![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
เสียงของนายจี๊ดน้องเขยของข้าพเจ้าเอ่ยประโยคแรกผ่านสายโทรศัพท์
"นี่ผมกำลังให้เจ้ากั้งลูกชายขับรถพาแป๊วรีบไปดูที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐมแล้ว"
จำได้ว่าทันทีที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนายจี๊ดเอ่ยครั้งแรก ก็รู้สึกราวกับว่ามีก้อนอะไรแข็งๆมาจุกอยู่ที่คอหอย ทำให้พูดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก ข้าพเจ้าทรุดลงไปนั่งจมบนโซฟาข้างโต๊ะที่ตั้งโทรศัพท์ทั้งๆที่มือยังคงถือหูโทรศัพท์อยู่
นิ่งอยู่สักครู่เสียงนายจี๊ดก็ผ่านหูโทรศัพท์มาอีกครั้ง
"พี่...พี่ฟังอยู่หรือเปล่า?" เสียงถามเหมือนเป็นกังวล
"ฮื่อ!...ฟังอยู่" เสียงของข้าพเจ้าคงค่อยมาก เพราะตามปกตินั้นข้าพเจ้าเป็นคนพูดโทนเสียงค่อยอยู่แล้ว ทำให้อีกฝ่ายคงแทบไม่ได้ยินเสียง
"พี่พูดดังๆหน่อยซิ ผมไม่ค่อยได้ยิน" นายจี๊ดย้ำ "เสียงพี่ค่อยจังเลย"
"แม่ล้มยังไง?" ข้าพเจ้าถามเหมือนคนใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
"ล้มหัวฟาดกับขอบเตียง" เสียงคนพูดปลายสายก็ฟังดูเหมือนกำลังตื่นเต้นอยู่เช่นเดียวกัน
"หา...!" ข้าพเจ้าอุทานเสียงดังพร้อมขนลุกซู่โดยไม่รู้ตัว ไม่มีคำพูดใดลอดผ่านออกจากปากของข้าพเจ้าอีกต่อไป
"จริงๆพี่ หัวแม่ฟาดกับขอบเตียงแตกมีเลือดออกด้วย"
"มีเลือดด้วย...ย......!" เสียงของข้าพเจ้าคงขาดหายไปอีก
"แม่เป็นอัมพาตไปครึ่งตัว ผมว่าพี่รีบตามไปที่โรงพยาบาลดีกว่า พี่ติดต่อโทร.คุยกับแป๊วก็แล้วกัน"
นายจี๊ดเป็นเจ้าของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าชุดนักเรียน ซึ่งมีโรงงานอยู่ย่านเขตภาษีเจริญ ปลูกบ้านอยู่แถวพุทธมณฑล ทำให้สามารถไปถึงนครปฐมได้เร็วกว่าข้าพเจ้าเกือบเท่าตัว นายจี๊ดเป็นเขยที่มีน้ำใจงามคนหนึ่ง นับถือและเอื้ออาทรญาติทางภรรยาเช่นเดียวกับญาติของตนเอง นับว่าเขาเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียวสำหรับนายจี๊ดคนนี้ แป๊วน้องสาวคนเดียวของข้าพเจ้าเลือกคนไม่ผิด!
นายจี๊ดวางสายไปนานแล้ว ขณะที่ข้าพเจ้ายังคงนั่งจ้องหูโทรศัพท์นิ่งอยู่ราวกับว่ามีใบหน้าของมารดาผู้เปรียบเสมือนแม่พระประจำตัวมาลอยเด่นอยู่ตรงหน้า
"แม่ไม่เป็นไรหรอกลูก แม่สบายดี" แม่ของข้าพเจ้าชอบพูดคำนี้เสมอใบหน้ายิ้มน้อยๆไม่เคยเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่แม่ไม่สบายและรู้สึกตัว
เจ้านุ้ยลูกชายของข้าพเจ้ารับอาสาไปส่งข้าพเจ้ากับแม่บ้านทันทีที่รู้ข่าวอย่างกระตือรือร้น เจ้าหมอนี่ขับรถดีแต่ติดที่ใจเร็วไปหน่อย สมัยแรกๆต้องคอยเตือนและร้อง "เฮ้ย!" อยู่บ่อยๆ แต่ปัจจุบันชักชินเสียแล้วเมื่อต้องอาศัยบริการของเจ้านุ้ยหรือเจ้าโหน่งลูกชายอีกคนของข้าพเจ้าเพื่อการสัญจร ซึ่งโดยส่วนมากแล้วข้าพเจ้าจะนิยมขับเจ้าอีแก่กระป๋องคันเก่าไปเอง แม้จะช้าไปบ้างแต่ก็สบายใจไม่รีบร้อน โดยถือคติว่าปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
ถึงโรงพยาบาลศูนย์นครปฐมโดยไม่นาน!
