![]() |
![]() |
พญาไฟ![]() |
เขียนโดยพระภิกษุเวียตนาม ชื่อ ติช นัท ฮันห์
แปลโดย รสนา โตสิตระกูล และสันติสุข โสภณสิริ
จัดพิมพ์โดย มูลนิธิโกมลคีมทอง
คัดลอกบางส่วนมาให้อ่านกันต่อค่ะ










"เมื่อการรับประทานเสร็จสิ้นลง สุชาดาก็เก็บใบตอง จากนั้นก็หยิบเหยือกใส่น้ำสะอาด รินใส่แก้วที่เธอนำมา แล้วถวายให้แก่พระสิทธัตถะ พระองค์ทรงรับแก้วน้ำด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง แล้วทรงยื่นให้แก่สวัสติ สวัสติหน้าแดง พูดตะกุกตะกักว่า "เชิญนาย เอ้ย ผมหมายถึง พระอาจารย์ดื่มเป็นคนแรกครับ"
พระสิทธัตถะทรงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "เธอดื่มเป็นคนแรกเถิด เราต้องการให้เธอดื่มเป็นคนแรก" พระองค์ทรงยกแก้วพร้อมกับยื่นให้แก่สวัสติ
สวัสติรู้สึกสับสน แต่ไม่รู้จะปฏิเสธเกียรติอันไม่คุ้นเคยนี้อย่างไร เขาพนมมือไหว้ขอบพระคุณพร้อมกับรับแก้วน้ำมา เขาดื่มน้ำรวดเดียวหมดแก้ว เขายื่นแก้วคืนให้แก่พระสิทธัตถะ พระสิทธัตถะทรงขอให้สุชาดารินน้ำให้อีกเป็นแก้วที่สอง จากนั้นพระองค์ทรงยกแก้วขึ้นจิบน้ำอย่างช้า ๆ ด้วยความอ่อนน้อมและด้วยความพึงพอใจอย่างลึกซึ้ง สายตาของสุชาดาไม่ได้คลาดจากพระสิทธัตถะและสวัสติในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อพระสิทธัตถะทรงดื่มน้ำแล้ว พระองค์ก็ทรงขอให้สุชาดารินน้ำให้เป็นแก้วที่สาม แก้วนี้พระสิทธัตถะทรงยื่นให้แก่สุชาดา สุขาดาวางเหยือกน้ำลง พนมมือไหว้ขอบพระคุณพร้อมกับรับเอาแก้วน้ำมา เธอยกแก้ขึ้นดื่มอย่างช้า ๆ ดุจเดียวกับที่พระสิทธัตถะทรงทำ เธอรู้ดีว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอดื่มน้ำจากแก้วเดียวกับคนในวรรณะจัณฑาล แต่พระสิทธัตถะเป็นพระอาจารย์ของเธอ ในเมื่อท่านทำเช่นนั้นได้ แล้วทำไมเธอจะทำไม่ได้ และเธอสังเกตได้ว่า ตนเองไม่ได้รู้สึกว่าถูกแปดเปื้อนให้มีมลทินแต่อย่างใด เธอค่อย ๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสเรือนผมของเด็กเลี้ยงควาย ด้วยความตกใจสวัสติจึงไม่ทันที่จะถอยตัวออกห่าง เมื่อสุชาดาดื่มน้ำเสร็จ เธอวางแก้วเปล่าลงพร้อมกับยิ้มให้แก่สหายทั้งสอง
พระสิทธัตถะทรงก้มพระเศียร "เด็ก ๆ คงจะเข้าใจแล้วนะ ว่าคนเราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับวรรณะ น้ำตาของทุก ๆ คนมีรสเค็ม และเลือดของทุกคนมีสีแดง เป็นสิ่งไม่ถูกต้องที่แบ่งแยกคนด้วยวรรณะ และก่อให้เกิดการแบ่งพวกและอคติต่อกัน สิ่งนี้ปรากฎชัดต่อเราในขณะบำเพ็ญสมาธิ"
สุชาดามีท่าทีครุ่นคิดและกล่าวขึ้นว่า "พวกเราเป็นลูกศิษย์ของท่าน และพวกเราก็เชื่อคำสอนของท่าน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเหมือนท่านเลยในโลกนี้ ทุกคนเชื่อว่า วรรณะศูทรและจัณฑาล มาจากเท้าของพระพรหม แม้แต่ในพระคัมภีร์ต่าง ๆ ก็กล่าวไว้เช่นนั้น ไม่มีใครกล้าคิดต่างไปจากนี้"
"อาตมาก็รู้ แต่ว่าสัจจะย่อมเป็นสัจจะ ไม่ว่าคนจะเชื่อหรือไม่ แม้จะมีคนสักล้านคนที่เชื่อในความเท็จ มันก็คงเป็นความเท็จอยู่ดี เธอจะต้องมีความกล้าหาญที่เชื่อในสัจจะ"












หลังจากนั้น สุชาดา และสวัสติ จะพาเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ไปพบเจ้าชายสิทธัตถะ เด็ก ๆ จะพากันนั่งเบื้องหน้าเจ้าชายเพื่อฟังคำสั่งสอน และขอให้พระองค์เล่าเรื่องราวชีวิตของพระองค์อยู่เสมอ นอกจากนั้นก็จะรับประทานอาหารร่วมกันและพากันนั่งสมาธิ เป็นเช่นนี้ทุกวันจนกระทั่งเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้
เมื่อวันที่ : 13 เม.ย. 2550, 23.58 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...