบูรณ์--
_____________________________________
TRANSLATION NOTE:
[1] การอ้างอิง หรือ Allusion ถึงบทละครเรื่อง Romeo & Juliet ของ William Shakespeares
[2] R.A. -- เป็นอักษรย่อมาจาก Royal Academian ซึ่งบ่งบอกถึงตำแหน่งของผู้เป็นสมาชิกของ Royal Academy of Arts หรือ สถาบัณราชบัณฑิตศิลป์ (Royal Academy of which is an independent institution, led by distinguished artists and architects whose purpose is to promote the creation, enjoyment and appreciation of the visual arts through exhibitions, education and debate.)
[3] Turnuresque - ภาพเขียนในสไตล์ของ โจเซฟ เทอร์เน่อร์ (Joseph Turner) นักจิตรกรชาวอังกฤษผู้เขียนภาพจิตรกรรมในแนว Impressionism
[4] "Fame" or "Fama" เป็น god/goddess of fame in Roman Mythology หรือเทพแห่งชื่อเสียงกิตติศัพท์ จากเทพนิยายโรมัน
เมื่อวันที่ : 09 มิ.ย. 2551, 12.32 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...