นิตยสารรายสะดวก  Regular Articles  ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๘
หลงจิตกะล่อน (คำเทศน์โดย ชยสาโรภิกขุ)
รจนา ณ เจนีวา
...​​พระตถาคตสอนสองเรื่อง​​ เรื่อง​​แรกก็​​คือ ให้พวกเธอ​​ทั้งหลายเห็นบาป​​โดย​​ความ​​เป็นบาป ข้อ​​ที่สอง ​​เมื่อเห็นบาป​​โดย​​ความ​​เป็นบาปแล้ว​​ ให้รู้จักโทษของมัน ให้เบื่อหน่ายในบาปนั้น​​...
หลงจิตกะล่อน

ถอดเทปจากคำเทศน์ ของ ชยสาโรภิกขุ

​พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ​พระตถาคตสอนสองเรื่อง​ เรื่อง​แรกก็​คือ ให้พวกเธอ​ทั้งหลายเห็นบาป​โดย​ความ​เป็นบาป ข้อ​ที่สอง ​เมื่อเห็นบาป​โดย​ความ​เป็นบาปแล้ว​ ให้รู้จักโทษของมัน ให้เบื่อหน่ายในบาปนั้น​ ให้คลายกำหนัด ละ​ความยินดี ให้หลุดพ้นจากบาปนั้น​ คำสอนนี้สั้น ​แต่ก็มี​ความหมาย​ที่น่าสนใจ

ข้อสังเกตข้อแรกก็​คือ พวกเรา​ทั้งหลายยังไม่เห็นบาปด้วย​ความ​เป็นบาป เห็นกิเลสด้วย​ความ​เป็นกิเลส เหมือน​กับว่า หลายสิ่งหลายอย่าง​ที่​เป็นบาป เรากลับเห็นว่า​เป็นบุญ ในทำนองเดียวกัน สิ่ง​ที่​เป็นบุญก็กลับมองว่า​เป็นบาป ก็​ได้

​เมื่อเราไม่เห็นบาป ​กำลังใจ​ที่​จะละบาปก็ไม่เกิดขึ้น​ ​ความเบื่อหน่าย ​ความกลัว ​ความละอาย ก็ไม่เกิดขึ้น​ งั้นท่านให้เราดูให้เห็น แล้ว​ก็พยายามปฏิบัติ

นี่ในเรื่อง​ของบาปกรรมหรือกิเลส เราอาจ​จะแยก​ได้ว่า กิเลสบางอย่างมันไม่ดีอย่างเห็น​ได้ชัด ปัญหาก็​เพราะมันยังมีอำนาจเหนือจิตใจเรา เรายังละไม่​ได้ อยู่​ในพวกรู้ว่าไม่ดี ​แต่อดไม่​ได้ พวกนี้

ตรงนี้ก็ยังดีตรง​ที่ว่า เรารู้ตัวว่ามีปัญหา เราก็ยังยอมรับว่าตัวนั้น​​เป็นบาป ​แต่ก็ยังมีบางอย่าง​ที่มันติดพัน​กับสิ่ง​ที่ดีบ้าง หรือติดพัน​กับสิ่ง​ที่จำ​เป็นบ้าง พวกนี้​ที่​จะยาก ยกตัวอย่าง หลวงพ่อชาท่านเคยสอนพวกเราเรื่อง​การฉันอาหารว่า การฉันมากเกิน​ไปนี่มันง่าย การอดข้าวนี่มันง่าย ไม่ยาก ​แต่การฉันอาหาร​แต่​พอดี ด้วย​ความสำรวม นี่ยาก

ผู้​จะเลิกสูบบุหรี่ถึง​จะยาก มันก็ยังง่ายอยู่​​ที่ว่า มี​กำลังใจ ถึง​พร้อม​เมื่อไร มีเหตุผล​กับตัวเอง ​พร้อม​เมื่อไหร่ ดับ​ได้ หลายคนนั้น​พอถึงวันใดวันหนึ่ง​​พร้อมแล้ว​ก็ดับ ดับ​ได้เลย​ หลังจากนั้น​ไม่สูบอีกต่อ​ไป ​เพราะอะไร​ การสูบบุหรี่ไม่ใช่​ส่วนจำ​เป็นของชีวิต ​เป็น​ส่วนเกิน

​แต่​ถ้ามีกิเลสเกี่ยว​กับการทานอาหาร​เป็นต้น ละยากกว่า ​เพราะอะไร​ ​เพราะยังไง ๆ​ ​ต้องทานทุกวัน อดทานทีเดียวไม่​ได้ งั้นการละสิ่ง​ที่เกี่ยวข้อง​กับกิจประจำ​ที่​เป็น​ส่วนสำคัญหรือ​ส่วนจำ​เป็นของชีวิต​ได้ยาก แล้ว​​เมื่อสิ่ง​ที่ไม่ดี ผูกพัน​กับสิ่ง​ที่ดี ​แต่สติเราไม่คมชัด ​จะแยกไม่​ได้ ก็ถือว่า​เป็นอันหนึ่ง​อันเดียวกัน แล้ว​ก็ไม่เห็น​ส่วน​ที่ดีในสิ่ง​ที่ไม่ดี ไม่เห็น​ส่วน​ที่ไม่ดีในสิ่ง​ที่ดี งั้นการมีสติ​กับตัวนี่สำคัญมาก จิตใจเราจึง​จะละเอียด ​เพราะสติเราดีขึ้น​ ​จะสังเกตหลายสิ่งหลายอย่าง​ที่​แต่ก่อนมีอยู่​ ​แต่ไม่เห็น

