![]() |
![]() |
ดาวบนดิน![]() |
"พรุ่งนี้แล้วสินะที่ฉันจะต้องไปจากที่นี่ ที่ที่ฉันเคยอยู่ ..." ฉันบ่นพึมพำคนเดียว
...
"ตะวันนั้นยังทอแสงทุกคราครั้ง
ไม่หยุดยั้งทอแสงพิศมัย
อรุณเบิกฟ้าฉายแสงจ้านภาลับ
เรืองไสวศรีสวัสดิ์ทั้งโลกีย์
แต่ตัวฉันต้องเดินทางโดดเดี่ยว
ไม่มีเสี้ยวแสงส่องทางสุขี
มีเพียงเงามืดมนอยู่คู่ชีวี
จรทวีโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวใจ"
...
...ชีวิตที่เคยอยู่ออย่างอบอุ่น มีพ่อ มีแม่ พี่ น้อง แต่วันนี้ฉันต้องเลือกและเดินไปจากพวกเขาเหล่านั้น เหมือนความเหงาได้เข้ามาเยือนฉันทุกขณะ หนทางข้างหน้าไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ที่ฉันรู้คือการเดินทางที่โดเดี่ยว และยืนอยู่บนลำแข้งของตัวฉันเอง เส้นทางที่มึดมิด ไม่มีแม้เงาแสงของช่องทางที่จะทำให้ฉันนั้นรับรู้ได้เลยว่า หนทางข้างหน้ามีสิ่งดีๆ รอฉันอยู่
"เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าว้าเหว่จิต
คะนึงคิดภาพเก่าเราเคยเห็น
มีพ่อแม่พี่น้องคือร่มเย็น
ยามทุกข์เข็ญช่วยกันปัดโภยภัย
เก็บความรักความหลังใส่ถุงผ้า
เก็บเวลาเก่าเก่าเคยสดใส
เก็บทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในใจ
เก็บมันไว้อยู่ในกล่องความทรงจำ"
...
ฉันยังคงนั่งวุ่นและครุนคิดอยู่แต่กับเรื่องนั้น พร้อมทั้งเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเพื่อที่จะเตรียมพร้อมกับวันพรุ่งนี้ "นับถอยหลังอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็ต้องไปแล้วเหรอ..." อีกแล็บเดียว..มันน่าใจหายจริงๆ ฉันแหงนหน้ามองไปรอบๆห้องนอนสี่เหลี่ยมที่ฉันเคยอยู่มานาน มันเป็นทั้งเพื่อน และที่นอน มันเก็บสะสมเรื่องราวขชีวิตของฉันไว้อย่างเป็นความลับ ทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะ ความเหงา ความอบอุ่น แม้กระทั่งความฝัน ต่อจากนี้ฉันคงทิ้งไว้เพียงความทรงจำ และอดีตที่ผ่านไปเท่านั้น
"คราบน้ำตาไหลหลั่ง
ฉันยับยั้งมันไม่ได้
คงเพียงแต่อาลัย
คือสัมพันธ์ในชีวา
เคยกอดเคยวิ่งเล่น
เคยได้เห็นเป็นหนักหนา
วันนี้จำต้องลา
จากบ้านเรือนแลที่นอน
ทิ้งไว้เพียงความสุข
ปนความทุกข์ที่หลอกหลอน
น้ำตาหลั่งอาวรณ์
เหลือทิ้งไว้ในความจริง"
......เวลาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง แต่ฉันยังคงนิ่งอยู่รอความเป็นไปของชีวิตที่กำหนดไว้อย่างไม่สามารถเลือกได้
"เวลาเดินไปอย่างรวดเร็ว ฉันกลับอยากให้มันเดินช้าลง ในตรงกันข้ามการอคอยที่นานแสนนานฉันกลับอยากให้เวลาเดินเร็วกว่านี้...ทำไมเหมือนฉันถูกกลั่นแกล้งอยู่กับเวลาอย่างนี้..."
