...นิทานหมาน้อย มีคนมองโลกในแง่ร้ายคนหนึ่ง ได้เคยบอกกับข้าพเจ้าเอาไว้ว่า ใน...
นิทานหมาน้อย
มีคนมองโลกในแง่ร้ายคนหนึ่ง ได้เคยบอกกับข้าพเจ้าเอาไว้ว่า ในโลกใบนี้ คนเพียงคนเดียว...ไม่สำคัญ บังเอิญว่าสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังจะเอ่ยถึงอยู่นี้ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คน และสำหรับคนอื่น แม้ว่ามันอาจจะไม่มีความหมายพิเศษอะไร แต่ในโลกใบจิ๋วของข้าพเจ้า ถือได้ว่ามันเป็นเพื่อนสุดวิเศษของข้าพเจ้าเลยก็ว่าได้

โซดา...เป็นชื่อของมัน เจ้าหมาตาโต-ตัวเตี้ย มันมีขนสีขาวออกเทา และดำขมุกขมอมเป็นบางครั้งตามโอกาสที่มันเล่นซน โซดาเป็นหมาสายพันธ์ไหน ข้าพเจ้าเองก็ไม่ยักรู้ แต่ก็พอบรรยายถึงลักษณะของมันเพิ่มได้อีกนิดหน่อยว่า หูตูบ หัวโต และหลังยาว

ก่อนจะมาเจอะกับเจ้าโซดา ความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับเผ่าพันธ์ของเจ้าโซดานั้น ดูราวกับเป็นเส้นขนานต่อกัน มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าพเจ้ามักจะถูกโห่เห่าใส่อยู่เป็นประจำ ความขัดแย้งนี้ดูจะอยู่ข้างข้าพเจ้าเสียมากกว่า เวลาที่ข้าพเจ้าเจอะหมาสักตัว หรือต่อให้เป็นแค่ลูกหมาก็เถอะ ตัวข้าพเจ้าจะมีอันยึกยัก และจะเกิดสัญชาติญาณระแวดระวังภัยขึ้นมาทันที ถ้าถามถึงนิสัยประหลาดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า มันน่าจะเป็นเพราะในสมัยอนุบาลนั้น ข้าพเจ้าเคยถูกหมาใหญ่ขย้ำเอา อาการหนักจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลทีเดียว ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่น่าแปลกใจ ถ้าข้าพเจ้าจะกลัวและเกลียดหมาจนขึ้นสมอง

จนเมื่อพ่อของข้าพเจ้าต้องถูกย้ายราชการมาอยู่ต่างจังหวัดนั่นแหละ จึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ข้าพเจ้าได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับความกลัวที่เคยฝังรอยเขี้ยวทิ้งเอาไว้ ข้าพเจ้ารู้สาเหตุที่ทำให้พ่อต้องถูกย้ายออกมาจากเมืองกรุง ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงเป็นเพราะตัวข้าพเจ้าเอง ที่ไปก่อเรื่องก่อราวให้ถูกหมาของเจ้านายพ่อกัดเอา จนพ่อต้องมีปากเสียงกับเจ้านาย และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าถามพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ พ่อก็จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ความผิดของข้าพเจ้า แต่เป็นเพราะพ่อไม่ชอบเมืองกรุงต่างหาก และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พ่ออยากให้ข้าพเจ้าได้ซึมซับถึงความสงบที่หาได้จากสิ่งแวดล้อมที่ดีด้วย

ทันทีเมื่อย้ายข้าวของเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหม่เรียบร้อย ข้าพเจ้าก็นึกสนุก จับจักรยานคันเก่งปั่นเที่ยวไปเรื่อย ชมนก ชมไม้ ชมแม่น้ำ ชมภูเขา แต่ไม่ปรารถนาจะหวังได้ชมหมาแม้สักตัวเดียว ก่อนออกจากบ้าน พ่อได้กำชับข้าพเจ้าไม่ให้ไปเล่นน้ำที่สวนผักท้ายหมู่บ้าน พ่อบอกว่าน้ำที่นั่นมีสารเคมีซึ่งใช้รดแปลงผัก ถ้าเผลอไปเล่นเข้าอาจเกิดอันตรายขึ้นได้