​เมื่อไม่นานมานี้อาตมามีโอกาส​ไปพัก​ที่บ้านโยม​ที่อยู่​บนยอด​เขา ทิวทัศน์จากบ้านนั้น​สวยมาก ​สามารถเห็นเกาะในอ่าวพังงามากมาย​ ​แต่วันแรกอากาศค่อนข้าง​จะพร่ามัว เห็นเกาะไม่กี่เกาะ วัน​ที่สองอากาศชัดขึ้น​ ก็เห็นมากขึ้น​ วันสุดท้าย เห็นเยอะแยะเลย​ เกือบ​จะนับไม่ถ้วน เกาะมันก็มีอยู่​ตลอดเวลา ​แต่การเห็นเกาะขึ้น​อยู่​​กับอากาศ

มีหลายอย่าง​ที่มันอยู่​ในจิตใจ ​ที่มันมีอยู่​แล้ว​​แต่เราไม่เห็น เหมือนอากาศมันพร่ามัว สติเหมือน​กับฝน ฝนตกแล้ว​ ทำให้อากาศใส สติให้​ความชุ่มชื่น​กับจิตใจแล้ว​ เรา​สามารถเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง​ซึ่งมีอยู่​แล้ว​ ​แต่ไม่เคยสังเกต เช่น เราเห็น​ความขัดแย้งใน​ความคิดของตัวเอง อย่าง​ที่อาตมาเคยพูดบ่อย ๆ​ ว่า คนเราหลายๆ​ คน​ต้องการ​ความสงบ ​ต้องการมาก ​แต่ในขณะเดียว ก็ไม่ยอมสร้างเหตุให้เกิด​ความสงบ ยังไม่กล้าละเหตุปัจจัย​ที่ทำให้จิตใจเราไม่สงบอยู่​บ่อย ๆ​

อีกตัวอย่าง​ที่พึ่งอ่านเจอไม่นานนี้ก็​คือ นักสังคมศาสตร์ทำการวิจัย​ที่เครื่องถ่ายเอกสาร ผู้หญิงคนหนึ่ง​ถือกระดาษสี่แผ่น ขอแซงคิว ขอถ่ายเอกสารของตนก่อนคน​ที่นั่งคอยอยู่​ ครั้งแรกหรือว่าคนแรกขอ​โดยไม่มีเหตุผล เพียง​แต่ว่าขอ แล้ว​ก็มีคนยอมสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ ทีนี้ครั้ง​ที่สองก็ขอมีเหตุผลว่า มีธุระด่วน ขอถ่ายก่อน​ได้ไหม ในกรณีนี้คนก็เห็นใจ ก็ให้ถ่ายก่อนถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ​แต่​ที่น่าสนใจ​คือครั้ง​ที่สาม ​เขาขอถ่าย ขอถ่ายก่อน ​เพราะ​ต้องการ​จะถ่ายก่อน ​แต่​เขา​ใช้คำว่า "​เพราะว่า...​" "because’’’ ฉันขอถ่ายก่อน​เพราะ​ต้องการ​จะถ่ายก่อน ​ซึ่ง​เป็นเหตุผล​ที่ไม่ใช่เหตุผล ​แต่ปรากฏว่าคนให้ตั้งหกสิบเปอร์เซ็นต์ ​ถ้ามี​แต่กรณีแรก กรณี​ที่สอง เราสรุปแล้ว​ว่า ​ถ้ามีเหตุผล คน​จะให้ ​แต่​เมื่อมีกรณี​ที่สาม ก็มีข้อสรุปว่า ​เพราะ​ได้ยินคำว่า because นี่​เป็นตัวกระตุ้นว่า คนนี้มีเหตุผล เราไม่​ได้กลั่นกรองเหตุผล ​เอาแค่ว่า "​เพราะว่า" ​ได้ยินก็ให้​ไป จิตใจของเราทำงานแบบอัตโนมัติเสีย​ส่วนมาก คนมีเหตุผลอาจ​จะไม่ใช่เหตุผล หรือฟังไม่ขึ้น​ ​แต่​เพราะเรารีบ ๆ​ ไม่ค่อย​จะตั้งใจ ​เพราะ​ได้ยินคำว่า "​เพราะว่า" โอเค ​ได้ คนนี้มีเหตุมีผล

