..."เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก" ในความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่าคำกล่าวนี้ตามตรรกศาสตร์ นั้นเมื่อพิสูจน์ออกมาแล้วพบว่าเป็นจริง เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆจากผู้...
"เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก" ในความเห็นส่วนตัวแล้วคิดว่าคำกล่าวนี้ตามตรรกศาสตร์ นั้นเมื่อพิสูจน์ออกมาแล้วพบว่าเป็นจริง เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆจากผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องการวางตัวของกุลสตรีที่ดี ผู้หญิงเอเชียที่มาอยู่ต่างแดนเราคิดว่าการวางตัวค่อนข้างสำคัญ ที่ย้ำว่าผู้หญิงเอเชียเพราะส่วนหนึ่งเรายอมรับว่าภาพพจน์ของผู้หญิงเอเชียไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในสายตาของชาวตะวันตกบางกลุ่มหรือชาวต่างประเทศบางกลุ่มที่ไม่ได้มีสัญชาติเดียวกับเรา บางกลุ่มที่ว่านั้นก็หมายถึงพวกที่ฝักใฝ่ในเรื่องอย่างว่ามากเกินไป ทีนี้เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่เรียกว่ามีเสรีภาพทางเรื่องอย่างว่าสูงแล้วยิ่งต้องระวัง ......

ที่ประเทศออสเตรเลียอาชีพบริการทางเพศจัดว่าเป็นอาชีพบริการที่ถูกกฎหมาย ที่นี่มีสถานที่เปิดบริการทางนี้โดยเฉพาะ มีการลงโฆษณาประกาศหาคนมาทำอาชีพนี้ทั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ รวมทั้งบริการทางโทรศัพท็ที่เรียกว่าเซ็กส์โฟนด้วย ในโทรทัศน์รอบดึกมักจะมีโฆษณาออกมาให้เห็นชัดเจน เป็นผู้หญิงสวยๆแต่งตัวโป๊ๆ พร้อมเบอร์โทรและทำท่าเชื้อชวนให้โทรติดต่อพวกเธอ เราเรียกสั้นๆกันว่า "Call me" และแน่นอนหญิงไทยก็เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบอาชีพนี้เช่นกัน ถึงแม้จะไม่มีหญิงไทยปรากฏให้เห็นตามหน้าจอทีวี แต่ก็สามารถเห็นได้ตามโฆษณาในหนังสือบางชนิด สำหรับเราแล้วถ้ามีคำถามถามว่าโกรธพวกเขาเหล่านั้นที่มาประกอบอาชีพแบบนี้ไหม ? คำตอบก็คือเราไม่โกรธ เพราะชีวิตและทางเลือกแต่ละคนแตกต่างกัน ตราบใดที่ช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยในประเทศไทยยังสูงอยู่ การแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตโดยการป้อนเงิน ป้อนสิ่งหรูหรามากกว่าการป้อนงาน อาชีพที่คนบางคนรู้สึกดูแคลนก็ยังคงเป็นทางออกสำหรับกลุ่มคนที่ไม่มีทางเลือกเช่นกัน.....

อย่างไรก็ตามก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไปโกรธเคืองผู้คนที่ประกอบอาชีพเหล่านี้ บางครั้งถึงกลับนำพวกเขาเหล่านั้นมาเขียนประจานใน web board ก็มี เช่นโกรธว่าทำให้พวกเขาไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้บ้างเพราะมีหญิงไทยมาทำอาชีพแบบนี้ หรือโกรธว่าผู้หญิงเหล่านั้นทำให้ตนเองดูตกต่ำไปด้วย ซึ่งความคิดแบบนั้นคงไม่ใช่ความคิดที่เหมาะสมเท่าไหร่นัก การจะเดินทางมาต่างประเทศนั้นถ้าคุณสมบัติพร้อมตามสถานทูตกำหนด มีความจริงใจ ไม่มีพิรุธ ทุกอย่างก็ผ่านเรียบร้อย ส่วนเรื่องจะมีใครมามองว่าตัวเองต่ำต้อยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของตัวบุคคลต่างหาก .......