ฉันเอนกายล้มตัวลงราบบนที่นอนอันนุ่มที่รองรับร่างของฉันทุกวันคืน คืนนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ได้รับสัมผัสไออุ่นของที่นอน แห่งนี้ น้ำตาที่ฉันไม่ได้อยากให้มันไหลออกมา มันคลอเบ้ารอการปล่อยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัด ยินไหวเพียงเสียงลมหายใจของฉันที่ไม่รู้ว่าจะดับลงเมื่อไร โลกทั้งใบเหมือนเริ่มมืด ฉันปิดเปลือกตาลงเบาๆ และก็...
"เพียงพลับหลับตาพาใจเศร้า
ชวนใจเหงาว้าเหว่เป็นหนักหนา
รี่ตาลงขอบตาปิดทันเวลา
รินน้ำตาหยดน้อยย้อยหลั่งลง
ไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่รู้สึก
ไร้สำนึกความคิดที่ลุ่มหลง
ร่างโรยแรงอ่อนล้าไม่มั่นคง
ล้มตัวลงพลับพลันเพียงค่ำคืน"
...
...เรื่องราวที่เศร้าหม่นในค่ำคืน ได้หยุดฉากนั้นไว้เพียงแค่ความฝันทิ้งไว้กับความน้ำตาและนิทราในคืนแห่งรัตติกาล แต่มันยังคงได้ยินอยู่ในความนึกคิดขงฉันอยู่ตอลเวลาและตลอดไป
เวลาเดินหน้าไปเรื่องๆ นับถอยหลัยอีกไม่กี่ชั่วโมง...
"เอ้ก...อี...เอ้ก...เอ้ก
เสียงไก่ขันมันดดังก้อง
ดั่งทั่วท้องนภาพนาสัณฑ์
รับวันใหม่ปลุกคนทุกวานวัน
เร่งรีบพลันลุกตื่นฟื้นขึ้นมา
สะดุ้งตื่นเหมือนฟื้นในวันใหม่
เหมือนฉันตายเกิดใหม่ได้หรรษา
เสียงไก่ขันเหมือนฉันต้องมนต์ตรา
ตื่นขึ้นมารับวันใหม่อีกครั้งเอย"
แสงตะวันทอแสงสาดส่อง ฉายรัศมีเปล่งประกายลอดผ่านช่องหน้าต่างห้องนอน ปล่อยประกายลำแสงแยงเข้าที่เปลือกตาของฉัน พร้อมกับเสียงไก่ขันที่ดังอย่างไม่ขาดสาย เหมือนเป็นเพลงประสานเสียง ประกอบแสงสีของดวงตะวันที่ร้องปลุกให้ผู้คนนั้นตื่นขึ้นในรุ่งเช้า ฉันค่อยๆ พยุงตัวลุกจากที่นอน อย่างนิ่งๆ เดินตรงดิ่งเข้าห้องอาบน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำแปรงฟัน ชำระร่างกายให้สะอาดกอ่อนการเดินทางที่แสนจะทรมานนั้นจะมาถึง
...
"รินรดหลั่งจากหัวจรดปลายเท้า
เพื่อขัดเกลาความหมกหมมให้ห่างหาย
หยิบสบู่มียี่ห้อมาถูกาย
ขัดทำลายคราบขี้ไคลให้หลุดลอย
ขูดขัดขัด ขัดถูถู ถูไถไถ
ทั้ขี้กลากขี้ไคลลายหงิกหงอย
ราดน้ำเย็นชำระล้างลบคราบรอย
ดูชดช้อยสดชื่นเสียงจังเลย
หยิบปแปรงขนพ่นยาสีฟันหน่อย
บีบน้อยน้อยค่อยค่อยขัดอย่านิ่งเฉย
ขึ้นและลงนอกและในก้มและเงย
ข้างนอกเผยข้างผุดเข้าตามกัน
มันฟูมฟอกไหลเยิ้มเต็มไปหมด
ทั้งดูดซดหยดน้ำพาสุขสันต์
ทั้งรูเล็กรู้ใหญ่ค่อยค่อยดัน
แยงขี้ฟันนั้นออกให้หมดไป"
...หลังจากที่ฉันอาบน้ำเสร็จแล้ว ยังเหลืออีกฉันยังไม่ได้แต่งตัวเลย ต้องรีบแต่งตัวให้เร็วรีบเพราะอีกไม่นานก็ถึงเวลาแล้ว...
