![]() |
![]() |
เม็ดทรายใต้ฝ่าเท้า![]() |
..." เนื่องจากขาดข้อมูลบางอย่างในการเขียน จึงได้หยิบยกบรรยากาศของบ้านพักคนชราในหนังสือเรื่อง เวลา ของ ชาติ กอบจิตติ มาไว้ในบางตอนของเรื่อง ทั้งนี้ มิได้เ...
" เนื่องจากขาดข้อมูลบางอย่างในการเขียน จึงได้หยิบยกบรรยากาศของบ้านพักคนชราในหนังสือเรื่อง เวลา ของ ชาติ กอบจิตติ มาไว้ในบางตอนของเรื่อง ทั้งนี้ มิได้เป็นการลอกเลียนด้วยความมักง่าย แต่ตั้งใจหยิบยกมาไว้ด้วยความเคารพ และนับถือ...(ผู้เขียน) "ยายอิ่มเป็นคนผอม ผมที่หงอกขาวทั้งหัวถูกเกล้ามวยไว้ตลอดทั้งวัน แกยังเคลื่อนไหวกระฉับกระเฉง แม้จะไม่ถึงกับก้าวเดินฉับๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดินหรือนั่งรถเข็นเหมือนอย่างคนในวัยปลายเจ็ดสิบแบบแกอีกหลายคน และหากจะนับว่าจำนวนฟันที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ซี่รวมทั้งหลังที่โก่งงุ้มเพราะกรำงานหนักมาเกือบทั้งชีวิตเป็นอาการปกติของคนในวัยนี้แล้ว ยายอิ่มก็ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเลยสักครั้งเดียว
บ้านไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูงหลังคามุงสังกะสีเก่าจนขึ้นสนิมแดงของยายอิ่ม อยู่ลึกเข้าไปเกือบท้ายหมู่บ้านท่ามกลางต้นมะพร้าว และดงกล้วยน้ำว้าที่ผัวคู่ทุกข์คู่ยากของแกปลูกไว้เป็นแนวรอบท้องร่องในสวนเล็กๆเนื้อที่ไม่กี่แปลงหลังบ้านก่อนที่จะตายจากไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มาถึงตอนนี้มรดกรอบท้องร่องเหล่านี้เองที่ยายอิ่มได้นำมาใช้ทำข้าวต้มมัดส่งให้แม่ค้าเจ้าประจำที่มาซื้อถึงบ้านทุกเช้า ซึ่งข้าวต้มมัดที่ยายอิ่มทำนั้นข้นมันถึงกะทิ และใช้กล้วยน้ำว้าที่สุกหวานคาต้น ข้าวต้มมัดของแกจึงอร่อย เป็นที่ถูกใจของคนที่ได้ลองชิม
เช้ามืดของทุกวัน แสงจากหลอดไฟหกสิบแรงเทียนซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวที่มีใช้ในบ้านจะถูกเปิด เป็นสัญญาณบอกว่าวันใหม่ขอบยายอิ่มได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ตีสามเป็นเวลานอนหลับอยู่บนเตียงอย่างมีความสุขของหลายคน แต่สำหรับยายอิ่มแล้วเวลานี้แกจะเริ่มต้นวันด้วยการตื่นขึ้นมาเก็บที่นอนหมอนมุ้ง