...จริงสิฉันก็ยังคง เหลือสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุดอยู่อีก ไม่ใช่ต่อมลูกหมากที่คุณหมอไม่ยอมผ่าออกและก็ไม่ใช่กระเืดือกแหลมๆ ที่มักใช้ผ้าพันคอปกปิดมันเอาไว้ ใครจะรู้บ้างว่าความอัปยศอดสูใจ อันไม่น่าจะเกิดกับสาวงามอย่างฉัน กลับมักจะเกิดขึ้นเสมอๆ...

ฉันจำได้ว่าคืนนั้นฉันกำลังโก่งคอ "หยั่งราก" ลงรางของรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ณ สถานีศาลาแดง ตอนตีสอง ผับบาร์สารพัด เพิ่งโดนเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ บังคับขืนใจ ให้ปิดตัวลงก่อนเวลาอันเคย

สาวสะคราญที่เกือบจะคลาน คือฉันในขณะนั้น ไม่มีทางเปิดโอกาสให้ใครหน้าไหน ได้ยลโฉมยามอาจวน (เห็นไหม...กระทั่งเอ่ยคำ อาเจียน ฉันยังไม่กล้า) จึงต้องตะเกียกตะกาย ขึ้นบันไดเลื่อนที่เลื่อนเฉพาะเวลาทำการ... ถลกกระโปรงแล้วยกขา (ยกจริงๆ นะคะ ดิฉันต้องใช้มือของดิฉัน ยกขาตัวเองจริงๆ) ข้ามเครื่องกีดขวางเล็กน้อย แล้วก็ย่องเงียบเป็นแมวเซ ผ่านหน้าผู้ที่กำลังทำหน้าที่หลับยามอย่างขยันขันแข็ง จนกระทั่งได้เหนี่ยวราวบันไดชุดสุดท้าย ขึ้นไปถึงชานชาลาอันอยู่ชั้นบนสุด

ฉันกระโดด 1 ครั้ง ค้อมแล้วคลาน มาจนถึงเขตแดนต่างพิภพ ที่ในยามปกติ จะมีทั้งกล้องวงจรปิด และหน่วยรักษาความปลอดภัย คอยประกาศเตือน บางทีก็ถึงกับไล่ ให้ถอยออกมาให้ห่างเส้นเหลืองๆ นี่ แต่คืนนั้น ฉันไม่ได้แต่แค่ยืนล้ำเส้นเท่านั้น เพราะฉันถึงกับคลานสี่ขา คิดรวมเป็นสองเท่า ของอวัยวะปกติที่คน (ปกติ) อื่นๆ ที่อยากจะฟังเสียง ติ๊ง...ติง...ต่อง เตือนภัยหรือเสียงปรี๊ดๆๆๆๆ ของนกหวีด พร้อมกับเสียงตะโกนขับไล่ไสส่ง จาก ฯพณฯท่าน ผู้รักษาความปลอดภัย

ที่จริงฉันตั้งใจ จะอยู่ในท่าคลานอันสงบให้นานกว่านั้น แต่้ด้วยปฏิกิริยาภายใน อันประหลาดล้ำ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเอง มีรากงอกออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุด ของระบบย่อยอาหาร และมันก็กำลังเคลื่อนออกมาตามลำคอ ฉันสุดจะทนรั้งมันไว้ได้ ต้องอ้าปาก ปล่อยให้มันงอกออกมาอย่างหมดไส้หมดพุง ราดรดลงไปยังรางเหล็กเขรอะสนิม จะมีกระฉอกกระเซ็นกระสาย ไปตามพื้นปูหินขัดอย่างดีบ้าง ก็ตอนที่ฉันทรมานสุดจะทน จนต้องสะบัดหน้า เหลียวซ้ายแลขวาหาเพื่อนกิน ที่อาจจะตามฉัน มาเป็นเพื่อนคายสักคนครึ่งคน

แล้วในม่านน้ำตา อันพร่างพราวของฉัน เงาร่างของใครคนหนึ่ง ก็ปรากฎกขึ้น เส้นผมของร่างนั้น กำลังสะบัดพลิ้วทำปฏิกิริยา กับแรงโน้มถ่วงอย่างประหลาด แต่

"เอ๊ะ!!! มันไม่มีลมเลยนี่นา" ฉันเริ่มไม่แน่ใจในสภาพทรงผม รวมถึงกระโปรงสั้นกุด...เพศเมีย ฉันแน่ใจว่า สิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันนี้ ต้องเป็นเพศเมียแน่นอน ไม่ว่าหล่อนจะเป็นผู้หญิงหรือนังกระเทย