​เมื่อเดือน​ที่แล้ว​ พบชาวต่างประเทศคนหนึ่ง​​กำลังเรียน​ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ ชาวต่างชาตินิยมมาเรียน Thai studies กันมาก ​เขาก็เล่าว่า นักศึกษาไทยเหมือน​กับมีสองชั้น ​คือ ชั้นหนึ่ง​ ​คือ เด็ก​ที่เคยอยู่​เมืองนอก หรือเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็ก ​ที่พูดอังกฤษ​ได้คล่อง แบบ​ที่สอง​คือ เด็ก​ที่ยังไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ ​จะถือว่า เด็ก​ที่พูดภาษาอังกฤษคล่อง​จะเก่ง ​เขา​ไปคลุกคลี​กับเด็ก​ที่พูดภาษาอังกฤษคล่อง ปรากฏว่ามีคุณธรรม​ได้รับ​ความยกย่องมากกว่า ​เป็นเด็ก​ที่กล้าแสดง แล้ว​ก็แสดงในภาษาอังกฤษ​ที่ชัดเจน เสียอย่างเดียวว่า สิ่ง​ที่แสดงแทบ​จะไม่มีเหตุผล ดังนั้น​ ​ถ้าเราสนับสนุนให้เด็กกล้าแสดงออก ​แต่ไม่ฝึกให้​เขามีสติปัญญา ก็กลาย​เป็นว่า ส่งเสริมให้เด็กพูดพล่อย พูดพล่อยมากขึ้น​ ก็ไม่น่า​จะ​เป็นเครื่องวัด​ความเจริญ พูดเก่ง พูดดี พูด​ได้ ​แต่ว่าสิ่ง​ที่พูดนั้น​ไม่ค่อย​จะ​เป็นประโยชน์

งั้นเหตุผลก็​ต้องมีเหตุผลจริง ไม่ใช่เหตุผล​ที่เราหามา​ที่หลัง การ​ที่เราหาเหตุผลมาสนับสนุน​ความ​ต้องการของเรา​เป็นเรื่อง​​ที่น่าสนใจ ควรศึกษา อาตมาเคยพา​พระ​ไปหาหลวงพ่อแบน แล้ว​​พระท่าน​ต้องการ​จะ​ไปธุดงค์ หลวงพ่อแบนไม่ค่อยเห็นด้วย ถามว่า ทำไมจึงอยาก​ไป ​พระท่านให้เหตุผล ท่านบอกว่า นั่น​คือเหตุผลของคนอยาก​ไป ​ถ้าไม่อยาก​ไป เหตุผลนี่ก็คง​จะไม่มี ​คือ ​ความอยาก​ไปเกิดก่อน เหตุผล​ที่​จะ​ไปเกิด​ที่หลัง ท่านว่าอยากนั้น​ ตกลงว่า สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อน​เป็นสมัย​ที่อยู่​ง่าย ​ไปยาก ทุกวันนี้​เป็นสมัย​ที่อยู่​ยาก ​ไปง่าย ​แต่เรื่อง​นี้มันก็มีทุกคน

มีอาจารย์​ที่อยู่​มหาวิทยาลัย รู้สึก​จะ UCLA ท่านก็ทำวิจัยเรื่อง​การสะกดจิต ท่านสะกดจิตอาสาสมัคร ในขณะ​ที่​เขาถูกสะกดจิต ก็สั่งว่า ​เมื่อออกจากภาวะสะกดจิตแล้ว​ ปกติแล้ว​ ​ถ้าอาจารย์ชวนทานน้ำชา ให้ลุกขึ้น​​ไปกางร่ม​ที่อยู่​หลังประตู เสร็จแล้ว​ก็ให้ออกจากภาวะสะกดจิต กลับ​ไปอยู่​ภาวะปกติ นั่งคุยกัน แล้ว​อาจารย์ก็บอกว่า ทานน้ำชาดีไหม พอพูดทานน้ำชาปั๊บ คนนี้ลุกขึ้น​ เดิน​ไป​ที่ประตู กางร่ม อาจารย์ก็ถามว่า กางร่มทำไม ​เขาบอกว่า เออ ​เมื่อกี้นี้ ผมรู้สึก​จะ​ได้ยินเสียงฝนตก หรือว่า ​เมื่อเช้า​นี้รู้สึกครึ้ม ๆ​ กลัวว่าขากลับกลับบ้าน​จะเปียก ก็มาดูร่มนี่ว่า​ใช้​ได้ไหม ​คือมีเหตุผล​พร้อม ทำสิ่ง​ที่ไม่มีเหตุผลเลย​ ​แต่​สามารถผลิตเหตุผล​ที่น่าฟังภายในไม่ถึงหนึ่ง​วินาที​โดยตัวเองไม่รู้ตัว

มัน​เป็นเรื่อง​น่ากลัวไหม อย่า​ไปเชื่อ อย่า​ไปเชื่อใจตัวเองนะ เรื่อง​การ​ไปหาเหตุผล​ที่หลังนี่ไม่ใช่เรื่อง​นั่งคิด ทำไมเราจึง​จะมีเหตุผล มันไม่ใช่อย่างนั้น​ มันปุ๊บปั๊บเลย​ ​เป็นอัตโนมัติ นี่คง​เป็นปฏิจจสมุปบาท​ในชีวิตประจำวัน งั้นให้เรา​ได้ดู​ได้เรียนรู้จากจิตใจของคนเอง