เป็นอันว่าวันและคืนแรกในบ้านหลังใหม่ผ่านไปได้ด้วยดี แล้วเช้าวันใหม่ก็มาถึง ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเพราะกำลังจะได้ไปโรงเรียนใหม่ มันอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนัก ปั่นจักรยานไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึง พ่อเสนอว่าจะไปส่งข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธ เพราะอยากจะปั่นจักรยานไปโรงเรียนเหมือนอย่างที่เคยวาดฝันเอาไว้ตั้งแต่ครั้งยังเรียนอยู่เมืองกรุงมากกว่า

ระหว่างทาง ข้าพเจ้าผ่านบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง รอบๆภายในรั้วบ้านรกครึ้มไปด้วยหลากต้นไม้จนเขียวครึ้มไปทั่ว ข้าพเจ้าสะดุดตาที่ต้นชมพู่ต้นใหญ่ ข้าพเจ้าจำต้นไม้ชนิดนี้ได้และรู้จักมันดี เพราะที่บ้านหลังเก่าก็เคยได้ปลูกเอาไว้ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังมองมันอย่างอดชื่นชมในความอุดมสมบูรณ์ไม่ได้ สังเกตได้จากผลชมพู่ที่ออกดกจนเต็มไปทั่ว อยู่ๆเจ้าหมาน้อยตัวหนึ่งก็กระโดดพรวดออกมาขวางหน้ารถของข้าพเจ้าไว้

ข้าพเจ้าตกใจกลัว เผลอกำเบรคหน้าเสียแน่นมือ จนหัวเกือบจะคะมำเอาหน้าทิ่มพื้น ข้าพเจ้าสบตากับเจ้าหมาน้อยที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า มันมองข้าพเจ้าพร้อมทั้งแยกเขี้ยวขู่ใส่ ก่อนจะร้องเอ้ว!ๆ ออกมา พอข้าพเจ้าตั้งสติได้ก็ยกตัวขึ้นปั่นจักรยานหนีทันที ซอยยิกจนเท้าแทบจะติดไฟได้ เจ้าหมาน้อยเองก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ยังคงวิ่งไล่กวดตามมา ทำอย่างกับเคยมีความแค้นกับข้าพเจ้าจนเกลียดกันมาสักร้อยปีอย่างนั้นแหละ

ข้าพเจ้ามาถึงโรงเรียนพร้อมกับพกความตื่นเต้นมาด้วย ตัวข้าพเจ้าสั่นเทาเพราะความกลัวและรู้สึกเป็นกังวลว่าวันนี้อาจจะเรียนไม่ไหว แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามคาด การเรียนในวันนี้สนุกสนาน และเพื่อนๆก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่วายอดเป็นห่วงตัวเองไม่ได้ เพราะขากลับบ้านในเย็นนี้ คงจะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหมาน้อยตัวนั้นอีก กลายเป็นว่า ไปๆมาๆ ปัญหาใหญ่ของข้าพเจ้าในเวลานี้ กลับไม่ใช่เรื่องของคนหรือการปรับตัว แต่หากเป็นเรื่องหมาๆไปแทนเสียได้

แล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ข้าพเจ้ากังวลไว้จริงๆ เจ้าหมาน้อยมาดักคอยไล่กวดข้าพเจ้าอีกรอบ แม้ข้าพเจ้าจะเตรียมตัวมาอย่างดี อีกทั้งยังปั่นจักรยานเร็วจนสุดกำลังแล้ว ก็ยังไม่วายโดนไล่ขับเข้าให้อีก ข้าพเจ้าเก็บเรื่องนี้ไปเป็นกังวล จนรุ่งขึ้นวันต่อมา ข้าพเจ้าถึงกับรบเร้าให้พ่อมาส่งที่โรงเรียน พ่อถามข้าพเจ้าว่าทำไม ข้าพเจ้าอ้ำอึ้ง ก่อนจะตอบไปตามตรงว่ากลัวหมา พ่อมองตาข้าพเจ้าแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ และให้เหตุผลด้วยว่า คนเราจะกลัวหมาไปตลอดทั้งชีวิตไม่ได้ และที่สำคัญ การกลัวในสิ่งที่คนอื่นไม่กลัว ถือเป็นเรื่องน่าอายอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธพ่อที่พูดออกมาอย่างนั้น แต่ก็ก้มหน้านิ่งรับฟัง จนต้องยอมจูงจักรยานออกมาในที่สุด