ผมทรงยุ่งๆ นั่นทำให้ฉันต้องพิศดูให้แน่ใจ และไม่รู้ว่าอาการคลื่นเหียนหายไปไหน อาจเป็นธรรมชาติ ของคนประเภทฉัน ที่ถือว่าเรื่องของชาวบ้าน คืองานของเราเสมอๆ หากเป็นเพื่อนสาว ก็อาจจะขอความช่วยเหลือกันได้ แต่หากเป็นชะนี...เอ๊ย...กุลสตรี ก็อาจจะมีการประคารมกันเล็กน้อย เพราะไอ้ที่ฉันเมา จนรากงอกออกมานี่ ก็เพราะนังกุนสัตว์ตรีนี่แหละเป็นตัวการสำคัญ

ด้วยสายตาพร่ามึน ฉันกระเถิบเข้าไปถึงระยะประชิด สมองที่สติเตรียมจากไปทุกขณะ สั่งงานให้สายตา เขม้นจ้องไปยังโครงร่างอย่างยากเย็น ผู้หญิง ผู้หญิงชัดๆ ความชำนาญในการแยก และระบุเพศยังทำงานได้ดีเยี่ยม แน่นอนในยามปกติ แค่ได้กลิ่น ฉันก็สามารถแยกได้ว่าผู้ชายคนนั้น ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ชอบเป็นหญิงหรือเป็นชาย????

จากบูทดำยาวครึ่งแข้ง ต่อด้วยถุงน่องตาข่าย ขึ้นมาถึงกระโปรงหนังงูเขียวรมควัน (คือมีช่วงกว้างของหนังสั้นมากๆ) ครึ่งล่างหล่อนได้เต็มสิบ ฉันไล่สายตาขึ้นไปอีก จากเอวคอดถึงผ้าแถบสีแดงแปร๊ดทั้งถันและฐาน ลาดไหล่ไหปลาร้า งามสุดปัญญาจะหาที่ติ ได้ไปอีกเต็มสิบ ถึงขั้นนั้น วิญญาณเจ้าแม่แห่งวงการประกวดนางงาม สารพัดเวทีตั้งแต่นางงานหอยใหญ่ไข่แดง จนถึงธิดากระหรี่ปั๊บของฉัน ก็เริ่มดิ้นเร่าๆ อยู่ภายใน พยายามพยุงการทรงตัว ให้ได้ศูนย์ถ่วง แล้วเพ่งพินิจพิเคราะห์ ไปยังส่วนสุดท้าย... โครงกระโหลก

อนิจจา...อนิจจัง...ยังจำไม่เคยลืมเลือน คอยเตือนตัวเองเอาไว้ ฉันเผลออุทาน เพลงฮิตติดอันดับสูงสุดตลอดปีที่ผ่านมา โถ โถ โถ น้องลำไยกระโหลกเบี้ยวของคุณพี่ขา ทำไมหนอ สวรรค์ถึงได้กลั่นแกล้ง จับเอารูปหน้า อันเหมือนเข่งปลาทูที่ถูกเวียนใช้งานซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้ไอ้ช่วงที่มันควรจะห่างกลับถี่ ไอ้ที่ควรจะถี่กลับห่าง และบุบเบี้ยวขนาดนั้น มาประดับไว้บนรูปทรง ที่งามพร้อมสมบูรณ์ของร่างนี้ ทำไมหนอหุ่นงามอย่างนี้ ถึงไม่มีศรีษะอย่างพี่ ประดับอยู่ให้เด่นเป็นสง่า อยู่บนคอเรียวงามระหงนั้น

"เอ่อ..คะ...คะ...คุณน้อง...คุณน้องขา" ฉันเอ่ยขึ้น ด้วยเสียงที่แหบพร่าจากพิษสุรา แต่เธอยังนิ่งไม่เคลื่อนไหว จนฉันอดไม่ได้ ที่จะยื่นมือ เข้าไปสัมผัสท่อนแขนหล่อนเบาๆ

"มารอรถหรือคะ" ฉันถามออกไป อย่างไม่รู้ว่าเพราะเมา หรือเพราะโง่กันแน่ นี่มันท่าเหมือนปิศาจ กำลังจะฆ่าตัวตายซ้ำสามชัดชัด... แต่ก็ได้ผล เธอพยักหน้าช้าๆ ให้กับรางรถไฟ

"อีกนานมั้งคะ... คือคุณพี่จำได้ว่า... คุณพี่เนี่ย..คลาน...เอ๊ย....ขึ้นมา ตอนตีสองกว่าๆ แต่รถเที่ยวแรก คงจะมาสักตีห้าตีห้าครึ่งน่ะค่ะ" ฉันแสดงภูมิรู้ เพราะใช้บริการ รถสายสีลมนี้เป็นประจำ บางครั้งกลับเที่ยวสุดท้ายตอนเที่ยงคืน แต่ก็หลายคราว ที่กลับเที่ยวเช้า โดยได้อาศัยตามโรงแรงจิ้งหรีดแถวๆ นี้เพื่อการนอนรอรถเที่ยวแรก

