ฉันนี่ล่ะ คนทำความสะอาด |
 |
โดโรที
 |
...ฉันนี่ล่ะ "คนทำความสะอาด"

ปีแรกของการเรียนนั้นเป็นชิวิตที่สาหัสพอสมควร เพราะมีทั้งเรื่องการปรับตัว การที่จะต้องเรียนรู้อะไรต่าง...
ฉันนี่ล่ะ "คนทำความสะอาด"

ปีแรกของการเรียนนั้นเป็นชิวิตที่สาหัสพอสมควร เพราะมีทั้งเรื่องการปรับตัว การที่จะต้องเรียนรู้อะไรต่างๆอีกมากมาย แต่นักศึกษาคนนี้ยังต้องมีภาระที่ต้องทำมากกว่านั้น......

ในต่างประเทศคงจะไม่มีนักศึกษาปริญญาเอกมากนักที่ต้องทำงานใช้แรงงานพร้อมทั้งเรียนไปด้วย แต่อย่างเรานั้นเราต้องทำเนื่องจากเราไม่อยากรบกวนทางบ้าน ท่านส่งเสียมามากแล้ว หลังจากกดเครื่องคิดเลขคำนวณเงินเก็บจากการทำงานที่เมืองไทยส่วนหนึ่งใส่บัญชีไว้ให้ทางบ้านใช้ อีกส่วนก็หอบหิ้วมาที่นี่ โดยที่ไม่ได้ใช้เงินทางบ้านแม้แต่บาทเดียวตั้งแต่ทำเรื่องวีซ่าจนกระทั่งเดินทางออกนอกประเทศ พบว่ายังไงก็ต้องทำงาน ถ้าไม่ทำชีวิตคงไปไม่รอดเพราะทุนที่ได้รับจากมหาวิทยาลัยในตอนแรกนั้นให้แต่เฉพาะ ค่าเทอมและค่าประกันสุขภาพ

แปดโมงครึ่งเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่มหาวิทยาลัยจนกระทั่งห้าโมงเย็นเรานั้นต้องรีบเก็บกระเป๋ากุลีกุจอออกจากมหาวิทยาลัย ออกไปไหน? ทำไมรีบกลับ? คำถามเหล่านี้เคยเป็นที่สงสัยของเพื่อนๆเมื่อเราเข้าไปเรียนใหม่ๆ เมื่อเวลาผ่านไปพวกเรามีความคุ้นเคยซึ่งกันและกันมากขึ้น กลุ่มเพื่อนเอ่ยปากชวนไปร่วมสังสรรค์ในเย็นวันศุกร์ แต่เรานั้นต้องปฏิเสธไป แน่นอนต้องมีคำว่า "ทำไม" เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบพ่วงท้ายอีกครั้ง เราจึงต้องบอกให้เพื่อนๆที่รักทราบว่าเราต้องไปทำงาน ทุกคนเข้าใจและมีอาการประหลาดใจพร้อมทั้งเห็นใจไปในขณะเดียวกันเมื่อรู้ว่างานที่เราไปทำนั้นคือการเป็นคนทำความสะอาด คนที่นี่เขาเรียกผู้ประกอบอาชีพนี้กันติดปากว่าคลีนเนอร์ (Cleaner) สิ่งหนึ่งที่ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้คือเพื่อนทุกคนไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ที่จะคบหากับ Cleaner อย่างเรา เท่านั้นยังไม่พอบางคนยังช่วยดูงานใหม่ให้ที่มันเบากว่าเพื่อไม่ให้เราต้องมาทำงานหนักมากนัก เพราะทุกคนรู้ดีว่างาน Cleaner นี้หนักเอาการ นี่คือน้ำใจจากกลุ่มเพื่อนต่างชาติที่เราได้มีโอกาสมาเรียนที่เดียวกันกับพวกเขา

