![]() |
![]() |
ลุงเปี๊ยก![]() |
หนังสือแปลชื่อ ถนนจระเข้ (The Street of Crocodiles)
อันเป็นงานเขียนของบรูโน ชูลซ์ วรรณกรรมเซอร์เรียลิสม์
ที่ผมเพิ่งหยิบมาอ่านเป็นรอบที่สามสิบ...
เขายืนตัวซีดอยู่ภายใต้เงาของหลังคาห้องน้ำกลางแดดใกล้เที่ยง มันเป็นวันที่อากาศหนาวที่สุดส่งท้ายปี พ.ศ. ๒๕๔๙ แสงสว่างแลบเลียเข้ามาจากซอกประตูไม้ชื้น ๆ ที่งับได้ไม่สนิท แถบสีขาวแคบ ๆ ยาว ๆ จึงทาบบนเงาร่างของมนุษย์เปลือยที่กำลังมองสายน้ำเล็ก ๆ อย่างต่อรอง
ด้วยสัมผัสของฝ่าเท้าเปล่าเหยียบความเย็นของพื้นซีเมนต์เปียก เขากลั้นใจตักน้ำเต็มขันราดตัวเร็ว ๆ บ่อสี่เหลี่ยมที่กินน้ำหน้าหนาวเอาไว้จนพุงกางอย่างนี้ ไม่ต่างจากกระติกน้ำแข็งที่เพิ่งละลาย เตรียมใจล่วงหน้าว่าต้องเย็นกรีดผิว ถึงกระนั้นยังรู้สึกชัดว่าท่อนแขนถูกหนามของขุมขนแทงออกมาจนกลายเป็นผิวส้มโอ
อย่างรวดเร็วเขาตักน้ำอีกขันราดเส้นผมที่ไม่ได้สระมาหลายวัน วันพิเศษแบบนี้ต้องเอี่ยมอ่อง แม้จะหนาวจนอยากจะกอดกองไฟก็ตาม และจากนั้นการพันตูระหว่างความหนาวเยือกกับภาระในการชำระร่างกายก็ปะทะกันตามวิถีของมัน ลงเอยด้วยกลิ่นสะอาดของสบู่และแชมพูสระผม และการที่คน ๆ หนึ่งจะเกิดอาการสั่นสะท้านเหมือนหมาที่วิ่งไปสบัดขนหลังถูกจับไปอาบน้ำ...
------
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
การเขียนเลียนแบบวิธีเขียนบรรยายแบบเหนือจริง เป็นอะไรที่สนุกและท้าทายมาก ๆ ครับ แต่ด้วยความที่ประสบการณ์น้อยนัก จึงเขียนออกมาได้แค่ไม่กี่ย่อหน้าในครั้งแรก แต่ก็อยากจะเอามาโพสต์ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านและอยากจะกระตุ้นให้พวกเราลองเขียนอะไรที่แปลกออกไปดูสักหน่อย ถือว่าเป็นการเขียนแบบทดลองดูก็แล้วกัน *: p
ผมซื้อหนังสือแปลเล่มนี้มาจากงานสัปดาห์หนังสือหลายปีก่อน ครั้งแรกที่หยิบมาอ่านยอมรับตามตรงว่า "อ่านไม่รู้เรื่อง" และถึงขณะนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องราวว่ามันยังไงกันแน่ แต่ทุกครั้งที่พยายามอ่าน ผมจะต้องเกิดความทึ่งในวิธีการเล่าเรื่องของผู้เขียนทุกครั้ง และความทึ่งนี้แหละ ทำให้อยากจะลองเขียนเลียนแบบดูสักตั้ง
