![]() |
![]() |
ตะวันฉายที่ปลายฝัน![]() |
......
เสียงซอดังแว่วมาตอนกลางดึก ฟังดูหดหู่ เปลี่ยวเหงา เศร้าสร้อยเสียจนคิดว่าคนที่กำลังสีอยู่นั้นได้ถ่ายทอดอารมณ์ของเขาออกมาทางดนตรี ธีระพงศ์ละมือจากพู่กัน เขาเหลือบมองดูนาฬิกาที่ผนังห้อง เข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีชี้ไปที่เลขสิบสอง ซึ่งเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี เขาสังเกตมาหลายคืน เวลาเที่ยงคืนตรงเสียงซอนี้จะแว่วดังมาจากห้องใดห้องหนึ่งในห้องเช่าแห่งนี้ แล้วก็จะสงบลงเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนเป็นเวลาตีสามตรงของทุกคืน เสียงซอครวญแว่วดัง เขาเอนหลังพิงกับเก้าอี้ หยิบบุหรี่ที่ไหม้เกือบหมดมาดูดไปอึดใจใหญ่ แล้วบี้มันลงบนที่เขี่ย ระบายควันออกมาพร้อมกับถอนใจเฮือกใหญ่ เขามาเช่าห้องนี้เขียนรูปได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว การได้มาระบายความรู้สึกของตนเองผ่านภาพวาด ในสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่ซ้ำกันทำให้เขาได้อะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นชายทะเล ภูเขา หมอก เขาก็เคยไปมาแล้ว แม้แต่ห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ที่ไม่น่าจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้ อย่างห้องเช่าโทรม ๆ แห่งนี้ก็ตาม
จิตรกรหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดอีกมวน เสียงซอจากห้องตรงข้ามก็ยังดังโหยหวนมาอยู่ไม่ขาด เขาเพ่งมองรูปผู้หญิงคนหนึ่งในรูปที่เขาจะเขียน แต่เพิ่งวาดเสร็จเฉพาะใบหน้า หล่อนกำลังยิ้มละไมมาที่เขา และไม่ได้แฝงความนัยอะไรไว้ในรอยยิ้มนั้น เหมือนกับที่ เลโอนาร์โด ดาวินชี แฝงไว้ในภาพ โมนาลิซา แต่ภาพนี้เขาตั้งใจจะสื่อภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าไม่ได้มองลึกลงไปในรายละเอียดจะไม่รู้เลยว่าเบื้องลึกของเธอนั้นมีอะไรที่เลวร้ายน่ากลัวแอบแฝงอยู่ ซึ่งเขาเองต้องพยายามซ่อนรายละเอียดตรงนี้เอาไว้ เพื่อจะบอกแก่ผู้เสพงานของเขา และจะต้องไม่ได้ดูเป็นการบอกแบบโจ่งแจ้งเกินไป
บุหรี่ถูกจุดขึ้นอีกมวนหนึ่ง เขาดูดไปอึกใหญ่อีกครั้ง เสียงซอจากห้องตรงข้ามก็ยังคงดังแว่ว เหมือนกับเสียงสะอื้นไห้ของใครบางคน บางอารมณ์เขาก็เคยเคลิบเคลิ้มไปกับมัน บางอารมณ์เขากลับนึกรำคาญขึ้นมาเสียไม่ได้ คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เขารู้สึกเช่นนั้น ธีระพงศ์สลัดความคิดต่างๆ ออกไปจากหัว แล้วรวบรวมสมาธิให้กลับมา บุหรี่ในมือถูกบี้ลงไปในที่เขี่ย แล้วหยิบพู่กันมาวาดต่อ แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่ารูปนั้นจะออกมาในรูปแบบใด แต่เหมือนกับว่าสมาธิของเขาได้ขาดกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว
