![]() |
![]() |
SONG-982![]() |
...คำพูดร้อยแปดจะกระเทือนหูกระเทือนใจอีกเหลือคณานับ ลูกน้อยไร้เดียงสาจะตกเป็นขี้ปากเขาตั้งแต่แรกคลอด เค้านินทาว่าร้ายแม่คนเดียวยังไม่พอหรือไร บาปกรรมอันใดไม่เคยได้ก่อ ควรหรือที่เจ้าจะต้องรับผล...

แนวเหลืองส้มลิบๆ จำเพาะว่าต้องใช่หมู่สงฆ์ เมื่อใกล้พอแยกระยะได้ นางก็ลองนับ พอนับได้ถี่ถ้วนว่าเก้ารูปแน่ๆ ก็ได้ระยะสามารถแยกรูปร่างหน้าตา หลวงพ่อวัดบ้านใต้คงพาลูกวัดมาสวดมนต์เย็นกระมัง จะบ้านใครก็ช่าง แต่พรุ่งนี้เขาจะต้องนิมนต์ฉันเช้า
เพราะเพ่งตาเพื่อจำแนกทิศทางอยู่นานเกิน บวกกับภาพพร่าระยับแดด อาการวิงเวียนจึงตีขึ้นเป็นริ้ว หูอื้อดังวิ้งๆ พานจะเป็นลม ก่อนสติจะเคลื่อนจากห้วงคิด ยังทันได้ตั้งจิตอธิษฐานกับชายผ้าเหลืองลิบๆ ให้พระสัพพัญญูช่วยด้วย!
องค์ขุนพระภาคผจญมารปรากฏกระจ่าง เมตตารังสีอ่อนเย็นชวนชื่น ประทับบนฟอนหญ้าคาใต้ร่มโพธิ์ครึ้ม ในพลันนั้นจึงระลึกได้ ว่าเสียงครึ่กๆ ครื่นๆ คือกองกำลังแห่งตน กำลังมุ่งตรงสู่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตาซ้ายชำเลืองเห็นจ่าโขลง คือพระยาช้างต้นเทินสัปคับ อัญเชิญท้าวสหัสเดชะกำแหงเดช ตะบึงโถมสู่บริเวณโพธิมณฑล
แม้ภาพที่หมายมั่นจะฉายชัด แต่ก็ต้องโหมกำลังสุดแรงอีกหลายเหนื่อย กว่าจะรู้สึกได้ว่าขยับใกล้เข้าไปสักนิด แรงยักษ์แรงมารเกือบหมดจึงได้ประจันหน้า หมู่มหาแสนยากรเร่งเข้าห้อมล้อม มิยอมเปิดทางให้แม้ริ้นไรได้เร้นลอดหลบหนี
แล้วปฐพีก็เลื่อน ลั่นครืนและเคลื่อนสูง จำเพาะตรงใต้โพธิบัลลังก์นั้น พื้นเสียดขึ้นเหนือหัวหมู่ร้ายทั้งสิ้น กระทั่งท้าวเจ้ายักษ์ยังต้องแหงนมอง
ที่สุดวิมานเฉพาะองค์พระแม่ธรณีก็เผย ใต้รากโพธิ์ทองคือที่ประทับประคองพระพุทธศาสดา พระแม่ถอดเทริดและถอนปิ่นปักพระเกศา คลายมุ่นเกล้าออกได้สุดกร ก่อนบิดกลับเป็นเกลียว บันดาลมหาธาราเนืองนองท่วมท้นในพริบตา ราวว่ามหาสมุทรทั้งห้าไหลมารวม ยักษ์มารยังไม่ทันเหาะก็จมตาย กระไรเลยกับนางช้างท้องแก่
"เชือก...อีเชือก...เป็นไงบ้างลูก...เป็นไงบ้าง"
เสียงเรียกของแม่ แม้ไม่ได้ผลเท่ากลิ่นเยี่ยวอูฐฉุนกึก แต่ก็ต้องแข็งใจครางรับคำอือออ ค่อยๆ รู้สึกว่ามีหลายมือกำลังเป็นห่วง ทั้งที่กำลังนวดเฟ้น ประคับประคอง จ่อยาหรือกระพือลม เชือกจึงต้องฝืนยิ้ม ยกมือประนมขอบคุณแม่และพี่น้อง แล้วพยุงกายทรงตัวขึ้นนั่งผึ่งทั้งยังเหยียดขา รู้สึกว่าหัวใจตนยังเต้นแรงกับภาพนิมิต
"กำลังท้องกำลังไส้ ใกล้คลอดอย่างนี้ใครให้ออกมาตากแดดตากลม ถ้าเป็นลมล้มพับลูกไหลออกมาจะทำยังไง!"