การสมัครเป็น cleaner ที่นี่เริ่มตั้งแต่กรอกใบสมัครแล้วทำข้อสอบ ซึ่งข้อสอบนั้นถามเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์สารเคมี และขั้นตอนในการทำความสะอาด รวมไปถึงว่ามีประสบการณ์ในการทำงานหรือไม่ ตรงนี้ก็โม้ๆไปหน่อยว่าเราสามารถทำความสะอาดอะไรได้บ้าง วันที่ไปสมัครโชคดีมากเพราะหลังจากส่งข้อสอบและใบสมัคร นายใหญ่ชาวเลบานอนเดินออกมาบอกเจ้าหน้าที่รับสมัครงานว่าต้องการคนด่วนสองคน วันนั้นเราไปกับเพื่อนเวียดนามที่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาด้วยกัน เจ้าหน้าที่ก็น่ารักรีบยื่นใบสมัครของพวกเราสองคนให้พอดี เราทั้งคู่ถูกส่งไปฝึกงานเย็นวันนั้นเลย เวลาทำงานเป็นเวลาที่เหมาะเจาะมากคือห้าโมงเย็นถึงสองทุ่มครึ่ง และใกล้กับมหาวิทยาลัยด้วย ใช้เวลาเพียงสิบนาทีโดยการเดินจากมหาวิทยาลัยไปยังที่ทำงาน

เราได้คนฝึกงานเป็นชาวมาเซโดเนียน (Macedonians) จากประเทศมาเซโดเนีย (Macedonia) ซึ่งเป็นประเทศไม่ใหญ่มากบนโลกเราแต่จิตใจของพวกเขานั้นช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก เจ้านายรองที่ทำหน้าที่คุมงานพวกเราก็มาจากประเทศนี้เช่นกัน เราได้รับการฝึกงานสามวันโดยที่ไม่ได้รับค่าแรง ซึ่งตอนฝึกงานก็เบาๆไม่ได้หนักมาก คือคนฝึกให้ดูขั้นตอนแต่ละจุดว่าทำอย่างไรบ้างและทำตามคนฝึกเล็กๆน้อย

การฝึกงานนี้บางครั้งเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้คนบางคนเช่นกัน วันหนึ่งเรามีโอกาสได้รู้จักกับพี่คนหนึ่งแกก็ทำงาน cleaner เหมือนกันแต่มีเจ้านายคุมงานเป็นคนไทย เราลืมถามแกเรื่องบริษัทต้นสังกัด เมื่อ cleaner สองคนมาคุยกันก็เกิดการแลกเปลี่ยนบทสนทนาซึ่งกันและกัน ทำให้เรารู้ว่าพี่คนนั้นแกฝึกงานประมาณสองอาทิตย์โดยไม่ได้รับค่าแรงแม้แต่บาทเดียว จนสุดท้ายแกต้องลาออกมา ทำให้เราฟังและอึ้งว่านี่มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่ ทำไมทำกันไปได้ ? คิดอยู่ในใจว่าคนเหล่านี้ไม่ควรได้ดิบได้ดีมาเป็นหัวหน้าคนเลย เทียบกับเราแล้วเรานั้นโชคดียิ่งนักที่ไม่ต้องไปพบปะเจอกับคนแบบนั้น ดังนั้นใครที่วาดหวังว่าจะมาทำงานต่างแดนก็ต้องเลือกดูงานให้ดีๆเช่นกัน อย่าไปหลงคารมใครเอาง่ายๆเชียว