นาฬิกาที่ผนังห้องบอกเวลาตีหนึ่งเศษ เขาคงเขียนภาพต่อไปไม่ได้ถ้ายังมีเสียงซอนี้ดังรบกวนโสตประสาทอยู่ หรือไม่ก็ต้องรอจนถึงตีสามเสียงนั้นถึงจะเงียบหายไป แต่เขาคงทนถึงตอนนั้นไม่ไหว เพราะเสียงมันเริ่มดังถี่กระชั้นขึ้นเรื่อย ๆ จาก เศร้าสร้อย เซื่องซึม กลายเป็นเร็ว แรง รัวถี่กระชั้น คล้ายกับผู้ที่กำลังบรรเลงอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวโกรธ
ธีระพงศ์วางพู่กันลง ลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ประตู เขาจำเป็นต้องคุยกับเพื่อนบ้านของเขา แม้มันจะไม่เป็นการดีนักถ้าจะไปเคาะประตูห้องใครคนหนึ่งที่ไม่รู้จักกลางดึกเช่นนี้ แต่เพื่อนบ้านของเขาก็ทำไม่ถูกเช่นกันที่จะมาทำเสียงดังรบกวนใครต่อใครในตอนดึกดื่น และมันก็ไม่ใช่แค่คืนเดียว มันตั้งแต่ที่เขาเริ่มย้ายเข้ามาแล้ว ทั้งที่เขาเองก็บอกกับผู้ดูแลห้องเช่าแห่งนี้ไปแล้วว่าต้องการห้องที่เงียบที่สุด ชายคนดูแลก็ชี้มาที่ห้องนี้ซึ่งเป็นห้องอยู่ริมสุดแล้วก็อยู่ชั้นบนสุดด้วย ซึ่งทั้งชั้นไม่มีใครเช่าอยู่เลย เพราะว่ามันอยู่สูงขึ้นลงลำบาก แต่คืนแรกที่ได้ยินเสียงซอเขาก็รู้แล้วว่าชั้นนี้มาคนเช่าอยู่ก่อนหน้าเขาอีก ซึ่งก็คือห้องที่เขากำลังจะเคาะประตูอยู่นี่เอง
เขามายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเจ้าของเสียงนั้น เสียงซอยังรัวเร็ว เขาเอามือเคาะประตูไปสามครั้ง แต่ไม่มีเสียงคนตอบรับ เขาเคาะรัวไปอีกหลายครั้ง เสียงนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเงียบลงเลย จนบางครั้งก็เหมือนกับใครบางคนเปิดเครื่องเล่นซีดีเอาไว้ เขาตะโกนเรียกไปอีก คราวนี้ได้ผลเสียงซอนั้นเงียบลง แต่ไม่มีใครเดินมาเปิดประตู ธีระพงศ์คิดว่าเขาคงไม่กล้าออกมาเปิดประตู แต่ก็พอใจในระดับหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เสียงนั้นเงียบลงไปได้ แต่จะเดินกลับห้องโดยไม่ได้บอกจุดประสงค์ที่เขามาเคาะห้องตอนดึกคงไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเสียงนั้นก็คงจะดังขึ้นอีกเป็นแน่
เขาจึงตะโกนพูดไป
"ที่คุณเล่นมันก็เพราะดีนะ"
เงียบ...
"แต่เสียงมันดังไปหน่อย ผมทำงานไม่ได้"
เงียบอีก...