น้ำเสียงแม่ปรานีแต่ต้นคำจนจบความ ไร้วี่แววตำหนิด้วยโทสะ แต่บ่อน้ำตาเจ้ากรรมมันแสนตื้น น้ำตาหลั่งร่ำไห้โฮๆ ร่ำๆ อยากจะทุบห้องให้แท้งให้รู้แล้วรู้รอด แต่แม่รวบตัวมากอดกระชับแขนไว้ก่อน เพราะเดาทางลูกสาวได้ล่วงหน้า
คนอื่นปลีกตัวกลับสู่การงานที่ละมา แม่ชื่นรอจนนังเชยน้องสาวของเชือกกลับไปตั้งต้นผ่าฟืน จึงเริ่มปลอบลูกสาวท้องแก่
"เอ็งอย่าพลอยบ้าไปตามขี้ปากชาวบ้าน กำลังท้องก็อย่างนี้ทุกคน คนแพ้ท้องมันเลือกได้หรือว่าอยากกินอะไร ไม่งั้นเค้าจะเรียกว่าแพ้ท้องเรอะวะ!"
"แต่...แต่ฉันอยากกินจริงๆ นะแม่..ไม่ได้กินก็ลงราก ทรมานจะเป็นจะตาย"
"ก็เออน่ะสิ!...แม่ถึงบอกว่าอย่าไปฟังมัน คนท้องเขาไม่มีใครถือสา อีพวกปากหอยปากปูมันก็ได้แต่พ่นลมไปวันๆ"
แม่ชื่นโคลงตัวเนิบช้า ราวกับกำลังเห่กล่อมลูกน้อย หรือไม่ก็คงกำลังแสดงอาการปลอบใจ หลานอีกคนที่จะได้ลืมตามาดูโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
"แต่ฉันฝันนะแม่...อย่างที่เขาลือกันถึงลูกฉันนั่นแหละ ว่าเป็นลูกเปรตลูกมาร เลยต้องคอยแย่งของพระของเจ้า...
เพี้ยะ!!!
...โอ๊ย!...เจ็บนะแม่"
แม่ชื่นฟาดเผียะที่ต้นแขน ลูกสาวเจ็บจนหยุดพล่าม หันหน้ามาสบหน้าจึงเห็นน้ำตาคลออยู่ในตาแม่
"จะเป็นแม่คนอยู่แล้วยังมานั่งให้ร้ายลูกในไส้อยู่ได้นะเอ็ง ถ้าแม่มันไม่เชื่อไม่รักลูกมันสักคน แล้วเด็กมันจะเหลือใคร หัวอกแม่นะเอ็งข้าจะบอก...เวลาใครมานินทาว่าร้ายลูก ก็แม่มันนี่แหละที่จะเจ็บจะช้ำกว่าตัวลูก เป็นร้อยเท่าพันเท่า"
จบคำ แม่ชื่นก็ปาดน้ำตาทิ้งแล้วลุกหนี นางเชือกร้องไห้รำพึงรำพันอยู่อีกครู่ น้องสาวก็เลียบๆ เคียงๆ เอาขันน้ำล้างหน้ามาวางไว้ให้ ก่อนผละไปช่วยแม่ลากสังกะสีสองแผ่นมาวางไว้ที่ลานบ้าน
ไม่มีใครเรียกร้องให้เชือกลุกขึ้นช่วยหยิบจับอะไร เชยยังวิ่งหัววิ่งหาง หอบกาบมะพร้าวมากองไว้ข้างแผ่นสังกะสี ไอ้ชัดน้องชายแบกเข่งใส่ถาดขนมเดินลิ่วๆ กลับมา พอถึงที่ หลังจากวางเข่งไว้รวมกับพวกของอื่น ก็หันไปช่วยแม่โขลกถั่วทองหรือถั่วเขียวเมล็ดใน ดังแฉะๆ อยู่บนแคร่ถัดไป
"งานบ้านใครหรือเชย...แม่ถึงต้องทำหม้อแกงไปช่วย"
เชือกถามเพราะไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน เห็นแต่พระท่านชักแถวลับดงกล้วย แล้วก็เป็นลมเสีย ก่อนจะรู้ว่าท่านบ่ายหน้าไปทางบ้านไหน
เชยเงยจากกระต่ายขูดมะพร้าวขึ้นมาสบตาแต่ไม่ปริปาก ก้มหน้าก้มตาขูดมะพร้าวต่อขณะแม่ชื่นเดินถือกระด้งถั่วขาวมานั่งเคียง
"บ้านยายปลั่ง เขาทำขวัญเดือนหลาน..."