แล้วหลังจากยืนบิดเนื้อบิดตัวไล่ความเมื่อยขบอันเป็นผลจากการจากการนอนในคืนที่ผ่านมาอยู่สักครู่ จึงจะลงมาที่ตุ่มน้ำหลายใบซึ่งวางเรียงรายไว้รองน้ำฝนใต้ชายคา วักน้ำขึ้นลูบหน้า บ้วนปาก เพื่อเรียกความสดชื่น แล้วจึงหยิบตะกร้าที่แขวนไว้ใต้ถุนคล้องแขนตรงมาที่ลานดินหน้าบ้าน เพื่อยกหม้อดินใบเขื่องที่ใช้ต้มข้าวต้มมัดจนสุกหอมได้ที่ในคืนที่ผ่านมาลงจากเตา
ไม้ฟืนท่อนใหญ่ที่ยังคงกรุ่นด้วยเชื้อไฟช่วยให้ข้าวต้มมัดที่จะนำไปขายในทุกเช้ายังคงระอุอุ่น หอมกรุ่นไม่แข็งเย็นชืดจนไม่น่ากิน
ทุกครั้งยายอิ่มจะทำข้าวต้มมัดไว้มากกว่าจำนวนที่แม่ค้าสั่งอยู่สาม หรือสี่ ลูกเตรียมไว้เป็นประจำ และก่อนที่ข้าวต้มมัดจำนวนสี่สิบลูกจะถูกเรียงลงในตะกร้าเพื่อรอเปลี่ยนเป็นเงินแปดสิบบาทหลังจากที่แม่ค้ามารับไป ยายอิ่มจะเก็บข้าวต้มมัดที่เตรียมไว้นั้นสำหรับใส่บาตรพระที่บิณบาตรผ่านหน้าบ้านของแกเป็นประจำทุกเช้า
จากนั้นยายอิ่มก็จะขึ้นไปบนบ้านอีกครั้งเพื่อก่อไฟในเตาถ่านที่วางไว้นอกชานซึ่งแบ่งมุมหนึ่งไว้สำหรับทำเป็นครัวเล็กๆ ตั้งหม้ออลูมิเนียมใบน้อยที่ก้นหม้อกลายเป็นสีดำเพราะรมเขม่าจากควันฟืนมานานปีเพื่อหุงข้าว
จากนั้นจึงผลัดผ้า กระโจมอกลงจากบ้านมาที่ตุ่มน้ำอีกครั้ง คราวนี้ยายอิ่มจะอาบน้ำ ล้างหน้า ใช้นิ้วถูเหงือกและฟันที่เหลือไม่กี่ซี่ด้วยเกลืออย่างหมดจด บ้วนปากจนสะอาด แล้วเปลี่ยนชุดใหม่เป็นผ้าถุงกับเสื้อแขนกระบอกสีขาวเก่าซีดแต่ยังสะอาดที่มีอยู่เพียงตัวเดียวซึ่งตัดไว้สำหรับใส่ไปงานบุญโดยเฉพาะเมื่อนานมาแล้ว
หลังจากยกหม้อข้าวลง ยายอิ่มจะตั้งกะทะแบ่งปลาสลิดตากแห้งสองสามตัวออกจากถุงที่แขวนไว้กับตะขอเหล็กกลางบ้านเพื่อเตรียมไว้สำหรับใส่บาตรและเป็นกับข้าวมื้อเช้าของตัวแกเองด้วย โดยข้าวสวยที่คดจากหม้อก้นกระดำกระด่าง ปลาสลิดทอด และข้าวต้มมัดสาม สี่ลูกเป็นของที่ยายอิ่มเตรียมไว้สำหรับใส่บาตรเป็นประจำทุกเช้า
หลังจากที่พระบิณฑบาตรผ่านไปแล้วยายอิ่มจะกลับมาผลัดผ้าเปลี่ยนเป็นชุดผ้าถุงเสื้อคอกระเช้าสีหม่นแทน จากนั้นจึงจะลงมือกินข้าวมื้อเช้า
.....................................................................................