"ผมไม่ได้ว่าคุณนะ เพียงอยากให้คุณลด ๆ เสียงลงบ้างเท่านั้นเอง"
เหมือนพูดกับตัวเอง ไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากห้องนั้นเลย ธีระพงศ์คิดว่าเขาคงจะได้ยินที่เขาพูดออกไป กำลังจะหันหลังเดินมาที่ห้องตัวเอง พลันเสียงจากห้องนั้นก็ดังมา
"ฉันเสียใจค่ะ"
เป็นเสียงผู้หญิง คะเนจากน้ำเสียงที่ได้ยิน เขาเดาเอาว่าเธอน่าจะเป็นคนมีอายุสักหน่อย แต่จะเป็นใครก็แล้วแต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเรื่องหรือสร้างความขุ่นเคืองแก่เพื่อนบ้านของเขา มันดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลยที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก แต่เป็นการรู้จักโดยการสร้างความขุ่นเคืองใจให้อีกฝ่าย เขาไม่ต้องการเป็นอย่างนั้น เขาเพียงแค่อยากมาขอร้องธรรมดาเท่านั้น
"ไม่เป็นไรหรอก บังเอิญว่าผมทำงานดึก"
"ฉันเสียใจ "เสียงนั้นปนด้วยสะอื้นไห้ เขาเองก็มั่นใจว่าฟังไม่ผิดแน่ หรือบางทีเขาอาจจะพูดอะไรรุนแรงเกินไปจนเธอรับไม่ได้
"ผมไม่ได้บอกให้คุณหยุดเล่นนะ ผมเพียงอยากบอกว่าเสียงมันดังไปหน่อย"
"ฉันเสียใจจริง ๆ " เธอยังพูดประโยคเดิม เพียงแต่คราวนี้เธอร้องไห้ออกมาจริง ๆ เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา และก็ไม่ได้พูดอะไรรุนแรงไปเกินกว่าคำขอร้อง
"ผมขอโทษก็แล้วกัน ถ้าทำให้คุณร้องไห้"
ธีระพงศ์เดินเข้ามาที่ห้องตัวเองด้วยความงุนงง เสียงสะอื้นไห้ยังดังแว่วมาจากห้องนั้นอยู่ไม่ขาด เขาคิดผิดเสียแล้วที่ไปเคาะประตูห้องนั้น การได้ฟังดนตรีมันเจริญใจกว่าการนั่งฟังคนร้องไห้เป็นไหน ๆ
เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวเดิมนั้นอีกครั้ง เสียงร้องไห้ยังดังมาเรื่อย ๆ เหมือนกับว่าตัวเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายไปเชิญชวนเสียงนั้นเข้ามาที่ห้อง เขารู้สึกว่าที่บริเวณขมับเต้นตุบ ๆ เอนหลังพิงเก้าอี้พรูลมหายใจแรง ๆ หลายครั้งอยู่นาน เอามือนวดเบา ๆ บริเวณขมับไปมา แล้วก็ผล็อยหลับไป
ดวงตะวันสาดส่องพาดขอบหน้าต่างเข้ามาเกือบถึงบริเวณกลางห้อง แล้วค่อย ๆ คืบคลานเข้ามายังที่ทำงานของเขา ธีระพงศ์ยังหลับอยู่ที่เก้าอี้ตัวนั้น โดยมีรูปผู้หญิงที่วาดได้แค่ใบหน้ากำลังยิ้มมาที่เขา เสียงเคาะประตูทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่น สะบัดศีรษะไล่ความง่วงงุน มองไปที่ประตูรู้สึกแปลกใจกับอาคันตุกะของเขา จำได้ว่าก่อนที่จะมาวาดรูปที่นี่เขาไม่ได้บอกใครเลย
เขาลุกจากเก้าอี้เดินไปเปิดประตู
"โทษทีที่มารบกวนคุณแต่เช้า คุณยังสบายดีอยู่ไหม" คนที่มาเคาะพูดหน้าตาตื่น
เขาเป็นคนดูแลห้องเช่าที่นี่ เป็นชายร่างค่อนข้างเตี้ยอยู่สักหน่อย ตัดผมสั้นเกรียนหนวดเคราขึ้นหรอมแหรม แต่ธีระพงศ์จำชื่อเขาไม่ได้ เคยคุยกันครั้งเดียวก็ตอนที่ย้ายเข้ามาเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว
"ผมสบายดี มีเรื่องอะไรหรือ?"