แม่ชื่นบอกอย่างสั้นที่สุด ทั้งยังไม่เอ่ยถึงคู่แม่ลูกซึ่งกำลังเห่อเหิมโจษจันกันทั้งหัวบ้านท้ายบ้าน โดยเลี่ยงไปกล่าวถึงยาย-หลานเสียแทน
"อ๋อ!...ไอ้หนูที่เค้าว่าเป็นปิยบุตรพุทธชาติอะไรนั่น ตั้งแต่คลอด พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ถูกหวยกันทุกงวด ทั้งที่ซื้อเลขกันคนละตัว"
เชือกไม่จำเป็นต้องทวนข้อความเหล่านี้เลยสักนิด เพราะเป็นที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้ว แต่ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่ยังไม่วาย น้ำเสียงรำพึงจึงปนด้วยอาการประชดประชัน
"เขาว่าเป็นเทวดามาเกิด ตอนแพ้ท้องแม่มันอยากกินแต่น้ำโสม เหล้าเทวดา นี่ขนาดผัวมันหามาให้ได้แค่เอ๊กสะโอกะรีเจนซี่ ยังถูกหวยรวยเบอร์กันขนาดนี้"
"แล้วทำไมเอ็งไม่นึกบ้างเล่าวะ...ว่าไอ้ที่เด็กมันออดๆ แอดๆ อยู่นั่นเพราะแม่มันดันแพ้ท้องอยากแต่เหล้า"
แม่ชื่นอดไม่ได้จึงต่อความ ถึงพยายามเลี่ยงให้เป็นเรื่องไกลตัวลูกสาว แต่เชือกก็ตะบึงตะบอน ควันออกหูขึ้นมาทันที
"แต่อีลูกฉันนี่มันตัวมาร พอมีมันผัวฉันก็ทิ้ง แล้วยังจะมาแพ้ท้องตามกินของถวายพระ...แม่!...เชยมันขูดมะพร้าว...ไว้ฉันขอหัวกะทิสักหน่อยนะ อยากซดจริงๆ กลิ่นมันหอมเหลือใจ...ฮึ!...ดูมันสิดิ้นร้องกินอีกแล้ว!"