มีคนถามอาจารย์คนนี้ว่า ทำไมคนสะกดจิตง่ายเลย​ พูดไม่กี่คำก็เคลิบเคลิ้ม สะกดจิต​ได้เลย​ ​เขาบอกว่า ฉันเชื่อว่า​เป็น​เพราะว่า จิตใจของคนธรรมดามันก็ห่างจากภาวะสะกดจิตนิดเดียว เหมือนอยู่​ชายแดนของภาวะนั้น​อยู่​แล้ว​ ​เพราะฉะนั้น​ มีคำพูดโน้มน้าวจิตใจ​ไป มันก็​ไป​ได้ง่าย ​เพราะมัน​พร้อมอยู่​แล้ว​

การฝึกจิตมันจึงมีอานิสงส์ให้เราไม่เชื่ออะไร​ง่าย ๆ​ ไม่หลงอะไร​ง่าย ๆ​ ​ถ้ามี​ใครหลอกลวง ​เอารัด​เอาเปรียบ เราก็รู้​ได้เร็วขึ้น​ ​เพราะอะไร​ ​เพราะเรารู้ต่อ​ความรู้สึกในกาย​และใจอยู่​ตลอดเวลา บางที​ใครทำอะไร​ ​ใครพูดอะไร​ เรายังไม่ทันคิดคัดค้าน ​แต่​จะมี​ความรู้สึกอยู่​ในท้อง หรือใน​ส่วนใด​ส่วนหนึ่ง​ของร่างกาย บางทีร่างกายยังฉลาดกว่าจิตใจ ร่างกายยังมีสัญญาณว่าไม่ใช่ ระวังนะ คนนี้ไม่ซื่อสัตย์ ​ถ้าเราคอยสังเกตร่างกายของตัวเองอยู่​เสมอ เราก็​จะสังเกตเห็น ร่างกาย​กำลังส่งสัญญาณ รู้เท่าทันร่างกาย รู้เท่าทัน​ความเคลื่อนไหวของจิตใจ

​เมื่อกี้นี้​เขาบอกว่า กิเลส​ที่เกี่ยวพัน​กับการ​เอาตัวรอดของร่างกายนี่​จะเห็น​และ​จะละยาก ขณะเดียวกัน กิเลสบางตัวขึ้น​อยู่​​กับการ​เอาตัวรอดในชีวิตประจำวัน หลายสิ่งหลายอย่าง​ที่เรา​ต้องเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันนั้น​ ​ถ้า​ต้อง​ใช้​ความคิดมันก็ไม่ทัน บางสิ่งบางอย่างก็​ต้องทำ​ไปอัตโนมัติ ​แต่ภาวะอัตโนมัตินั้น​มี​ทั้งผลดีผลเสีย ​เพราะ​ถ้าเราไม่ระวัง​จะทำให้เราผิดพลาด​ได้ ​แต่เรา​จะเลิกทีเดียวไม่​ได้ อย่างเช่น บางอย่างเราก็ไม่รู้ทำยังไงดี เราก็ดูคนอื่นว่า ​เขาทำอย่างไร ก็ถือว่า ​เป็นอาการของ​ความฉลาด ก็เข้า​ไปในสถาน​ที่ใหม่ เราก็ดูคนอื่น​ที่​เขาเก่งแล้ว​​เป็นตัวอย่าง มันก็​เป็นอัตโนมัติของจิตใจเหมือนกัน ​แต่มันก็เกิดปัญหา​ได้

มีเรื่อง​​ที่เกิดขึ้น​​เมื่อเกือบสี่สิบปี​ที่แล้ว​ ผู้หญิงคนหนึ่ง​อยู่​​ที่นิวยอร์ค เดินตามถนนตอนกลางคืน ถูกผู้ชายจี้ แล้ว​ก็แทง ​เขาวิ่งหนี ผู้ชายก็วิ่งตาม แล้ว​ก็แทงครั้ง​ที่สอง ​เขาก็ออก​ไป​ได้ วิ่งหนี แทงครั้งสุดท้ายก็ตาย แทงครั้งแรกจนแทงครั้ง​ที่สามนั้น​เกือบสามสิบนาที วิ่งตามถนน ปรากฎว่ามีคนเห็นเกือบสี่สิบคน ​แต่ไม่มี​ใครทำอะไร​เลย​ ถึงคน​ที่อยู่​ในบ้านแค่หยิบโทรศัพท์ โทรเก้าหนึ่ง​หนึ่ง​ ไม่มี​ใครทำ หลังจากเรื่อง​นี้​เป็นข่าว ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนสมัยนี้ใจดำ ​ไปอยู่​ในเมืองใหญ่ไม่มีน้ำใจต่อกัน เห็น​ความทุกข์ของ​เพื่อนมนุษย์ไม่คิด​จะช่วย นี่​คือ​ความเสื่อมของมนุษย์​ที่ปรากฏชัด