เขาค่อย ๆ หันไปที่ประตูห้องตรงข้ามมองดูแวบหนึ่ง แล้วหันมาที่หน้าของจิตกร เอามือป้องปาก
"เมื่อคืนคุณคุยกับใคร"
จิตรกรขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ตอบอะไร เหมือนกับไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
"เอ่อ..จริง ๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณน่ะนะ แต่.."
"เกิดอะไรขึ้นหรือ?"
"เมื่อคืนผมเห็นคุณยืนคุยกับใครอยู่หน้าห้องนี้"
"อ้อ" จิตรกรหัวเราะ "ไม่มีอะไรหรอกแค่คุยกับเจ้าของห้องนี้ เขาเล่นดนตรีเสียงดังไปหน่อย"
"เสียงซอนั่นใช่มั้ย" ผู้ดูแลถามหน้าตาตื่น
"ใช่..แล้วคุณรู้ได้ไง ดึกดื่นขนาดนั้นไม่หลับไม่นอนหรือ"
"เมื่อคืนผมจะขึ้นไปบนดาดฟ้า ผมลืมปิดสวิทย์น้ำ มันไม่ปิดอัตโนมัติ ดีมันไม่ล้นออกมาจากถัง แล้วก็เห็นคุณคุยอยู่กับ..."
"ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ผมคุยอยู่กับคุณผู้หญิงห้องตรงข้ามผม เอ๊ะ!..นี่คุณมีอะไรหรือเปล่า"
ผู้ดูแลห้องส่ายหน้า "เปล่า ๆ เอ้อ..คุณกลัวผีมั้ย"
จิตรกรสั่นหัว
"ดี" ผู้ดูแลดีดนิ้วดังเป๊าะ "เพราะผมกำลังจะบอกอะไรคุณน่ะซี"
"เรื่องผี?"
"แน่นอน" เขาพยักหน้า ขยับเข้ามาใกล้ ๆ จิตกร แล้วพูดเหมือนคนกระซิบ
"ที่คุณคุยด้วยเมื่อคืน ไม่ใช่คนหรอก คุณโดนผีหลอก ในห้องนี้ไม่มีใครเช่าอยู่ หรือทั้งชั้นนี่แหละไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่เลย หรืออยู่ได้ไม่นานก็ต้องย้ายหนี ห้องนี้เคยมีผู้หญิงผูกคอตาย"
จิตรกรหัวเราะเบา ๆ "คุณนี่เข้าใจแต่งเรื่องดีนะ คุณมาอำผมอย่างนี้ เดี๋ยวผมก็เชื่อจริง ๆ หรอกถ้าผมกลัวแล้วย้ายออกคุณหมดรายได้เลยนะ"
"นี่ผมพูดจริง ที่บอกคุณเพราะดูท่าทางคุณไม่ค่อยกลัวผี เห็นอยู่มาได้หลายคืนแล้ว"
สีหน้าของจิตรกรเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ผู้ดูแลห้องเองก็พยายามจะทำให้เชื่อจนได้ เขายอมเดินกลับไปเอากุญแจห้องนั้นมาเปิดให้ดู เพื่อให้จิตรกรรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก
"ผมไปเอากุญแจห้องนี้มาแล้ว เดี๋ยวผมจะเปิดให้ดู" สีหน้าของเขาดูจริงจริง
เขาค่อย ๆ ไขกุญแจห้องนั้นเข้าไป ธีระพงศ์ยืนดูอยู่ข้างหลัง
"นี่ไงล่ะ ห้องที่คุณว่าได้คุยกับผู้หญิงเมื่อคืน มันเป็นห้องเปล่า" ผู้ดูแลบอกเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว
ธีระพงศ์ค่อยก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไป กวาดสายตาไปรอบห้อง มันเป็นห้องว่างเหมือนกับที่เขาบอก ฝุ่นจับเขลอะตามขอบหน้าต่างราวกับว่ามันขาดการดูแลทำความสะอาดมาหลายเดือน กลิ่นอับ ๆ ของห้องโชยลอยมาแตะจมูกเขา เตียงไม้เก่า ๆ ตั้งอยู่ใกล้กับหน้าหน้าต่าง เป็นจุดเดียวกับที่ห้องของเขาวางไว้เช่นกัน ซึ่งนั้นก็เพราะลักษณะรูปแบบของห้องเช่าแห่งนี้คล้าย ๆ กัน