วันเริ่มงานนายรองที่คุมหน้างานเล่าว่าเคยมีเด็กไทยเข้ามาทำงานร่วมกับแกเหมือนกันจนเรียนจบปริญญาโทกลับบ้านไปแล้ว แกยังบอกอีกว่าแกชอบเด็กไทย เด็กไทยขยันความรับผิดชอบสูง ทำให้เรานั่งยิ้มจนเหงือกแห้งตลอดเวลาการสนทนา เราได้รับชุดฟอร์มใส่ขณะทำงาน ซึ่งชุดฟอร์มนี้ทางบริษัทมีข้อกำหนดว่าห้ามใส่เรื่อยเปื่อยเด็ดขาด ใส่ได้เฉพาะตอนทำงานเท่านั้น เราต้องไปร่วมรับฟังการปฐมนิเทศน์จากตัวสำนักงานใหญ่เกี่ยวกับระบบการทำงานด้วย ซึ่งน่ายินดีที่ประเทศนี้ให้ความสำคัญกับทุกๆงานไม่ว่างานใหญ่งานเล็ก ด้วยเหตุนี้กระมังคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ใครต่อใครอยากจะมาเป็นพลเมืองประเทศนี้กันทั้งนั้น วันปฐมนิเทศน์มีเราเป็นเด็กไทยคนเดียวที่เหลือนั้นมาจากทางฝั่งยุโรป ตัวโตๆกันทั้งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต่างก็เป็นนักศึกษามาทำงานหาเงินเลี้ยงชีพเช่นกัน

หน้าที่ที่เราต้องทำนั้นคือทำความสะอาด office สามชั้น เริ่มตั้งแต่เก็บขยะ ขยะที่ว่าคือที่ office จะมีโต๊ะทำงานแต่ละโต๊ะจะมีถังขยะอยู่โต๊ะละสองใบ ใบหนึ่งสำหรับใส่กระดาษ ส่วนอีกใบก็ใส่ขยะทั่วไป หนึ่งชั้นมีประมาณ 80 โต๊ะ เราก็ต้องเดินถือถุงดำสองถุงเพื่อใส่ขยะสองอย่างแยกจากกัน งานต่อไปคือปัดฝุ่น ดูดฝุ่น เปลี่ยนกระดาษทิชชู่ในห้องน้ำ แต่ไม่ต้องทำความสะอาดห้องน้ำ (หน้าที่นี้เขาจัดให้ผู้ชายทำ) งานไม่ได้ยากเย็นอะไรแต่หนักเอาการอยู่เหมือนกัน ทำแล้วนึกถึงพนักงานที่ใช้แรงงานตามโรงงานต่างๆขึ้นมาทันที นอกจากนี้แล้วจะมีผู้ตรวจจากบริษัทต้นสังกัดมาตรวจเช็คความสะอาดอีกครั้งทุกอาทิตย์ ซึ่งเดือนแรกนั้นก็เหมือนกับเป็นช่วงการทดลองงานถ้าไม่ผ่านก็เด้งออกมาอย่างเดียว ส่วนระยะเวลาในการทำงานนั้นก็ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อวัน

ทำงานอาทิตย์แรกก็โชคดีเจอตรวจซะแล้วผลออกมาคือสกปรกมาก นายรองที่คุมหน้างานถึงกับต้องขึ้นมาสอนกันใหม่ (ซึ่งจริงๆแล้วเขาจะให้ออกตอนนั้นเลยก็ได้) ไม่ใช่อ้าปากสอนอย่างเดียว แกลงมือทำไปด้วย พร้อมจัดหาคนมาช่วยอีกคน คืนนั้นขึ้นรถบัสกลับบ้านต้องหันหน้าออกนอกหน้าต่างอย่างเดียว เพราะน้ำตามันค่อยๆรินไหลออกมาอีกแล้ว "ทำไมแค่งานทำความสะอาดเราทำให้ดีไม่ได้" นั่นคือคำถามที่นั่งถามตัวเองตลอดเวลาบนรถบัส อีกความรู้สึกหนึ่งที่น้ำตาไหลออกมาก็คือประทับใจนายเพราะนายไม่ว่าอะไรเลยแม้แต่คำเดียว "One day you will be a good cleaner" นั่นคือคำพูดจากนายในคืนนั้น เมื่อถึงบ้านคนดูแลเราต้องมากล่อมจนเราหลับ (เหมือนเด็กเลย) จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นต้องปรับวิธีการทำงานใหม่รู้หลักต้องทำอย่างไร ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีปัญหาอีกเลย

พนักงาน office ที่นี่เป็นมิตรดีมากๆ ทั้งสามชั้นที่ทำความสะอาดนั้นเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ควบคุมการรถไฟของออสเตรเลียนั่นเอง มีชาวเอเชียมาทำงานใน office เหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย เวียดนาม และจีน และหน้าที่หลักของพวกเขาคือฝ่ายวิศวกรรม เรามีโอกาสได้เจอพนักงานที่กลับบ้านช้าบางส่วน ซึ่งส่วนใหญ่มีไม่มากนัก และมักจะเป็นขาประจำที่อยู่ทำงานรอบเย็นย่ำค่ำคืน ทุกครั้งที่เราไปเก็บขยะพวกเขาจะกล่าวคำขอบคุณเสมอ และคำถามยอดฮิตที่พวกเขาถามเราทุกวัน "How are you ?" บางครั้งเราหิ้วขยะเยอะๆพวกเขาเหล่านั้นต่างยินดีที่เปิดประตูให้ แม้แต่กระทั่งระดับผู้จัดการใหญ่ก็ยังให้ความใส่ใจกับ cleaner ซึ่งบทบาทหน้าที่ต่างจากพวกเขามากมาย บางครั้งพนักงานทิ้งขยะไม่ลงถังเวลาเราไปเก็บขยะเขาจะหยุดทำงานและรีบหยิบขยะนั้นลงถัง บางคนยกนิ้วโป้งให้ที่เห็นเราแยกขยะระหว่างกระดาษและขยะทั่วไป เพราะคนเก่าเขาไม่แยก รวมทั้งไปแจ้งให้ทุกคนรับทราบว่าตอนนี้ขยะถูกแยกแล้วนะเพื่อที่ทุกคนจะได้ทิ้งให้ถูกต้อง
จากการเป็น cleaner นี้ทำให้มีโอกาสได้เห็นว่าสภาพสิ่งแวดล้อมการทำงานของพนักงาน office ที่นี่เป็นอย่างไร โต๊ะทุกตัวมีคอมพิวเตอร์พร้อม แต่ละโต๊ะประมาณ 80% จะมีรูปบุคคลซึ่งเป็นที่รักไม่ว่าจะเป็นลูก พ่อ แม่ คนรัก วางไว้เสมอ นอกจากนี้ก็จะมีอะไรตลกๆเขียนแปะแซวเพื่อนร่วมงานด้วยกัน หรือมีข้อความที่ตลกขบขันเป็นการสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ cleaner ผู้นี้ซึ่งไม่เคยเป็นสาว office มาก่อนยิ่งนัก

เรานั้นมักเข้างานช้าและเลิกช้ากว่าคนอื่นเสมอ เพราะบางครั้งแลปเสร็จไม่ทันเวลา เหนื่อยใจแทบขาดกับชีวิต ตอนนั้น ทั้งสมองและแรงกายทำงานหนักเท่าเทียมกัน เป็นครั้งแรกที่ได้เรียนรู้ว่าคนที่ทำงานใช้แรงงานนั้นเขาเหนื่อยยากเพียงไร แต่เหนื่อยอย่างไรก็ต้องทน และระหว่างทำงานก็พยายามทำอะไรให้ผ่อนคลายให้ตัวเองไปด้วยโดยเฉพาะเวลาเข้างานหลังหกโมงเย็น เสียงเพลงภาคภาษาอังกฤษซะด้วยจากปาก cleaner คนนี้ดังลั่นไปทั้ง office เนื่องจากใส่หูฟังเพลงไปทำงานไป ประเภทมือทำปากร้อง จนกระทั่งครั้งหนึ่งเดินมาถึงล็อคสุดท้ายของ office มีพนักงานผู้โชคร้ายมาแอบนั่งทำงานอยู่เงียบๆ เมื่อต้องมาจ๊ะเอ๋กันเล่นเอาเราหุบปากแทบไม่ทัน อายไปเลย

เรารีบขอโทษแกที่เราร้องเพลง แกหัวเราะบอกว่าได้ยินเราร้องมาตั้งแต่ต้นแล้ว "You are a very happy cleaner" แกบอกมาสยบความอายของเรา ตั้งแต่นั้นมาไม่กล้าเปล่งเสียงมาดังๆอีกเลยได้แต่งุ้งงิ้งอยู่ในลำคอ

