เรื่องเล่าจากซอกดอย : ศิวิไลซ์ |
 |
เชิงดอย
 |
...และแล้วไฟฟ้าก็มาถึง ตะเกียงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป ถ่านแก็สถูกแทนที่ด้วยหม้อแบ็ตตราค้างคาว ไปทางไหนก็มีแต่คนมีทีวี มีตู้เย็น น้ำแข็งอยากกินเมื่อไหร่ก็ได้กิน ไม่ต้องรองานบุญ...

เสียงรถประจำหมู่บ้านครางฮึ่มๆ มาแต่ไกล ควันฝุ่นตลบตามหลังมาแต่ไกล ผ่านบ้านคนที่รู้จักก็กดแตร ปิ๊น! ทักทายตลอดทาง เสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้โดยสารแทรกมากับเสียงคำรามของรถคันเก่า บอกทางว่าให้จอดตรงไหน เสียงเบรกเอี๊ยดตามด้วยฝุ่นควันตลบตามรถมาทันที่หน้าประตูบ้าน เสียงเอะอะ หัวเราะคิกคัก น้าชายลงมาจากรถโดยมีเด็กท้ายรถช่วยหิ้วกล่องกระดาษใบใหญ่เข้าบ้าน ผมเล่นอยู่ในบ้านได้แต่แอบมองหลังเสาไม้สักต้นเขื่อง สงสัยเหลือเกินว่าน้าหอบหิ้วอะไรมา

รถผ่านหน้าบ้านไป น้าชายเรียกผมไปช่วยหิ้วกล่องใบใหญ่ หิ้วหูคนละข้างขึ้นบันไดวางบนชานหน้าร้านหม้อน้ำกิน ดูข้างกล่องแล้วผมก็ตาลุกวาว มันเขียนข้างกล่องว่า โทรทัศน์ ธานินทร์ แหมไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไงล่ะ จะได้ดูทีวีเหมือนเด็กในเมืองซะที ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ดูทีวีหรอก นอกจากจะได้เข้าเมืองวันเสาร์อาทิตย์ ไปหาหมอ หรือไม่ก็ไปส่งตาไปหาหมอเท่านั้น ทีวีก็หาดูตามร้านอาแปะแถวๆตลาดที่เป็นท่ารถนั่นแหละ ดูเมื่อไหร่ก็เห็นมีแต่มวยอยู่ช่องเดียว

ว่าแต่จะหาไฟจากไหนล่ะเนี่ย มีแต่ทีวีแล้วจะเสียบปลั๊กที่ไหน มาถึงบางอ้อก็เมื่อสองอาทิตย์ต่อมามีคนมาขุดหลุมหน้าบ้าน เอาเสามาวางไว้ แล้วก็ค่อยๆ ตั้งเสาไฟ เดินสาย กว่าจะเสร็จได้ก็เป็นเดือน ระหว่างนั้นก็มีรถเร่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ามาไม่ซ้ำหน้า ที่เจอบ่อยๆก็ซิงเกอร์ ขนตู้เย็น ทีวี เตาอบ เครื่องซักผ้า สารพัดมาบนรถกระบะ แล้วก็เอามาขายผ่อน บางคนก็ซื้อทีวี ตู้เย็นไว้ ทั้งๆที่ไฟก็ยังไม่มี ไปทางไหนก็เห็นแต่คนยิ้ม คุยกันแต่เรื่องไฟฟ้า เด็กๆอย่างผมก็ฝันถึงการ์ตูน หนัง ที่ไม่ต้องหอบเสื่อ หอบหมอน ไปดูถึงลานวัด นอกจากรถขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วยังมีรถรับซื้อพืชพืชสวนเข้ามาด้วย รับซื้อมันทุกอย่าง ข้าวเปลือก ถั่วทุกอย่าง ขมิ้น ขิง ชาวบ้านที่ไม่มีเงินซื้อของก็เอาข้าว เอาของมาขาย เพื่อแลกเป็นเงินสักก้อนเพื่อเอามาผ่อนซื้อของ

