Christmas ที่ Sydney 2005 |
 |
โดโรที
 |
...

เทศกาล Christmas จัดว่าเป็นเทศกาลที่สำคัญสำหรับคนที่นี่ทีเดียว หลายๆครอบครัวต่างพากันออกไปซื้อหาต้นสนและไฟประดับเพื่อนำมาตกแต่งบ้าน บางบ้าน...

เทศกาล Christmas จัดว่าเป็นเทศกาลที่สำคัญสำหรับคนที่นี่ทีเดียว หลายๆครอบครัวต่างพากันออกไปซื้อหาต้นสนและไฟประดับเพื่อนำมาตกแต่งบ้าน บางบ้านก็นำเอาของเก่าจากปีที่ผ่านๆมา มาใช้อีกครั้งซึ่งก็เป็นการประหยัดเงินไปอีกแบบ ในละแวกบ้านที่เราอยู่ดูเหมือนว่าจะมีบ้านเราเพียงบ้านเดียวที่เงียบเหงาไร้เงาต้นสน ไฟที่เปิดก็เป็นเพียงแสงไฟจากหลอดไฟที่เปิดอยู่เป็นประจำทุกวันนั่นเอง ช่วงวันก่อนที่จะถึงวัน Christmas ห้างร้านต่างๆเต็มไปด้วยความครึกครื้นจากผู้คนที่เดินขวักไขว่เพื่อซื้อของแต่งบ้านและเตรียมอาหารเพื่อเฉลิมฉลองประจำปี ของหลายอย่างถูกนำมาลดราคาทั้งขนมนมเนยและช็อคโกแลต แต่สิ่งหนึ่งที่เราแทบไม่เชื่อสายตาตนเองคือที่นี่ไม่มีการจัดกระเช้าใบโตราคาแสนแพงที่ประกอบไปด้วยของหลายอย่างมากมายในกระเช้าเหมือนกับที่บ้านเราในช่วงวันสิ้นปีเลย
ในสายตาและมุมมองของเราเรารู้สึกประหลาดใจมาก จากการที่เราได้สัมผัสทำให้เรารู้สึกว่าคนที่นี่ไม่ได้ยึดติดกับการให้ของขวัญชิ้นใหญ่โต เพียงแค่การ์ด 1 ใบ ผู้รับก็แสดงความยินดีและตื้นตันใจออกมาแล้ว แต่พวกเขาจะนิยมไปมีงานสังสรรค์หรือที่เรียกว่า Party ร่วมกันในเทศกาลนี้มากกว่า

สำหรับเราได้รับร่วม Christmas party เบ็ดเสร็จทั้งหมดสี่งาน

งานแรกคือ Christmas party จากคณะวิทยาศาสตร์ การจัด Party ที่นี่เหมือนเป็นการออกกำลังอย่างหนึ่งเพราะไม่นิยมมีเก้าอี้ให้นั่ง อาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้หนึ่งมุม ใครชอบอะไรก็เลือกหยิบได้ตามชอบใจมากน้อยแค่ไหนไม่ว่ากัน แต่ส่วนใหญ่ก็หยิบน้อยๆเพื่อความดูดีมีมารยาท แต่เดินไปหาโต๊ะอาหารได้บ่อยๆ ไม่มีใครมาคอยสังเกตุหรือนับว่าคนนี้เดินไปหยิบอาหารกี่เที่ยว ตอนอยู่ที่บ้านเราเวลามีโอกาสไปร่วมทานอาหารประเภทบุฟเฟต์ (buffet)ตามงานต่างๆ ซึ่งที่บ้านเราจะมีโต๊ะให้นั่ง ทันทีที่มีใครลุกไปตักรอบสองเราพูดด้วยความมั่นใจว่าคนคนนั้นต้องตกเป็นเป้าสายตาทุกที เราพบเหตุการณ์นี้จากทุกงานที่เราเข้าร่วมในแดนสยามบ้านเรา อาจจะเป็นเพราะมีโต๊ะนั่ง คนที่ลุกเดินไปตักอาหารก็เลยตกเป็นเป้าได้ง่าย
ใน Party จัดว่าเป็นการสร้างโอกาสให้ได้รู้จักคนใหม่ๆได้พูดคุยสนทนากันมากมาย โดยเฉพาะงานนี้ทั้งนักเรียน อาจารย์ พนักงาน ในสังกัด ต่างมาร่วมกันทั้งหมด และที่สำคัญได้ดื่มและกินฟรี ซึ่งตรงนี้เพื่อนๆเราไม่มีใครพลาด เรื่องเครื่องดื่มเรียกว่าจัดไว้พร้อมทั้ง soft drink ซึ่งเป็นพวกน้ำอัดลมทั้งหลาย น้ำผลไม้ และที่สำคัญขาดไม่ได้คือไวน์กับเบียร์