รายได้ล่ะ?? รายได้ดีทีเดียวทำงานที่นี่อาทิตย์ละ 15 ชั่วโมง (ทำจันทร์ถึงศุกร์ หยุดเสาร์อาทิตย์) สามารถได้รายได้เลี้ยงชีพซึ่งแปลงเป็นเงินไทยตกประมาณเดือนละ 30000 บาท (หักภาษีแล้ว) รายได้ขนาดนี้จุนเจือเป็นค่าดำรงชีวิตที่นี่ได้อย่างสบาย มีเหลือเก็บนิดหน่อย สำหรับคนที่ไม่ฟุ่มเฟือยอย่างเรา นอกจากนั้นแล้ววันหยุดที่เป็น Public holiday ก็ยังได้รับค่าแรงอีกด้วย บางวันคนขาดซึ่งนายต้องจัดคนอยู่ทำทดแทนคนที่ขาด ชั่วโมงการทำงานต้องเพิ่มมาอีกหนึ่งชั่วโมง และชั่วโมงนั้นค่าแรงที่ได้รับจะจ่ายเป็นอัตรา over time คูณไปอีก 1.5 ส่วนใครที่ต้องมาทำวันหยุดล่ะก็ได้ไปเลยคูณ 2 เรานั้นไม่ได้ทำเพิ่มพิเศษอะไร เนื่องจากที่ได้อยู่มันพอเพียงแล้ว ที่สำคัญงานหลักคืองานเรียน.......
คนที่ทำงานเมื่อทำงานครบ 6 เดือนสามารถพักร้อนได้ครึ่งเดือน หรือจะเก็บไว้ให้ครบปีแล้วพักร้อนไปอีกหนึ่งเดือนก็ได้ ซึ่งแน่นอนคือบริษัทยังคงจ่ายค่าแรงช่วงที่เราพักร้อนด้วย หนึ่งปีลาป่วยได้ 5 วัน และต้องมีใบรับรองแพทย์มายืนยันเช่นกัน บางวันเราติดแลปต้องหยุดงาน นายผู้ใจดีก็จะบอกให้นำใบรับรองแพทย์มาโดยแกแนะนำว่า ให้บอกหมอว่าเราปวดประจำเดือน โอ้โฮ นายใจดีจริงๆ แต่นายก็จะใจดีเป็นคนๆไปไม่ใช่กับทุกคน ส่วนใครที่ไม่ใช้สิทธิ์พักร้อนถ้าทำงานครบหนึ่งปีไม่เคยพักร้อนเลยแล้วต้องลาออกนั้นทางบริษัทก็จะจ่ายเงินให้ชดเชยเต็มเวลาคือหนึ่งเดีอน งานที่นี่ยังคงมีเงินที่เรียกว่าเป็นเงินสะสมเอาไว้ใช้ยามแก่เฒ่าสำหรับประชากรที่นี่ สำหรับผู้ที่เป็นนักเรียนต่างชาติก็จะได้เงินส่วนนี้คืนเมื่อกลับประเทศ ซึ่งเป็นการวางระบบที่ดีจริงๆ เรื่องภาษี ถึงแม้ว่าประเทศนี้หักภาษีเยอะแต่ก็จะได้คืนกลับมาทุกปีแล้วตามคุณสมบัติที่เรากรอกไปในใบเรียกคืนภาษี