เชือกตบหนักๆ บนเนื้อท้องอูมใหญ่ เหมือนจะเตือนเด็กในท้องให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ
แม่ชื่นย่อมเข้าใจคนมีครรภ์ เพราะเฉพาะตนก็เคยอุ้มท้องมาหลายรอบ อาการอารมณ์รวนเรปรวนแปรนั้นมีอยู่เป็นปกติ ยิ่งท้องสาวผัวทิ้งอย่างของเชือก แม่ชื่นยิ่งรู้สึกเห็นใจ ที่ยอมให้ไปเกาะแกะรอของพระฉันอยู่ทุกวันพระทุกงานบุญ ก็เพราะไม่อยากเห็นลูกสาวต้องทรมาน แกเคยหลอกให้รอ แล้วไปขอของก้นบาตรมาให้กิน แต่พอพาของกินมาถึง เชือกกลับคลื่นเหียนอาเจียนจนรากเขียวรากเหลือง บ่นปวดท้องปวดตัว น้ำลายสอๆ แต่กลืนอะไรไม่ลง ไม่ได้นอนจนเช้าจึงต้องพาไปวัด ไปขอแบ่งของพระท่านแล้วนั่งกินพร้อมพระนั่นแหละเชือกถึงกลืนข้าวลงคอ สีหน้าสีตาดีขึ้นไม่เหลือวี่แววของคนป่วยเจียนตายเมื่อคืน
ตั้งแต่นั้น ทุกวันพระ เชือกจะเตรียมตัวแต่เช้า สั่งสำรับสำหรับถวายพระให้แม่ชื่นทำไปถวายเพล โดยจะแบ่งไว้ส่วนหนึ่งเพื่อหลบมุมบังเสา ค่อยกินค่อยเล็มไปพร้อมกัน พอท่านเลื่อนสำรับออกจากที่ ก็พอดีอิ่ม ตั้งอกตั้งใจกรวดน้ำรับพรอย่างเต็มสุข
การณ์เป็นไปดังนี้มาตลอด จนเสียงซุบซิบเริ่มหนาหู ว่าบาปหนักนักหนา กับการแย่งของถวายพระ ตายไปจะกลายเป็นเปรต ไม่ได้ผุดได้เกิด ยิ่งพวกปากร้ายๆ ยิ่งหนักข้อ บางคนถึงกับว่า เด็กในท้องเป็นเด็กเปรตมาสิง ตายอดตายอยากจนต้องแบ่งของพระสงฆ์องค์เจ้า ครั้งไหนใครมาพูดทำนองนี้ให้เข้าหู แม่ชื่นก็เฉยเสีย กับคอยกันท่าไม่ให้เชือกได้ยินได้ฟังเรื่องพวกนี้
แต่พอเขาลือกันไปทั้งบางก็สุดจะป้องกัน เชือกซึ่งนึกกริ่งเกรงอยู่แล้วแต่ห้ามปากห้ามใจตัวเองไม่ได้ เลยยิ่งจิตตกวิตกวิกลไปต่างๆ นานา จนแม่ชื่นต้องพาไปหาหลวงพ่อเจ้าอาวาส ให้อรรถาธิบายถึงบาปบุญคุณโทษ ว่าแท้จริงมันเป็นอย่างที่เขาร่ำลือกันหรือไม่
หลวงพ่อก็บอกชัด หากแบ่งแยกสำรับ ไม่คดกินตักกินจากหม้อจากจานสำหรับถวายพระ ก็ไม่บาป พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดังนั้น หากยังแคลงใจก็ไปขอสมาลาโทษกับหลวงพ่อพระประธานในโบสถ์เสีย จะได้สบายใจ
พระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ประทับบนฐานชุกชีปูนปั้น ผนังโบสถ์ด้านหลังเขียนเป็นเรื่องราวมารผจญให้รับกับพุทธกิริยา มองผ่านไหล่ท่านไปด้านซ้าย คือกองทัพของขุนมารกำลังแพ้ภัยน้ำ ด้านขวาเป็นภาพพระแม่ธรณีบีบมวยผม มีสายน้ำเล็กๆ ไหลออกจากปลายเกศา เชื่อมภาพสู่หมู่มารอีกฟาก