และแล้วไฟฟ้าก็มาถึง ตะเกียงเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป ถ่านแก็สถูกแทนที่ด้วยหม้อแบ็ตตราค้างคาว ไปทางไหนก็มีแต่คนมีทีวี มีตู้เย็น น้ำแข็งอยากกินเมื่อไหร่ก็ได้กิน ไม่ต้องรองานบุญ ถนนหนทางถูกเกรดเรียบ อัดลูกรัง มีข่าวว่าหลวงท่านจะสร้างทางใหม่ให้เป็นราดยาง..... ไปทางไหนมีแต่ข่าวดีไปหมด แต่ที่แน่ๆ เงินที่ต้องจ่ายเมื่อต้นเดือนก็มาถึง ข้าวก็ขายไปแล้ว บ้างไม่มีเงินก็ต้องคืนของเค้าไป บ้างก็ต้องหาเงินสารพัดวิธี ไม่ว่าจะตัดไม้มาขาย หาของป่าออกมาขายในเมือง ยามเย็นที่เคยมีคนเดินตามถนนหน้าบ้านก็เปลี่ยนไป คนต้องทำงานกันมากขึ้น เย็นๆต่างคนต่างก็นอนดูทีวีในบ้าน มีแต่แสงไฟหลอดนีออน เสียงเพลงจากสเตอริโอกระหึ่ม แต่ดูเหมือนหมู่บ้านเงียบเหงาเหลือเกิน .....

ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ป่าก็เริ่มแตก.... ไม้สักเริ่มถูกตัดออกจากป่า สักต้นโตกว่าสองคนโอบถูกโค่นแล้วชักออกจากป่า ขึ้นโรงเลื่อยแปรรูปเป็นสินค้าส่งออกที่เค้าเรียกว่าอ่าง อ่างรูปสี่เหลี่ยมกว้างยาวคืบคูณซอกเป็นสาเหตุที่ทำให้สักที่อายุนับร้อยๆปีหมดป่าไปอย่างรวดเร็ว ไม้ที่คนเฒ่าคนแก่เคยบอกกันว่าต่อให้มึงตัดกันทั้งชาติก็ไม่มีวันหมดเริ่มหมดไปเรื่อยๆ จากห้วยแม้พร้า แม่ต้า ลามไปถึงผานีต ภูไท นายทุนเจาะไม้สักจากต้นโอบไม่รอบไปเป็นอ่างไม้สักส่งออกเมืองนอก สุดท้าย ไม่ถึงห้าปี ไม้สักก็ไม่เหลือจากป่าเวียงต้าอีกต่อไป....ทิ้งไว้ก็เพียงตอสักที่สูงแค่หน้าแข้ง กับเศษซากคนที่อพยพจากต่างถิ่นเข้ามาขุดทอง มอดไม้ เจ้าพ่อ..... วงจรอุบาทว์ วิถีชิวีตเปลี่ยนไป แม่พร้าจากเคยได้ดื่มกินหมดฝนหมดแล้ง เหลือเพียงกอหญ้า กอผักขม ป่าทรายในหน้าแล้ง น้ำที่เคยนองในหน้าฝนก็เหลือแค่เอ่อให้จี้กุ่งร่าเริง ป่าเปลี่ยน คนเปลี่ยน...