เรื่องที่เกิดขึ้นตอนเช้ายังคงค้างคาใจอยู่ ทำให้ยายช้อยกินอาหารกลางวันมื้อนี้ไม่ลง
"เงินมันจะหายไปเองได้ยังไงถ้าไม่มีใครมันมาคว้าเอาไป แก่หัวหงอก จะตายวันนี้พรุ่งนี้กันอยู่แล้วยังจะมาขี้ขโมยสร้างบาปสร้างกรรมอีก ไม่กลัวตกนรกกันรึไง"
ยิ่งคิดยายช้อยก็พาลจะน้ำตาไหลออกมา
"เงินชั้นก็มีเหลือเท่านั้น แล้วพรุ่งนี้เช้าชั้นจะเอาเงินที่ไหนซื้อของใส่บาตรอีกกันเล่า"
ยายช้อยนั่งนึกถึงเงินทอนแปดสิบห้าบาทที่รับมาหลังจากที่ซื้อข้าวสวย แกงเผ็ดลูกชิ้นปลา และขนมตะโก้กะทิอย่างละหนึ่งถุง จากแม้ค้าที่หิ้วตะกร้าขายของสารพัดอย่างตั้งแต่นมกล่องจนถึงแกงถุงมาขายเพื่อให้คนแก่ในบ้านพักคนชราได้ซื้อเอาไว้ใส่บาตรในตอนเช้า
"บ่นอะไรอยู่คนเดียวล่ะยาย ทำไมไม่กินข้าว รีบกินเข้าสิ ประเดี๋ยวคนงานก็จะมาเก็บถาดไปล้างแล้วนะ" พยาบาลประจำเรือนพักถามยายช้อยเมื่อเดินผ่านมาเห็นอาหารในถาดหลุมพร่องลงไปเพียงเล็กน้อย
"อีชั้นค้นดูจนทั่วแล้วนะ ในตู้ ใต้หมอน ใต้เตียง กระเป๋าเสื้อใน ไม่มีเลยซักที่ ต้องมีคนมาขโมยไปตอนอีชั้นเข้าห้องน้ำแน่ๆ"ยายช้อยรายงานทันทีที่เงยหน้าเห็นพยาบาลร่างท้วมประจำเรือนพัก
เรือนพักประจำบ้านพักคนชราหลังนี้มีสมาชิกอยู่สิบสองคน ล้วนแต่เป็นหญิงชราอายุเกินแปดสิบปีขึ้นไปแล้วทั้งสิ้น บ่อยครั้งที่หญิงชราเหล่านี้ทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องเหมือนเด็กๆ รวมทั้งเรื่องเงินแปดสิบห้าบาทที่หายไปของยายช้อยในเช้าวันนี้ด้วย
"มันหายไปแล้วก็ช่างมันเถอะนะยาย เดี๋ยวลูกชายยายมาเยี่ยมคราวหน้า เขาก็ให้เงินยายเอาไว้ทำบุญอีกนั่นแหละ ทีนี้ก็เก็บไว้ให้ดีๆก็แล้วกัน ตอนนี้ยายกินข้าวก่อนเถอะ"
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ยายช้อยโวยวายเรื่องเงินที่วางไว้บนตู้ข้างหัวเตียงของแกหายไปในเช้าวันนี้ขึ้นมาได้ เธอก็พูดปลอบใจเพื่อให้แกสบายใจขึ้น แต่ยายช้อยกลับรู้สึกลำคอตีบตันเมื่อนึกถึงลูกชายคนสุดท้องของแก
"อ้อ พรุ่งนี้จะมีเจ้าภาพมาเลี้ยงอาหารกลางวัน แต่งตัวสวยๆรอไว้นะยาย"เตือนยายช้อยเรื่องอาหารกลางวันที่มีคนแจ้งความประสงค์ขอรับเป็นเจ้าภาพในวันพรุ่งนี้แล้วพยาบาลร่างท้วมก็เดินจากไปเพื่อทำงานที่ยังรอเธออยู่อีกหลายอย่างในช่วงบ่าย
พยาบาลเดินจากไปแล้ว เงินแปดสิบห้าบาทที่หายไปในตอนเช้ายังทำให้แกคิดเสียดายจนกินข้าวไม่ลง
พักใหญ่คนงานมาเก็บถาดไปล้าง เขายืนมองข้าวสวย ไข่เจียวหมูสับ รวมทั้งต้มมะระยัดไส้ที่พร่องลงไปเพียงอย่างละเล็กน้อยรวมทั้งส้มหนึ่งผลที่ยังไม่ได้ปอกเปลือกในถาดหลุมโดยไม่พูดอะไร
ครู่หนึ่งจึงหยิบส้มผลนั้นวางไว้ที่ตู้ข้างหัวเตียงตรงที่เงินแปดสิบห้าบาทที่ยายช้อยมั่นใจว่ามีคนขโมยไปในตอนเช้า แล้วจึงเดินเก็บถาดอาหารจากเตียงอื่นๆไปล้าง
"พรุ่งนี้เช้าชั้นจะเอาเงินที่ไหนซื้อของใส่บาตรอีกเล่า เงินก็มีเหลือเท่านั้นแล้ว"
คนงานเดินห่างออกไป ยายช้อยยังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าแล้วบ่นพึมพำอยู่คนเดียว โดยไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าเงินแปดสิบห้าบาทของแกนั้นไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มันถูกรัดด้วยยางวงเก็บไว้เป็นอย่างดีที่มุมหนึ่งของผ้าปูเตียงโดยฝีมือของแกเอง
...............................................................