"คุณน้องจะรอค่ะคุณพี่" เออแน่ะ เธอเล่นด้วย มีไม่มากคนนักหรอกที่ผู้หญิงแท้ๆ อย่างหล่อน จะมาวิสาสะคุณน้องคุณพี่กับพวกฉัน

"คุณพี่สวยจังเลยนะคะ" ฉันยังรู้สึก ถึงการถอนสะอื้นในน้ำเสียง คุณน้องเพิ่งหันมาสบตาตรงๆ เป็นครั้งแรก จนฉันต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี เมื่อเครื่องสำอางค์อย่างเลว ที่แต่งอย่างเลวบนใบหน้าแบบเดียวกัน ทำให้ฉัน แทบจะกลั้นการหยั่งรากลงรางเอาไว้ไม่อยู่ โถแม่คุณทูนหัว ชะนีน้อยๆ ผู้อาภัพ แล้วนี่อะไร แต่งตัวอย่างกับ ผู้หญิงเต็นโชว์ในซอยพัฒน์พงษ์ จะเป็นไปได้หละหรือ นอกจากคุณเธอ จะใช้ถุงปุ๋ยครอบหัวเอาไว้

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สายตารังเกียจแกมขยะแขยง ที่ส่งออกไปจะรุนแรง จนออกนอกหน้า จนคุณน้องเธอรู้สึกได้

"ขนาดคุณพี่...ขนาดพี่..ขนาดกระเทย.. ขนาดอีกระเทย ยังสวยซะกว่า...โฮโฮ.." หล่อนระเบิดเสียงร่ำไห้โหยหวน พร้อมสายตา มองมาที่ฉันอย่างรังเกียจ ชิงชังและสิ้นหวัง แล้วโถมตัวลงกับพื้น โดยไม่เกรงว่าแข้งขาจะชอกช้ำ แถมยังเกลือกกลิ้งไปมา จนฉันต้องถลาเข้าไป รั้งเธอเอาไว ้ก่อนจะตกลงไปในรางรถไฟฟ้า

ฉันฟาดฝ่ามือนางพญามารปราบบุรุษหลายใจหนักๆ ลงไปติดๆ กันสามฝ่ามือ จนหน้าที่เต็มไปด้วยไฝฝ้าราคี บวมแดงขึ้นมาทันตา และได้ผล คุณน้องหุ่นระดับนางสาวไทยยังอาย ยกมือขึ้นกุมสองแก้ม เสียงสะอึกสะอื้น ขาดห้วงไปในทันที และจ้อมเขม็งมาที่ฉัน มีคำถามมากมายในสายตางุนงงคู่นั้น

"คือขอโทษค่ะ..พี่ระงับอารมณ์ไม่อยู่... นานแล้วที่ไม่มีใคร กล้าเรียกพี่ว่าอีกระเทย... คือพี่..ไปเฉาะมาแล้วนะคะ... พี่เป็นผู้หญิงหมดทั้งตัวแล้ว... แล้วอยู่ๆ..คุณน้อง มาเรียกพี่อย่างนั้น... มัน... มันทนไม่ได้" ฉันละล่ำละลักอธิบาย ขณะที่แวบหนึ่ง ของความคิดจุดประกายขึ้น

จริงสิฉันก็ยังคง เหลือสิ่งที่อัปลักษณ์ที่สุดอยู่อีก ไม่ใช่ต่อมลูกหมาก ที่คุณหมอไม่ยอมผ่าออก และก็ไม่ใช่กระเดือกแหลมๆ ที่ฉันมักใช้ผ้าพันคอ หรือสวมเสื้อคอเต่า เพื่อปกปิดรูปรอย ใครจะรู้บ้างว่าความอัปยศอดสูใจ อันไม่น่าจะเกิดขึ้น กับสาวงามอย่างฉัน มักจะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อไปติดต่อสถานที่ราชการ ทุกครั้งทุกคน มองฉัน อย่างพิินิจพิจารณาสัตว์ประหลาดต่างดาว กับแค่มีคำนำหน้านามว่า นาย....

ฉันนึกอยากจะกระโดด พุ่งหลาวลงไปยังถนนเบื้องล่าง หากพอขยับตัวมือเล็กคู่นั้น ก็ฉุดรั้งฉันไว้

"ขอบคุณคุณพี่ค่ะ" ....