โดยส่วนตัวแม้จะได้อ่านงานเขียนแนวเหนือจริงมาบ้าง และส่วนใหญ่มักจะเป็นการบรรยายสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เห็นภาพซ้อนทับกันในจินตนาการของผู้แต่งมากกว่า อย่างเช่นการบรรยายนิมิตขณะบรรลุธรรมของเฮอร์มานน์ เฮสเสในเรื่องสิทธารถะ หรือแม้แต่ผลงานโหด ๆ อ่านยากเช่นสเต็ปเปนวูฟ ที่มีการบรรยายแนวเหนือจริงแทบตลอดเล่ม แต่งานของบรูโน ชูลซ์แตกต่างออกไปมาก
งานของบรูโน ชูลซ์ เรื่องนี้บรรยายภาพสิ่งที่เราเห็นได้อยู่แล้วออกมาเป็นแบบที่เราไม่เคยคิด หรือมองเห็นแบบนั้นมาก่อน และผู้อ่านจะต้องพยักหน้ายอมรับตามภาพที่เขาวาดออกมาด้วยตัวอักษรนั้นได้(หลังจากอ่านทวนสักหลายรอบ) และภาพที่เห็นจากการอ่านนั้น ก็มักจะติดตากว่าภาพสามัญทั่วไปซะอีก
เอาเป็นว่าจะขอลอกบทแรกมาให้อ่านเป็นตัวอย่างสักเล็กน้อยดีกว่า เพื่อให้ท่านได้สัมผัสสิ่งที่ทำให้ผมทึ่งจนต้องมานั่งเคาะแป้นคีย์บอร์ดอยู่นี่ ดังนี้
=====
--- ในเดือนกรกฏาพ่อออกไปท่องเขตน่านน้ำ ปล่อยให้ผมกับแม่และพี่ชาย เป็นเหยื่อวันพร่าพรายด้วยแสงสีขาวแสบตาของฤดูร้อน เราชุบตัวลงในหนังสือมหึมาแห่งวันหยุดเล่มนั้น แผ่นหน้าของมันเป็นเปลวไหม้ด้วยแสงอาทิตย์ และออกกลิ่นละลายหวาน ๆ ของเปลือกลูกแพร์สีทอง
--- ยามเช้าสว่างจ้าเหล่านั้น อาเดลากลับจากตลาดเหมือน*โพโมนา(*เทพธิดาแห่งพืชผลไม้ในศรัทธาของชาวโรมัน)โผล่ออกมาจากเปลวเพลิงแห่งวัน ล้นจากตะกร้าของหล่อนด้วยความสวยหลากสีของดวงตะวัน เชอร์รี่สีชมพูสดวาวฉ่ำน้ำใต้ผิวใสโปร่งแสง มอเรลลอสสีดำลึกลับที่ให้กลิ่นหอมมากกว่ารสชาติของมันมาก อาพริค็อทซึ่งเปลือกสีทองของมันวางไว้ด้วยแก่นของยามบ่ายอันยาวนาน
--- ถัดจากบทกวีบริสุทธิ์แห่งผลไม้นั้น หล่อนยกออกมา - เนื้อกับแป้นคีย์บอร์ดของชายโครงอวบอิ่มด้วยพลังงานและความแข็งแรง - สาหร่ายอันอุดมแห่งท้องทะเลอย่างปลาหมึกกระดอง ปลาหมึกกล้วย วัตถุดิบของมื้ออาหารซึ่งรสยังไม่กำหนด ส่วนประกอบพืชพันธุ์และแผ่นดินของมื้ออาหาร โชยกลิ่นดิบ ๆ บ้านนอก ๆ ออกมา