ที่โรงเรียน ข้าพเจ้าเอาเรื่องเจ้าหมาน้อยไปเล่าให้เพื่อนฟัง พอเล่าว่ามันมีลักษณะเป็นอย่างไร และอยู่ที่ไหน เพื่อนๆก็ต่างร้องอ๋อออกมา หลายคนพูดเหมือนกันอยู่อย่างคือเรื่องที่มันชอบวิ่งไล่คนอื่นไปทั่ว ข้าพเจ้าถามเพื่อนๆว่า เจ้าหมาตัวนี้มันชื่ออะไร ทุกคนก็แทบจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า...มันชื่อโซดา

บางทีแม่ของเจ้าโซดาอาจจะชื่อน้ำแข็ง ส่วนพ่อของมันอาจจะชื่อบรั่นดีกระมัง เจ้าหมาน้อยก็เลยมีชื่อว่าโซดาซะอย่างนั้น ข้าพเจ้าเคยถามเพื่อนเกี่ยวกับเรื่องของโซดา ความคิดเห็นเรื่องนี้ แตกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆคือ กลุ่มเด็กผู้ชายจะไม่ค่อยชอบเจ้าโซดาเท่าใดนัก สาเหตุก็เพราะรำคาญเสียงเห่าตลกๆของมัน ส่วนเด็กผู้หญิงจะมีความเห็นตรงกันข้าม โดยมากจะสงสารมัน เพราะเจ้าโซดาเป็นกำพร้า พ่อ-แม่ของมันโดนยาเบื่อตายไปตั้งแต่มันยังเล็กอยู่

พักหลังมานี่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นพ่อมักจะค่อนข้างเครียด แน่ล่ะ ในหลายๆเรื่องที่ทำให้พ่อกลุ้มใจ มันต้องมีเรื่องของข้าพเจ้าอยู่ด้วย และคงจะหนีไม่พ้นเรื่องการปรับตัว ข้าพเจ้ายังจำภาพที่พ่อได้รับคำสั่งย้ายราชการได้ นั่นถือเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารพ่อ ภาพที่พ่อเสียใจยังอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้า
ตั้งแต่คราวนั้นข้าพเจ้าก็สัญญากับตัวเองว่า
จะไม่ทำให้พ่อเสียใจอีก ดังนั้น เพียงแค่เรื่องการปรับตัว ข้าพเจ้าจะไม่เอามาเป็นปัญหาใหญ่ และจะผ่านมันไปได้ด้วยดี แต่เรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของข้าพเจ้า นั่นคือ อาการกลัวหมายังคงเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก และคิดไม่ออกจริงๆว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสลัดความรู้สึกนี้ออกไปได้

พ่อเคยสอนข้าพเจ้าอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องความใจกว้าง และการมองโลกในแง่ดีทุกๆสถานการณ์ นัยว่าพ่อพยายามจะทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นประโยชน์ที่ดีจากสิ่งที่เรากลัว อันที่จริงข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่า พ่อต้องการจะบอกให้ข้าพเจ้าเปิดใจเรียนรู้ความกลัว สำหรับข้าพเจ้า...เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะความรู้สึกต่อต้านสิ่งที่เคยทำร้ายให้ข้าพเจ้าเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจ ยังคงทำให้ข้าพเจ้าไม่สนใจสิ่งดีๆจากความมุ่งร้ายของผู้อื่นโดยเด็ดขาด มันคงเป็นคำถามในใจมากกว่า ว่าอะไรที่คิดร้ายกับเรายังจะพอมีข้อดีให้เรามามัวสนใจอย่างนั้นหรือ คล้ายกับสำนวนที่ว่าทำใจดีสู้เสือ แต่สำหรับข้าพเจ้าคงเป็นการทำใจดีสู้หมามากกว่า