เขาพยายามมองหาต้นกำเนิดของเสียงที่เขาได้ยินมาหลายคืน ความเคลือบแคลงสงสัยตั้งแต่ตอนแรกว่ามันน่าจะเป็นเสียงจากเครื่องเล่นซีดี หรือไม่ก็ลำโพงที่แอบเอามาติดไว้จากที่ไหนสักแห่ง เขาพยายามมองหาไปจนทั่วห้อง แต่เขากลับไม่เห็นเครื่องเล่น หรือลำโพงอะไรนั่นเลยสักตัวเดียว
คนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอย่างเขา ตอนนี้มันกลับทำให้เขาขนลุกซู่ขึ้นมาเสียไม่ได้
"ทีนี้คุณเชื่อผมหรือยัง" ผู้ดูแลเอ่ยพลางเดินไปแตะสวิทย์เพื่อเปิดพัดลม
พัดลมเพดานค่อย ๆ หมุนช้า ๆ ใยแมงมุมที่ห้อยระโยงระยางขาดวิ่นหลุดออกจากัน ธีระพงศ์เดินไปที่หน้าต่าง เขาไม่ค่อยจะชอบกลิ่นอับ ๆ แบบนี้เท่าใดนัก แต่พัดลมก็ช่วยเขาได้มาก ถึงแม้มันจะพัดเอื่อยเฉื่อย เชื้องช้าตามสภาพ แต่ก็พอจะขับไล่กลิ่นนั้นออกไปได้บ้าง
"ห้องนี้ไม่เคยได้ทำความสะอาดเลยหรือ" จิตรกรหันมาถามผู้ดูแล
"ก็ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นก็ไม่เคยเลย"
"งั้นก็แสดงว่า ตั้งแต่เธอตายไปแล้ว ยังไม่มีใครมาเช่าห้องนี้อีกเลย"
ผู้ดูแลพยักหน้า " ไม่เฉพาะห้องนี้หรอก ทั้งชั้นเลยล่ะ แล้วชั้นล่าง ๆ ก็กำลังทยอยกันย้ายออก"
ธีระพงศ์ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเองก็เข้าใจว่าถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเป็นใครก็ต้องย้ายหนีแน่
"ยังดีที่คุณเข้ามาเช่า" เขายังพูดติดตลก " แต่อีกไม่นานมันก็คงมีแต่ห้องว่าง ๆ ถึงเวลานั้นผมคงต้องขาย"
"คุณเป็นเจ้าของห้องเช่าแห่งนี้หรอกหรือ" ธีระพงศ์หันมาถาม
"เปล่าหรอก" เขาส่ายหน้าช้า ๆ "พ่อผมต่างหากเป็นเจ้าของ และท่านก็เสียไปนานแล้ว ผมแค่คนดูแล"
"แล้วถ้าเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ คุณจะทำยังไง"
"ก็อย่างที่บอก บางทีผมคงต้องขาย"
ธีระพงศ์พยักหน้ารับรู้ แล้วเดินดูรอบ ๆ ห้อง เขาไปหยุดที่รูปภาพที่ห้อยอยู่ผนังห้องรูปหนึ่ง เป็นรูปดอกทานตะวันดอกหนึ่งบานอยู่เกือบเต็มรูป เขามองดูรายละเอียด การลงแปลง น้ำหนักสี คนวาดนี้คงมีฝีมืออยู่ในระดับที่ไม่เลวเลยทีเดียว
"รูปนี้ของใคร" เขาหันมาถามผู้ดูแล
"เธอเป็นจิตรกรเหมือนคุณ" ผู้ดูแลเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนที่จะพูดต่อ "เธอมาเช่าห้องวาดรูปเหมือนกับคุณ เธอให้รูปนี้กับผมไว้ แล้ววันต่อมาเธอก็..เอ่อ.."