--- ชั้นสองมืด ๆ ของอาคารบ้านในจตุรัสตลาด ถูกแทงเข้ามาในแต่ละวันด้วยความร้อนเปลือย ๆ ของฤดูร้อน ความเงียบแห่งระยิบของไออากาศ ตารางสี่เหลี่ยมของความจ้า กำลังฝันความฝันอันเขม็งของมันลงบนพื้น เสียงออร์แกนท่อแผดขึ้นจากเส้นเลือดสีทองที่ลึกที่สุดของวัน สองหรือสามห้องเสียงของท่อนประสาน เล่นอยู่กับเปียโนไกล ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ละลายลงในแดดบนทางเท้าสีขาว หายไปในไฟของอาทิตย์ยามเที่ยง
--- หลังจัดเก็บเรียบร้อย อาเดลาจะผลักห้องนั้นเข้าไปในแสงกึ่งสลัวด้วยการปล่อยมู่ลี่ลินินลง สีทั้งหมดจางลงทันทีหนึ่งระดับสี ห้องถูกใส่เข้ามาด้วยบรรดาเงา เหมือนจมลงสู่ก้นลึกของท้องทะเล แล้วแสงนั้นถูกสะท้อนออกมาจากกระจกเงาของน้ำสีเขียว ๆ ความร้อนของวันเริ่มหายใจขึ้นบนมู่ลี่ ขณะพวกมันขยับเบา ๆ ในฝันกลางวันของมัน
--- ในบ่ายวันเสาร์ผมเคยออกไปเดินกับแม่ จากแสงสลัว ๆ ในโถงทางเดินเราก้าวเข้าไปทันทีในความจ้าของวัน เหล่าผู้สัญจรหรี่นัยน์ตากับแสงจัดจ้า อาบร่างอยู่ในสีทองละลายราวกับอาบโชคด้วยน้ำผึ้ง ริมฝีปากบนเริ่ดร่นเห็นฟัน ทุกคนในวันสีทองนี้ล้วนใส่ใบหน้าย่นเยินของความร้อนนั้น ราวกับพระอาทิตย์บังคับให้ผู้บูชาของตนต้องสวมหน้ากากเหมือน ๆ กันด้วยสีทองนั้น คนแก่และคนหนุ่ม ผู้หญิงและเด็ก ๆ ทักทายกันและกันด้วยหน้ากากที่เขียนขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาด้วยสีทองข้น ๆ พวกเขายิ้มให้ใบหน้าไร้ศาสนาของกันและกัน ยิ้มอันดิบเถื่อนแห่งบัคคุส * (เทพแห่งไวน์และการปลูกองุ่น) .....
--- เด็กมอมแมมโขยงหนึ่ง หลบไม้กวาดแห่งเปลวร้อนอยู่ในมุมของจตุรัส ...
--- แม่กับผมก้าวย่างไปตามสองฝั่งจ้าแสงแดดของจตุรัสตลาด มันนำทางเงาแตก ๆ ของเราไปยังเหล่าบ้าน เหมือนก้าวไปบนแป้นคีย์บอร์ด ใต้ย่างก้าวเบา ๆ ของเรา บนทางเท้าหินแผ่นสี่เหลี่ยมเรียงผ่านกันไปช้า ๆ บ้างเป็นสีชมพูซีด ๆ เหมือนผิวมนุษย์ บ้างเป็นสีทอง และบ้างเป็นสีเทาน้ำเงิน ทั้งหมดแบน ร้อนอุ่น และออกกำมะหยี่ ๆ อยู่กลางแดด เหมือนเส้นเงานาฬิกาแสงอาทิตย์ ที่เลื่อนไปสู่จุดของตำแหน่งโคจรเข้าไปในความไม่มีอะไรที่แสนดี ...