"ทั้งเคยกอดถอดทิ้งแล้วกี่ครั้ง
ฉันก็ยังเก็บมากอดถอดอีกเสมอ
ช่วยปกปิดความลับฉันมีเพียงเธอ
คือเพื่อนเกลอยืดสีขาวยีนลีวาย
ชูมือขึ้นสวมสอดดูให้เหมาะ
ให้ยึดเกาะเป็นที่พึ่งซึ่งสหาย
เธอช่วยปกช่วยปิดเนื้อร่ายกาย
สวมใส่สบายชุดนี้ชุดโปรดเอย"
"ฉันพร้อมแล้วหละ..." กระเป๋า 1 ใบ กับ ใจ 1 ดวง ฉันหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าแบกขึ้นบนบ่า เดินเข้าไปหาพ่อและแม่ทที่นั่งรออย่างช้า ๆ ในขณะนั้นน้ำตาแห่งความอาวรณืมันหลั่งไหลจากสองตาโดยไม่รู้ตัว ฉันวิ่งเข้าไปกราบหน้าตักของพ่อและแม่ มีทั้งสองรวบรัดกอดซุก ใน อ้อมอกของท่าน...
"สิบนิ้วก้มกราบเท้าพ่อและแม่
ลูกต้องแปรผันที่ไปศึกษา
เพื่อความหวังของแม่แลบิดา
ลูกกราบลาอภิวาทนิราศไป
น้ำตาหยดไหลดิ่งยิ่งเศร้าหม่น
จากสกลบ้านพักเคยสุขใส
มาวันนี้ลูกรักต้องจากไกล
เพียงเพื่อไปเรียนอ่านการวิชา
จุดธูปเทียนน้อมบุปผาผกามาศ
อภิวาทพรไตรรัตน์ศาสนา
พุทธธรรมสงฆ์อะระหังพระสัมมา
อวยพรข้าแลแม่พ่อสุขสำราญ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแลไตรรัตน์
ช่วยโบกปัดพัดโภยภัยอย่าเคียงขาน
อย่าบังเบียนคราอบครัวข้าชั่วกัปกาล
นพสัการขอพรนั้นประเสริฐเทอญ"
...
ในอ้อมกอดของแม่และพ่อ มันแสนอบอุ่นเสียเหลือเกิน น้ำตาที่กลั่นมาจากก้นเบื้องลึกของหัวใจ หลั่งไหลท่วมท้นทั้งสองดวงตา มันยิ่งไปกว่านั้น ฉันได้รัยบรู้และรู้สึกอะไรมากมาย ความรักของพ่อและแม่มีค่า และความหมายยิ่งกว่าสิ่งใด ...ความห่วงใยไม่มีใครเทียบเท่า ความรัก ความหวังดี ไม่มีแล้วในผโลกนี้ที่จะมีคนมามอบให้ฉันได้เท่าพ่อ และ แม่
...
"ขอให้ลูกจดจำคำพ่อสอน
แม่จากจรไกลบ้านถิ่นที่ห่างเหิน
มากแม้นมีอุปสรรคมาเผชิญ
อย่าขัดเขินเดินถอยหลังพังกลับมา
แม้หนทางเวิ้งว่างจนห่างไกล
จงมั่นใจเดินต่อแม้หนักหนา
หากมีเรื่องถึงคราวคับอุรา
ให้ปรึกษาแม่พ่อช่วยบรรเทา
อย่าทำตัวมักโตคุยโอ้อวด
อย่าเก่งกวดอวดกล้ากับใครเขา
หากท้อแท้เหนื่อยล้ากลับบ้านเรา
พ่อแม่เฝ้าคอยอยู่ทุกคืนวัน
คำพ่อสอนคำพ่อบบอกลูกจงคิด
จงสถิตอยู่ในใจอย่าเหหัน
อย่าทำตัวเกเรตามใครมัน
อย่าพนันการอบายจงระวัง
ลูกมีเพียงหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่
คือฝักใฝ่การศึกษาอย่างขึงขัง
แม้ถดถอยถอยแท้จากพะวัง
ยืนอยู่ยัง ณ ธรรมดีที่สอนเอย"
...น้ำตามันยิ่งไหลพรากไม่ยอมหยุด ฉันรู้สึกไม่อยากปล่อยมืออกจากอ้อมกอดของพ่อกับแม่เลย ฉันอย่างนั่งอยู่ตรงนั้นนานๆ อยู่ตรงนั้นตลอดไป มีพ่อและแม่ แต่เวลาเป็นตัวนำพาและดำเนินชีวิตของฉันในขณะนั้น ฉันปล่อยมือออกจากอ้อมอกของท่าน แล้วกราบลงที่ตักอย่างช้าๆ ความอบอุ่น ความรักที่แผ่ออกจากความรู้สึกผ่านหยดน้ำตาของผู้เป็นแม่ไหลหยดตรงศรีษะของฉัน ฉันรู้สึกอบอุ่นที่สุด อบอุ่นมากๆ
....เวลาที่เป็นตัวกำหนดมันสะกดให้ฉันยืนขึ้นแล้วหันหลังให้พ่อกับแม่ ย่างเท้าก้าวออกจากท่านอย่างๆ นับขั้นบันไดบ้าน เจ็ดขั้นมุ่งหน้าสู่ประตูรั้วบ้านและขึ้นรถโดยสารที่จอดเทียบท่ารอฉันเพื่อที่จะไปส่ง ณ ลานรถบริษัทขนส่งในตัวจังหวัด...