จิตรกรถอนหายใจ เขารู้สึกไม่ค่อยดีเอาเสียเลยที่เห็นเพื่อนร่วมอาชีพต้องมาจบชะตากรรมแบบนี้ จะด้วยสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ มันก็ยังดูน่าเศร้าสลดใจอยู่ดี
"เธอเขียนประโยคหนึ่งไว้ก่อนตาย" ผู้ดูแลเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไปได้ครู่หนึ่ง
"เธอเขียนถึงใคร?"
"ผมเองก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากหรอก บางทีเธออาจจะผิดหวังเรื่องความรัก"
"ผิดหวังเรื่องความรัก?"
ผู้ดูแลห้องชี้ไปที่กระจก "นั่นไง เธอเขียนไว้หน้ากระจกตัวเบ้อเร้อเลย แต่ตอนนี้เราลบทิ้งไปแล้ว"
ธีระพงศ์ค่อย ๆ เดินไปที่กระจกบานนั้น มันเป็นกระจกที่ติดไว้กับโต๊ะเครื่องแป้งเก่า ๆ ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่บ้าง บางทีเขานึกอยากเห็นว่าเธอเขียนอะไรไว้ แต่ก็เข้าใจว่าทางห้องเช่าคงต้องลบออกเพราะมีผลต่อคนที่เข้ามาเช่าคนถัดไป
"เธอเขียนไว้ว่าอย่างไรหรือ?" เขาถาม
ผู้ดูแลค่อย ๆ หันมามองที่หน้าเขาก่อนที่จะพูด
"ฉันเสียใจ "
คืนนี้จิตรกรวาดรูปด้วยอาการผวา เขากลัวว่าเสียงซอนั้นจะดังขึ้นมาอีก เหลือบมองดูนาฬิกา 23.55 น. เหลืออีกห้านาทีเท่านั้น เสียงซอที่เขาเคยได้ยินอยู่ทุกค่ำคืนกำลังจะดังขึ้น แต่คืนนี้เขาไม่นึกจะเคลิบเคลิ้มสุนทรีย์กับเสียงนั้นเสียแล้ว เข็มนาฬิกาที่กระดิกดัง ติ๊ก ๆ ๆ มันยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาเอานิ้วเคาะโต๊ะรัวเบา ๆ เหมือนครุ่นคิด รูปดอกทานตะวันที่เห็นมาเมื่อตอนกลางวัน ถึงแม้มันจะแสดงอารม์ของภาพออกมาได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ถือว่าเธอเป็นจิตรกรที่ฝีมือใช้ได้เลยทีเดียว
"ดอกทานตะวัน"
เขาเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ แล้วก็นึกไปถึงภาพวาดของแวนโก๊ะผู้ซึ่งเป็นแรงบันดาลในการเขียนรูป ภาพที่ชื่อ Sunflowers แวนโก๊ะวาดปี ค.ศ.1888 เป็นดอกทานตะวันสีเหลืองเหี่ยวๆ ซึ่งดูเหมือนกับมันแห้งลงตรงหน้าคนดูภาพ เขาดูภาพนี้ครั้งแรกถึงกับทึ่งในรายละเอียดการใช้สี หรือในการลงแปรงของเขา เขาลองนึกเล่น ๆ ว่าถ้าเขาเขียนรูปอย่างนั้นบ้าง ผู้คนเห็นก็คงหัวเราะกันดังลั่น พวกเขาคงมองมันเหมือนกับภาพวาดของเด็กอนุบาลคนหนึ่ง เหมือนกับที่ชายคนหนึ่งมองภาพที่เขาเขียนเมื่อตอนกลางวันภาพหนึ่ง แต่เขาก็ยังซื้อภาพเขียนนั้นไป