เตียงผู้ป่วยวางอยู่กลางห้องโดยครึ่งบนถูกปรับชันขึ้นเล็กน้อยให้ชายแก่ผู้เป็นเจ้าของได้นอนเอนหลังเปลี่ยนอริยาบทเพื่อป้องกันแผลกดทับที่อาจเกิดขึ้น ราวกั้นทั้งสองฟากถูกยกขึ้นจนสุดทั้งๆที่เป็นไปไม่ได้เลยที่ชายแกซึ่งเป็นอัมพาตทั้งตัวจากอาการเส้นเลือดฝอยในสมองแตกเมื่อหลายปีก่อนผู้นี้จะพลิกตัวจนพลัดตกลงจากเตียง
สายยางที่สอดผ่านรู้จมูกมีคราบจางๆของอาหารเหลว ถุงปัสสาวะใบใหม่แขวนไว้ใต้เตียง ผ้าปูที่นอนสีขาว และเสื้อผ้าชุดใหม่เปลี่ยนเรียบร้อย ชายแก่ถูกเช็ดตัวทาแป้งเป็นอย่างดี เหมือนทุกวันที่แม่บ้านผู้ดูแลจะทำงานได้อย่างครบถ้วนก่อนที่จะกลับไปในตอนเย็น แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีกลิ่นฉุนของปัสสาวะ และกลิ่นอับจากความชื้น ลอยกระจายอยู่จางๆ
ครูจันทร์เที่ยงเดินผ่านประตูเข้ามาพูดทักทายกับชายแก่ผู้เป็นสามีที่นอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง แล้วจึงเลยไปนั่งที่โต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่ในห้องเดียวกัน ค่อยๆล้วงเอกสารปึกย่อมซึ่งนำกลับมาจากโรงเรียนออกจากถุงกระดาษวางลงบนโต๊ะ โดยมีแมวสีเทาที่เลี้ยงไว้ ตามมาคลอเคลียอยู่ตรงข้อเท้า
ด้วยวัยที่ครบเกษียนในปีนี้ ทำให้ความความกระฉับกระเฉงที่เคยมีเมื่อครั้งที่เข้ามาบรรจุเป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดแห่งนี้ในปีแรกๆ ถูกแทนที่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยชืดชาเหมือนเครื่องยนต์เก่าๆที่กลไกหลายชิ้นสึกกร่อนอยู่ภายใน
แกจมอยู่กับงาน และชีวิต ที่ซ้ำซากจำเจนี้มาแล้วนานหลายต่อหลายปี นานจนไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองได้รับเอามันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่
...เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นท่ามกลางความจำเจ ซ้ำซาก...ครูจันทร์เที่ยงแปลกใจเล็กน้อยกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเพราะมีไม่กี่คนนักที่รู้จักเลขหมายนี้
กลไกที่สึกกร่อนของเครื่องยนต์เก่าๆ เหมือนได้รับการเปลี่ยนซ่อมหลังจากที่รับสาย
"สวัสดีครับแม่ นี่ผมเอกเองนะ"...............