และแต่นั้น ทุกครั้งหลังจากกินมื้อเที่ยงพร้อมมื้อเพลพระ เชือกจะพาแม่ชื่นมาขอสมาหลวงพ่อพระประธาน ภาพนั้นเองที่ติดตาเชือกจนเก็บมาฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะความวิตกกังวล จนเมื่อครู่ขนาดเป็นลมยังฝันได้เป็นตุเป็นตะ
ลมหวนควันกาบมะพร้าวปลิวมาเข้าตาจนแสบ สองแม่ลูกหันไปมอง แล้วแม่ชื่นก็บอกเชยให้เกลี่ยไฟ เอากะลามะพร้าวที่เกรียมดีมาขูดสีถ่านออกบดไว้เป็นเชื้อสี เจือดำให้ขนมเปียกปูน ทางชัดกำลังใช้สังกะสีห่มฟืนให้ท่อนไม้กลายเป็นถ่านสำหรับรอผิงขนมหม้อแกง ถั่วขาวในกระด้งตรงหน้าเชือกถูกเลือกแยกเปลือกไว้ในชามต่างหาก มันจะถูกนำไปนึ่งเอาไว้ประดับหน้าขนมหม้อแกง แม่ชื่นเลื่อนมะพร้าวห้าวมาใช้เชือกช่วยขูดด้วยที่ขูดแบบมือจับ เนื้อมะพร้าวขาวนุ่มจะถูกขูดออกมาเป็นเส้นๆ ฝอยๆ สำหรับโรยหน้าขนมเปียกปูน
"เอ็งอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีก็ดีแล้ว ขอแต่เอ็งทำจิตใจให้ดี ลูกคลอดออกมาจะได้เลี้ยงง่ายๆ ไอ้เรื่องสุขภาพดีไม่เจ็บไม่ไข้ หรือเรื่องสติปัญญาน่ะไม่แม่ห่วง เพราะได้กินแต่ของดีๆ เอ็งก็รู้ดีว่าไม่มีใครเขาถวายของไม่ดีให้พระท่านฉัน...ใครๆ เขาก็เลือกแต่ของที่ดีที่สุดกันทั้งนั้น"
ไม่รู้แม่ชื่นพูดแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง แต่ก็ยังไม่ท้อที่จะพูด เช่นเดียวกับไม่ถอยที่ต้องคอยตากหน้า ไปขอเจียดไอ้นั่นไอ้นี่เล็กน้อยจากสำรับสำหรับถวายพระ ขอร้องให้เจ้าภาพอาหารเหล่านั้น ช่วยทำให้ครบทั้งบุญทั้งทาน ไม่ตอบโต้ต่อน้ำคำเหน็บแนมประมาณว่า
เดี่ยวนี้แม่ชื่นกลายเป็นพวกขอทานไปแล้วเรอะ!?
แม่ชื่นรู้ว่าอะไรๆ เชือกก็กินได้ เพียงแต่ต้องกินพร้อมพระ อะไรที่รู้ว่าเชือกชอบก็จึงไม่เกี่ยงจัดหารอท่าไว้ให้ อย่างขนมหม้อแกงกับเปียกปูนนี่ก็เหมือนกัน ของโปรดของเชือกแต่ไม่ใช่ของจะทำกินเล่นได้ง่ายๆ เมื่อสบโอกาสอย่างนี้จึงไม่รีรอจัดแจง แม้บ้านงานจะไม่ได้เชิญก็ยินดีทำไปช่วย พระที่วัดใต้มีเก้ารูปพอดี พรุ่งนี้ฉันเช้าบ้านใกล้แค่นี้ เชือกจะได้ไม่ต้องลำบากเดินไปถึงวัด แม่ชื่นตั้งใจว่าพอผิงหม้อแกงเสร็จจะเยี่ยมหน้าไปตอนเขาทำขวัญ ไปขอเขาว่าจะพาเชือกมาช่วยทำบุญในเช้าวันพรุ่งนี้
แสงสุดท้ายของวันเรื่อจับฟ้า เมื่อลมทุ่งพาเสียงพระสวดมาให้ได้ยิน สองแม่ลูกก็ยกมือขึ้นจบหน้าผาก นกกาน้อยใหญ่ส่งเสียงสาธุการ กบเขียนเริ่มจอแจชักชวนให้แมลงกลางคืนน้อมใจฟังพระพุทธมนต์ เหมือนแม่ชื่นจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกระซิบกับเชือก พอนับวันเดือนถ้วนถี่ ก็สงบจิตใจ อธิษฐานขอปาฏิหาริย์สักครั้ง