แม่แป๊วน้องสาวของข้าพเจ้ารีบบอกถึงความโชคดีที่ได้ห้องพิเศษซึ่งมีว่างพอดีที่ตึกอาคารหลังใหม่ชื่ออาคาร ๕๕ ปี อยู่ชั้น ๕ ได้ห้องหมายเลข ๕๑๐ นับว่าเป็นความโชคดีจริงๆของคุณแม่ เพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามธรรมดาที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐมแห่งนี้ห้องผู้ป่วยพิเศษจะเต็มอยู่ตลอดเวลา ต้องรอคิว โดยเฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างนี้แทบไม่มีโอกาสเลย
คุณหมอที่มาดูแลคนป่วยให้ความสนใจดีมากทั้งคุณหมอเจ้าของไข้และคุณหมอเวรประจำวัน รวมทั้งพยาบาลด้วย นับว่ามาตรฐานของโรงพยาบาลรัฐบาลของเราพัฒนาด้านบุคลากรดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
เสียอย่างเดียวหลังจากผลการตรวจทุกอย่างหมดตามกระบวนการแล้ว คุณหมอท่านไม่ค่อยให้ความกระจ่างกับผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยเท่าที่ควรคือมาตรวจถามอาการจดอะไรยิกๆแล้วก็ไป ถ้าไม่ถามท่านก็ไม่บอกถึงความคืบหน้าถึงผลของการรักษา คอยรอวันต่อไปเพียงอย่างเดียว!
คิดว่าประชาชนทั่วไปที่มารับการบริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลนั้น ควรมีการฝึกอบรมให้รู้จักวิธีในการเป็นผู้ป่วยที่ดีได้อย่างไรบ้างในเบื้องต้น ก็น่าจะดีไม่น้อยทีเดียว คือต้องรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อไหร่ควรถามและควรถามอะไรที่ไม่ทำให้คุณหมอและพยาบาลท่านหงุดหงิด จะสอนหรืออบรมในโรงเรียนหรือระดับตำบลหมู่บ้านก็ได้แล้วแต่ความเหมาะสม ถ้ามีประกาศนียบัตรให้ด้วยก็ยิ่งดี(แฮ่..ล้อเล่นน่ะ)
เพ้อรำพึงรำพันมากไป เอาเป็นว่าที่โรงพยาบาลศูนย์นครปฐมแห่งนี้ มาตรฐานการบริการเขาดีเยี่ยมในระดับหนึ่งทีเดียว ขอขอบพระคุณในความกรุณาของคุณหมอและพยาบาลแทนคุณแม่ของข้าพเจ้ามา ณ ที่นี้ด้วยความจริงใจ!
อาการของคุณแม่นอกจากแผลที่ขมับขวาแล้วอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จะมีปวดหัว ปวดขาขวาและปวดหลังบ้างพอทนได้
ผลเอกซเรย์ก็ไม่น่าห่วง เพราะไม่มีที่ใดบุบสลาย นับว่าทำให้ลูกหลานพากันรู้สึกโล่งอกไปแยะทีเดียวเชียวคุณแม่เอ๋ย!
แต่ปัญหาหนักกลับกลายเป็นว่าอยู่ที่คุณพ่อ ซึ่งท่านไม่ยอมอยู่บ้านเมื่อคุณแม่ต้องเข้าโรงพยาบาล ใครจะรับไปอยู่ด้วยก็ไม่ยอมไป การที่จะทิ้งให้ท่านอยู่คนเดียวยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะท่านอายุ ๙๐ ปีหลงๆลืมๆแล้ว โดยเฉพาะท่านไม่ยอมฟังใครง่ายๆ ท่านจะถือตนเองเป็นใหญ่เพราะอดีตท่านคือนายตำรวจ และอีกอย่างคือเราไม่อยากขัดใจท่าน อยากให้ท่านมีความสุขไปตามที่ท่านต้องการ
ส่วนน้องสาวคนละแม่อีกคนที่ชื่อจงกลซึ่งรับอาสาดูแลท่านทั้งสองตลอดหลายปีมานี่ ก็ไม่อยู่ด้วยในขณะนั้น โดยหลังจากที่พาคุณแม่เข้าโรงพยาบาลได้วันเดียว พอวันรุ่งขึ้นเธอก็ต้องรีบไปทำธุระจำเป็นส่วนตัวของเธอเกี่ยวกับลูกๆของเธอและสุขภาพของเธอเองที่กทม.เช่นกันสักสองสามวัน อันเป็นช่วงที่คุณแม่เข้าโรงพยาบาลพอดี