เอามาฟูมฟายเสียใหญ่เสียโต กะอีแค่เรื่องหมาๆ ซึ่งมันอาจจะเป็นแค่ปัญหาลำดับที่หนึ่งในชีวิตเท่านั้น ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะต้องผ่านมันไปให้ได้ จะมองโลกในแง่ดี และใจกว้างเหมือนอย่างที่พ่อสอนเอาไว้

วันเวลาเลื่อนผ่านไปเป็นเดือน ทุกวัน-ข้าพเจ้าก็ยังคงถูกเจ้าโซดาไล่กวด มาระยะหลังนี้ข้าพเจ้าเริ่มจับสังเกตพฤติกรรมของมันได้ เพราะมันเอาแต่เห่าแล้ววิ่งไล่เท่านั้น มาถึงตอนนี้ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะรู้สึกกลัวเจ้าโซดาสักเท่าไรแล้ว หนำซ้ำบางวันยังรู้สึกเซ็งและเบื่อเสียงเห่าของมันเสียด้วยซ้ำ

ข้าพเจ้ามาลองทบทวนดู รู้สึกว่าตัวเองอยากจะเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าโซดาบ้าง มันน่าจะเริ่มที่การปรับทัศนคติของข้าพเจ้าเสียก่อน จริงๆแล้วข้าพเจ้าชอบฟังนิทานมาก พ่อเคยแนะว่าความกลัวมันอยู่ในใจ บางทีถ้าเราจินตนาการให้ความกลัวกลายเป็นเรื่องตลก และผูกเรื่องราวให้เป็นเหมือนนิทานได้ สร้างความกลัวเป็นตัวละครเอก เราอาจจะเลิกกลัวและแถมอาจหัวเราะออกมาได้ด้วย

ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงอยากจะพยายามเข้าใจเจ้าโซดา ชีวิตจริงของมันคงต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ที่ทำให้มันต้องออกมาไล่กวดคนอื่น บางที...พ่อกับแม่ของมันอาจจะตายด้วยน้ำมือของมนุษย์ใจร้าย มันถึงได้เกลียดพวกเรา ไม่สิ-ไม่เอา คิดอย่างนี้มันดูเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป หลักของข้าพเจ้าคือการมองโลกในแง่ดีและใจกว้างโดยอาศัยการผูกเรื่องเป็นนิทานตลก เอ...ข้าพเจ้าครุ่นคิด พลางกระดิกนิ้วเคาะโต๊ะเรียนเสียงดัง จนถูกครูทำโทษให้ไปยืนคาบไม้บรรทัดอยู่หน้าชั้นเรียน

กระนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมหยุดคิดง่ายๆ คิดจนคิ้วขมวดเข้าหากัน เอ..ที่เจ้าโซดามันวิ่งไล่คนอื่น รึเป็นเพราะมันกำลังออกกำลังกายแต่แก้เขินโดยการทำเป็นวิ่งไล่เด็กนักเรียนนะ ข้าพเจ้าดีดนิ้วดังเป้าะ! ใช่แล้ว นิทานเรื่องนี้ต้องเป็นตามนี้แหละ เจ้าโซดามันคงอยากจะลดความอ้วนเอาใจหมาสาวๆ แถวละแวกนั้นเป็นแน่ ก็เลยออกมาวิ่งเพื่อหวังจะละลายไขมันของตัวมันเอง

เย็นวันนั้น ข้าพเจ้าก็รีบร้อนปั่นจักรยานไปหาเจ้าโซดาทันที พอมันเห็นข้าพเจ้าเข้า มันก็ออกมาวิ่งไล่เหมือนอย่างเคย ชั่วขณะนั้นข้าพเจ้าก็คิดเรื่องสนุกขึ้นมาได้ จึงลองชะลอความเร็วของรถจักรยานดู ปรากฏว่าเจ้าโซดาที่วิ่งตามมาก็ผ่อนฝีเท้าลงด้วย พอข้าพเจ้าหยุด เจ้าโซดาก็หยุดตาม ข้าพเจ้ายิ้มชอบใจ ก่อนจะเริ่มออกแรงปั่นจักรยานอีกครั้ง ทันทีที่จักรยานเคลื่อนตัว เจ้าโซดาก็วิ่งไล่เห่าตามมาอีก ข้าพเจ้าทำทีเป็นปั่นๆหยุดๆ จนถ้าหากมีใครมาเห็นเข้า ก็อาจเข้าใจว่าเรากำลังหยอกกันเล่นอยู่