"แม่ไม่ต้องห่วงครับ ผมสบายดี แล้วแม่ล่ะเป็นยังไงบ้าง" ..............
"เพ็ญก็สบายดี เจ้าตัวเล็กก็กำลังจะเข้าโรงเรียนปีหน้าแล้วล่ะครับ" ............
"งานมันยุ่งน่ะครับเลยไม่ค่อยได้โทรไปหา แล้วแม่กับพ่อล่ะครับเป็นยังไงบ้าง"...........
"เหรอครับ อ๋อ ไม่ต้องหรอกครับ ผมคุยกับแม่ดีกว่า"................
"ช่วงนี้ยังขึ้นไปเยี่ยมไม่ได้หรอกแม่ บริษัทกำลังปรับแผนงานปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย"....
"สงกรานต์นี้ก็คงไม่ได้แม่ ต้องรอให้เคลียร์งานให้เสร็จก่อน".............................
"แม่ไฟเขียวมาแล้วแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าว่างจะขึ้นไปเยี่ยมครับ ครับจะโทรหาบ่อยๆครับ แค่นี้นะแม่ สวัสดีครับ"....................
....โทรศัพท์วางสายไปนานแล้วแต่ภาพในอดีตจากปลายสายยังคงหยอกล้ออยู่ในความทรงจำ
จากทารกตัวน้อยๆ โตขึ้นเป็นเด็กชายซุกซนอยู่ไม่สุขชอบขีดเขียนจนผนังรอบบ้านเต็มไปด้วยรูปการ์ตูนและตัวหนังสือโย้เย้ จนบางครั้งต้องปราบกันด้วยไม้เรียว จากเด็กชายกลายเป็นหนุ่มน้อยช่างสงสัย ชอบแกะ ชอบรื้อ ชอบค้น จนกล้องถ่ายรูปตัวโปรดของพ่อพังไปกับมือ จากหนุ่มน้อยก้าวมาเป็นวิศวกรหนุ่มอนาคตไกลที่จบจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วยคะแนนเกียรตินิยม ถูกจองตัวด้วยเงินเดือนที่สูงลิ่วให้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่อันมั่นคงและเป็นลูกชายคนเดียวที่น่าภาคภูมิใจ
เลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้ว แต่ครูจันทร์เที่ยงยังไม่นึกหิวอาหาร อัลบั้มรูปเก่าๆ ที่เอาออกมาดูกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อถูกกางออกทับปึกเอกสารบนโต๊ะ รูปแม่กำลังอุ้มทารกตัวน้อยๆนั่งบนเก้าอี้หวาย หรือรูปเด็กชายใส่แว่นดำวางมาดกอดอกยืนคร่อมอยู่บนอานรถจักรยานสามล้อที่ถ่ายโดยฝีมือของพ่อ รูปพ่อนั่งโอบไหล่แม่ยิ้มอยู่บนชิงช้าหน้าบ้านแต่ลูกชายตากล้องตัวน้อยกลับถ่ายได้แค่ช่วงขา หรือรูปที่พ่อแม่ถ่ายกับลูกในชุดครุยในวันสำเร็จการศึกษา
บางรูปเก่าจนออกเป็นสีแดงจางๆ แต่เมื่อไดก็ตามที่ครูจันทร์เที่ยงหยิบมันออกมาดู สีสันที่สดใส และเสียงหัวเราะที่มีชีวิตชีวาก็จะผุดพรายขึ้นในความทรงจำแทนรูปภาพสีซีดแดงในรูปถ่าย
...แมวสีเทาตัวเดิมโก่งตัวบิดขี้เกียจอยู่ใต้โต๊ะ ก่อนที่จะเข้ามาคลอเคลียเอาสีข้างถูที่ข้อเท้าเพื่ออ้อนขออาหาร ปลุกครูจันทร์เที่ยงให้กลับสู่ปัจจุบัน...