ช่วง Christmas ก็มีจัดเลี้ยงเล็กๆให้กับพนักงานทำความสะอาด เหล่า cleaner ก็มารวมตัวกัน วันเกิดทางบริษัทส่งการ์ดมาให้ถึงบ้าน (ทุกวันนี้แม้ว่าจะลาออกมาแล้วมื่อวันเกิดเวียนมาถึงก็ยังคงได้รับการ์ดอยู่)
จนกระทั่งมาถึงเดือนที่สามของการเรียน อาจารย์เรียกเข้าไปคุยเรื่องงาน cleaner ที่ทำอยู่ อาจารย์บอกว่า "You have a long day" หลังจากนั้นแกก็เลยบอกเรื่องทุนให้ฟัง ตอนแรกฟังแล้วไม่แน่ใจตัวเองว่าฟังผิดเพี้ยนไปหรือไม่ อาจารย์บอกว่าแกพึ่งจัดสรรเรื่องเงินของสถาบันเสร็จ ซึ่งยังมีส่วนที่แบ่งปันมาให้เราเป็นค่าครองชีพได้ ซึ่งส่วนที่แกแบ่งปันมาให้นั้นก็เท่ากับทุนการศึกษาที่เขาจ่ายให้เด็กสัญชาติ Aussie หลังเดินออกมาจากห้องอาจารย์ David (คงจะได้ยินเสียงเรากับอาจารย์คุยกัน) รีบมาถามว่าได้ทุนเพิ่มแล้วใช่ไหม ทำให้เพื่อนๆต่างเข้ามาแสดงความยินดี และทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวว่า " Quit your job now"

เรานั้นเมื่อได้รับทุนเพิ่มแล้วก็ตัดสินใจที่จะเลิกทำงานเช่นกัน เนื่องจากอยากมาทุ่มเทให้กับงานวิจัยมากขึ้น ให้คุ้มกับเงินทุนที่เขาจ่ายให้เรา แต่ด้วยความเกรงใจบริษัท ยังคงช่วยงานไปเรื่อยๆจนกระทั่งครบ 1 ปี เราล่ำลาพนักงาน office ที่เราคุ้นเคย ทุกคนเข้ามาขอบคุณที่คอยทำความสะอาดให้พวกเขา คนหนึ่งบอกว่าตัวแกเองก็เคยเป็นcleaner เหมือนกัน ช่วงที่แกต้องซื้อบ้าน แกต้องทำงานที่สองเพิ่มหลังจากแกเลิกงานที่ office คนที่นี่การทำงานแรงงานหรืองานใช้สมองทุกคนเสมอภาคหมดไม่มีใครดูถูกใคร ไม่มีคำว่างานชั้นต่ำชั้นสูง ทุกอาชีพที่นี่ที่มีการดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายนั้นเรียกว่าเป็นอาชีพที่ต้องเคารพซึ่งกันและกันทั้งนั้น ทางบริษัทมีการปรับค่าแรงให้ก่อนที่เราจะออกเพื่อเป็นการจูงใจให้อยู่ต่อ แต่เราต้องอธิบายให้แกเข้าใจว่าเราเริ่มเรียนหนักมากขึ้น ซึ่งแกก็เห็นจากการที่เรามาเข้างานช้า นายเข้าใจและรับฟัง "You are a good cleaner, you can come back anytime that you want" " You will have a better job than this job in the future" นั่นคือประโยคสุดท้ายจากนายรองที่คุมงานเรา เราได้แต่น้ำตาคลอมีแต่เพียงคำพูดที่อยู่ในใจว่า
"ฉันภูมิใจเหลือเกินที่ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็น cleaner อาชีพหนึ่งที่ฉันหลงรักมันโดยไม่รู้ตัว"
รูปจาก http://www.londonstimes.us/toons/cartoons/cleaner.jpg

เมื่อวันที่ : 22 พ.ค. 2549, 14.16 น.
โดโรธีเอ๋ย.. เธอเก่งมาก
ดอกไม้จากใจลุงเปี๊ยกครับ
ลุงเปี๊ยกไม่ค่อยได้มีเวลาอ่านอะไรมากนัก วันนี้นับว่าโชคดีที่ตัดสินใจอ่านเรื่องนี้ และขอบอกว่า ประทับใจมาก ดีใจที่โดโรธีได้ประสบการณ์ทำงานที่ดี แม้จะเป็นเพียงงานทำความสะอาด แต่เราจะได้เรียนรู้เสมอ และความอดทนกับความเหนื่อยยาก ย่อมส่งผลดีให้ ซึ่งเธอก็คงรู้ดีกว่าใครแล้ว