​แต่ก็มีนักสังคมศาสตร์เหมือนกัน​ที่ไม่เชื่อว่า​เป็นอย่างนั้น​ ​เขาเลย​ทำการวิจัยด้วย ​เอานักแสดงสองคนทำเหมือน​กับ​เป็นการจี้การแทงกันอยู่​กลางถนน ทำต่อหน้าคนเดินผ่านแค่คนเดียว ปรากฏว่าในกรณี​ที่คนเห็นคนเดียว คนนั้น​​จะวิ่งมาช่วยเกือบเก้าสิบห้าในร้อย ​แต่​ถ้าเพิ่มจำนวนคน​ที่เห็น ​ความช่วยเหลือ​จะน้อยลง ​เขาสรุปออกมาว่า ไม่ใช่ว่าคนใจดำ ​แต่​เมื่อคนจำนวนมากแล้ว​ก็เห็นอะไร​แปลกประหลาด ​เขา​จะมองคนอื่นว่าเรื่อง​นี้จริงหรือไม่จริง ควรช่วยหรือไม่ช่วย ​และ​เมื่อต่างคนต่างไม่รู้ ในเมืองใหญ่ต่างไม่รู้จัก​ซึ่งกัน​และกัน เห็นคนนั้น​เฉย คนนี้เฉย ทุกคนก็เฉย กลาย​เป็นว่าไม่มี​ใครทำอะไร​ ไม่ใช่​เพราะ​เขาไม่หวังดี ​ถ้า​เขาเห็นคนเดียว ​เขา​จะช่วย ​แต่​เมื่ออยู่​ในหมู่คน​ที่มีพฤติกรรม​ที่ไม่ชัด ​เขาไม่รู้​จะทำตัวอย่างไร

คนเขียนเรื่อง​นี้บอกว่า บทเรียน​ที่​ได้ก็​คือ ​ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ถูกจี้ แล้ว​เห็นคนหลาย ๆ​ คน ​ต้องชี้​ที่คนใดคนหนึ่ง​ว่า "คุณ ช่วยผมหน่อย​" ให้​เขารู้ว่า​เป็นหน้า​ที่ของ​เขา ไม่งั้น​เขา​จะคิดว่า คนอื่น​จะช่วยหรือช่วย​ไปแล้ว​ มันเกิดจาก​ความไม่แน่ใจ ​แต่อัตโนมัติ ​เขาเรียกว่า การ​ที่จิตใจมองคนอื่น ​เพื่อรู้ว่าควร​จะทำอย่างไร อันนี้เรา​จะยกเลิกไม่​ได้ ​เพราะ​เป็นสิ่ง​ที่มีประโยชน์ ​แต่ว่าเรา​ต้องระมัดระวัง ​เพราะ​ถ้าไม่ถูกกาละเทศะ เดี๋ยวก็​จะ​เป็นปัญหา

​ที่ยกตัวอย่างอย่างนี้​เพราะ​จะเห็นว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเรา​ที่เรา​จะชี้ตรงนี้ว่า นี่ไม่ดีนะ ​เป็นกิเลสนะ ​ต้องเลิกนะ มันไม่​ได้ ​เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่าง​ที่เกี่ยวข้อง​กับสิ่งดี ๆ​ ​ที่เรา​ต้องการรักษาไว้ หรือสิ่ง​ที่จำ​เป็นต่อชีวิต​ที่เราเลิกไม่​ได้ ฉะนั้น​ ​ต้องมีสติให้มาก ให้รู้เท่าทัน ให้รู้ว่านี่​คืออะไร​ มันเกี่ยวข้อง​กับเรื่อง​นี้อย่างไร เรา​จะ​เอา​แต่​ส่วนนี้ ไม่​เอา​ส่วนนี้​ได้ไหม หรือ​ถ้าเรา​ต้องยอมรับว่า ​ส่วนนี้​ต้องมีอยู่​ตามธรรมชาติ ทำอย่างไรเราจึง​จะไม่​เป็นทุกข์​กับสิ่งนี้

อย่างเช่น เรื่อง​​ความเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ​เป็น​ส่วนหนึ่ง​ของชีวิต ​และการเปรียบเทียบมีประโยชน์ ​แต่​ถ้าเราไม่ฉลาดใน​ความเปรียบเทียบ ก็​จะเกิดปัญหา​ได้มาก ​เพราะ​เมื่อเรา​เอาสองอย่างเปรียบเทียบ สมมุติว่า เรามีสิ่ง​ที่ดีสิ่ง​ที่ไม่ดีมาอยู่​ด้วยกัน ธรรมชาติ​จะทำให้​ความรู้สึกว่า​สิ่ง​ที่ดี ดีกว่า​เป็นจริง สิ่ง​ที่เลวก็เลวกว่า​ความ​เป็นจริง ​จะ​เอาของสวยของไม่สวยมาอยู่​ด้วยกัน ใน​ความรู้สึกของผู้เห็น ​ความสวยเพิ่มมากขึ้น​ ทำให้สวยกว่า​ที่​เป็นจริง สิ่ง​ที่ไม่สวยก็​จะดูไม่สวยมากกว่า​ที่​เป็นจริง

คนขายบ้านขายเรียลเอสเตท​ที่อเมริกา เล่าว่า ​เขา​จะพาลูกค้า​ไปดูบ้าน​ที่ไม่สวยเลย​ไม่ดีเลย​สักสองบ้านก่อน แล้ว​ก็ค่อยพา​ไปบ้านหลัง​ที่สาม​ที่​เขา​ต้องการขาย ก็เปรียบ​กับสองบ้านแรกว่า สวยมาก ​เขา​จะ​ใช้หลักนี้​เพื่อหลอกคน ​และ​เพื่อ​ได้ประโยชน์​ที่​ต้องการ