...เวลาที่มีความสุขมันช่างเป็นช่วงเวลาที่สั้นเสียเหลือเกิน ฉันต้องไปจริงๆแล้ว ... เสียงประกาศกึกก้องดังทั้งสองหู ให้ผู้โดยสารเตรียมตัวขึ้นรถ ทุกคนแย่งกันวิ่งขึ้นรถอย่างอลหม่าน แต่ฉันยังคงเดินเยื้องย่างอยู่อย่างช้าๆ แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นรถที่กำลังรอการเคลื่อนที่ออกไป...
"นั่งรถทัวร์ปรับอากาศนิราศจาก
ล้อรถลากพาเคลื่อนเลื่อนไปไหน
แลมองข้างทางรถที่แล่นไป
มันชวนใจให้คิดครวญถึงบ้านดอน
น้ำตารินหลั่งร่วงเหมือนบอกเหตุ
เหมือนมนต์เวทย์ต้องคาถาพาใจหลอน
ทั้งเหงาเศร้าซึมเซ็งอยู่รอนรอน
ด้วยจากจรไกลถิ่นฐานคนบ้านนา
จับมือโยกโบกมือย้ายบายแล้วครับ
ทั้งซึมซับมิยั้งหยุดเหว่ว้า
หลั่งความสุขปนความเศร้าเป็นน้ำตา
ต้องจากลาถิ่นฐานฐานันดร
รถทัวร์เคลื่อนพาเรือนร่างอันอ่อนล้า
มุ่งสู่มหสารคามภูมิสมร
หลับตาลงลืมความเศร้าที่แคลงคลอน
เพียงพักผ่อนยอมรับสิ่งเป็นไป"
...รถเคลื่อนไปตามเส้นทางทางที่มีจุดหมายรออยู่ข้างหน้า ส่วนฉันก็ไปถึงแค่ปลายทางจุดหมายของรถทัวร์เท่านั้น จุดหมายชีวิตข้างหน้าของฉันจะเป็นอย่างไรฉันก็ยังไม่รู้ ฉันก็คงต้องเดินตามถนนเส้นที่ฉันเดินมาเรื่อยๆ ฉันรู้ว่ามีจุดหมายที่ฉันจะไป แต่ฉันไม่รู้ว่าเส้นทางที่จะไปนั้นมันจะมีอุปสรรคมากน้อยเพียงใด แต่อย่างไรฉันจะไม่ยอมถอยห่างเป็นแน่ ฉันจะอดทนต่อสู้และฟันฝ่ามันไปเพื่อคว้าเอาชัยชนะแห่งชีวิตกลับไปเป็นของรางวัลและความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่ให้ได้
"ฉันจะมัวแต่ฝันไปทำไม
ในเมื่อหัวใจไม่ก้าวเดิน
อุปสรรคขวากหนามที่ต้องเผชิญ
ฉันจะเดินมุ่งหน้าฝ่ามันไป"
***
เมื่อวันที่ : 31 ส.ค. 2549, 10.46 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...