--- หลังผ่านบ้านเรือนต่อมาอีกไม่กี่หลัง ถนนก็หยุดรักษาความเสแสร้งเป็นเขตเมือง เหมือนคนผู้เดินทางกลับหมู่บ้านเล็ก ๆ ของตน ซึ่งถอดชุดที่ดีที่สุดสำหรับวันอาทิตย์ทีละชิ้น ทีละชิ้น ค่อย ๆ เปลี่ยนกลับไปสู่การเป็นชาวนาขณะใกล้ถึงบ้านของเขาเข้าไปเรื่อย ๆ
--- บ้านแบบชานเมืองค่อย ๆ จมหน้าต่างทั้งหมดลงเป็นดงดอกอันยุ่งเหยิงและมากมายของการบานในเหล่าสวนเล็ก ๆ ของมัน มองอยู่ด้วยแสงแห่งวัน วัชพืชกับดอกไม้ป่าทุกชนิดละลานกันอยู่เงียบ ๆ ดีใจกับช่วงคั่นสำหรับความฝันที่พ้นเลยไปจากช่วงเหลื่อมของกาลเวลาบนเขตแดนของวันอันไร้ที่สิ้นสุด
--- ทานตะวันมหึมาดอกหนึ่ง ยกอยู่ด้วยลำต้นทรงพลังและกำลังล้าด้วยน้ำหนัก ห่มห่ออยู่ในชุดไว้ทุกข์สีเหลือง งอพับอยู่ใต้การรั้งอันน่ากลัวในเหล่าวันแสนเศร้าสุดท้ายของชีวิต แต่เหล่าดอกระฆังไร้เดียงสากับดอกสร้อยสายไร้จริตต่างยืนต้นอย่างอดไม่ได้ด้วยดอกสีชมพูสวยใสและขาวพราว พวกมันไม่ได้สนใจกับเรื่องรันทดของทานตะวัน
====
บรูโน ชูลซ์ (Bruno Schulz) ค.ศ. ๑๘๙๒ - ๑๙๔๒ เป็นชาวโปแลนด์ ทำงานเป็นครูสอนวิชาวาดเขียนในโรงเรียนมัธยม เขาทำงานเขียนภาพและเขียนเรื่องโดยแทบไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอก ถูกยิงตายในบ้านเกิดโดยหน่วยเอสเอสของพวกนาซี งานวรรณกรรมส่วนใหญ่ของเขาหายสาปสูญไปพร้อมผู้เก็บรักษาต้นฉบับ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
"ถนนจระเข้" เล่มนี้เป็นงานเรื่องสั้นชุด ๑๓ เรื่อง แต่ละเรื่องมีความต่อเนื่องกัน ต้องขอบคุณผู้แปลคือ ดลสิทธิ์ บางคมบาง ที่เลือกหยิบงานยอดเยี่ยมที่แปลยากมาก(และน่าจะขายยาก)ชิ้นนี้มาทำ และลงทุนจัดพิมพ์ออกมาให้คนไทยได้โชคดีอ่าน นับว่าเป็นการอุทิศแรงกายแรงใจต่อวรรณกรรมแปลควรต่อการสรรเสริญอย่างยิ่ง
เมื่อวันที่ : 04 ม.ค. 2550, 01.58 น.
ตามมาอ่านเพื่อเอาสินบน ๑๐ บาทจ้า ห้า ห้า ห้า....
เยี่ยมมากเลยค่ะ ลุงเปี๊ยก รจนาเพิ่งอ่านตำรานักเขียนที่เขาสอนให้รู้จักเขียนแหวกแนว เขียนให้ต่างไปจากเดิม ๆ เสียบ้าง....ก็ได้เรื่องเลย...ลุงเปี๊ยกแหวกกรีดผ่านเคเบิ้ลใยแล้วและดาราเทียมมาก่อนใครเพื่อนเลย
สำนวนแบบนี้จับใจดี ทำให้ไม่ลืม และช่วยให้จินตนาการเติบโตเพริศพริ้งไปด้วย...คนแปลก็เก่งจริง ๆ คนถ่ายทอดก็เข้าใจเลือกสรรมาให้อ่านกัน
รจนาอ่านเข้าใจเยอะเพราะเป็นสภาพชีวิตแบบยุโรป นึกถึงสีสันของผลไม้ต่าง ๆ ออก นึกถึงสีสันของฤดูกาลตามได้ และนึกภาพกิจกรรมต่าง ๆ พอเข้าใจ....แต่วิธีเขียนแบบนี้คงต้องฝึกอีกนานกว่าจะได้เรื่อง....
ขอบคุณสำหรับการแนะนำหนังสือดี ๆ ค่ะ
รจนา(แก้ว)หน้าม้าลำดับที่ ๑