ทุกวันนี้ เรา​กำลัง​เป็นทุกข์​กับการโฆษณามาก ​ที่จริง​เป็นปัญหามานานแล้ว​ ​โดยเฉพาะผู้หญิง ​เพราะว่า​ส่วนมากก็​จะ​ใช้รูปผู้หญิงโฆษณามากกว่ารูปผู้ชาย ฉะนั้น​ ​จะเห็นรูปผู้หญิงสวยงามอยู่​ทุกวัน ๆ​ มองทางไหนมี​แต่รูปผู้หญิง​ที่หุ่นดีสวย กลับมาเปรียบเทียบ​กับตัวเอง ก็ไม่พอใจ​กับสังขารตัวเอง ​เพราะมีเปรียบเทียบตลอดเวลา

ตอนนี้ผู้ชายก็เริ่ม​จะ​เป็น ​ที่อังกฤษ ยาเสพติดล่าสุด​ที่​กำลัง​เป็นห่วงกันมาก​คือ พวกสเตียรอยด์ ไม่ใช่พวกยาอี ยาบ้า ยาอะไร​ ​แต่​เป็นยาสเตียรอยด์ เด็กหนุ่มทานยาสเตียรอยด์กันมาก ​เพราะ​ต้องการมีหุ่นเหมือนนักแสดง เหมือนนายแบบ​ที่มีกล้ามเนื้อเยอะ ๆ​ ​เพราะว่าไม่พอใจ​กับสังขารตัวเอง ​เพราะไม่เหมือนสังขาร​ที่​เขาเห็นในใบโฆษณา นี้​คือ​เป็นการเปรียบเทียบม​ที่มีโทษมาก

สมัยก่อน ทางอุบลฯ ในชนบท ไฟยังไม่เข้า ​ที่สาขาวัดป่านานาชาติ ​ที่อำเภอโขงเจียม ภูจอมก้อม หมู่บ้าน​ที่อยู่​เชิง​เขานั้น​ ตอน​ที่เรา​ไปอยู่​ใหม่ ๆ​ นี่ยังไม่มีไฟฟ้า แล้ว​อาตมา​สามารถเห็น​ความเปลี่ยนแปลงของชาวบ้านหลังจาก​ได้ไฟฟ้า เปลี่ยนเร็วมาก ​และ​ที่ชัด​ที่สุด​คือ เกิด​ความไม่พอใจในวิถีชีวิตของตน ​เพราะว่า มีไฟแล้ว​ ​ต้องซื้อทีวี ดูทีวี แล้ว​รายการทีวี ข่าวอะไร​ ไม่มีผลต่อจิตใจ​เขามากเท่าการโฆษณา ​เพราะ​เขาเห็นการโฆษณา นั่นก็​เป็นการสร้างภาพของชีวิต​ที่สมบูรณ์ให้​เขาเห็น

​เมื่อ​เขาเทียบวิถีชีวิตของตัวเอง ​กับวิถีชีวิตของเด็กยิ้มแย้มแจ่มใสในการโฆษณา รู้สึกว่า​สู้​เขาไม่​ได้ การ​แต่งตัว เครื่อง​ใช้สอยต่าง ๆ​ ไม่มีเลย​ ​ทั้ง ๆ​ ​ที่ก่อนหน้านั้น​ อาตมาว่า สำหรับชาวบ้าน ​เขาก็ไม่​ได้เดือดร้อนมาก วัตถุต่าง ๆ​ น้อยก็จริง ​แต่​เขาก็มี​ความสุขพอสมควร หลังจากมีทีวีแล้ว​ สิ่งแวดล้อมก็เหมือนเดิม ไม่แตกต่างกัน ​แต่​ความสุขน้อยลงทันที ​เพราะ​เขาเปรียบเทียบตัว​เขาเอง​กับเด็กในจอทีวี

นี่ก็​เป็นตัวอย่างของโทษของสิ่ง​ที่เราละไม่​ได้ เรื่อง​การเปรียบเทียบ​ต้องมีแน่ ​และการเปรียบเทียบทำให้เราฉลาดขึ้น​​ได้ ​ถ้าเรามีปัญญา เราเปรียบของเรา​กับคนอื่น อาจเห็นข้อบกพร่องของเรา​ได้ เราควรปรับปรุงแก้ไขตรงนี้ ๆ​ ​ถ้าเราเปรียบไม่​เป็น กลาย​เป็นอิจฉา รู้สึกตัวมีปมด้อย หรือ​ถ้ารู้สึกว่า​ของตัวเองดีกว่า ก็กลาย​เป็นถือตัวถือตน ฉะนั้น​ การเปรียบเทียบ​เป็น​ส่วนหนึ่ง​ของวิถีชีวิตมนุษย์ ​แต่ว่า​เป็น​ส่วนหนึ่ง​​ที่เรา​ต้องรู้เท่าทัน