ครูจันทร์เที่ยงปิดอัลบั้มรูป ลุกจากโต๊ะทำงาน ไม่ลืมที่จะแวะพูดกับชายแก่ผู้เป็นสามีที่นอนอยู่บนเตียงครูหนึ่ง ก่อนก้าวออกจากห้อง แมวสีเทาตามออกไป
เมื่อลมยามเย็นพัดผ่าน ขนุนต้นใหญ่หน้าบ้านโบกใบเบาๆ เหมือนคนแก่ที่เรี่ยวแรงอ่อนล้าหลังจากที่ยืนต้นต่อสู้กับแดดฝนลมแรงมาอย่างยาวนาน
...............................................................
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วแว่บเดียวสีน้ำเงินเข้มของท้องฟ้าในยามเย็นก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม
ผมหักพวงมาลัยพารถผ่านประตูบ้านเข้าไปเก็บในช่องเก็บรถ บ้านทั้งหลังเงียบสนิท ไม่มีไฟเปิดแม้แต่ดวงเดียว แต่ประตูหน้าบ้านกลับถูกเปิดทิ้งไว้
"อีกแล้วสินะ" ผมพึมพำเบาๆ
ภรรยา พาลูกๆสองคนลงจากรถเข้าบ้านไปแล้ว ส่วนผมเดินออกมายืนหน้าบ้าน มองออกไปจนสุดถนนทั้งซ้ายและขวา เมื่อมองไม่เห็นในสิ่งที่คาดว่าจะเห็นจึงเลื่อนประตูปิดแล้วหันหลังกลับเข้าบ้าน
ไฟในบ้านเปิดสว่างแล้ว ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างเหนื่อยล้าหลังจากที่ต้องขับรถฝ่าการจราจรที่คับคั่งบนท้องถนนพาภรรยา และรับลูกจากโรงเรียนกลับบ้านหลังเลิกงาน
"คุณพ่อไปไหนก็ไม่รู้อีกแล้ว คุณจะไม่ออกไปตามหาหน่อยเหรอ?" เสียงภรรยาถามขึ้น พร้อมกับยื่นแก้วใส่น้ำเย็นส่งมาให้
"แก่แล้วหลงๆเลอะๆ ก็คงเดินเล่นอยู่ข้างนอก เดี๋ยวคนแถวนี้ก็พามาส่งเหมือนทุกทีเองนั่นแหละ" ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพลางชำเลืองมองเอกสารบนโต๊ะข้างโซฟาอย่างทบทวนความจำ
ลูกสองคน แย่งกันเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์อยู่บนชั้นสองเสียงเจี๊ยวจ๊าว ภรรยาเอาแกงถุงสาม-สี่อย่างที่ซื้อมาจากปากซอยเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟ พลางติดเตาแก๊สตั้งกะทะเพื่อทำไข่เจียวเป็นกับข้าวมื้อเย็นเพิ่มอีกอย่างหนึ่ง ส่วนผมเอื้อมมือหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่านอีกครั้งโดยใช้ความคิดอย่างหนักในการตัดสินใจ
ไม่นานนักโต๊ะอาหารก็พร้อม
"คุณ กับข้าวตั้งโต๊ะแล้วนะออกไปตามคุณพ่อเถอะ ลงมากินข้าวกันเดี๋ยวนี้ทั้งสองคนนั่นแหละ เรียกตั้งกี่ทีแล้ว" ประโยคแรกภรรยาพูดกับผม ส่วนประโยคหลังตะโกนเรียกลูกทั้งสองคนที่ยังคงแย่งกันเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์อยู่ที่ชั้นบน
...เหลือบดูนาฬิกาติดผนัง เกือบสองทุ่มแล้ว ผมวางเอกสารคำร้องเรื่องการขอเข้าพักในบ้านพักคนชราลงไว้ที่เดิม ในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเสียที
...........................................................
เมื่อวันที่ : 12 พ.ย. 2549, 23.44 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...