มันกลับแปลกอยู่ในใจข้าพเจ้า ความรู้สึกที่เคยกลัวและเกลียดหมา มาบัดนี้ มันได้หายไปจนแทบจะหมดสิ้น ที่ยังเหลืออยู่และเกิดขึ้นมาใหม่ก็คือความผูกพันธ์และรอยยิ้ม ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกนี้มาก่อนเลยในชีวิต
*************************************
น้ำเขียว...เป็นชื่อของหมาตัวเมีย หวานใจของเจ้าโซดา มันอยู่ถัดไปจากบ้านของเจ้าโซดาสองหลัง เป็นเพราะข้าพเจ้าอยากให้นิทานของเจ้าโซดาเป็นนิทานรักหวานซึ้ง น้ำเขียวจึงได้รับบทนางเอกไปอย่างช่วยไม่ได้

ข้าพเจ้าจับสังเกตได้ว่าเจ้าโซดามักจะไล่เห่านักเรียนในช่วงเช้าๆ ซึ่งนั่นเป็นเวลาที่น้ำเขียวมักจะโผล่ออกมาจากบ้านของมันเพื่อมาเดินเตาะแตะยืดเส้นยืดสายอยู่ริมถนน

บางที ท่าทางที่วิ่งไล่กวดเด็กนักเรียนของเจ้าโซดาคงจะไม่ห้าวหาญและโดนใจยัยน้ำเขียวมากพอ หรืออาจเป็นเพราะบ้านหลังโทรมๆ ที่มีแต่ลูกชมพู่เป็นทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงทำให้เจ้าโซดาถูกน้ำเขียวเชิดหน้าเมินใส่อยู่ร่ำไป

กระนั้น เจ้าโซดา ก็มักจะกล่าวโทษตัวเองว่าเป็นหมาขี้เกียจ ไม่ยอมทำมาหากินอะไร แถมยังปล่อยให้ตัวเองอ้วนฉุจนขนาดเกินพิกัดน้ำหนักหมาทั่วไป ทั้งๆที่ในสายตาของข้าพเจ้า มันผอมจนแทบจะเหลือแต่ไส้อยู่แล้ว

มันจึงออกวิ่ง...วิ่งๆและวิ่ง เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่มันพอจะแสดงออกได้ว่า มันนั้นรักแท้ และรักแท้ก็คุ้มค่ามากพอที่จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีเพื่อรักคำเดียว

โซดา-มันผอมบักโกรก ผอมลงไปจมเลย ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้นก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้ ก็เลยขออนุญาติพ่อ เพื่อจะเอาเศษอาหารไปให้มัน พอพ่อได้ยินเข้าอย่างนั้น ก็ทำท่าตกใจ พ่อทวนคำพูดของข้าพเจ้า แล้วถามข้าพเจ้าว่าพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ข้าพเจ้าส่ายหน้าแล้วบอกพ่อว่าข้าพเจ้าพูดไม่ผิด และสิ่งที่พ่อได้ยินก็หมายความตามนั้นจริงๆ

พ่อเดินหายเข้าไปในครัว ครู่ใหญ่ก็เดินออกมา พร้อมด้วยถุงใส่อาหารถุงโต พ่อเดินมาหยุดตรงหน้าข้าพเจ้า แล้วยื่นถุงอาหารให้ พ่อจับไหล่ข้าพเจ้าเบาๆ ข้าพเจ้าเงยหน้ามองพ่อ ก็เห็นแววตาคู่นั้นของพ่อเปล่งปลั่งและประกายไปด้วยความปลาบปลื้ม