งั้นในการศึกษา​และปฏิบัติตามคำสอนของ​พระพุทธเจ้า เรามีคำสอน​ที่สำคัญ​คือ อริยสัจสี่ ฟังเรื่อง​หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์ท่าน​เป็นครูบาอาจารย์​ที่ไม่ชอบเทศน์ ท่านเทศน์ ท่านขึ้น​นธรรมาส ท่านพูดไม่กี่คำก็ลง ครั้งหนึ่ง​ท่านขึ้น​ธรรมาสเทศน์ให้​พระฟัง ท่านบอกว่า "ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้" กลับกุฏิเลย​ ไม่พูด​กับ​ใคร ก็จริงของท่านนะ ​ทั้งหมดมันอยู่​ในสี่ข้อนี้

สิ่งต่าง ๆ​ ในชีวิตลองพยายามดูว่า อยู่​ในข้อไหน ​คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต​จะลงในข้อใดข้อหนึ่ง​ อย่างเช่นเรื่อง​การโฆษณา​และการเปรียบเทียบอยู่​ในข้อไหน อยู่​ในข้อแรก ​คือ ข้อทุกข์ ​ที่นี้พอเรารู้ว่า อยู่​ในข้อไหนแล้ว​ เราก็รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไร ข้อแรกก็​คือสิ่ง​ที่ควร​จะรู้เท่าทัน ดังนั้น​ กิจกรรมในชีวิตต่าง ๆ​ ก็ล้วน​แต่อยู่​ในข้อแรก ​คือสิ่ง​ที่ควรรู้เท่าทัน ​แต่สิ่ง​ที่​เป็นเหตุ​เป็นปัจจัยนั้น​ก็​คือข้อ​ที่สอง สมุทัย ​ซึ่ง​เป็นสิ่ง​ที่ควรละ สิ่ง​ที่​เป็นเหตุปัจจัยของ​ความทุกข์​ที่ละ​ได้

​ความทุกข์บางอย่างก็​เป็น​ส่วนของธรรมชาติ เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้ไม่ใช่เรื่อง​ของกิเลส หรือ​จะ​เป็นเรื่อง​ของกิเลสในชาติก่อน​ที่ทำให้เราเกิด​เป็นอย่างนี้ ​แต่ไม่ใช่เรื่อง​ปัจจุบัน ​เมื่อเรากำหนดว่า อะไร​​คืออะไร​ มันอยู่​ในอริยสัจข้อไหน เราก็มีแนวทางปฏิบัติขึ้น​ทันที รู้ว่าควร​จะทำอะไร​​กับสิ่งนี้ รู้ว่าอะไร​​เป็นของ​ที่ควรยอมรับ ไม่ควรยอมรับ ตัวบาปอยู่​ตรงไหน ตัวกิเลสอยู่​ตรงไหน แยกแยะ​ได้ไหม

เช่น การเปรียบเทียบ​ต้องระวังมาก เช่นการอุปมาอุปมัย นี่ทำให้เราหลง​ได้ง่าย ​ถ้าเราอุปมาสิ่งใด​กับภาพพจน์​ที่ชัดเจน เราก็มีโอกาสหลง หนึ่ง​ ​เพราะว่าในขณะ​ที่เรารู้สึกว่า​ไม่เข้าใจสิ่งใด สิ่ง​ที่มันสลับซับซ้อน มันยาก ในขณะ​ที่เรารู้สึกว่า​ ไม่เข้าใจ รู้สึกยาก มันมี​ความรำคาญใช่ไหม อยาก​จะรู้อยาก​จะเข้าใจ ไม่อยากอยู่​แบบนี้ ไม่เข้าใจ ตัวนี้ วิภวตัณหา มัน​พร้อม​ที่​จะยึดคำอธิบาย​ที่ง่าย ​ที่เห็นชัด เหมือน​กับ​ที่ว่า​เมื่อกี้นี้ว่า แค่คำว่า "​เพราะว่า" ก็พอใจแล้ว​ พอใจว่าตัวเองมีเหตุผล ​ทั้ง ๆ​ สิ่ง​ที่​เป็นเหตุผล อาจ​จะไม่ใช่เหตุผล บางทีคำอุปมาอาจ​จะชัดมาก อืมม์ เข้าใจแล้ว​ ชัดมาก ​แต่การอุปมานี่อาจ​จะไม่ตรง​กับสิ่ง​ที่อุปมาก็​ได้

ตัวอย่าง ​เอาอย่างนี้แล้ว​กัน คนไม่ดี คนไม่ดีพยายามเปลี่ยนนิสัย นาน แล้ว​ก็ยังเหมือนเดิม แล้ว​​ใครก็บอกว่า เสือไม่ทิ้งลาย เสือไม่ทิ้งลาย​เป็นคำพูดโบราณ เราเห็นภาพชัดใช่ไหม เสือมันก็​เป็นเสืออย่างนี้จนมันตาย เสือไม่มีลายไม่มี มันทิ้งลายไม่​ได้ อ้าว ก็เห็นชัด ​แต่​เป็นจริงไหม​ที่คนนั้น​เปลี่ยนไม่​ได้ มันไม่​เป็นจริงใช่ไหม ไม่ขึ้น​อยู่​​กับคำอุปมา