ปัจจุบันรูปภาพของแวนโก๊ะแต่ละรูปมีค่ามหาศาล ราคารูปละเป็นล้านเหรียญดอลลาร์ขึ้นไป รูป Sunflowers ก็มีผู้ประมูลไปหลายปีก่อนถึง 65 ล้านเหรียญสหรัฐ รูป The Starry Night ปัจจุบันก็น่าจะมีค่ามากถึง 100 ล้านเหรียญ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าขัน เหมือนกับประชดประชันในชีวิตของเขา ภาพวาดของแวนโก๊ะเมื่อตอนเขามีชีวิตอยู่ ไม่มีใครสนใจภาพเขียนของเขา และเป็นที่น่าเสียดายว่าภาพเขียนของเขาแท้ ๆ แต่เขากลับไม่ได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลนั้นเลย ตอนมีชีวิตอยู่เขาขายภาพเขียนของเขาได้แค่ภาพเดียว ผู้ที่ซื้อไปนั้นก็ไม่ได้ซื้อไปเพราะว่าเห็นความเป็นศิลป์ในภาพนั้นแต่อย่างใด เขาซื้อไปเพราะความสงสารต่างหาก แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปด้วยวัยเพียง 37 ปี รูปของเขาก็มีค่ามหาศาลจนแทบไม่น่าเชื่อ
อีกครั้งที่ภาพดอกทานตะวันในห้องนั้นลอยวนเข้ามาที่หัวของจิตรกร นิ้วที่เคาะโต๊ะค่อย ๆ เบาลงและหยุดชะงักไป
'พฤติกรรมเลียนแบบ' เขาเปล่งเสียงออกมาเบา ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ ครุ่นคิดถึงจิตรกรสาวคนนั้น เขาไม่คิดว่าเธอจะใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น และคิดว่าเธอคงไม่คิดทำอะไรโง่ ๆ อย่างนั้นแน่
ธีระพงศ์เหลือมองดูนาฬิกาอีกครั้ง คราวนี้เป็นเวลา 23.59 น. เข็มวินาทีกระดิกไปเหลืออีกแค่สิบวินาทีเท่านั้นก็จะเที่ยงคืน เสียงนาฬิกากับเสียงหัวใจของเขาเต้นรัวสลับกัน
ใจของเขาสั่นขึ้นเรื่อย ๆ นับถอยหลังจากเก้า เหลือ แปด จากแปดเหลือเจ็ด จนกระทั่งมาถึงจากสองมาหนึ่ง แล้วก็จากหนึ่งก็มาจบที่ศูนย์!
เงียบ..
ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้น เขารู้สึกโล่งอก เอนหลังพิงกับเก้าอี้ พรูลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกอึดใหญ่จนหมดมวน แล้วเขาก็ค่อย ๆ ลงมือเขียนภาพของเขา และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าภาพของเขาภาพนี้จะออกมาอย่างไร
รุ่งเช้าจิตรกรขนอุปกรณ์ของเขากลับลงมาจากห้อง โดยมีผู้ดูแลห้องช่วยขนอีกแรง เขาเอารูปที่วาดเสร็จห่อด้วยหนังสือพิมพ์ เอามาวางไว้ชั้นล่างก่อนที่จะขนขึ้นรถ
"คุณนี่ก็รีบย้ายออกเร็วเหมือนกันนะ" ผู้ดูแลถามยิ้ม ๆ
"ก็ผมทำงานของผมเสร็จแล้วนี่"
"รูปวาดนั่นน่ะหรือ" เขาชี้ไปที่ภาพวาดที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์
"ผมเพิ่งวาดเสร็จเมื่อกี้นี่เอง ผมวาดมันทั้งคืนยังไม่ได้นอนเลย"
"คุณวาดรูปอะไรหรือ ผมดูได้ไหม"