ต๊ายคนอะไร โดนตบแล้วยังมีหน้ามาขอบคงขอบคุณ ฉันรู้สึกหมันไส้ แต่ขณะที่สูดลมหายใจเข้า เพื่อเตรียมจะแผดด่าอย่างเต็มเสียง เต็มฝีปาก สำหรับคนที่กล้าจะสะกิดปมด้อย

"ขอบคุณค่ะที่เตือนให้หนูได้รู้ว่า ใบหน้าที่อัปลักษณ์สุุดสุดของหนูนี่ ก็ยังรู้เจ็บรู้ปวดเหมือนกับคนอื่นๆ" คุณน้องพูดอย่างเข้าใจอะไรดีขึ้น และทำท่าจะเข้ามา เป็นฝ่ายปลอบใจฉันเสียเอง

"ยังไงหนูก็ยังเป็นผู้หญิงกว่าพี่..." เอ๊ะอีนังนี่!! ฉันเดือดปุดปุด ขึ้นมาอีก

"หนูหมายความว่า หนูไม่น่าคิดสั้นๆ ขนาดพี่ ยังทำให้สวยได้ขนาดนี้ ของหนูแค่ยกเครื่องหน้าอย่างเดียว คงไม่ลำบากอย่างพี่ ขอบคุณพี่มากค่ะ ที่เตือนสติหนูตรงๆ ขนาดนั้น" คุณน้องยกมือ ขึ้นไปคลำแก้มของตน บางสิ่งกระจ่างขึ้น ทั้งในใจหล่อนและใจฉัน

"คุณน้องลองเงยหน้า มองขึ้นไปบนโน้นสิคะ น้องคิดว่า ถ้ามันไม่มีปล่องภูเขาไฟ หรือร่องรอยอุกาบาตแล้ว ยังจะมีผู้คนมากมาย ยืนจ้องมองหากระต่ายบนดวงจันทร์ไหมคะ ถ้าพระจันทร์มันนวลเนียนจนจืดชืด น้องว่าจะมีสักกี่คน ที่แหงนหน้าขึ้นมองมันอย่างสนอกสนใจ" ทั้งฉันและคุณน้อง ต่างเพ่งสายตาไปยังรอยกะดำกะด่าง ของจันทร์เพ็ญ

"น้องเหมือนกับพี่ ตรงมีอะไรบางอย่าง ดึงดูดให้คนเหลียวมอง" ฉันรู้สึกโก้ขึ้นมานิดหน่อย

"ก็แค่แวบเดียวแล้วเขาก็เบือนหน้าหนี" คุณน้องยังแย้ง

"ก็ยังดีกว่าผู้่คนนับร้อยนับพัน ที่ไม่มีจุดเด่นอะไร ให้ใครสนใจไม่ใช่หรือ" ฉันยั้งประโยคไว้เพียงแค่นั้น แต่ในใจยังรำพึงรำพันต่อไป "จริงหรือ มีคนมองดีกว่าจริงหรือ มองอย่างประณามหยามเหยียด ดีกว่าไม่มองจริงหรือ ทนได้หรือกับการไม่มีใครเหลียวและ จะทนไปตลอดชีวิตหรือ ที่จะมีแต่คนมองด้วยสายตา เยาะเย้ยถากถาง"

"พี่คะ...หนูกลับก่อนนะคะ... ราตรีสวัสดิ์ค่ะ" คุณน้องกล่าวลาฉัน ด้วยประกายตา ที่เหมือนเพชรน้ำงาม ที่ส่่องแสงสุกใสอยู่ในกองมูล

ใช่สิหากใครสักคนตาถึง เธอก็จะงามพร้อม ทั้งรูปร่างหน้าตา แต่ฉัน แล้วฉันเล่า นายสมควร หนองฮี ราษฎรชายเต็มขั้น ตามบัตรประจำตัวประชาชน

ฉันจะภูมิใจดีไหมหนอ ที่ได้เป็นส่วนก้นของกระต่ายบนดวงจันทร์ ที่ใครๆ ก็พยายามเพ่งมอง

เมื่อวันที่ : 21 เม.ย. 2546, 00.15 น.
เป็นเรื่องสั้นที่ดีมากเรื่องหนึ่งที่เคยอ่าน สำนวนฉวัดเฉวียน ฉูดฉาด เห็นสีสันของชีวิตชนิดพิเศษ ของมนุษย์ผู้พยายามเอื้อมมือไปคว้าดาว อ่านแล้วขำ แต่เจือความเศร้าแทงลึก
ไม่มีข้อให้ติ เพราะทั้งหมดที่ได้อ่าน คือพอดีแล้วสำหรับเรื่องสั้นหนึ่งเรื่อง