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เหมือนกับว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายเรามันเพิ่มขึ้นมากกว่าอยู่ที่ไทยหลายเท่าตัวนัก ตอนอยู่เมืองไทยความถี่มากสุดเพียงคือปีละ 1 ครั้งเอง แต่ที่นี่ด้วยความที่เบียร์มีหลากหลายมากมายให้เลือกแถมไม่ขมมาก ทำให้เราลุ่มหลงไปกับมันโดยปริยาย

งานที่สองเป็น Christmas party สำหรับนักเรียน Postgraduate (นักเรียนระดับปริญญาโทและเอก) ของคณะวิทยาศาสตร์ ไม่พลาดอีกเช่นเคยของฟรีแบบนี้ ทีมนาโนของเรามากันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ต้องนั่งแยกกันเพราะทางทีมงานเขาอยากให้มีการกระจาย งานนี้มีโต๊ะให้นั่งเนื่องจากจะมีการพูดคุยกันถึงเรื่องปัญหาต่างๆระหว่างการเรียนด้วย อาหารในวันนั้นเหมือนเดิมคือไม่มีอาหารเอเชียสำหรับเรา มีหัวดำๆหน้าเอเชียอยู่ไม่กี่คนก็เลยไม่มีอาหารเอเชียให้ ทำให้เราได้ลิ้มรสเนื้อแกะ หลังจากที่เคยเกิดอาการพะอืดพะอมจากการลิ้มรสเนื้อจิงโจ้มาแล้วในอาหารเย็นกับ Professor ท่านหนึ่ง สำหรับ Party นี้ทำให้เราทุ่มคะแนนให้กับเนื้อแกะอย่างเต็มที่ เพราะมันเป็นมิตรกับต่อมรับรสจากลิ้นของเรา นอกจากนี้มีเกมให้เล่นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนงานวิจัยที่แต่ละคนทำอยู่และดูว่าใครใช้เครื่องมืออะไรบ้างเผื่อมีโอกาสได้พึ่งพากันในวันข้างหน้า
หลังจากการทานอาหารเสร็จสิ้น การสนทนาปัญหาต่างๆก็เพิ่มขึ้น ปัญหาหลักที่พูดถึงคือการมีปํญหากับอาจารย์ที่ปรึกษา ในความคิดเราเราไม่เห็นด้วยที่จะมาพูดเรื่องนี้ที่นี่ แต่ผู้ดำเนินการก็ไม่หาทางเปลี่ยนหัวเรื่อง ก็เลยทำให้กลุ่มของเรารู้สึกกร่อยๆและเบื่อในเวลาเดียวกัน

เพราะพวกเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม การมาพูดเรื่องแบบนี้ในงานก็คงไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากเป็นการระบาย นักเรียนที่นี่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและโต้ตอบกับอาจารย์ ใครที่จะมานิ่งเงียบเหมือนนักเรียนส่วนใหญ่ที่ไทยนั้นเราไม่เคยเห็น นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังมีระบบให้เขียนใบรายงานในกรณีที่นักเรียนมีปัญหากับอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งผู้ที่รับเรื่องนี้คือคณบดีประจำหน่วยงาน Postgraduate ของมหาวิทยาลัยจะเป็นคนจัดการสอบสวนเรื่องพวกนี้ ถ้าปัญหาร้ายแรงต้องเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา ทางมหาวิทยาลัยจะมีการสรรหาอาจารย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ให้ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก

มาดู Party ที่สาม อันนี้เป็น Party ของสถาบันนาโน กลุ่มนาโนของพวกเรานั่นเอง อาจารย์ลูกศิษย์พร้อมหน้าพร้อมตาพากันไปร่วมทานอาหารเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารเกาหลี เรียกว่าครื้นเครงกันถ้วนหน้าพร้อมกับอาหารเกาหลีแสนอร่อย ถือว่าเป็นอาหารเย็นก่อน Christmas จริงๆเพราะพวกเราไปทานกันวันที่ 24 ธันวาคม
" ขวดไวน์ เหล้า เบียร์ มากมายตั้งเรียงรายอยู่บนโต๊ะ"

สำหรับ Party สุดท้ายต้องบอกว่าอันนี้คือ Party ที่ได้บรรยากาศ Christmas มากที่สุดเนื่องจากจัดขึ้นในเย็นวันที่ 25 ธันวาคม โดยเจ้าภาพผู้เชื้อเชิญเราไปคืออาจารย์ Bob อาจารย์สอนภาษาอังกฤษเรานั่นเอง หกโมงเย็นกว่าๆมีรถมาบีบแตรเรียก มองไปในรถเห็นคนขับชาว Aussie กับสองหนุ่มจากฮ่องกงและอินโดนีเซียซึ่งเราไม่คุ้นหน้ามาก่อน หนุ่มฮ่องกงเปิดประตูรถต้อนรับ เรานึกอยู่ในใจใครล่ะเนี่ย จึงเอ่ยปากถามว่าเป็นเพื่อนอาจารย์ Bob หรือเปล่า โชคดีที่คนดูแลเราได้รับเชิญไปร่วมงานนี้ด้วยไม่เช่นนั้นแล้วเราคงไม่กล้าไปกับพวกเขาแน่ ๆ
บ้านของอาจารย์ Bob ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามเข้ากับบรรยากาศ Christmas เป็นอย่างดี เมื่อเราไปถึงมีสาวญี่ปุ่น 2 คน กับคนไทยอีก 1 คู่รออยู่แล้ว Party เริ่มจากการทานขนมขบเคี้ยวพวกมันฝรั่ง ข้าวโพดทอด พร้อมด้วยเครื่องดื่มซึ่งมีให้เลือกมากมายเช่นกัน ประมาณสามทุ่มครึ่งอาหารเย็นได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากเรียกน้ำย่อยด้วยขนมขบเคี้ยวมาก่อนแล้ว
Bob ให้ทุกคนจับคู่กันพร้อมทั้งแจกอะไรสักอย่างเป็นกระดาษที่ห่อคล้ายๆกับลูกอมบางประเภทที่เมืองไทย แต่มันมีลักษณะยาวและใหญ่กว่าเรียกว่า Cracker Bob บอกให้แต่ละคู่ถือปลายของ Cracker ไว้คนละด้านหลังจากนั้นพวกเราดึงพร้อมๆกัน ทำให้ Cracker ขาด ภายใน Cracker จะมีของเล่นซ่อนอยู่พร้อมทั้งข้อความตลกต่างๆ หรือไม่ก็คำทำนาย เราได้แมงป่องเป็นของเล่น พร้อมทั้งมงกุฏกระดาษอยู่ด้วยซึ่งทุกคนก็นำมาใส่แปลงร่างเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายที่ปราสาทของ Bob
"รูปมุมซ้ายสีเขียวๆแดงๆบริเวณริมโต๊ะคือ cracker"
"รูปมุมขวาอร่อยกันถ้วนหน้า"
อาหารของ Bob มีมากมายหลากหลายทั้งแฮม สลัด ปิดท้ายด้วยเค้กและไอศครีม รวมไปทั้งผลไม้ สตรอเบอรี่และองุ่นไร้เมล็ด เรียกว่าอื่มกันจนพุงกาง หลังจากนั้นพวกเราช่วยกันเก็บล้าง