จิตรกรมองหน้านิดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
"เอ้อ..โทษที ผมปากไวไปหน่อย" เขาพูดพลางยกของไปไว้ที่รถให้
"ผมขอบคุณมากนะที่มาช่วยขนของพวกนี้" ธีระพงศ์เอ่ย
"ไม่เป็นไรหรอก จริง ๆ แล้วมันเป็นหน้าที่ของผมกลาย ๆ อยู่แล้ว" เขายิ้ม ก่อนที่จะพูดต่อ "เดี๋ยวผมจะช่วยเอารูปนี้ไปเก็บที่รถคุณให้"
"อ้อ..ไม่เป็นไร ผมไม่เอาไปด้วย ผมจะเอาไว้ที่นี่แหละ"
ผู้ดูแลห้องทำหน้าตกใจ "คุณจะขายให้ผมหรือ ผมไม่มีตังค์นะ"
จิตรกรหัวเราะ "ใครบอกจะขายให้คุณเล่า ผมให้ฟรี"
"โอ้ย...ไม่ได้หรอก คุณทำมาแทบตายจะให้ผมฟรี ๆ ได้ยังไง คุณเอาไปขายเอาตังค์มาใช้ดีกว่า"
"เอาน่า..ใช่ว่างานผมจะราคาเป็นหมื่นเป็นแสน บางทีให้ฟรียังไม่มีใครอยากได้เลย กรณีคุณเป็นต้น"
เขายิ้ม "แหม่..ขนาดจิตรกรเอกอย่าง อะไรนะ แวงเก๊าะ"
"วินเซนต์ แวนโก๊ะ"
"เออ...นั่นแหละ กว่ารูปของเขาจะขายได้ ก็ตอนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ"
"คุณก็สนใจงานจิตรกรรมเหมือนกันนี่"
เขายิ้มแผล่ "ผมอ่านในหนังสือเจอน่ะ"
"เอานี่ ผมให้คุณจริง ๆ โอกาสหน้าถ้าผมมาอีก ผมไม่ขออยู่ห้องนั้นอีกแล้วนะ ผมเป็นคนเบื่อง่าย" จิตรกรพูดจบ เขาหยิบเอารูปที่วาดเพิ่งวาดเสร็จเมื่อคืนให้เขา
"แกะดูเลยได้ไหม?" ผู้ดูแลถาม
"ได้ซี แกะเลย"
ชายผู้ดูแลห้องเช่า ค่อย ๆ แกะหนังสือพิมพ์ที่ห่อไว้ออก เขาหยิบมันขึ้นมาดู ภาพที่เห็นเป็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งกำลังนั่งสีซออยู่ เธอยิ้มละไมมายังเขา แต่แววตาของเธอหม่นเหมือนจะมีน้ำตาคลอ ด้านหลังที่เธอนั่งเป็นสวนดอกไม้หลากหลายสี มีผีเสื้อลายตัวกำลังบินตอมอยู่ แต่ถ้ามองให้ดีผ่านสวนดอกไม้เข้าไปลึก ๆ จะเห็นป้ายเหมือนกับสุสานเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ความหมายบ่งบอกชัดเจน เขานึกไปถึงหญิงสาวที่ผูกคอตายในห้องนั้นทันที
"ผมให้คุณเก็บมันเอาไว้ โอกาสหน้าเจอกันใหม่" ธีระพงศ์โบกมือให้ แล้วเดินไปที่รถ
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกไป ธีระพงศ์เปิดกระจกรถออกมาพูดกับคนดูแลห้องเช่าเบา ๆ
"ผมฝากรูปนั้นไว้ให้เธอ"
เขาพูดแค่นั้นแล้วก็ปิดกระจกรถขับออกไป ผู้ดูแลมองตามรถคันนั้นจนหายลับไปกับซอกตึก เหลือบมองดูรูปแล้วพูดกับตัวเองเบา ๆ
"ผมจะเอารูปนี้ไปแขวนไว้ที่ห้องนั้น"
***********************************
เมื่อวันที่ : 17 ต.ค. 2548, 21.28 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...