...

เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ ผมแวบเข้าไปในวงการนิยมสะสมพระเครื่องอีกครั้งหนึ่ง หลังจากปลีกตัวออกมาหลายเดือน เนื่องจากผมหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เช่า...

เมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ ผมแวบเข้าไปในวงการนิยมสะสมพระเครื่องอีกครั้งหนึ่ง หลังจากปลีกตัวออกมาหลายเดือน เนื่องจากผมหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เช่า (ซื้อ) พระเครื่องที่ชอบใจไม่ได้ ขืนเข้าวงการทุกวันมีหวังอดข้าวตายแน่ แต่ผมก็ยังติดตามอ่านหนังสือพิมพ์พระเครื่องอยู่อย่างต่อเนื่อง สนามพระเครื่องที่ผมมักจะเข้าไปคือ สนามพระเครื่องท่าพระจันทร์ ซึ่งนับว่าเป็นสนามพระเครื่องที่ใหญ่ที่สุดของวงการพระเครื่องกรุงเทพ นอกจากนี้ก็วนเวียนไปตามสนามพระเครื่องย่านอื่นๆตามแต่โอกาสจะอำนวย ตลาดบางแคใกล้บ้านพักของผมก็มีสนามพระเครื่องเล็กๆระดับรากหญ้าตั้งอยู่ที่แผงขายกาแฟในตลาดสด ติดกับท่ารถเมล์สายบางแค-วัดสิงห์ บางขุนเทียน ตลาดพระเครื่องนี้มีนักนิยมพระเครื่องมาชุมนุมกันพอสมควร เพราะที่ตั้งของตลาดพระเครื่องนี้เป็นร้านกาแฟเก่าแก่ที่ตั้งมานาน ไม่ดูพระก็นั่งดื่มกาแฟไป จะนั่งนานแค่ไหนเจ้าของร้านก็ไม่ว่า

ในวงการนักนิยมพระเครื่องไม่ว่าจะตลาดไหน จะมีบุคคลประเภทหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำหน้าที่คล้ายๆนายหน้าหรือคนกลางระหว่างคนซื้อกับคนขาย ถ้าเป็นตลาดหุ้นคงจะเรียกว่า "โบรคเกอร์" อะไรทำนองนั้น แต่วงการพระเครื่องเรียกว่า "คนเดินพระ" เขามีหน้าที่ในการหาพระเครื่องตามที่ลูกค้าหรือคนต้องการไปเสนอขาย และในทำนองเดียวกันก็จะนำพระเครื่องที่มีคนเสนอขาย มาให้นักนิยมพระเครื่องตามสนามพระต่างๆดู พูดถึงลประโยชน์ตอบแทนก็มีพอสมควรแก่ค่าเหนื่อย บางครั้งฟลุ๊กๆก็รับเงินเป็นพันเหมือนกัน คุณสมบัติที่สำคัญคือต้องเป็นคนซื่อสัตย์ไว้วางใจได้ จึงจะทำงานได้นาน หากไม่ซื่อสัตย์หรือมีลูกเล่นกับผู้ขายหรือคนซื้อ ก็จะรู้กันไปทั่ววงการ เพราะวงการนักนิยมพระเครื่องมันไม่กว้างเท่าไร

ผมรู้จักคนเดินพระคนหนึ่ง ใครๆเรียกเขาว่า "ใหญ่" ตั้งแต่เรียนจบชั้นประถมแล้ว เขาไม่เคยไปทำงานอาชีพอะไรเลย ชีวิตของเขาวนเวียนอยู่ในสนามพระเครื่องมาตลอด สามารถหาเงินเลี้ยงตัวเองและส่งหลานเรียนหนังสือได้สบายๆ ประสบการณ์อาชีพเดินพระของเขามีมากมายหลายรูปแบบ เขามีความรู้เกี่ยวกับพระเครื่องดีพอกับเซียนพระหลายๆคน หรือจะดีกว่าบางคนด้วยซ้ำไป