เมื่อปี 2005 มีคดีหนึ่งคดีที่สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากมีนักศึกษาไทยหนึ่งคนเธอถูกหลอกให้มา Sydney โดยเธอคาดหวังว่าเมื่อมาถึงแล้วเธอก็จะได้ทำงานที่ดีและส่งเงินกลับไปจุนเจือทางบ้านได้ แต่เมื่อเธอต้องมาพบกับความจริง เธอมาถึงที่นี่เธอถูกยึด passport และถูกบังคับให้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศ ซึ่งรายได้ของเธอนั้นก็น่าที่จะต้องผ่านคนใจร้ายที่ทำหน้าที่ควบคุมเธอ และในที่สุดมีคนช่วยเธออกมาได้และเรื่องก็มีการตัดสินความที่ศาล Sydney ซึ่งความในใจอันหนึ่งที่เธอพูดในศาลทำให้คณะลูกขุนของศาลแห่งนี้ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่คือ "หลังจากที่เธอได้หลุดพ้นจากการทำงานในสถานที่นี้แล้ว เธอตัดสินใจที่จะยึดอาชีพการขายบริการทางเพศต่อเนื่องจากว่าชีวิตเธอทั้งชีวิตสูญเสียไปแล้ว และเธอก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว" ป่านนี้เราไม่ทราบว่าเธอคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างได้แต่หวังในใจว่าขอให้เธอได้มีชีวิตใหม่ที่ดี....

การแสดงออกทางความรักของคนที่นี่มีความเปิดเผยอย่างมาก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเห็นคู่รักกอด หอม หรือแม้แต่จูจุ๊บกันตามที่สาธารณะ ไม่ว่าจะตามมหาวิทยาลัย ป้ายรถเมล์ บนรถเมล์ เรื่องแบบนี้ไม่มีใครสนใจใคร สำหรับเรานั้นในช่วงแรกที่เห็นถ้าเป็นคนชาติอื่นกระทำเช่นนั้นไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าเห็นคนเอเชีย ไม่ว่าจะเอเชียกับเอเชียด้วยกันเอง หรือเอเชียกับชาติอื่น หรือแม้แต่กระทั้งเด็กไทยบางคนก็มาจับคู่ทำตามวัฒนธรรมตะวันตก เราต้องหน้าชาทุกที อย่างนี้แสดงว่าเราเป็นพวกสองมาตรฐานกับเขาเหมือนกัน ซึ่งตอนหลังต้องเปิดใจใหม่ว่าเขาเหล่านั้นคงรับเอาวัฒนธรรมที่นี่ไปแล้วหรือไม่ก็เกิดและโตมาที่นี่ เมื่อต้องบอกตัวเองให้คิดใหม่ อาการสองมาตรฐานของเรานั้นก็หายไป กลุ่มวัยรุ่นที่นี่ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมประหลาด(หรืออาจจะเป็นพฤติกรรมปกติของเขา แต่เราประหลาดเองที่พึ่งเคยเห็น) ประเภทขับรถ ตะโกนร้องเพลงดังๆ หรือส่งเสียงโหวกเหวกมีให้เห็นได้เสมอโดยเฉพาะคืนวันศุกร์ ถ้าผ่านไปตามผับแทบทุกผับแทบจะล้นทะลักไปด้วยผู้คนทั้งวัยรุ่นและวัยที่เกินวัยรุ่น และแน่นอนเช้าวันเสาร์หลายๆผับมักจะมีเศษแก้วแต่กระจายอยู่ตามหน้าผับเสมอ.......

คนที่นี่มีความกล้าค่อนข้างสูงที่จะสร้างมิตรซึ่งก็ไม่รู้ว่ามิตรนั้นมีนัยแอบแฝงหรือไม่ เราเคยนั่งรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งขับรถผ่านมาพร้อมทั้งไขกระจกลงถามเราว่ามาเข้ากลุ่มด้วยกันไหม (เราไม่รู้หรอกว่ามันคือกลุ่มอะไร) แล้วก็ไปจอดรถเลยป้ายไปนิดหนึ่ง เวลานั้นเป็นเวลากลางวันแสกๆ ตอนนั้นคิดอยู่ในใจว่าอย่าลงมานะเว้ย แต่เราไม่สนใจไม่มีอะไรโต้ตอบนั่งนิ่งเงียบเหมือนหุ่น โชคดีมีคนเดินมารอที่ป้ายรถอีกคนพอดี พวกวัยรุ่นกลุ่มนั้นก็เลยขับรถออกไป บางครั้งขณะที่เดินซื้อของอยู่ก็จะมีประเภทมา เอ๊ะ ! เราเคยรู้จักที่ไหนกันก่อนหรือเปล่า เรารีบตอบไปเลยว่าไม่ แล้วก็เดินจากไป ระหว่างกำลังดูของอยู่เมื่อหันหลังกลับ ก็พบว่าบุรุษท่านนั้นมายืนอยู่ข้างหลังเมื่อไหร่ไม่ทราบ แกมาเชื้อชวนเราไปนั่งทานกาแฟกับแก ไอ้ครั้นจะแสดงปฏิกิริยาไม่ดีกลับ เราก็ไม่รู้ธรรมชาติคนที่นี่เขาเป็นอย่างไรกันเพราะเขาก็มาพูดแบบสุภาพ เราก็เลยต้องปฏิเสธกลับไปด้วยความสุภาพเช่นกันว่าเราไม่มีเวลา เราต้องซื้อของ แต่แกยังไม่หยุดบอกว่าแกรอได้เดี๋ยวแกจะเดินดูไปด้วย เราเลยล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา พร้อมปฏิเสธอีกครั้งว่าขอโทษไม่สามารถไปได้จริงๆ แกถึงยอมเดินจากไปแต่โดยดี ....