ไฟฟ้า ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเข้ามาแล้วดีหรือไม่ดี บ้านมีไฟสว่าง คนต่างถิ่นเดินเข้าออก รถขนไม้เข้าออกป่า แรงงานเยอะแยะปัญหาก็ตามมา ซ่องผุดขึ้นมา สาวจากต่างบ้านมาหากิน ขายตัวเลี้ยงชีวิต ป่าที่เคยเขียว หนาแน่นไปด้วยไม้ใหญ่กลับโล่งขึ้น ไปทางไหนก็เจอแต่ตอไม้ ไก่ป่าที่เคยขันล้อลูกปืนที่หลังบ้านก็ดับเสียง กระต่าย แย้ หนู ที่เคยหากินรอบบ้านเริ่มหายไป เงินกลายเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิต คนหาเงินกันเก่งขึ้น จากไม้สัก ก็ลามไปไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้พยุง ไม้ตะเคียน ไม้ยาง ไม้มะม่วงป่า ไม้แคทราย ไม้ผู พ่อเลี้ยงในหมู่บ้านเริ่มมีช้าง มีโรงเลื่อยเถื่อน พ่อเรือนต้องเข้าป่าไปตัดไม้เป็นเดือนๆเพื่อหาเงินค่างวดเงินผ่อน คนเริ่มห่างป่าไปทุกทีทั้งๆที่เข้าป่าตัดไม้กันจนปรุ วิญญาณป่าหายไปไหน?

เสียงกรีดร้องของป่าคงดังก้องเหมือนกับเสียงเลื่อยยนต์ที่แผดคำราม น้ำตาป่าคงไหลจนแห้งเหือดหายเหมือนสายห้วยที่แห้งเหือด เลื่อยโซ่คำรามที่ไหนเหมือนเสียงจากมัจจุราชก้องสนั่นป่า เสียงเครื่องคูโบต้าจากโรงเลื่อยเถื่อนเดินเครื่องไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน ป่าเริ่มเล็กลง สัตว์หายไปเรื่อยๆ คนเอ๋ย....ฤาเจ้าจะหากินแค่ชาติเดียว

ป่ายางต้นสูงเทียมเมฆ ดงใหญ่ที่ขุนห้วยอันตรธานเหลือแต่ตอ ต้นนึงๆโตกว่าที่ผู้ใหญ่สองคนจะโอบไหว ผมเคยไปเก็บขี้ยางเล่นลูกเท่าหัว เอามาทำขี้ไต้เล่น ป่ายางที่เข้าไปแล้วไม่เห็นตะวันเหลือเพียงซาก กลายไปเป็นบ้านหลังโตมีไฟฟ้า มีทีวี มีตู้เย็น มีสเตอริโอเสียงกระหึ่ม บ้านแทบทุกบ้านต้องมีมอเตอร์ใซค์วิบากเอาไว้เข้าป่า เกวียนที่เคยเอาไว้ลากข้าว ลากฝ้ายกลับเอาไปลากไม้ เสียงจ๊อย ซอ กลายเป็นเสียงเพลงลูกทุ่งกระหึ่มจากลำโพง

เด็กๆอย่างผมก็ได้แต่มองตาปริบๆ ม่อนดงซางเหลือแต่กอซางกับไม้ต้นเล็กๆ ผมได้กินเนื้อหมู เนื้อวัวบ่อยตามที่อยากกินแต่ต้องไปหาซื้อจากตลาด ผักที่อยู่ตามชายรั้วกลายเป็นของมีค่า ข่า ตะไคร้ พริก ผักบุ้ง ผักแว่น กลายเป็นของขายตามกาดเช้า อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด..... กระต่ายป่ารอบบ้านเริ่มหายไปเรื่อยๆ นกคุ่มตามปลายนาท้ายบ้านถูกจับมาขายจนแทบสูญพันธุ์ มองไปทางไหนแห็นแต่ไอแดด ข้าวในยุ้งถูกขายออกไปเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ธกส.เข้ามาเป็นเจ้าหนี้รายต่อมา กู้มาปลูกบ้านหลังโตๆ เสาเรือนใหญ่ๆ ไม้กระดานสองชั้น หลังคากระเบื้อง แสดงความรวย แต่หมกไว้ด้วยตัวเลขเงินกู้ในธนาคารหกหลักที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะผ่อนหมดหรือเปล่า
ถุย! " ศิวิไลซ์ "

เมื่อวันที่ : 28 ธ.ค. 2548, 16.40 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...