เบ็ดเสร็จก็ใกล้เที่ยงคืน Bob จึงพาพวกเราไปร่วมพิธีในโบสถ์ด้วย ไม่น่าเชื่อว่ามีผู้คนมาจนเต็มโบสถ์ แต่ไม่ค่อยจะมีวัยรุ่นมากนักส่วนใหญ่จะเป็นวัยที่ค่อนไปทางสูงอายุ ก็คงเหมือนที่เมืองไทยที่วัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยไปวัด เราเคยร่วมพิธีในโบสถ์โรมันคาทอลิกช่วง Christmas มาสามปีเต็มสมัยที่เป็นนักเรียนประจำเลยไม่ค่อยตื่นเต้นมาก โบสถ์ที่เราไปที่ Sydney นี้เป็นโบสถ์คริสเตียน ลักษณะการจัดงานไม่ต่างกันมาก แต่เราได้มีโอกาสไปตั้งแถววงกลมร่วมรับแผ่นปังกับเหล้าองุ่นกับเขาด้วยซึ่งเรียกว่าเป็นพิธีมิสซา โดยมีคุณพ่อ(บาทหลวง) เป็นคนเดินแจกแผ่นปังรอบแรก หลังจากนั้นก็แจกเหล้าองุ่นอีกหนึ่งรอบ Bob บอกว่าไม่จำเป็นต้องรับก็ได้ เวลาคุณพ่อเดินมาแจกให้ปฏิเสธไปเพราะ Bob เข้าใจว่าเราคือพุทธศาสนิกชน
เรารับแต่แผ่นปังเนื่องจากเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นว่าเหมือนกับแผ่นปังสมัยที่เราเรียนในโรงเรียนประจำหรือไม่ คำตอบที่ได้คือเหมือนกันอย่างกับแกะ ต่างตรงที่รูปทรงซึ่งที่โบสถ์นี้ขนมปังถูกตัดเป็นแผ่นอย่างสวยงาม แต่ที่โรงเรียนเรามีเป็นแผ่นใหญ่ๆแล้วบาทหลวงจะบิออกมาแจกทำให้แต่ละคนได้แผ่นปังรูปทรงต่างกันไปใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ถึงคราวเหล้าองุ่น ที่นี่บาทหลวงจะนำถ้วยเหล้าองุ่นมา 1 ใบซึ่งเรียกว่าถ้วยกาลิกษ์พร้อมผ้าเช็ดขอบปากถ้วย และเวียนให้แต่ละคนดื่มในถ้วยเดียวกัน ถ้ามองในแง่สุขลักษณะเราไม่ค่อยเห็นด้วยกับวิธีนี้เท่าไหร่ ที่โรงเรียนเราจะเป็นถ้วยเหล้าองุ่นตั้งไว้ แล้วทุกคนก็จะเดินนำแผ่นปังไปแตะที่เหล้าองุ่นในถ้วยนั้น
"มุมหนึ่งในโบสถ์"
ในศาสนาคริสต์แผ่นปังนี้เปรียบเมือนเป็นพระกายของพระเยซูและเหล้าองุ่นเปรียบเป็นพระโลหิต หลังจากเสร็จสิ้นพิธีนั้นจะมีการเปิดโอกาสให้ผู้คนในโบสถ์ได้มาแสดงความรู้จักซึ่งกันและกัน เรียกว่าเกิดการสร้างมิตรภาพที่ดีซึ่งกันและกันเลยทีเดียว เสร็จสิ้นพิธีก็เป็นเวลาเกือบตีสอง หนังตาชักเริ่มจะปิดหลังจากร่ำลาเพื่อนร่วม Party แล้ว Bob ขับรถมาส่งเราที่บ้าน เมื่อขาก้าวเข้าบ้านเป้าหมายคือห้องนอน เรารีบวิ่งเข้าหาเตียงทันทีเพราะง่วงเต็มที่อยากจะนอนพร้อมกับฝันดีๆในวัน Christmas......

เมื่อวันที่ : 21 ม.ค. 2549, 07.31 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...