อีกครั้งหนึ่งระหว่างยืนรอสัมภาษณ์งานเพราะเรามาก่อนเวลา หนุ่มหน้าตาดีขับรถผ่านมาหยุดตรงหน้าพร้อมทั้งเปิดประตูตรงรี่มาทันที เราก็นึกว่าจะมาถามทาง แกกลับมาบอกว่าหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขาเคยรู้จักเลย เราคิดในใจเราไม่มีฝาแฝดนี่นา ตานี่มั่วแล้ว แกก็มาชวนคุยโน่นคุยนี่แต่การคุยก็สุภาพเช่นเดียวกัน แถมแกสามารถทักทายเป็นภาษาไทยได้ด้วย เราก็เลยต้องคุยกับแกไป จนกระทั่งถึงตอนที่แกเอ่ยปากขอเบอร์โทร เราเลยต้องยกนาฬิกามาดูบอกว่าได้เวลาที่จะต้องรีบไปแล้วแล้วตัดบทจากแกไป ซึ่งพฤติกรรมตรงนี้ค่อนข้างน่ากลัวก็ตรงที่ว่าพวกเขาเหล่านั้นมาพูดดีด้วยความสุภาพส่วนเจตนานั้นเป็นอย่างไรนั้นต้องระวัง เพราะการวางตัวสำคัญโดยปกติแล้วคนที่นี่ถ้าเราไม่อยากสานต่อ ไม่มีทีท่าต่อเขา เขาก็จะไม่ยุ่งและให้ความเคารพกับเราด้วยเช่นกัน

พวกประเภทแอบฉวยโอกาสก็ต้องระวังไว้ด้วยเช่นกัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยเราเอง ที่สถาบันของเรานั้นมีนักวิจัยชาวอิหร่านอยู่คนหนึ่งแกก็มีอายุพอสมควร และก็มีประวัติที่ไม่ดีในเรื่องของการทำงานร่วมกับผู้อื่นเนื่องจากแกค่อนข้างทำเพื่อตนเองมากเกินไปโดยที่ไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะเป็นอย่างไร เวลาที่แกเจอเรา แกชอบเอามือมาตบบ่าทักทายทุกครั้งที่เจอ ไอ้เราก็ไม่คิดอะไรมากเพราะเรื่องตบบ่าเราสบายๆ ไม่คิดมาก เพราะตอนอยู่ที่ไทยเพื่อนส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เจ้านายก็ผู้ชาย เราถูกตบตีบ่าเป็นประจำอยู่แล้ว เรื่องการวางตัวในสังคมต่อหน้าเพศตรงข้ามเราวางได้ค่อนข้างดี (ชมตัวเองซะแล้ว) เพราะเราต้องทำงานและติดต่อร่วมกับผู้ชายอยู่เป็นประจำ ที่ไทยไม่เคยมีใครมาล่วงเกินทุกคนที่เราติดต่อประสานงานด้วยรวมทั้งเพื่อนๆให้ความเคารพกันทั้งนั้น หรือว่าไม่มีอะไรน่าดึงดูดให้ล่วงเกินก็ไม่รู้

.....