วันแรกเราให้คุณพ่อนอนบนโซฟาในห้องผู้ป่วยกับคุณแม่ ๑ คืนเพราะท่านไม่ยอมกลับบ้านหรือไปอยู่กับใครไม่ว่าบ้านของแป๊วน้องสาวหรือบ้านของข้าพเจ้าที่เป็นลูกชายคนโต สาเหตุด้วยท่านยังมีอคติว่าเราคอยจะหลอกพาท่านไปอยู่ที่บ้านของเราอยู่เรื่อย ทั้งนี้ก็เพราะท่านติดที่ติดบ้านเสียแล้ว
เพราะอดีตครั้งหนึ่ง คุณแม่เข้าโรงพยาบาลอย่างนี้แหละ หลังจากส่งแม่ที่โรงพยาบาลแล้วข้าพเจ้าก็พาท่านขึ้นรถเดินทางต่อจะไปพำนักอยู่ด้วยกันชั่วคราว ณ บ้านของข้าพเจ้าที่บ้านประชาชื่น แต่พอรถแล่นผ่านทางแยกเข้าอำเภอบ้านแพ้วตรงหน้าวัดพระประโทน ที่ทางแยกจะมีป้ายบอกทางเข้ากรุงเทพฯ พอท่านแลเห็นป้ายเท่านั้นเองแหละครับ คุณพ่อก็คว้าไม้เท้าประจำตัว พร้อมกับบอกให้ข้าพเจ้าจอดรถเดี๋ยวนี้ และทำท่าจะเปิดประตูในขณะที่รถกำลังวิ่งด้วยความเร็ว
เจ้าประคุณเอ๋ย! ข้าพเจ้าภาวนาคุณพระคุณเจ้า คุณบิดามารดาขอให้ช่วยด้วย แต่ลืมไปว่าคุณบิดาเองนั่นแหละคือต้นเหตุ ทำให้ข้าพเจ้าค่อยๆเบรกและหลบไปจอดข้างทาง การต่อรองใช้เวลานานพอสมควร สรุปแล้วท่านก็ไม่ยอมไปไหน จะกลับบ้านสวนที่ตำบลหนองดินแดงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จนในที่สุดคุณพ่อก็เป็นฝ่ายชนะตามเคย ทั้งข้าพเจ้าและแป๊วน้องสาวไม่อาจทัดทานได้ ข้าพเจ้าต้องคอยไปนอนเฝ้าคุณพ่ออยู่ที่บ้านสวนหลายวันจนกว่าคุณแม่จะหายเป็นปกติกลับจากโรงพยาบาลได้
คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้ากลับไปเอารถกระป๋องอีแก่ประจำตัวคันเก่งที่บ้านประชาชื่นเพื่อมารับคุณพ่อกลับบ้านสวนที่นครปฐม ซึ่งกว่าท่านจะยอมกลับได้ในตอนแรกก็ต้องอาศัยพยาบาลเวรประจำวันนั้นทั้งปลอบทั้งขู่สาธยายถึงความจำเป็นที่ต้องให้มีผู้เฝ้าผู้ป่วยได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แกควรมาเยี่ยมใหม่ในวันรุ่งขึ้น ผู้ที่เฝ้าแม่ก็คือแป๊วน้องสาวเพราะอดีตเธอเป็นพยาบาลก่อนที่จะมาแต่งงานกับนายจี๊ด ส่วนข้าพเจ้าอยู่กับคุณพ่อที่บ้าน
ครั้งนี้เหตุการณ์ไม่ตึงเครียดเหมือนที่คิด อาจเป็นเพราะว่าเราสองคนรู้แล้วว่าควรปฏิบัติตัวกันอย่างไรจึงจะถูกใจคุณพ่อทั้งที่แกเองคงไม่รู้เรื่องหรือรับรู้อะไรแล้วโดยปริยาย ดูตามรูปการณ์แล้วคุณแม่คงต้องอยู่โรงพยาบาลนานยาวหลายวันทีเดียวกว่าจะหายกลับบ้านได้
ข้าพเจ้าพาคุณพ่อไปเยี่ยมคุณแม่ทุกวัน มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากที่เรา ๔ คนมีคุณพ่อ คุณแม่ ข้าพเจ้าและแป๊วน้องสาวมารวมกันอยู่พร้อมหน้าได้ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ท่าน มันเป็นความสุขที่หาอะไรมาเปรียบได้ยาก แม้ว่าสถานที่นั้นจะเป็นเพียงห้องผู้ป่วยเล็กๆภายโรงพยาบาลก็ตามที
ซึ่งวันนี้เป็นวันที่ห้าแล้วที่คุณแม่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล อาการท่านดีขึ้นมากแต่ยังคงปวดที่ขมับขวาตรงแผลที่ล้มฟาด และความดันโลหิตก็ยังขึ้นๆลงๆไม่นิ่ง คงต้องรอดูอาการต่อไปก่อนอีกสักพัก