เชือกทอดสายตาตามสายแสง สีทองเรื่อประกายแสดงามระยับปนชมพู เมฆบางเคลื่อนหลบการสั่งลาโลกของดวงตะวัน ขณะยังเพลินกับสนธยากาล อาการเจ็บหน่วงที่ท้องก็เริ่มรุม เจ็บจี๊ดๆ แล้วหายอยู่อีกพัก แล้วก็เริ่มปวดท้องเหมือนอยากจะถ่าย เหงื่อกาฬแตกพลั่กจนต้องเรียกหาแม่ จากเจ็บเหมือนปวดท้องก็เริ่มเจ็บหนัก ทรมานเหมือนไส้จะขาดจนสุดจะทรงกายอยู่ได้
แม่ชื่นรอท่าอยู่แล้ว จึงเข้ารับศีรษะของลูกสาวไว้ได้ ทันก่อนจะหงายผึ่งฟาดกับแง่แคร่ ปากตะโกนเรียกหาเชยให้ต้มน้ำ เร่งให้ชัดวิ่งไปตามป้าหวีหมอตำแยที่บ้านยายปลั่ง เสียงแม่ชื่นชื่นบานกู่เรียกพี่น้องบ้านใกล้ให้ได้ยิน จึงต่างกรูกันเข้ามาช่วย พวกผู้ชายถูกกันไว้วงนอก เพราะภาพหญิงใกล้คลอดไม่ชวนมอง
น้ำเดินจนผ้านุ่งเปียกซ่กด้วยปากมดลูกเริ่มเปิด เสียงสั่งของแม่ชื่นดังก้องในหู เชือกหายใจลึกๆ ตามคำ พ่นลมออกทางปากทั้งกัดฟัน ส่วนล่างของตนเหมือนถูกแซะกระทุ้งรุนแรงจากภายใน
ลูกเอ๋ย!...ลูกแม่ อย่าทรมานแม่นักเลย!
น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม แว่วเสียงคล้ายแม่เสนอให้พาขึ้นเรือนเข้าห้องกันอุจาด เชือกเจ็บจนอยากจะดิ้น แต่แขนขาถูกขืนข่มไว้ด้วยแรงของหลายคน
ใจหนึ่งก็นึกแค้นเพราะแสนทรมาน ใจหนึ่งก็แสนสงสารเพราะนึกห่วง คำพูดร้อยแปดจะกระเทือนหูกระเทือนใจอีกเหลือคณานับ ลูกน้อยไร้เดียงสาจะตกเป็นขี้ปากเขาตั้งแต่แรกคลอด เค้านินทาว่าร้ายแม่คนเดียวยังไม่พอหรือไร บาปกรรมอันใดไม่เคยได้ก่อ ควรหรือที่เจ้าจะต้องรับผล พระพุทธเจ้าเจ้าขา พระทรงเมตตาล้นเหลือ กรรมใดที่มีแก่ลูก ขอให้ตกแต่อิฉันคนเดียวเถิดเจ้าข้า
คงเป็นอันตกลงกันแล้ว หลายแรงจึงช่วยพยุงลุก พอทรงกายได้เท่านั้น ลมเบ่งก็ตีลง ครรภ์เคลื่อนเลื่อนหลุด ทั้งคนแม่ยังยืน เด็กน้อยก็คลอดออกมาพร้อมเสียงอนุโมทนาบุญ
จะด้วยปาฏิหาริย์อันใดก็ตาม ใครคนหนึ่งแว่วเสียงร้องแรกกลายเป็นคำสาธุจากปากเด็กชาย เจ้าตัวรีบทรุดกายลง ประนมมือท่วมหัว อาราธนาคุณพระคุณเจ้าต่อหน้ากองเลือดกองรกไม่ได้อาย คนอื่นนอกจากพวกที่สาละวนทำความสะอาด ต่างพากันค้อมหมอบก้มกราบ เชื่อว่าเป็นเสียงเด็กจริงๆ ที่เอ่ยคำ...สาธุ!...สาธุ! ก่อนร้องไห้จ้า
นางเชือกยังเต็มสติบริบูรณ์ขณะหันหน้าสบตาแม่ ซึ่งคือผู้นั่งยองยกมือไหว้ท่วมหัวเป็นคนแรก แรงเบ่งสุดท้ายแทบขาดใจขณะยืนเป็นผล เชือกยอมทนยอมเสี่ยงยอมตายเพื่อพลิกอนาคตของลูกชายได้สำเร็จ
เสียงร่ำลือเล่าขานจะเปลี่ยนแปลง และสืบทอดยาวนานไปนับแต่บัดนี้
*************
เมื่อวันที่ : 06 มี.ค. 2549, 03.25 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...