อยู่มาวันหนึ่งระหว่างที่เรากำลังใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนอยู่ นักวิจัยคนนี้ก็เข้ามาทักทายพร้อมทั้งใช้มือโอบบ่าทำเอาเรารีบลุกขึ้นทันควันแล้วเรารีบออกนอกห้องทันที เรานำเรื่องนี้มาคุยกับ David โดยถามว่าสิ่งที่นายอิหร่านเนี่ยนคนนั้นทำมันเป็นวัฒนธรรมของที่นี่หรืออย่างไร เพราะเราไม่ชอบแบบนี้ มันเกินไปแล้ว David ทำหน้าย่นพูดออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด บอกว่านายคนนี้ทำงานอยู่อเมริกามาหลายปีน่าจะรู้อะไรควรไม่ควร เพราะที่อเมริกาเรื่องแบบนี้ในสถานที่ทำงานไม่มีใครกล้าทำ เพราะถ้าทำนั่นคือฟ้องร้องทันที แม้กระทั่งเข้ามาแตะบ่าเพศตรงข้ามที่ไม่มีความสนิทนั้นก็เป็นการไม่สมควร ที่สำคํญ David บอกว่าเขาไม่เคยเห็นนายคนนี้แตะแม้กระทั่งบ่าของผู้หญิงที่ไหน ....

David เลยเล่าประสบการณ์การถูกโอบให้ฟังเช่นกัน เนื่องจากมีหนุ่มในมหาวิทยาลัยมาโอบบ่า David เหมือนกัน David บอกว่าไม่ชอบเลยที่จะต้องมาถูกโอบแบบนั้นจากชายหนุ่มเพศเดียวกัน ทำให้ David ยอมไม่ได้ต้องรีบเจรจา David ทิ้งท้ายว่าเขาชอบที่จะถูกโอบโดยผู้หญิงมากกว่า อ้าวว่าไปนั่นเลย

เราเลยตัดสินใจที่จะคุยกับนายนี้ตัวต่อตัวแต่ David ปรามไว้ก่อนเพราะเราอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากการคุยนั้นไม่มีหลักฐาน David แนะนำให้เราแจ้ง Supervisor ของเรา แต่เรามองว่ามันอาจจะแรงเกินไป เราไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต David เลยเสนอให้เราทำเป็นจดหมายเตือนนายคนนี้ไปทาง email เพราะเราสามารถ save email ไว้ได้ โดย David บอกว่าถ้านายคนนี้มีการตอบสนองแบบไม่ดีกลับมาเขาจะเป็นพยานให้เราเองเพราะ David เคยเห็นนายนี้มาแตะบ่าเรา

เรานำเรื่องมาบอกกล่าวคนดูแลซึ่งแกก็เห็นด้วยที่จะส่ง email เราจึงเริ่มพิมพ์ไปถึงเรื่องขนบธรรมเนียมกุลสตรีไทยให้นายคนนี้แกอ่านไปด้วย เพื่อที่แกจะได้เข้าใจว่าต่างเชื้อชาติคือต่างวัฒนธรรม เพราะกลัวแกบอกว่าไม่ได้คิดอะไรก็แค่โอบบ่าเฉยๆทำเป็นคิดมากอะไรทำนองนั้น เดี๋ยวเราจะแย่ซะก่อน และอีกส่วนหนึ่งคือเราต้องร่วมทำงานกับนายนี่ในสถานที่เดียวกันซึ่งจะได้ไม่เกิดความรู้สึกขัดแย้งกันถึงแม้ว่าในใจเราจะไม่ชอบนายนี่แล้วก็ตาม และแล้วก็บรรลุเป้าหมายคือตั้งนายนี่ได้รับ email ของเราแกก็ไม่เคยมาสัมผัสตัวเราอีกเลย .......
ถ้าใครมาอยู่ต่างประเทศแล้วเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ให้รีบจัดการไปเลยค่ะ ถ้าเราปล่อยทิ้งเอาไว้เขาซึ่งเป็นผู้กระทำจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าผู้ถูกกระทำชอบ ซึ่งก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้เขากระทำสิ่งเดิมๆอยู่เรื่อยไปค่ะ แต่ถ้าเราบอกเขาก็จะเลิกยุ่งไม่มีมาวอแวซ้ำซากอันนี้ภาพรวมส่วนใหญ่ของวัฒนธรรมตะวันตกค่ะ ก็ฝากเตือนใจลูกผู้หญิงที่ต้องไปอยู่ต่างถิ่นต่างเมืองเอาให้ระวังและดูแลตัวเองกันด้วยนะคะ.........

เมื่อวันที่ : 22 เม.ย. 2549, 18.07 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...