ใหญ่เล่าว่าเมื่อไม่นานมานี้ มีคนรู้จักมาตามให้เขาไปดูพระเครื่องที่บ้านหลังหนึ่ง เจ้าของพระบอกว่าร้อนเงินมาก ต้องการจะขายยกรัง (กรุ) เลย โดยอาชีพของเขากรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะเขาเคยโชคดีเหมาซื้อพระตามบ้านมาขายได้กำไรตั้งหลายหมื่น

เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ใหญ่ก็ไปบ้านเจ้าของพระตามนัด เมื่อเข้าไปในห้องพระ ใหญ่ก็ตลึงงันเพราะในห้องมีพระบูชาตั้งอยู่มากมาย รวมทั้งมีเทวรูปที่ใหญ่ไม่รู้จักตั้งรวมอยู่ด้วยหลายสิบองค์ คนที่พาใหญ่ไปแนะนำให้รู้จักกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ท่าทางดุดันเอาการ บอกใหญ่ว่าเป็นเจ้าของพระทั้งหมดนี้ จากนั้นชายเจ้าของบ้านยกหีบไม้มาใบหนึ่ง ลักษณะหีบดูเก่ามาก เมื่อเปิดดูภายในมีพระเครื่องวางอยู่ในนั้นจำนวนมาก พระเครื่องเหล่านี้หลายองค์ใหญ่รู้จักดี แต่มีหลายองค์ที่ใหญ่ไม่รู้จักและไม่รู้ว่าเป็นพระเครื่องอะไรมาจากไหน
หลังจากที่ดูพระกันนานพอสมควร ชายที่อ้างว่าเป็นเจ้าของพระก็ถามว่า
"พระทั้งหมดนี้คุณให้ราคาเท่าไร?"
ใหญ่ตอบไปว่า "ผมขอคัดเลือกเป็นบางส่วนได้ใหม?"
"ไม่ได้ต้องซื้อทั้งหมด ผมบอกแล้วไงว่าต้องการขายยกรัง" ชายเจ้าของพระตอบแบบไม่มีเยื่อใย

เมื่อตกลงกันไม่ได้การซื้อขายครั้งนี้ถือว่ายกเลิกโดยปริยาย แต่ใหญ่ยังติดใจพระเครื่องบางองค์ในหีบนั้น ถ้าตาเขาไม่ฝาดบางองค์เป็นพระสมเด็จวัดระฆังเสียด้วยซ้ำ แต่ต้องดูให้ละเอียดว่าเป็นพิมพ์อะไร ถ้าโชคดีเป็นพิมพ์ที่วงการพระเขานิยม ใหญ่มีสิทธิ์หยิบเงินล้านเข้ากระเป๋า
หลังจากนี้ผ่านมาหลายเดือน ใหญ่มีโอกาสพบกับคนที่พาเขาไปดูพระเครื่องที่บ้านนั้น ใหญ่อดที่จะถามถึงพระเครื่องเหล่านั้นไม่ได้ว่า เจ้าของขายไปได้หรือยัง
คนที่พาเขาไปดูพระเครื่องพูดว่า "คุณโชคดีที่ไม่ได้ซื้อพระมาวันนั้น"
"เพราะอะไร?" ใหญ่ถามอย่างสงสัย
เขาตอบว่าหลังจากวันนั้นสองวัน มีตำรวรกองปราบนำหมายศาลไปค้นบ้านนั้น โดยตั้งข้อหาว่าเจ้าของบ้านกับพวก ไปลักพระเครื่องและพระบูชามาจากวัดแห่งหนึ่งในอยุธยา ตอนนี้ยังติดคุกอยู่เลย

ใหญ่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกไม่ถึงว่าคนเดินพระอย่างเขาก็ยังมีพระคุ้มครองอยู่

เมื่อวันที่ : 15 เม.ย. 2549, 17.13 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...