กลับมาที่บ้านในตอนเย็นหลังอาหาร อากาศเริ่มเย็นลง แม้จะมีบ้านญาติกันปลูกอยู่ไม่ห่างอีกสองสามหลังเพราะเป็นเครือญาติเก่าแก่กันมาตั้งแต่สมัยยายทวด หากพอตกเย็นก็พากันเข้าบ้านเงียบไม่คึกคักเหมือนสมัยที่ข้าพเจ้ายังเด็ก เพราะสมัยก่อนจะมีคนตักน้ำหาบมาจากบ่อน้ำข้างคลองหลังบ้านบ้าง จูงวัวเข้าคอกบ้าง สุมไฟไล่ยุงบ้าง สีข้าวบ้าง ตำข้าวบ้าง ผ่าฟืนบ้าง เสียงตำน้ำพริกบ้างหรือก่อไฟหุงข้าวจากฟืนควันโขมง ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
นานๆได้หวนคำนึงถึงความหลังในอดีตราวกับมีลมพัดเอาฝุ่นละอองแห่งความทันสมัยของเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้ค่อยๆปลิวหายไป เผยให้เห็นถึงความงดงามของธรรมชาติในอดีตจากความทรงจำเข้ามาแทนที่
ข้าพเจ้าเดินไปที่ตู้ลิ้นชักไม้สักหลังเก่าที่คราบเงาของแล็คเก้อร์แทบไม่เหลือให้เห็นแล้ว ดึงลิ้นชักชั้นบนออกมาหยิบเอาหีบเพลงปากตัวเก่าคร่ำขึ้นมาลูบระลึกถึงเมื่อครั้งวัยรุ่นเคยเอาออกมาเป่าเล่นกับน้าชายที่ตีกลองรำโทนและเพื่อนอีกสองคนเป่าขลุ่ยตีฉิ่งและตีฉาบ ทำเสียงดังหนวกหูชาวบ้านจนต้องถูกขอร้องแกมบังคับให้ย้ายออกไปบรรเลงกันกลางทุ่งนา
ข้าพเจ้าเอาหีบเพลงปากไปทำความสะอาดและทดลองเป่าจนเห็นว่าพอที่จะรื้อฟื้นความจำได้อย่างกระท่อนกระแท่น เริ่มบรรเลงเป่าจากเพลง ลาสาวแม่กลอง โปรดเถิดดวงใจ เสียงขลุ่ยเรียกนาง เดือนเพ็ญ ฯลฯ เรื่อยไปอย่างเพลิดเพลินถูกบ้างผิดบ้างไปตามประสา
เจ้าฟีฟ่าหลานชายตัวเล็กอายุ ๕ ขวบซึ่งน่าจะเป็นเหลนมากกว่าเพราะเป็นลูกของนายชินลูกชายของนายสิทธิ์ และนายสิทธิ์นี้ก็นับเป็นญาติผู้น้องของข้าพเจ้าเพราะเป็นลูกชายของยายเล็กของข้าพเจ้าอีกที ลำดับญาติแล้วน่าปวดหัวพอสมควร ขอเรียกมันว่าเจ้าฟีฟ่าหลานชายก็แล้วกัน เจ้าฟีฟ่าแอบมานั่งข้างข้าพเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เพราะมัวแต่เพลินไปกับของเล่นตามประสาคนแก่เห่อของเก่า เจ้าฟีฟ่านั่งเอามือทั้งสองข้างเท้าคางฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ปล่อยให้ลมหวนพัดเอาฝุ่นละอองแห่งอารมณ์ปัจจุบันค่อยๆจางหายไปเผยให้เห็นธาตุแท้ของอารมณ์ที่ซ่อนลึกอยู่ภายในโดยไม่รู้ตัว การบรรเลงเป่าหีบเพลงปากจากเพลงสู่เพลงตามแต่จะนึกได้ เรื่อยมาถึงเพลงขอให้เหมือนเดิม เพลงธารน้ำรักและจนกระทั่งมาสุดท้ายที่เพลงค่าน้ำนม แต่พอถึงท่อนกลางอันเป็นท่อนแยกที่มีเนื้อร้องว่า
"...ควรคิดพินิจให้ดี
ค่าน้ำนมแม่นี้จะมีอะไรเหมาะสม
โอ้ว่าแม่จ๋า...ลูกคิดถึงค่าน้ำนม
เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน..."
พลันก็รู้สึกว่ามีน้ำอุ่นๆผ่านร่องน้ำตาหยาดลงมาบนแก้ม! และได้ยินเสียงเจ้าฟีฟ่าร้องถามว่า
"เป่าเพลงเพราะๆแล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วยล่ะ?"
*********
เมื่อวันที่ : 15 พ.ย. 2550, 15.56 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...