อย่างเช่นพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ผู้​ที่เคยประมาท ผู้​ที่เคยทำ​ความเชื่อในอดีต ตอนหลังรู้สึกตัว สำนึกบาป ปรับตัว งดงามมาก เหมือน​พระจันทร์เต็มดวง​ที่พ้นจากเมฆนั้น​ ฉะนั้น​ มีคำอุปมาสองอย่าง อุปมาหนึ่ง​ก็คนไม่ดีเหมือน​กับเสือ​ที่ทิ้งลายไม่​ได้ อุปมาข้อ​ที่สองของ​พระพุทธเจ้า ก็​คือ คนเรา คนไม่ดีเหมือน​พระจันทร์เต็มดวง​ที่ถูกเมฆปิดบังไว้ มันชัด​ทั้งสองภาพ ​แต่ว่า ภาพ​ที่สอง เราถือว่าถูก​ต้องตาม​ความ​เป็นจริง ภาพแรกไม่ตรงตาม​ความ​เป็นจริง

เราทุกคนก็ชอบให้มันง่าย แหม ชอบ ท่านเทศน์ ท่านพูดให้มันง่าย ​แต่สิ่ง​ที่ง่ายมันอาจ​จะไม่จริงก็​ได้ บางทีสิ่ง​ที่ยาก อาจ​จะยาก​เพราะจำ​เป็น​ต้องยาก บางสิ่งบางอย่างมันยาก​เพราะคนพูดขาด​ความ​สามารถในการสื่อสาร บางทีมันยาก​เพราะว่าง่ายกว่านี้ไม่​ได้ ​ถ้าเรามีเงื่อนไขว่า อะไร​ ๆ​ มัน​ต้องง่าย ฉันจึง​จะ​เอา อันนี้เรามีโอกาส​จะหลง​ได้ ​ถ้าเราว่าเห็นภาพชัด อันนี้ก็ยังไม่​เป็นการพิสูจน์ว่าจริง ว่าใช่ บางทีภาพชัด ​แต่ไม่จริงก็มี

​เพราะฉะนั้น​ ผู้มีสติ​จะรู้ตัวว่า ฟังอะไร​ หรือว่าศึกษาอะไร​ เราก็ยังมองไม่เห็น ยังไม่เข้าใจ เรา​จะระวังตัว ระวัง​เพราะว่า โอกาส​ที่วิภวตัณหา ​ความรำคาญ การอยากหาคำตอบ​ที่ง่าย ๆ​ เร็ว ๆ​ ​จะทำให้การพิจารณาของเราคลาดเคลื่อน​ไป​ได้ ผิดพลาด​ไป​ได้ ถึง​จะทำตัวให้เย็น ๆ​ รอบคอบ ​เมื่อมีคำอุปมาอุปมัย ใจหนึ่ง​ก็รับรู้รับทราบใน​ความชัดเจนของคำอุปมา ข้อ​ที่สองก็ดูว่า อุปมาตรงตามข้อมูลหรือเปล่า หรือบางทีอาจ​เป็นการอุปมา​ที่จริงในบางแง่ ​แต่ไม่จริงในบางแง่ นี่เรา​ต้องระวัง

ดังนั้น​ สติ การเจริญสติ​เป็นเงื่อนไขของ​ความละเอียดของจิต เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง​ที่เราไม่เคยเห็น ​คือมีอะไร​ศึกษาอยู่​เรื่อย มันสนุก สนุก​ที่เราเห็นจิตใจ เห็นการเคลื่อนไหวของจิตใจ เห็น​ความกะล่อนของจิตใจ การเข้าข้างตนเอง เหตุผลเทียม เหตุผลปลอม​ที่จิตใจผลิตขึ้น​มาอยู่​เรื่อย ๆ​ เห็นบาปด้วย​ความ​เป็นบาป ​ถ้าเห็นกิเลสด้วย​ความ​เป็นกิเลส ​ความรู้สึกถอนออกมา ​ความรู้สึกกลัวมันก็ย่อมเกิด ​ถ้าเห็นกิเลสตัวเอง​แต่ไม่เกิด​ความรู้สึกว่า​กลัว ก็ยังไม่เห็นจริง ก็พยายามดู พยายามสอนตัวเองทุกวัน ​เป็นกัลยาณมิตร​กับตัวเองทุกวัน อย่า​เป็นบาปมิตร พยายามน้อมจิต​ไปในทาง​ที่ดี​ที่งาม ค่อย ๆ​ ขัดเกลาสิ่ง​ที่ไม่ดีไม่งาม

วันนี้ก็คง​จะ​ได้ให้ธรรมะสมควรแก่เวลา คง​จะพอเพียงแค่นี้

 

F a c t   C a r d
Article ID A-1032 Article's Rate 5 votes
ชื่อเรื่อง หลงจิตกะล่อน (คำเทศน์โดย ชยสาโรภิกขุ)
ผู้แต่ง รจนา ณ เจนีวา
ตีพิมพ์เมื่อ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๘
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ ประกายธรรมนำทาง
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๙๘๐ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๑ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๒๑
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : ศาลานกน้อย [C-5136 ], [000.000.000.000]
เมื่อวันที่ : 19 มิ.ย. 2548, 00.15 น.

ผู้อ่าน​ที่รัก,

นิตยสารรายสะดวก​ ​และผู้เขียนยินดีรับฟัง​ความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดง​ความเห็น​ได้​โดยอิสระ ขอขอบคุณ​และรู้สึก​เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมี​ส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...​

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น