ก่อนออกจากบ้านมา พ่อบอกกับข้าพเจ้าว่า ปัญหาที่หนึ่งคงจะผ่านไปได้ งั้น...เราก็โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่อีกนิดแล้ว ข้าพเจ้าทำหน้าฉงน จึงถามพ่อกลับไปว่า ข้าพเจ้าอายุยังน้อยอยู่แล้วจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไรในเดี๋ยวนี้ พ่อหัวเราะแล้วพูดว่า ผู้ใหญ่ที่ดีไม่ได้โตขึ้นตามเฉพาะเวลาเพียงอย่างเดียว แต่จะโตขึ้นตามปัญหาที่ผ่านไปได้ด้วย

ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ ที่ในสายตาของพ่อเห็นข้าพเจ้ามีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ข้าพเจ้าลองคิดดูเล่นๆ อย่างอดชื่นชมในตัวเองไม่ได้ว่า การเป็นในสิ่งที่คน-คนหนึ่งคาดหวังในตัวเรานั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้ามาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นชมพู่ในเขตบ้านของเจ้าโซดา พอส่งเสียงกระแอมเบาๆ เจ้าโซดาก็กระโดดพรวดออกมาจากพุ่มไม้ข้างๆ มันคำรามขู่เสียงดังแง่งๆ แม้ท่าทางของมันจะดูขึงขัง แต่ก็ขัดแย้งกับขนาดตัวที่เล็กของมัน ข้าพเจ้ารู้สึกขำในท่าทีที่ดูเหมือนสร้างภาพของมัน จึงเผลอหัวเราะออกมา เจ้าโซดาได้ยินเข้าก็คงจะนึกเอาว่าถูกเยาะเย้ย ก็เลยโก่งคอเห่าเสียงดังขึ้นอีก ข้าพเจ้าตัดสินใจเรียกชื่อของมันออกไป นาทีนั้นเอง มันก็สงบนิ่ง อาจจะงงหรือสงสัยอะไรก็แล้วแต่ เพียงแค่ข้าพเจ้าขานชื่อของมัน ความก้าวร้าวก็ราวกับถูกสลัดทิ้งออกไปทันที

พอข้าพเจ้าแก้ห่ออาหารออกให้มัน เจ้าโซดาก็ตรงเข้ามากินอย่างมูมมาม ระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็พยายามสะกดความกลัวของตัวเองค่อยๆเอื้อมมือไปลูบหัวมัน เจ้าโซดาแหงนมองข้าพเจ้า มันไม่ขัดขืนอะไร ซ้ำยังสะบัดหัวเล่นกับมือข้าพเจ้าอย่างคุ้นเคย ข้าพเจ้าเคยเห็นท่าขอมือหมาจากโทรทัศน์จึงลองทำตามอย่างเก้ๆกังๆ ดูเหมือนว่าเจ้าโซดามันจะเข้าใจได้ดีทีเดียว มันยกมือของมัน...เอ้ย! เท้าของมันขึ้นมาป้ายมือข้าพเจ้า ข้าพเจ้าหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน เพิ่งจะรู้นี่เองว่าเล่นกับหมามันเป็นยังไง

หลังจากวันนั้นมา ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน และทุกเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน ข้าพเจ้าก็ไม่เคยว่างเว้นจากการเอาอาหารไปให้เจ้าโซดาเลย ทว่า แทนที่มันจะมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น มันกลับดูทุกข์ใจ ร่างกายยิ่งซูบผอมลงกว่าเดิม มันคงจะมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ และถ้าข้าพเจ้าเกิดมาโชคดีสามารถฟังภาษาของมันออกแล้วล่ะก็ ไม่แน่...เพื่อนคนนี้ก็อาจจะรับฟังและช่วยเหลือมันได้

เดาเอาว่า ความรักของเจ้าโซดาคงจะเกิดปัญหาขึ้น เพราะยัยน้ำเขียวดันไปติดหมาหนุ่มตัวอื่นเข้าให้เสียแล้ว นี่เองที่อาจทำให้โซดามันเซื่องซึม ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามันยังคงโทษตัวเองอยู่รึเปล่า เพราะถ้ายังทำอยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะปลอบใจมันอย่างไร

แล้วเช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ต้องแปลกใจ เจ้าโซดากินอาหารเข้าไปไม่มากก็อ้วกออกมาหมด แน่นอน-หมามันคงแฮ็งสุราไม่ได้ เพราะมันกินเหล้าไม่เป็น แต่อาการแบบนี้มันหมายความว่าเจ้าโซดาอาจจะป่วย ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะบอกพ่อให้มาดูอาการของมันในตอนเย็น แต่พอตกเย็นจริงๆ เจ้าโซดามันก็หายตัวไป ข้าพเจ้ารอเก้ออยู่เกือบชั่วโมง กระวนกระวายใจยังไงไม่รู้ จนสุดท้ายก็ต้องออกไปตามหาเอง

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามันหายไปไหน เพราะนึกไม่ออกจริงๆว่ายังมีที่อื่นที่มันชอบไปอยู่อีกรึเปล่า ข้าพเจ้าออกปั่นจักรยานตามหามันไปทั่ว ทุกที่ ทุกแห่ง แต่ก็ไร้วี่แววของมัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วง กลัวว่า ถ้ามันเกิดอกหักเหมือนอย่างในนิทานที่ข้าพเจ้าแต่งขึ้นมาจริงๆ มันอาจจะคิดสั้นและทำอะไรโง่ๆก็เป็นได้

ข้าพเจ้าปั่นจักรยานตามหามันทุกที่ เหลือก็แต่สวนผักท้ายหมู่บ้าน ข้าพเจ้าไม่รอช้า เร่งปั่นจักรยานไปที่นั่นโดยเร็ว แล้วภาพตรงหน้าเมื่อข้าพเจ้าไปถึง ก็ทำให้ข้าพเจ้าทิ้งจักรยานแล้วยืนตะลึงงัน โถ...เจ้าโซดา มันนอนแน่นิ่ง หายใจรวยรินอย่างแผ่วเบา ข้าพเจ้าเข้าไปประคองยกมันขึ้นมากอดไว้ มันมีลมหายใจอ่อนๆอยู่ ข้าพเจ้ามองซ้าย-ขวา พยายามมองหาคนช่วย ก็เจอะเอาเจ๊กเจ้าของแปลงผักยืนค้ำสะเอวมองดูอยู่

"เจ้าหมานั่นมันมาดื่มน้ำที่แปลงผักนี่" เจ๊กว่าพลางเดินเข้ามาหาข้าพเจ้า

"ช่วยพามันไปหาหมอได้ไหมครับ" ข้าพเจ้าเอ่ยขอร้องเจ้าของแปลงผักอย่างขอความเห็นใจ

"ลื้อเป็นเจ้าของมันเหรอ"

ข้าพเจ้าส่ายหน้าแทนคำตอบ

"ถ้าอย่างนั้น อั้วก็ไม่รับผิดชอบ"

"แต่ผมรู้จักมันนะ เอาอาหารมาให้มันทุกวันด้วย" ข้าพเจ้าแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจะเอาเรื่อง จนเจ๊กทำหน้าอารมณ์เสียขึ้นมาทันที

"มันรู้จักลื้อ? มันก็รู้จักอั้วด้วย อั้วมายืนไล่มันเหย็งๆอยู่ทุกวัน-ด่ามันทุกวัน ไม่ให้มันมากินน้ำที่นี่ แต่มันก็ยังดื้อมากินน้ำในสระนี้ทุกที" เจ๊กกอดอกพูดพลางทำตาเขียวดุใส่ แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆก่อนจะตบไหล่ข้าพเจ้าเบาๆอย่างเห็นใจ

"ลื้อจะไปสนทำไม กะอีแค่หมาตัวเดียว รู้อะไรไหม ...โลกใบนี้น่ะ ...คนเพียงคนเดียวไม่สำคัญหรอก" พูดจบเจ๊กก็เดินหันหลังจากไปทันที ข้าพเจ้ากอดเจ้าโซดาแน่น รู้สึกเหมือนตัวเองอยากจะร้องไห้ออกมา เสียงลมหายใจของมันแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ข้าพเจ้าไม่รู้จะช่วยมันอย่างไร ที่ทำได้คืออยู่เป็นเพื่อนมันจนวินาทีสุดท้าย และแล้วเสียงลมหายใจของมันก็ขาดหายไป ข้าพเจ้าน้ำตาหยดแหมะๆ กระชับเจ้าโซดาแน่นกับอก แล้วพามันกลับบ้าน

พ่อวิ่งเข้ามาหาข้าพเจ้าอย่างตกใจ-ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าพเจ้าพูดออกมาไม่ได้เพราะรู้สึกเหมือนอะไรมันจุกอยู่ในอก ทั้งน้ำตา ทั้งน้ำมูก ดูโยเยเป็นเด็กอ่อนไปเลย พ่อไม่ว่าอะไรอีก ค่อยๆประคองโซดาออกจากอ้อมกอดของข้าพเจ้า แล้วพาร่างของมันไปที่หลังบ้าน

ไม่มีพิธีและคำพูดอะไรให้มากความ ข้าพเจ้ากับพ่อยืนนิ่งสงบ เรามองดูหลุมศพของเจ้าโซดาอย่างอาลัย พ่อหันมาถามข้าพเจ้าว่าอยากเล่าอะไรบ้างไหม ข้าพเจ้าพยักหน้าและเริ่มเล่าทุกอย่างตั้งแต่เรื่องที่ได้พบกับเจ้าโซดา เรื่องนิทานรักร้าวของมัน และการตายที่น่าสงสาร

พอพ่อฟังจบก็ถามข้าพเจ้าว่านิทานรักร้าวมันจบลงอย่างไร ข้าพเจ้าจึงเล่าด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ทั้งน้ำตา ยัยน้ำเขียวไปติดหมาหนุ่มตัวอื่นจริงๆ เจ้าโซดาเองก็ทำใจไม่ได้ มันรู้สึกว่าสิ่งที่มันอุตส่าห์ทุ่มเทมาตลอด กลับถูกมองเป็นสิ่งไร้ค่า มันน้อยใจ...ก็เลยฆ่าตัวตายด้วยการไปกินน้ำที่สวนผัก

พ่อถอนหายใจออกมา แล้วถามข้าพเจ้าว่า จำเรื่องการมองโลกในแง่ดีและใจกว้างได้ไหม ข้าพเจ้ามองหน้าพ่อ แล้วตอบไปว่าจำได้ พ่อบอกว่า บางที...นางฟ้าคงจะเกิดสงสารเจ้าโซดามันเข้า ก็เลยมารับมันไปอยู่ด้วย ที่นั่นมีหมาสาวๆสวยๆ อยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่แน่ตอนนี้ มันอาจจะกำลังอยู่ในวงล้อมของสาวๆก็เป็นได้

ข้าพเจ้ายิ้มออกมาจนได้ แต่พอมองไปบนฟ้าก็อดนึกถึงสิ่งที่เจ๊กพูดไม่ได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงถามพ่อไปว่า คนๆเดียวสำคัญกับโลกใบนี้ไหม

พ่อนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วมองตาข้าพเจ้า

"คนเลวบางคนไม่มีความสำคัญกับโลกใบนี้ คนดีบางคน-โลกก็ไม่รู้จักเขา แต่ว่าเพื่อนน่ะ สำคัญกับเราที่สุดในโลกนะ"
ข้าพเจ้าพยักหน้า ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาปรอยๆ แต่ก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง เพื่อน-สำคัญที่สุดในโลก จริงอย่างที่พ่อว่า โซดา-เพื่อนของข้าพเจ้านำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ข้าพเจ้า ถึงมันจะเป็นหมา และได้ใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วยกันในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็มีความสำคัญกับข้าพเจ้าที่สุด และยิ่งกว่าอื่นใด โซดา-เป็นเพื่อนที่สุดวิเศษในโลกใบจิ๋วของข้าพเจ้า...
.........จบ.........

เมื่อวันที่ : 22 ก.ค. 2549, 11.33 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...